NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภาวินทร์ภคนางค์

    ลำดับตอนที่ #31 : บทที่ 11 (2) อดีตที่ไม่กล้าถาม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 614
      15
      20 เม.ย. 67




    “นางค์ มานี่สิ มานั่งใกล้ๆ ฉัน”

    คุณรัมภากวักมือเรียกภคนางค์ที่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นหลังจากที่ให้เด็กรับใช้ไปตามเข้ามาหาในช่วงสายของอีกวัน เพราะมีอะไรบางอย่างที่ควรให้นานแล้วจะมอบให้

    “คุณท่านเรียกนางค์มาหา มีอะไรหรือเปล่าคะ”

    ภคนางค์ทรุดกายลงนั่งพับเพียบบนพื้นพรมข้างๆ กับที่คุณรัมภานั่งด้วยสีหน้าและแววตาสดใส เธอเพิ่งล้างขวดนมให้ลูกเสร็จ สาวใช้มาตามพอดีเลยรีบเข้ามาหาคุณรัมภา คิดว่าท่านคงจะเรียกให้มาบีบนวดให้กระมัง ส่วนน้องพลินทร์นั้นคุณย่าพาไปเดินเล่นดูนกดูปลาในสวน เพราะงอแงจะตามพ่อไปทำงาน

    “ฉันมีอะไรจะให้”

    หญิงสาวมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณรัมภาล้วงเอาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าที่ท่านชอบใส่เป็นประจำ

    “รับไปสิ”

    กล่องกำมะหยี่สีแดงขนาดเล็กกะทัดรัดถูกยื่นให้กับภคนางค์ หญิงสาวจึงยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณแล้วรับมาถือไว้ พอคุณรัมภาพยักหน้าเชิงบอกให้เปิด จึงค่อยๆ เปิดออกอย่างเบามือ ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ

    “คุณท่านให้นางค์ทำไมเหรอคะ มันน่าจะแพงมากนะคะ นางค์ไม่กล้ารับไว้หรอกค่ะ”

    ภคนางค์มีสีหน้ากระอักกระอ่วนในยามมองสร้อยคอทองคำขาวที่มีจี้เพชรรูปหยดน้ำพราวระยับ ดูท่าจะราคาแพงมาก เธอจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร อีกอย่างหญิงสาวก็ไม่ค่อยชอบใช้เครื่องประดับราคาแพงเท่าไรนัก

    หญิงสูงวัยคลี่ยิ้มก่อนส่ายหน้าอย่างช้าๆ เอ็นดูท่าทางเกรงอกเกรงใจของคนตรงหน้า ภคนางค์เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าท่านหรือลูกสาวซื้อข้าวของราคาแพงให้ก็ไม่ค่อยอยากจะรับหรอก เลยต้องบังคับตลอดถึงจะยอม

    “แม่เราเขาฝากไว้ ฉันแก่แล้วก็หลงๆ ลืมๆ ไปเปิดเจอในกล่องเครื่องเพชรพอดี เลยเอามาให้”

    ท่านเลือกเครื่องประดับออกมาเพื่อจะแบ่งบางส่วนให้ภคนางค์และน้องพลินทร์ เลยไปเจอเข้ากับกล่องกำมะหยี่เล็กๆ ที่เก็บเอาไว้เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แล้วพลันนึกขึ้นได้ว่าเป็นของมารดาภคนางค์ที่ฝากไว้เลยรีบนำมาให้

    “แม่ฝากไว้งั้นเหรอคะ”

    พอได้รับรู้ก็ยิ่งประหลาดใจ ดวงตาคู่งามหลุบลงมองสิ่งที่อยู่ในมือนิ่งด้วยสีหน้าที่ไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ ทว่าใจนั้นสูบฉีดเลือดรุนแรงจนรู้สึกหวิวๆ ในอกอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งมือยังสั่นนิดๆ กระบอกตาก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา

    “ใช่ รตีบอกว่าเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของเขา ก็เลยฝากฉันเก็บไว้ให้นางค์”

    คุณรัมภามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยแววตาและรอยยิ้มอาทร ในตอนนั้นภคนางค์อายุเพียงแค่สามขวบ ยังเด็กและไร้เดียงสามาก มารดาของเด็กน้อยจึงฝากกล่องกำมะหยี่นี้ไว้กับท่าน พร้อมกับบอกว่าเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เหลือติดตัวอยู่หลังจากขายชิ้นอื่นๆ ไปหมดแล้ว เลยตั้งใจจะเก็บเอาไว้ให้ลูกสาว ก่อนจะฝากภคนางค์ไว้แล้วออกจากบ้านหลังนี้ และไม่เคยติดต่อมาเลยตลอดยี่สิบสองปีที่ผ่านมา ท่านเลยเก็บไว้เป็นอย่างดีเพื่อรอมอบให้ภคนางค์ในเวลาอันสมควร แต่แก่แล้วก็อาจมีหลงๆ ลืมๆ ไปบ้างเลยมอบให้ช้าไปหน่อย

    ภคนางค์ปิดกล่องกำมะหยี่ลงแล้วช้อนดวงตาไหวระริกขึ้นมองคุณรัมภา “ขอบคุณนะคะ”

    ฝืนยิ้มแล้วเม้มเรียวปากเข้าหากันด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนสมองมันว่างเปล่า...

    “ไม่ดีใจเลยหรือ” เห็นสีหน้าและแววตาหม่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถาม วางมือเหี่ยวย่นลงบนกลุ่มผมนุ่มสลวยแล้วลูบเบาๆ เพื่อช่วยปัดเป่าความขุ่นมัวออกไปจากใจให้

    หญิงสาวไม่ตอบคำถามของคุณรัมภา หากแต่คลี่ยิ้มออกมาจางๆ เธอไม่เคยเจอมารดาเลยตั้งแต่ถูกพามาอยู่ที่นี่ หากไม่มีรูปถ่ายให้ดูคงจำหน้าไม่ได้แล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องความผูกพันมันคงแทบไม่มีหลงเหลือ เพราะจะผูกพันกับคนที่เลี้ยงดูมาอย่างคุณรัมภา คุณรวิตาและป้าพัชรีที่คอยมารับไปอยู่ด้วยทุกช่วงปิดเทอมมากกว่า แต่ไม่เคยรู้สึกโกรธหรือเกลียดที่ถูกแม่ทิ้งไป เพราะคิดว่าท่านคงมีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้...

    คุณรัมภาก็พอจะเข้าใจว่าทำไมภคนางค์ถึงไม่มีท่าทีดีใจเลยแม้แต่น้อย คงเพราะแม่ไม่เคยติดต่อมาหาเลยนับตั้งแต่วันที่เอามาฝากไว้ที่นี่

    “แล้วนางค์เคยคิดอยากจะเจอแม่เขาไหม”

    หญิงสาวส่ายหน้าอย่างช้าๆ แทนคำตอบ “แม่ยังไม่อยากเจอนางค์เลยค่ะ”

    เอ่ยตัดพ้อด้วยความน้อยใจ แววตาหม่นเศร้าหลุบลง ขนาดพัชรีที่เป็นพี่สาวแท้ๆ แม่ยังไม่เคยติดต่อหา ไม่เคยส่งข่าวให้รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร นับประสาอะไรกับลูกสาวที่ทิ้งไว้ให้คนอื่นเลี้ยงอย่างเธอล่ะ

    “แล้วไม่เคยคิดอยากจะรู้เรื่องแม่บ้างเหรอ”

    ท่านเคยคิดว่าสักวันถ้าโตขึ้นภคนางค์คงคิดอยากจะรู้เรื่องแม่ อยากจะรู้ที่มาที่ไปของตัวเอง แต่เปล่าเลย ไม่แม้แต่จะปริปากถามเลยสักครั้ง จนท่านต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นเองนี่ละ เพราะเดาไม่ออกเลยว่าภคนางค์มีความคิดอย่างไรกับเรื่องของมารดาตัวเอง

    ภคนางค์เงยหน้าขึ้นมองคุณรัมภาแล้วขยับเข้าไปซบที่ตักของท่านอย่างต้องการที่พึ่งพิงทางใจ แววตาคู่งามเหม่อลอยออกไปข้างหน้าขณะที่ริมฝีปากสีระเรื่อเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมา

    “นางค์กลัวว่าถ้ารู้แล้วเป็นเรื่องไม่ดี จะคิดอคติกับแม่ค่ะ ขอรู้แค่ว่าแม่มีเหตุผลถึงพามาฝากให้คุณท่านทั้งสองเลี้ยงก็พอค่ะ”

    ความจริงเธอพอจะรู้เรื่องของมารดามาจากแม่บ้านเก่าแก่ที่ไปรบเร้าถามหลายต่อหลายครั้งจนใจอ่อนยอมเล่าให้ฟังเพียงคร่าวๆ เนื่องจากไม่กล้าถามคุณท่านทั้งสองโดยตรง หญิงสาวรู้ว่าผู้เป็นมารดาอย่างรตีเลิกรากับสามีและมีหนี้สินจำนวนมหาศาล แล้วคุณรวิตาก็เป็นคนชำระหนี้ก้อนนั้นให้ เลยเป็นเหตุให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่ ที่ไม่อยากจะรู้เรื่องแม่ให้ลึกไปกว่านี้ก็เพราะกลัวใจตัวเองว่าจะคิดไม่ดีกับบุพการีผู้ให้กำเนิด ถึงแม้แม่จะทิ้งไปแต่ท่านก็ยังดีที่ให้เธอมาอยู่กับคุณรัมภาและคุณรวิตา ถึงได้มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างทุกวันนี้

    และเธอก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้า ขาดพ่อขาดแม่ ไม่เคยขาดความรักความอบอุ่น เพราะได้รับจากคนรอบข้างอย่างมหาศาล เลยไม่เคยโหยหาอ้อมกอด ไม่เคยอยากจะเจอแม่ คิดมาเสมอว่าถ้าแม่อยากเจอเธอท่านคงมาหาเอง

    คุณรัมภาที่ลูบไล้เรือนผมนุ่มอยู่นั้นแย้มยิ้มบางเบาให้กับเหตุผลของคนชอบคิดมาก

    “แม่ของนางค์น่ะเป็นเพื่อนรักกับแม่วิ สองคนนี้เขารักกันมาก แม่วิก็รักและเอ็นดูนางค์มาตั้งแต่เกิด...”

    หญิงชรากล่าวถึงอดีตด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พลางลูบผมของคนที่ซบอยู่กับตักไปด้วย รวิตาและรตีเป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน คบหากันมานานก่อนที่ต่างฝ่ายต่างไปมีครอบครัว แต่ก็ยังติดต่อหากันไม่เคยขาด เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นแน่นแฟ้นมาก รตีแต่งงานกับนักธุรกิจคนหนึ่ง แล้วให้กำเนิดลูกสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตา โดยให้เพื่อนรักอย่างรวิตาที่ถูกยกให้เป็นแม่ทูนหัวตั้งชื่อให้ ตั้งแต่นั้นมาหนูน้อยก็มีชื่อว่า ‘ภคนางค์’ หรือ ‘นางค์’

    ภคนางค์พอจะทราบว่ามารดาเป็นเพื่อนรักของคุณรวิตา แต่ไม่ทราบที่มาที่ไปของตัวเองมากนักว่าทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่

    “รตีน่ะรักนางค์มากนะ ไปไหนก็จะพานางค์ไปด้วยตลอด แม้ลำบากก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้งเลย”

    ท่านเห็นได้ชัดเลยว่ารตีรักลูกมากเพียงใด ในวันที่มีปัญหากับสามีก็ยอมทิ้งความสุขสบายแล้วหอบลูกออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว เพราะไม่อยากให้ลูกต้องมารับรู้ปัญหาที่ตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

    “แล้วทำไมแม่ถึงทิ้งนางค์ไว้ที่นี่คะ” เสียงอ่อนหวานพึมพำถามอย่างตัดพ้อ ถ้าแม่รักเธอแล้วทำไมถึงไม่พาไปด้วย

    “แม่นางค์เขาไม่ได้ทิ้ง แต่แม่วิขอไว้ต่างหาก”

    คุณรัมภายิ้มให้คนที่ช้อนใบหน้างอง้ำขึ้นมามองด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความน้อยอกน้อยใจ คงจะคิดว่าโดนแม่ทิ้งมาตลอดเลยสินะ ถึงกลัวที่จะรับรู้เรื่องราวต่างๆ

    “อยากฟังต่อไหม ถ้าอยากฉันจะเล่าให้ฟัง” ถามถึงความสมัครใจ รับรองได้ว่าถ้าภคนางค์รับรู้ความจริงแล้วจะไม่มีวันอคติหรือเกลียดแม่ของตัวเองอย่างแน่นอน เพราะรตีไม่เคยทำในสิ่งที่ไม่ดีเลยสักนิด

    คนถูกถามมีสีหน้าลังเล ขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ารับแล้วซบแก้มลงหาตักของคุณรัมภาดังเดิม เมื่อรู้ว่าแม่ไม่ได้ใจดำทอดทิ้ง ภคนางค์ก็อยากจะทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตว่าเป็นมาอย่างไรกันแน่

    คุณรัมภาส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวในอดีต “เพราะว่ามีปัญหากับสามี รตีก็เลยขอเลิกแล้วหอบลูกหนีออกมาหาแม่วิ ฉันถึงได้รู้ว่าแม่ของนางค์น่ะทนอยู่กับปัญหามานานพอสมควร แล้วครั้งนั้นก็คงจะสุดทนจริงๆ ถึงได้ตัดสินใจพานางค์ออกมาจากบ้านหลังนั้น”

    แม้เวลาผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ท่านก็ยังจำวันที่รตีหอบลูกมาหาทั้งน้ำตาได้ดี ภาพของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นั่งร้องไห้กอดลูกน้อยจนหลับคาอกยังติดตา ถึงใจจะเจ็บช้ำแต่สำหรับคนเป็นแม่นั้นลูกต้องมาก่อนเสมอ มิหนำซ้ำตอนออกมาจากบ้านหลังนั้นรตีก็ไม่หยิบฉวยอะไรที่เป็นของสามีออกมาเลย มีเพียงของมีค่าบางอย่างของตัวเองเท่านั้น

    พอได้รับฟังแล้วภคนางค์ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในอกอย่างบอกไม่ถูก ขอบตาของเธอร้อนผ่าว น้ำตาก็ค่อยๆ รื้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าช่วงเวลานั้นแม่ต้องทนทุกข์มากแค่ไหนกัน เพราะป้าก็ไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย หรืออาจจะทราบแต่ไม่ยอมเล่าก็ไม่รู้

    “พอกำลังจะมีความสุขกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็เจอกับมรสุมลูกใหญ่เป็นจดหมายทวงหนี้เกือบห้าสิบล้าน แล้วชื่อผู้ที่ต้องชำระก็คือรตี หนี้ก้อนนั้นเกิดจากสามีนำชื่อของรตีไปเปิดธุรกิจใหม่แล้วขาดทุนย่อยยับ เป็นหนี้มหาศาล รตีเลยต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อเพราะผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้น”

    ตอนที่ท่านทราบข่าวจากลูกสาวก็ช็อกทั้งใจหายเหมือนกันเพราะไม่คิดว่ารตีจะต้องมาเจอกับมรสุมชีวิตอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะเลือกคู่ครองผิด ทำไมคนดีๆ มักจะต้องเจอแต่เรื่องที่เลวร้ายนักก็ไม่รู้

    “ถึงจะมีปัญหาแต่แม่ของนางค์ก็ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใครเลยนะ แม้จะทุกข์แต่ใจสู้มาก อาจเป็นเพราะมีนางค์อยู่ข้างๆ คอยเป็นกำลังใจให้ ฉันเห็นแล้วก็อดทึ่งไม่ได้เหมือนกัน ไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างรตีจะแกร่งได้ขนาดนี้ แถมยังพยายามดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ทั้งที่รู้ว่าเงินมากมายขนาดนั้น ต่อให้หาทั้งชีวิตก็ไม่มีทางใช้หนี้ไม่หมด”

    น้ำตาของภคนางค์รินไหล เจ็บหน่วงในหัวใจเมื่อทราบถึงความเลวร้ายที่มารดาต้องเผชิญ พลันทำให้รู้สึกเกลียดผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อในทันที ทำไมเขาถึงได้เลวและกล้าใช้แม่เธอเป็นเครื่องมือแบบนี้ อยากรู้เหลือเกินว่าเขามีความเป็นคนหลงเหลืออยู่บ้างไหม

    “ครั้นจะสู้กันในชั้นศาลก็ย่อมได้ แต่แม่วิทนเห็นเพื่อนทุกข์ใจไม่ได้ เลยจะให้เงินให้ไปชำระหนี้ก้อนนั้น เพื่อที่ทุกอย่างมันจะได้จบๆ แล้วจะได้หลุดพ้นจากผู้ชายเลวๆ คนนั้นเสียที แต่แม่ของนางค์ก็ปฏิเสธ ไม่ยอมรับท่าเดียว ต้องเกลี้ยกล่อมกันสารพัดถึงได้ยอม”

    แม้เงินก้อนนั้นที่ให้ไปรวิตาจะไม่ต้องการเอาคืน ทว่ารตีก็รับปากว่าจะหามาชดใช้คืนให้เพื่อน ทั้งยังขอบคุณไม่หยุดที่คอยให้ความช่วยเหลือ ซึ่งลูกสาวท่านก็เต็มอกเต็มใจช่วยด้วยความจริงใจ เพราะรักเพื่อนและสงสารหลานสาวจึงไม่อยากให้ทนทุกข์ เพราะหากมีการขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อพิสูจน์ความจริง กว่าทุกอย่างจะแล้วเสร็จคงใช้เวลานาน

    “แล้วทำไมแม่ถึงยอมให้นางค์อยู่ที่นี่คะ”


    +++++

    มีความคิดเห็นยังไง ฝากคอมเม้นให้กำลังใจด้วยนะคะ

    ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ / อิงธารา

    e-book >> https://goo.gl/K5N86N

    หรือ get it now ค่ะ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×