กลางเดือน มี.ค. 2553 จะลาโลกตอนนี้ก็เร็วไปหน่อย
ตั้งแต่ปิดเทอมยังไม่ได้ก้าวออกจากบ้านเลย วันๆเขียนนิยาย แต่งกลอน อ่านหนังสือเกี่ยวกับสถาปัตย์ที่จะเรียนเทอมหน้า อ่านแม้แต่วิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมตะวันตกซึ่งฉันอยู่ในสถาปัตยกรรมไทยไม่ต้องเรียน แต่ว่าอยากรู้รายละเอียดมานานแล้ว โดยเฉพาะโรโคโค บาโรค โกธิค โรแมนติก ดูรูปแบบบัวหัวเสากรีก-โรมันเสร็จก็ไปดูต่อที่บัวหัวเสาโบสถ์ไทย
ทุกๆวันฉันเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง...โลกภายนอกที่นานมาแล้วไม่ได้พบเจอ คนที่ฉันพูดคุยด้วยก็มีแต่แม่ หมาที่บ้าน และผู้คนในอินเตอร์เน็ตแบบนานๆครั้ง วิถีชีวิตของฉันราวกับโอตาคุ ผู้ป่วยทางจิตในญี่ปุ่นที่ปิดซ่อนตัวเองจากสังคม วันๆหมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่สนใจโลกภายนอก แต่ว่าฉันยังสนใจนะ ยังอยากรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ผู้คนภายนอกได้พบเจออะไร คิดถึงเรื่องอะไร และกำลังรู้สึกอย่างไร ฉันมองออกไปหาประสบการณ์มากมายข้างนอกนั้นที่จะไม่สามารถพบเจอได้ด้วยการอยู่เพียงลำพังข้างในนี้ แต่ก็ไม่อยากออกไปสักที มันท้อใจ
ทุกวันแดดส่องมาแรงเจิดจ้าพร้อมจะเผาผิวให้แสบไหม้ตายคาถนน เสียงรถวิ่งผ่านไปมาหนวกหู ออกไปหน่อยก็จะได้กลิ่นควันพิษจากรถยนต์ ผู้คนเดินขวักไขว่น่าอึดอัด ไม่ใช่สถานที่ในแบบที่ฉันอยากพบเจอ ไม่ว่าจะไปทางไหนก็คงจะรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี ความจริงแล้วที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมแก่การดำรงชีวิตของมนุษย์ด้วยซ้ำ
แรกเริ่มธรรมชาติคงสมบูรณ์ อากาศปรอดโปร่ง มนุษย์อยู่รวมกันเป็นเมือง เมืองสำคัญกลายเป็นเมืองหลวง และบ้านคนเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนไม่เหลือผืนดินจริงๆเอาไว้สำหรับต้นไม้สักต้น มีแต่การตีขอบแบ่งเขตกันตามโฉนดที่ดิน ต้นไม้อาจจะได้อาณาเขตของมันบ้างก็เฉพาะในกระถาง ไม่มีอิสรภาพ
เรายึดติดกับการตั้งถิ่นฐานมากเกินไปรึเปล่า ถึงแม้ว่าเมืองหลวงที่กำลังอาศัยอยู่จะกลายเป็นที่ที่ไม่น่าอยู่แล้วคนทั้งหลายก็ยังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็แค่เพราะว่าเราอยู่ในที่ตรงนี้แล้ว เรามีงานทำในที่ตรงนี้แล้ว ก็เหมือนเอาอดีตมาคุมขังปัจจุบัน
ลำพังตัวฉันในฐานะนักศึกษาคงไปไหนไม่ได้ แต่เมื่อเรียนจบเมื่อไหร่ฉันจะไป หาที่ที่รู้สึกว่าเหมาะสมแก่การดำรงชีวิต ที่ที่อากาศกำลังดีตลอดทั้งปี ไม่มีหิมะหรือแสงแดดจัด ไม่มีเสียงดังหนวกหู ผู้คนไม่โวยวายลั่น ไม่มีเทศกาล...ปล่อยให้วันเป็นแค่วันเดือนเป็นแค่เดือนปีเป็นแค่ปีหนึ่งๆที่สงบสุข สัตว์ทุกชนิดไม่ถูกฆ่า เดินทางด้วยวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ พืชผักผลไม้งอกงามสมบูรณ์ ผู้คนเท่าเทียมกัน ไม่มีผู้ปกครองรัฐ มีแต่ประชาชนอิสระ ไม่มีตำรวจเพราะไม่อาชญากรรม ไม่มีศาลเพราะไม่มีการฟ้องร้อง ผู้คนน้อย ทิวทัศน์สวยงามสมเป็นธรรมชาติ มีระบบสุขาภิบาลที่ดี
สถานที่แบบนั้น ไม่รู้จะหาเจอรึเปล่า ฉันเข้าใจว่าโลกเป็นงานสถาปัตยกรรมชนิดหนึ่งที่ถูกดีไซน์แบบรวมๆจากพระเจ้า ให้พืช สัตว์ และมนุษย์ทั้งหลายอาศัยอยู่ (แม้ว่ามนุษย์จะยึดครองเป็นของตัวเองเกือบทั้งหมดก็ตาม) มันไม่ได้ถูกดีไซน์ขึ้นมาเพื่อใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ...ไม่ได้ถามความต้องการของเราด้วยซ้ำ จึงไม่อาจทำให้ทุกๆคนพึงพอใจกับมันได้
โลกที่ร้อนระอุ บางทีก็หนาวจัด ไม่งดงามเท่าไหร่ โหดร้ายเกินไป มีการกินกันเอง เบียดเบียนกันและกันในทุกระดับแม้แต่ในพืชหรือแบคทีเรียตัวเล็กๆ วิถีชีวิตอันวุ่นวายของการเสาะแสวงหาและครอบครอง กิจวัตรซ้ำๆ และการงานเพื่อเอาชีวิตรอด หลอกล่อด้วยความอยากรูปแบบต่างๆที่ไม่ได้ให้อะไรอย่างแท้จริง ผูกโยงเอาไว้ด้วยสายใยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เหมือนเป็นคุกขนาดกว้าง
ฉันพูดเรื่องเหล่านี้ออกไปไม่ได้ ขนาดพูดน้อยๆพี่สาวยังกลัวว่าฉันเป็นโรคซึมเศร้า ทั้งที่เป็นแค่การคิดไปตามเหตุและผล
หนึ่ง ที่เรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้เพราะอะไร... สำหรับฉันแค่เพราะว่าเกิดมาแล้ว มันเกิดขึ้นเองโดยที่ตัวเองไม่ได้ยินยอมด้วยซ้ำ
สอง เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้เพราะอะไร... สำหรับฉันเพราะรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตจึงต้องใช้ชีวิตต่อไป
สาม เราดิ้นรนรักษาชีวิตไม่ให้ตายเพราะอะไร... สำหรับฉันเพราะความกลัว ปัจจุบันฉันมีชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเลือกเองหรือไม่ก็รู้แล้วว่าการมีชีวิตเป็นอย่างไร แต่การตายฉันยังไม่รู้จัก
อาจจะเร็วไปหน่อยที่จะบ่นอะไรแบบนี้ในเมื่อฉันเพิ่งอายุยี่สิบต้นๆและมีวิถีชีวิตคับแคบยังไม่รู้จักสิ่งต่างๆมากมายเพียพอ
ในบ้านของฉัน หลังจากพิมพ์ไดอารี่นี้เสร็จฉันจะเล่นเกมต่อ อาจเป็นเพราะความสงสัยและอยากเอาชนะ เกมบางเกมเราจึงดันทุรังเล่นต่อไปจนจบ แม้ว่าจะไม่อยากเล่นแล้ว
ความคิดเห็น