ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Larry Stylinson] .♡ - Valentine's Day。¦ - [1D Fanfiction]

    ลำดับตอนที่ #1 : 01 - ` Terminal 。 - Larry Stylinson ◆ [end]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.08K
      7
      24 ธ.ค. 56

    ShiraTHEME :) Shirakuma kuma




    Terminal

    .Harry Styles & Louis Tomlinson

    .24/12/13

    @zyrusHmab

     

     

     

     

     

    *** สามารถเวิ่นลงทวิตได้ด้วยแท็ก #4loveforLOU นะคะ

    อยากให้เวิ่นมาก *ส่งสายตาให้กันปิ๊งปิ๊งปิ๊ง*

     

     

     

















    ช็อกโกแลตหน้าตาชวนรับประทานหลากหลายรูปแบบอยู่บนถาดเรียงกันดูละลานตา หากภาพนั้นเหมือนจะไม่ได้ซึมซับไปในสมองเจ้าของดวงตาสีฟ้าอมเทาเหม่อลอยสักนิด เขายืนนิ่ง ก่อนพลันสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือหนึ่งสะกิดเข้าที่ไหล่

               

    “มีอะไรหรอครับแม่” ลูอิสหันไปถามเจ้าของมืออย่างมึนๆ  ก่อนจะร้องอูยออกมาเมื่อมือนั้นดีดหน้าผากเข้าเต็มแรง เสียงหวานประท้วง “แม่อ่ะ...ตอบดีๆก็ได้ ทำไมต้องทำร้ายร่างกายกันด้วย”

               

    ผู้เป็นแม่ฟังเสียงโอดครวญก็ส่ายหน้าระอา “เหม่ออะไรอยู่บูแบร์ แม่ถามว่าจะเอาช็อกโกแลตอันไหนบ้างตั้งสามรอบแล้ว ลูกก็เงียบไม่ตอบซะที”

               

    ลูอิสได้ฟังก็แยกยิ้มเจื่อนๆ พลางกล่าวขอโทษเสียงอุบอิบ  ชี้ช็อกโกแลตอย่างส่งๆไปสองสามแบบแล้วแยกออกมายืนอีกมุมหนึ่งกับน้องสาวอีกสองคนระหว่างรอแม่จูงมือน้องสาวคู่แฝดตัวน้อยเดินไปจ่ายเงิน ซึ่งทันทีที่เห็นพี่ชายเดินเข้ามาใกล้ น้องสาวคนโตก็กระเซ้าอย่างรู้งานให้อยากจะเดินหนีไปซะเดี๋ยวนั้น

               

    “นี่...รู้สึกว่าพี่จะใจลอยๆนะ ตั้งแต่กลับมาบ้านช่วงพักแล้ว คิดถึงใครอยู่ป่ะเนี่ย”

               

    ประโยคนั้นเรียกดวงสีฟ้าจ้องหน้าคนพูดเขม็ง ปฏิเสธเสียงเขียว “เพ้อเจ้อแล้ว พี่ไม่ได้คิดถึงใครทั้งนั้นแหละ ช่วงคริสต์มาสได้มาเที่ยวกับครอบครัวทั้งที จะให้คิดถึงใคร”

               

    เด็กสาวทั้งสองมองหน้าอย่างรู้กัน ประสานเสียงพร้อมเพรียง

               

    “ก็คิดถึงคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยไง!

               

    ก่อนล็อตตี้จะเสริม “ส่วนเป็นใคร...ก็ไม่รู้สินะ”

     

    ว่าแล้วหันไปหัวเราะกิ๊กกั๊กกับฟิซซี่กันสองคน ทิ้งให้คนเป็นพี่ชายยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากบางขยับจะตอบโต้ก็เป็นเวลาเดียวกับมารดาเดินกลับออกมาพร้อมน้องสาวตัวน้อยพอดี ลูอิสจึงหมดสิทธิ์...ได้แต่ถลึงตามองเด็กชอบแกล้งที่ทำลอยหน้าลอยตาเยาะเย้ยเป็นระยะๆ

     

    ร่างโปร่งรั้งท้ายกลุ่มออกจากร้านช็อกโกแลตเดินออกไปตามตรอกLittle Shambles ซึ่งเป็นถนนที่มีความเก่าแก่ที่สุดของเมืองยอร์ก เมืองเล็กๆตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์จากดอนคาสเตอร์บ้านเกิดของเขาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษ ซึ่งเพราะแบบนี้หรือเปล่าไม่รู้ มารดาจึงตัดสินใจมาฉลองวันคริสต์มาสที่นี่แบบยกครอบครัว

     

    ทีแรกลูอิสไม่ค่อยเต็มใจจะมาเท่าไรนักด้วยความคร้านออกจากบ้านในช่วงวันหยุดยาวที่ทางต้นสังกัดมอบให้เป็นของขวัญวันคริสต์มาส แต่เมื่อได้สัมผัสบรรยากาศของเมืองขนาดเล็กอบอุ่นที่เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่เป็นเสน่ห์เฉพาะตนก็ทำให้ติดใจโดยไม่รู้ตัว

     

    ดวงตาสีฟ้ามองตึกแถวของร้านค้าที่ตกแต่งสวยงามรับเทศกาลคริสต์มาสขนาบสองข้างทางเดินอย่างเพลิดเพลิน รูปแบบตึกเป็นอาคารก่อขึ้นจากปูนฉาบสีสันสดใสหรืออิฐเปลือยสีโทนออกน้ำตาลดูน่ารักให้ความรู้สึกเหมือนภาพประกอบในหนังสือนิทานสำหรับเด็ก บานกระจกใสแสดงสินค้าภายในร้านประกบติดอยู่บนกรอบไม้หลากหลายรูปแบบ เหนือขึ้นไปบนประตูทางเข้าออกแขวนป้ายชื่อเขียนด้วยอักษรเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละร้าน แม้ตัวตึกจะเอียงโย้จนน่าหวาดเสียวเหมือนจะล้มไม่ล้มแหล่ขัดมโนภาพไม่น้อยก็ตามที

     

    ใบหน้าหล่อเหลาติดหวานระบายรอยยิ้มให้ผู้คนที่มองมาอย่างจำได้ หากก็ไม่เข้ามาใกล้กว่านั้นเพราะเห็นเป็นเวลาส่วนตัวของนักร้องหนุ่ม ให้ลูอิสเดินไปเรื่อยๆอย่างสบายใจ มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าสมาชิกในครอบครัวได้หายไปจากฝูงชนแล้ว

     

    หรือจะพูดง่ายๆ...เขาพลัดหลงกับครอบครัวเรียบร้อย!

     

    ลูอิสถอนหายใจพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.หามารดา เพื่อจะได้ยินเสียงบอกให้ฝากข้อความ และก็เช่นเดียวกับโทรศัพท์ของน้องสาวทั้งสอง

     

    เห็นแบบนั้นก็กัดฟันสบถในลำคอ...นึกยังไงมาปิดเครื่องพร้อมกันหมด!

     

    ยังกับนัดกันก็ไม่ปาน

     

    มือเรียวยัดโทรศัพท์มือถือกลับลงไปในกระเป๋ากางเกงอย่างฉุนๆ พร้อมกับอารมณ์สุนทรีย์ชื่นชมความงามของเมืองหมดลง ขาที่ก้าวเรื่อยๆเปลี่ยนเป็นสาวยาวขึ้น สายตาสอดส่ายหาครอบครัวร้อนรน

     

    เผลอแปบเดียว หายไปไหนของเขากัน ไม่น่าจะไปไหนได้ไกลนี่

     

    เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆจนสุดตรอกเป็นถนนสายเล็กๆแยกเป็นสองทาง พร้อมกับยิ่งแน่ใจว่าสถานการณ์เริ่มแย่ลงกว่าเดิม เขายังคงหาครอบครัวไม่พบ ซ้ำยังเดินหลงแทบไม่รู้ทิศทางเดิม แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเที่ยวที่นี่ แต่ก็ไม่ชำนาญขนาดเดินคล่องปร๋อ อาคารรูปทรงคล้ายกันทำให้การระบุตำแหน่งลำบากเข้าไปอีก  มาขั้นนี้ลูอิสก็เริ่มหันรีหันขวางอย่างกังวล มือยกขึ้นเกาศีรษะใต้หมวกไหมพรมสีเทาแล้วตัดสินใจเลี้ยวขวาเดินเลียบบาทวิถีมาถึงอาคารโบราณสีขาวตระหง่านมียอดแหลมเหมือนศิลปะแบบโกธิค

     

    นี่มันตรงไหนแล้ววะ!

     

    พลันหางตาเหลือบเห็นแผนที่ตั้งอยู่ตรงใกล้ๆเสาสัญญาณไฟจราจร ก็เหมือนเห็นโอเอซิสกลางทะเลทราย ขารีบก้าวเข้าไปดูอย่างรวดเร็ว ยืนอ่านอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     

    นี่เขาเดินบื้อออกมาไกลขนาดนี้เลยหรือ...

     

    ลูอิสหันซ้ายแลขวา ครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะทำต่อไป

     

    เขาลองติดต่อครอบครัวอีกครั้งแต่ผลเหมือนเดิมคือทุกคนปิดโทรศัพท์ราวกับนัดกัน  พานให้คนพลัดหลงเคว้งคว้างอยู่ลำพังกลุ้มหนักกว่าเดิม

     

    ทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้หนีไม่พ้นขึ้นรถประจำทางกลับไปรอที่โรงแรมซึ่งอยู่ใกล้มหาวิหารยอร์ก โดยอาศัยถามทางจากผู้คนบริเวณนั้นเล็กน้อยก็ได้กลับมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ

     

    ล็อบบี้ยามหัวค่ำในช่วงเทศกาลมีผู้คนบางตาด้วยแขกส่วนใหญ่ที่มาเป็นครอบครัวออกไปรับประทานอาหารข้างนอก ลูอิสเดินตรงไปที่เคาทเตอร์เพื่อสอบถามกับพนักงานว่ามารดามารับกุญแจห้องที่ฝากไว้กลับไปหรือไม่   ก่อนคำตอบจากพนักงานจะเรียกดวงตาสีฟ้าเหลือบมองนาฬิกาตั้งพื้นแบบโบราณเรือนใหญ่ข้างเคาทเตอร์อย่างกังวลเมื่อรู้ว่ากุญแจห้องพักยังไม่มีใครมานำกลับไป

     

    มืดแล้ว...ยังไม่กลับมากันอีกหรือ

     

    ไปไหนของเขากันนะ

     

    ประตูลิฟท์เปิดออกเผยให้ผู้มาเยือนเห็นทางเดินปูพรมนุ่มสว่างไสวด้วยแสงไฟสีอมส้มดูอบอุ่นด้านหลังบานประตู ร่างโปร่งก้าวเรื่อยๆจนกระทั่งถึงห้องพักของตนก่อนจะหยิบกุญแจห้องที่รับคืนมาจากเคาทเตอร์ขึ้นมาไขประตูเข้าไปด้านใน

               

    ทั้งห้องพักตกแต่งเรียบหรูนี้มีเขาพักอยู่ลำพังเพราะเป็นผู้ชายคนเดียวที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันกับผู้หญิงห้าคน ซึ่งแน่นอนว่ามารดาต้องพักกับน้องสาวฝาแฝดตัวน้อยทั้งสองและน้องสาวอีกสองคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นย่อมพอใจที่จะร่วมห้องกับเพศเดียวกันมากกว่า 

               

    ลูอิสล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างขนาดนอนได้สองคน มือคว้ารีโมตคอนโทรลจากโต๊ะเล็กข้างเตียงขึ้นมากดเปิดโทรทัศน์ เปลี่ยนช่องหารายการน่าสนใจเรื่อยเปื่อยก่อนจะผล็อยหลับไปทั้งยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิมท่ามกลางไฟสว่างและโทรทัศน์เปิดทิ้งไว้  ก่อนมารู้ตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงร้องเตือนมีข้อความเข้า ดวงตาคู่สวยลืมขึ้นงัวเงียกดเปิดดู ตกใจกับตัวเลขดิจิตอลบอกว่าเลยเวลาห้าทุ่มมาได้สิบห้านาทีแล้ว คิ้วเรียวขมวดน้อยๆอย่างฉงนเมื่ออ่านมันจบ

               

    ออกมาหน้าโรงแรมแล้วเลี้ยวซ้าย

             

    หมายเลขเจ้าของข้อความเป็นของมารดาเขาไม่ผิดแน่ แต่ทำไมต้องบอกให้ออกไปเดินข้างนอกตอนห้าทุ่มกว่าแบบนี้ด้วย ซึ่งอากาศหนาวยะเยือกซ้ำมีพยากรณ์อากาศบอกจะมีหิมะตกราวเที่ยงคืนก็ไม่เชิญชวนให้ออกไปเดินท่อมๆสักเท่าไร

               

    พลันความคิดในแง่ร้ายวาบขึ้นมา....ถ้ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับแม่และน้องสาวของเขาละ

               

    ดูเหมือนคนส่งข้อความเข้ามานั่งกลางใจเขา เพราะข้อความใหม่ถูกส่งมาแทบจะทันที

               

     

    แม่ไม่เป็นไร ไม่ต้องแจ้งตำรวจ...ออกมาเถอะ
             

     

    ลูอิสจ้องมองข้อความนั้นอย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน  ร่างเล็กผุดลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ผ่านล็อบบี้ไร้ผู้คนออกไปเผชิญหน้ากับอากาศหนาวยะเยือกของคืนฤดูหนาวจนต้องกระชับเสื้อโค้ตกว่าเดิม  จากนั้นเลี้ยวซ้ายตามคำบอกจากข้อความนั้น รู้สึกตนเองบ้าบิ่นและโง่เง่าเหลือเกินที่บ้าจี้ทำตามทั้งที่ไม่รู้สักนิดว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ไหน

     

    ถ้าถูกฆาตกรโรคจิตล่อไปฆ่าชำแหละศพแบบในซีรีย์ Criminal Minds ขึ้นมาล่ะไอ้บูแบร์เตี้ย...แกไม่แย่เลยหรอ

               

    ราวกับคอยจับตาดูอยู่...หลังก้าวไปเรื่อยๆสักพักหนึ่ง ก็มีข้อความใหม่ส่งเข้ามา

               

    ถึงป้ายรถเมล์แล้วเลี้ยวซ้ายอีกที เดินไปเรื่อยๆ

             

    หลังได้อ่านก็ถอนหายใจ หากยอมทำตามข้อความแต่โดยดี ความจริงเขาจะไม่ทำก็ได้ แต่ลางสังหรณ์ในใจร้องบอกว่ามันจะไม่เกิดอันตราย

               

    ส่วนเพราะเหตุใด...ลูอิสก็ไม่รู้

               

    ข้อความส่งมาบอกทางเรื่อยๆเหมือนผู้ส่งที่ลูอิสค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น่าใช่มารดาของเขา คอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา สภาพแวดล้อมที่เป็นร้านค้าและโรงแรมเริ่มหายไปแทนที่ด้วยบ้านหลังกะทัดรัดก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลแดงเรียงรายเป็นระเบียบ บอกว่าเข้าสู่ย่านที่พักอาศัยพร้อมกับจังหวะการเดินทอดน่องตามสบายกลายเป็นสาวเท้าเร็วจนจะกลายเป็นวิ่งเมื่อลมหนาวเล่นงานหนักจนแทบจะชาไปทั้งตัว จนกระทั่งร่างเล็กสั่นเทามาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีลักษณะแบบเดียวกับบ้านซึ่งพบเห็นทั่วไปในเมืองนี้คือก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลอมแดงล้อมรั้วไม่สูงนัก

               

    ข้อความเข้าอีกครั้ง...คราวนี้บอกสั้นๆ

               

    ตามแสงไฟไป

             

    แววฉงนปรากฏขึ้นในดวงตาสีฟ้าคู่สวยเมื่อเห็นไฟติดสวิตช์หลากหลายสีสันทำเป็นรูปเทียนเล่มเล็กป้อมวางเรียงสองข้างอิฐปูเป็นทางเดินทอดสู่ตัวบ้าน ลูอิสก้าวไปตามคำบอก ก่อนเทียนประดิษฐ์จะถูกแทนที่ด้วยไฟเส้นยาวแบบเดียวกับไฟประดับต้นคริสต์มาสทอดยาวเมื่อเปิดประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อคเข้าไป  ก่อนจะสิ้นสุดสายที่ห้องนั่งเล่นตรงหน้าเตาผิงซึ่งยังไม่ได้จุด บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดไร้ผู้คน แสงไฟเพียงหนึ่งเดียวคือแสงน้อยๆจากสายไฟประดับเท่านั้น

               

    ลูอิสปิดประตูตามหลังเมื่อเดินเข้ามาด้านใน เป็นเวลาเดียวกันกับนาฬิกาคุณปู่ในห้องตีดังบอกเวลาเที่ยงคืน คล้ายจะส่งสัญญาณให้แสงไฟริบหรี่นั้นถูกสับสวิตช์ดับวูบจนทั้งห้องมืดสนิททำเอาผู้มาเยือนสะดุ้งเฮือก กวาดตามองรอบตัวอย่างหวาดระแวง 

               

    ร่างเล็กแข็งเกร็งเมื่อรู้สึกถึงท่อนแขนแข็งแรงคู่หนึ่งค่อยกระหวัดกอดจากทางด้านหลัง เขาขยับจะศอกใส่เป็นการต่อสู้ตามสันชาตญาณ  หากก็ต้องชะงักหลังไฟในเตาผิงถูกจุดขึ้น เกิดแสงสลัวกระทบใบหน้าของคนด้านหลังชัดเจนยามหันไปมอง

               

    “ตัวโต...” เสียงหวานเรียกเจ้าของอ้อมแขนอุ่นเรียกแผ่ว ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่ย้ำกับตนเองให้แน่ใจว่าดวงหน้าสลักนั้นไม่ใช่ภาพลวงตา ซึ่งร่างสูงก็ช่วยตอกย้ำโดยการแนบเรียวปากหยักลงบนหน้าผากมนแผ่วเบา ให้ความอบอุ่นจากสัมผัสแสนหวานเป็นเครื่องยืนยันกับคนตัวเล็กในอ้อมแขน

               

    คนตัวเล็ก...ที่เป็นเหมือนหัวใจของเขา

               

    “สุขสันต์วันเกิดครับตัวเล็ก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยริมใบหูบางขณะกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น  นัยน์ตาสีมรกตแววหวานสบดวงตาสีฟ้าบอกความในใจแก่อีกฝ่ายโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ให้ใบหน้าหวานซับสีเลือดอย่างน่ามองพลางเสไปทางอื่นหลบดวงตาหวานเชื่อมนั้น

               

    “นายมาได้ยังไง” ถามเพื่อจะเบนความสนใจ หากก็ยิ่งทำให้อยากกัดลิ้นตัวเองเมื่อได้ยินเสียงตะกุกตะกักฟ้องความเขินอายไม่มิด

               

    แฮร์รี่ตอบกลับมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ชวนกระทืบเท้านัก

               

    “ตามหัวใจมา”

               

    “เอาดีๆสิตัวโต” ดวงตาสีฟ้าตวัดมองคนอายุน้อยกว่าแต่ขนาดตัวไม่น้อยตามตาเขียว เรียกเสียงหัวเราะในลำคอ  ก่อนยอมไขข้อข้องใจให้แต่โดยดี

               

    “ก็พาแม่กับพี่สาวมาฉลองคริสต์มาสกับลูกสะใภ้ที่นี่ไง ส่วนนี่ก็บ้านญาติฉันที่ตอนนี้ไปฉลองคริสต์มาสที่อเมริกากว่าจะกลับก็หลังปีใหม่ เขาเลยให้ยืมบ้านสำหรับให้ซุกหัวนอนกับเตรียมเซอร์ไพร์สวันเกิดตัวเล็กที่รักของฉัน”

               

    แฮร์รี่ล่วงหน้ามายอร์กตั้งแต่วันแรกของช่วงหยุดยาวเมื่อรู้แผนฉลองวันคริสต์มาสของบ้านทอมลินสัน ทั้งนี้เพื่อจะเตรียมการสำหรับวันเกิดลูอิสโดยเฉพาะ พร้อมนัดแนะกับทางครอบครัวตนให้ตามมาสบทบที่เมืองนี้เพื่อฉลองคริสต์มาสร่วมกันสองครอบครัวในวันคริสต์มาสอีฟ ซึ่งก็คือวันนี้นั่นเอง

               

    แผนของเขาไม่ซับซ้อนนัก เริ่มจากขอให้มารดาของลูอิสช่วยทำอย่างไรก็ได้ให้เจ้าตัวเล็กอยู่ตามลำพัง แล้วระหว่างนั้นก็ไปหลบอยู่ที่บ้านเช่าซึ่งเขาได้เตรียมไว้ให้ล่วงหน้า พร้อมกันได้ขอยืมโทรศัพท์มือถือมาใช้ส่งข้อความบอกทาง ซุ่มดูอยู่ห่างๆแล้วคอยส่งข้อความเรื่อยๆ ก่อนจะเข้ารีบมาซ่อนอยู่ในบ้านรอลูอิสเดินเข้ามา พอเที่ยงคืนก็กดปิดสวิตช์ไฟแล้วแสดงตัว

               

    ดีใจแกมโล่งใจไม่น้อยที่ผลออกมาเป็นไปตามแผนทุกขั้นตอน

               

    ทีแรกเขาอยากจะให้มันออกมาโรแมนติกและทุ่มทุนกว่านี้ หากสภาพอากาศที่เริ่มมีลมแรงรอเวลาหิมะโปรยปรายทำให้เกิดข้อจำกัดด้านอุปกรณ์รวมถึงความขัดข้องทางเทคนิคจึงต้องดัดแปลงหลายอย่าง ผลสุดท้ายก็ออกมาได้แค่เท่านี้

               

    หากเห็นลูอิสดูประทับใจกับเซอร์ไพร์สฉบับคนยากก็ดีใจ แม้เจ้าตัวจะกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าง้ำๆก็ตาม

               

    “ดีๆก็ได้ ทำไมต้องเล่นลูกไม้เยอะขนาดนี้ ยึดมือถือแม่ฉันอีก” เสียงหวานค่อนไม่จริงจังนัก

               

    “จะเป็นคนแรกที่ได้แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทั้งที มันก็ต้องพิเศษหน่อยครับตัวเล็ก อีกอย่าง...ถ้าฉันไม่ใช้เบอร์แม่นาย นายจะยอมมาหรอ และถ้าใช้เบอร์ฉัน ก็ไม่เซอร์ไพร์สสิครับ” ไม่พูดเปล่ายังโน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมาใกล้ให้ลมหายใจอุ่นสัมผัสต้นคอคนตัวเล็ก คลี่ยิ้มสมใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายตัวแข็งทื่อ กลุ่มสีแดงระบายทั่วแก้มเนียนดูน่ารักและน่าแกล้งในขณะเดียวกัน

               

    ร่างสูงแกล้งร้องโอดโอยเกินจริงยามมือเล็กยกขึ้นดันหน้าเขาออก ก่อนฉวยโอกาสจับมันไว้แล้วจูบเบาๆบนฝ่ามือ ไม่นำพาต่อเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจจากคนถูกเอาเปรียบ

               

    “น่าเกลียด” เสียงหวานว่างึมงำ เปิดทางให้คนตัวโตก้มลงไปใกล้ จงใจให้ปลายจมูกโด่งสะกิดแก้มนุ่มอย่างแนบเนียน

               

    “ว่าไงนะครับตัวเล็ก บอกว่าตัวโตหล่อมากหรอ? เขินจัง...แต่แฟนคนน่ารักต้องหล่ออยู่แล้ว จะได้คู่กันไง”

               

    “แหวะ..ขี้ตู่ หลงตัวเอง” ลูอิสหันมาค่อน แล้วต้องผงะเมื่อพบว่าดวงหน้าสลักอยู่ห่างเพียงไม่กี่นิ้ว

               

    ใกล้....จนลมหายใจอุ่นต้องใบหน้าให้ร้อนวาบ รู้สึกมือไม้มันเกะกะไปหมด ไม่มีแรงแม้แต่จะขืนตัวขณะมือหนาจับไหล่ทั้งสองหันมาประจันหน้ากับร่างสูงทั้งตัว

               

    ทั้งที่ใกล้ขนาดนี้ หากไม่รู้สึกถึงความคุกคามแต่อย่างใด ตรงกันข้าม...รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยด้วยซ้ำไป

               

    ถ้าจะคุกคาม...เห็นจะมีแค่การเต้นของหัวใจ ที่เต้นรัวเหมือนจังหวะกลอง

               

    ไม่มีใครพูดอะไร หากแต่ดวงตาสองคู่ที่สบประสานก็เหมือนเอ่ยคำได้นับพัน  มือใหญ่ไล้ใบหน้าหวานแผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนลงมาประคองวงหน้าเรียวเล็กอย่างทะนุถนอม เช่นเดียวกับแขนหนั่นแน่นด้วยกล้ามเนื้อที่โอบเอวบางมาแนบกายแกร่ง

               

    ไออุ่นจากคนตัวโตตรงหน้าไล่ความหนาวเย็นที่ยังค้างจากตอนเดินมายังที่นี่ไปหมดสิ้น  ร่างบางกว่าปล่อยตามสบายเอนซบร่างสูงตามหัวใจต้องการ ก่อนจะเงยหน้าตามนิ้วเรียวยาวที่เคยปลายคางขึ้นมาสบนัยน์ตาสีมรกตล้อเปลวไฟในเตาผิงเป็นประกายชวนมอง  ตามด้วยใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักเคลื่อนเข้ามาใกล้กระทั่งริมฝีปากหยักประทับลงบนเรียวปากนุ่ม สัมผัสนั้นแผ่วเบาตามจังหวะท่วงทำนองจุมพิตเนิบช้าอ่อนหวาน...เนิ่นนาน คล้ายต้องการให้ซึมลึกอยู่ในความทรงจำนิรันดร์ 

     

     

    แสงแดดอ่อนๆของยามสายส่องกระทบแม่น้ำใสราวกระจกแก้วเป็นประกายสวยงาม หากบางส่วนก็มีแผ่นน้ำแข็งรับกับบ้านเรือนรวมถึงตามทางเดินที่ปกคลุมด้วยปุยหิมะขาวสะอาดขับบรรยากาศที่เหมือนเดินอยู่ในเมืองตุ๊กตาอยู่แล้วให้เหมือนขึ้นไปอีก

               

    เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงในห้องนอนของบ้านหลังเดิมที่แฮร์รี่เข้าไปรอทำเซอร์ไพร์สวันเกิดก็พบกับดวงตาสีมรกตกำลังจ้องมองอยู่พอดี ร่างเล็กรีบหลบสายตาคมนั้น ไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมถึงได้รู้สึกคล้ายกับเขินอายอีกฝ่ายนัก ทั้งที่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน

               

    แก้วตาสีฟ้าอมเทาค่อยประสานกับดวงตาสีเขียวอย่างกล้าๆกลัวๆ...บางทีอาจจะเป็นสายตาคู่มองมาเหมือนค่อยเปลื้องผ้าเขาทีละชิ้นก็เป็นได้ที่พาให้กระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่เห็น

               

    ไอ้เด็กหื่นเอ๊ย!

               

    หลังนอนจ้องกันไปมาชนิดถ้าเป็นปลากัดคงลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองไปแล้ว ลูอิสก็ลุกขึ้นเลี่ยงไปทำธุระส่วนตัว หากคนตัวโตรั้งไว้ไม่ยอมให้ไปง่ายๆด้วยการคว้าเอวเขาลงมานอนทาบทับบนกายสูงเหมือนฉากบังคับในหนังรักไม่มีผิด กว่าจะได้เดินเข้าห้องน้ำไปก็ตอนเขาหลับหูหลับตาหอมแก้มสากๆนั้นไปทีหนึ่ง

               

    แฮร์รี่วางแผนไว้อย่างรอบคอบจนน่าทึ่ง เห็นได้ชัดจากการแอบเตรียมเสื้อผ้าของเขาจากที่พักในลอนดอนมาสองชุดเพื่อที่จะรั้งไว้ให้นอนค้างคืนด้วยกันในบ้านหลังนี้โดยที่เขาจะปฏิเสธอ้างว่าไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนไม่ได้

               

    หากถึงไม่มีชุดเปลี่ยน ลูอิสก็ต้องค้างอยู่ดี เพราะหิมะตกหนักเสียอย่างนั้น ให้เดินฝ่ากลับไปนอนที่โรงแรมมันก็ใช่ที่

               

    เลยลงที่ต้องมานอนให้ไอ้ยักษ์กกกอดแทบหายใจไม่ออกอย่างกับไม่ได้เจอกันมาเป็นสิบปี

               

    ลูอิสซึ่งกำลังคิดอะไรเพลินๆ พลันชะงักเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่ของคนข้างตัวยื่นมาจับมือเขาไว้โดยไม่ทันตั้งตัว ดวงตาสีฟ้าสวยเหลือบมองร่างสูงอย่างขุ่นเคืองหากก็ไม่สะบัดมือออกจากการเกาะกุมนั้น  เจ้าของมืออุ่นจึงได้ใจ กระชับมือเล็กมั่นกว่าเดิม  ริมฝีปากหยักลอบคลี่ยิ้มบางเมื่อรู้สึกถึงนิ้วเรียวประสานเข้ามา

               

    “ให้จับอยู่คนเดียวก็เสียเปรียบแย่ดิ”

               

    เสียงหวานเอ่ยเรียบๆ ทั้งตามองตรงไปข้างหน้า เรียกรอยยิ้มกว้างกว่าเดิมจากคนตัวโตที่ส่ายหน้ากับความฟอร์มจัดของเจ้าตัวเล็กของเขา มือหนาเอื้อมบิดจมูกรั้นเบาๆอย่างหมั่นไส้ ก่อนทำไม่รู้ไม่ชี้เมื่ออีกฝ่ายตวัดมองมาตาเขียว

               

    “มองอะไรครับตัวเล็ก...ตัวโตรู้ว่าตัวโตหล่อน่า”

               

    “หลงตัวเอง” ลูอิสพึมพำลอยๆ 

               

    “หลงตัวเองรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่มีใครตัวเล็กๆแถวนี้หลงตัวโตมาก...” คนถูกว่าหยอกกลับหน้าเป็น ดวงตาสีเขียวจัดทอประกายพราวจนอยากจิ้มแรงๆที่ลูกตาสักทีสองทีเผื่อจะเลิกมองเหมือนรู้ทันไปซะทุกอย่างแบบนี้

               

    ทั้งรู้ตัวว่ากำลังแพ้ทางไอ้ยักษ์ตรงหน้า หากมีหรือที่เสมิร์ฟจะยอมจนมุมง่ายๆ

               

    “ใครหรอ...ไม่เห็นมีนี่” ถามเนิบๆ พร้อมกับมองไปรอบๆ  แล้วหันกลับมายักไหล่ “ไหนล่ะ”

               

    แฮร์รี่พยายามกลั้นหัวเราะ หน้าแดงเป็นมะเขือเทศสุกยังจะทำเนียนอีก...สุดยอดจริงๆ ตัวเล็กของเขา

               

    “ก็...” เว้นช่วงเพื่อมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้หันมองโน่นนี่เรื่อยเปื่อย อันดูอย่างไรก็รู้ว่าทำไปเพื่อเลี่ยงจะสบตากับเขา “คนตัวเล็กๆ ผมสีน้ำตาลสั้นๆ หน้าหวานๆ ตาสีฟ้า ใส่หมวกบีนนี่สีเทา โค้ตสีดำขนเฟอร์สีน้ำตาล กางเกงขาเดฟสีน้ำตาล รองเท้าผ้าใบยี่ห้อแวนส์สีดำ  เห็นหรือยังตัวเล็ก...แต่ถ้ายังไม่เห็น”

               

    ร่างสูงก้มลง ก่อนแขนแข็งแรงจะช้อนร่างเล็กกว่าขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน ขาก้าวไปริมแม่น้ำอย่างมั่นคงไม่สะเทือนแม้ร่างนั้นจะเพียรดิ้นต่อต้านแค่ไหน  แล้วมือที่กำลังทุบไหล่กว้างประท้วงก็ต้องเปลี่ยนเป็นคว้าต้นคอคนตัวโตไว้แทนเมื่อพบว่าอีกฝ่ายหยุดอยู่ที่ริม...แบบริมแม่น้ำจริงๆ ซึ่งถ้าก้าวออกไปเพียงก้าวเดียวคงได้ลงไปแย่น้ำเย็นยะเยือกแข็งตายเหมือนพระเอกหนังเรื่องไททานิคอย่างไม่ต้องสงสัย

               

    “เอาล่ะ มองลงไปบนน้ำ เห็นคนที่ฉันบอกไปหรือยัง...ถ้าเห็นแล้วช่วยบอกเขาทีนะ” น้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเมื่อเอ่ยในช่วงท้าย เช่นเดียวกับดวงตาสีมรกตที่ทอดลงมองร่างน้อยในอ้อมแขนเมื่อค่อยลดร่างของลูอิสให้ยืนบนพื้น มือทั้งสองวางลงบนไหล่เล็กแผ่วเบา

               

    แม้จะรู้ดีแต่ต้นว่าแฮร์รี่หมายถึงตน กระนั้นลูอิสก็มองไปยังผิวน้ำใสราวกระจกส่วนที่ไม่ได้เคลือบด้วยแผ่นน้ำแข็ง  นัยน์ตาคู่สวยมองภาพสะท้อนของตนบนผืนน้ำ ขณะเสียงทุ้มกระซิบริมใบหู 

     

    “บอกเขานะว่า ฉันรักเขามาก...ฝากถามด้วยว่ารังเกียจมั้ยที่จะให้ผู้ชายชื่อแฮร์รี่ สไตลส์ดูแลเขาไปตลอดชีวิต”

     

    มือที่วางอยู่บนไหล่เลื่อนลงมาโอบกอดเอวบางจากทางด้านหลัง  ผืนน้ำใสสะท้อนให้เห็นแววตาสีมรกตอ่อนโยนยามเอ่ย  ประกายในดวงตาคู่นั้นเปี่ยมด้วยความรู้สึกหลากหลาย

     

    ดวงตา...ของผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองคนที่เขารักจนหมดใจ

     

    คน...ที่เขาจะไม่มีวันปล่อยมือ แม้ว่าจะเกิดอุปสรรคขวากหนามมากมายแค่ไหน

     

    “ตัวโตรักตัวเล็กนะครับ” ความในใจที่ผ่านเรียวปากหยักออกมาไม่ต่างจากกระซิบ ทว่ามันดังก้องในโสตคนฟังราวเสียงสะท้อนในถ้ำ ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ฟัง

     

    คำว่ารักของแฮร์รี่ไม่ใช่คำที่จะพูดพร่ำเพรื่อ...

     

    “ยังไม่ได้ตอบที่ถามไปเลยนะ...ว่ารังเกียจมั้ยที่จะให้ผู้ชายตัวโตๆคนนี้ดูแลไปตลอดชีวิต  หือ...ว่าไงครับตัวเล็ก” จมูกโด่งโน้มลงสูดดมความหอมจากแก้มนุ่ม  ดวงตาสีเขียวเป็นประกายเจิดจ้าไม่ละจากวงหน้าหวานขณะรอคอยคำตอบจนคนถูกมองรู้สึกมือไม้มันเกะกะไปหมดแม้เจ้าของสายตาจะยืนอยู่ด้านหลัง

     

    “ยืนให้กอดแบบนี้ ตัวโตก็รู้อยู่แล้วนี่นา” ลูอิสบอกปัดๆ ทำเฉไฉ แล้วก็ต้องร้องโวยวายออกมาเมื่อสันจมูกคมขยี้กับแก้มแรงๆ

     

    “นี่แน่ะ...ทำโทษคนตอบไม่ตรงคำถาม ตอบมาสิครับตัวเล็กว่าใช่ไม่ใช่ อยากฟังคำตอบตรงๆ ขี้เกียจคิดเอง”

     

    “ฉันทำอาหารไม่เป็น ขี้บ่น ขี้โวยวาย พูดมาก เอาแต่ใจ...ตัวโตดูแลไหวหรอ” ตอบกลับด้วยคำถาม ดวงตาสีฟ้าสบมองอย่างท้าทาย หากในแววตามีความหวั่นไหวอยู่ครามครัน

     

    แฮร์รี่ได้ฟังก็ถอนหายใจพลางจับบ่าหมุนให้ร่างเล็กหันมาทางตน  สบแก้วตาสีฟ้าแน่วนิ่ง...จริงจัง

     

    “ตัวเล็กครับ” น้ำเสียงทุ้มยามเรียกคนที่เป็นเหมือนดวงใจนั้นอ่อนโยน “เราไม่ได้เพิ่งรู้จักกันแค่หนึ่งเดือนหรือสองเดือนนะ  แต่มันคือสามปี...สามปีที่เราได้อยู่ด้วยกัน รักกัน ฝ่าฝันอะไรมาด้วยกันมากมาย และเป็นสามปีที่ฉันได้ดูแลนาย มันนานนะตัวเล็ก นานจนฉันแน่ใจว่าฉันพร้อมแล้วที่จะดูแลนายไปตลอดชีวิตหลังจากนี้”

     

    มือใหญ่อบอุ่นละจากหัวไหล่มนลงมากุมมือเรียวไว้  สายตาสีมรกตยังไม่ละจากดวงตาคู่สวย

     

    “นายทำให้เด็กหัวหยิกผอมกะหร่องขี้แยคนหนึ่งอยากโตขึ้น อยากสูงขึ้นเพื่อจะได้ปกป้องดูแลคนที่เขาหลงรักตั้งแต่แรกเห็น เวลาผ่านไปพร้อมกับเขาคนนั้นวางใจให้เด็กหัวหยิกดูแล”

     

    นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างเมื่อร่างสูงย่อตัวลงชันเข่าข้างหนึ่งกับพื้น

     

    “เด็กหัวหยิกสงสัยเหลือเกินว่าเขาคนนั้นจะรู้บ้างมั้ยว่าได้ทำให้เด็กเหยาะแหยะคนหนึ่งพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในด้านที่ดีเพื่อเขาแค่ไหน  แต่เอาเข้าจริงก็ไม่อยากรู้หรอกว่าเขาจะรู้มั้ย  รู้แค่ใจตัวเองว่ารัก...รักมากก็...”

     

    มือเล็กสั่นเทาเอื้อมปิดเรียวปากหยักที่กำลังเอ่ย  ใบหน้าหวานส่ายช้าๆขณะกลีบปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง  ดวงตาสีฟ้าราวอความารีนวูบไหว

     

    “พอแล้ว....ตัวโต พอแล้ว ยิ่งรู้ว่านายรักฉันแค่ไหนก็ยิ่งทำให้ฉันคิดว่าไม่คู่ควรทุกที ฉันอ่อนแอเกินไป ไม่กล้าทำอะไรตามใจต้องการเหมือนนาย”

     

    แฮร์รี่วางมือทาบทับมือน้อยที่วางอยู่บนริมฝีปากตนพลางหยัดกายขึ้นยืน จับมือนั้นเลื่อนมาวางบนแก้มสากพร้อมกับแขนแข็งแรงรั้งร่างเล็กกว่ามาชิดกายซึ่งพร้อมจะเป็นที่พักพิงให้ได้ทุกเวลา

     

    “ฉันเองก็ไม่ได้เข้มแข็งอะไรหรอก แต่เพราะนายทำให้ฉันอยากจะสู้ สู้เพื่อความรักของเรา...มันต้องมีซักวันที่เราจะได้เดินจูงมือไปเที่ยวกันระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต ไม่ต้องกลัวสายตาใคร ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป  วัน...ที่ฉันจะบอกทั้งโลกให้รู้อย่างสบายใจว่านายเป็นคนรักของฉัน และฉันรักนายแค่ไหน”

     

    ลูอิสหลุบตาลงมองพื้นซ่อนดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ เอ่ยเสียงเบาโดยไม่สบแววตาอ่อนโยนตรงหน้า

     

    “ไม่รังเกียจ...ไม่เลย แต่ฉันขออะไรนายอย่างหนึ่งได้มั้ย”

     

    คิ้วเรียวเข้มขมวดน้อยๆเมื่อได้ยิน ก่อนจะคลี่ยิ้มบางเมื่อเข้าใจความที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ

     

    ไม่รังเกียจ...ที่จะให้เขาดูแลไปตลอดชีวิต

     

    ...คำตอบของคำถามนั้น

     

    “อย่าปล่อยมือฉัน อย่าทิ้งฉัน ฉันขอได้มั้ยตัวโต”

     

    เรียวปากบางสีชมพูขยับแผ่วเช่นเดียวกับเสียงหวานแหบเครือไม่ต่างจากกระซิบ แววตาสีฟ้าสั่นระริกมีน้ำใสเอ่อคลอ ทำให้ร่างเล็กตรงหน้าดูเปราะบางเสียจนแฮร์รี่ต้องดึงมากอดไว้แนบอกราวกับถ้าหากช้าเพียงวินาทีเดียวคนตัวเล็กจะแตกสลายไปต่อหน้า

     

    “ไม่มีวันที่ฉันจะปล่อยมือนาย” เสียงทุ้มเอ่ยกับเรือนผมนุ่มใต้หมวกไหมพรมสีเทาพร้อมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นเป็นการย้ำคำสัญญาโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด

     

    มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะปล่อยมือจากคนสำคัญ...แล้วบังเอิญแฮร์รี่ไม่ใช่คนโง่

     

    ร่างสูงคลายอ้อมแขนจากลูอิส ก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าคนตัวเล็ก ยิ้มบางๆให้กับท่าทางงุนงงนั้น

     

    “แล้วนายล่ะว่ายังไง...คิดให้ดีก่อนวางมือลงมาบนมือฉันนะ เพราะถ้าวางลงมาแล้ว ฉันจะไม่มีวันปล่อยตลอดชีวิต”

     

    ดวงตาสีมรกตเป็นประกายรับกับมุมปากเหยียดรอยยิ้มกว้างขึ้นเมื่อมือเล็กวางลงบนฝ่ามือกว้าง โดยปราศจากท่าทางลังเล เขากระชับมือนั้นมั่นก่อนกระตุกน้อยๆให้อีกฝ่ายก้าวไปด้วยกัน  รู้สึกถึงนิ้วเรียวทั้งห้าขยับเข้าประสานกับของตนเกิดความอุ่นวาบไปทั้งใจ  ทั้งสองเดินเคียงกันไปตามทางเดินเลียบแม่น้ำท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนหนึ่งที่มองมาอย่างจำได้หากก็ไม่เข้ามารบกวนด้วยรู้ว่าเป็นเวลาส่วนตัวของพวกเขา 

     

    เด็กสาวกลุ่มหนึ่งยกโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายภาพพวกเขาตอนกำลังเดินข้ามสะพานเล็นดัลแล้วส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอย่างดีใจ ซึ่งแฮร์รี่ยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปาก ส่งยิ้มที่เขามั่นใจว่าทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ใจละลายมาหลายราย

     

    “สัญญากับผมนะครับว่าจะไม่เอารูปไปลงที่ไหน”

     

    พวกเธอพยักหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงด้วยสีหน้าที่เรียกได้ง่ายๆว่า ยังไม่หายฟินสายตามองตามคนตัวโตจูงมือคนตัวเล็กกว่าเดินห่างออกไปที่แม้จะเดินออกมาไกลพอสมควรก็ยังรู้สึกได้ 

     

    บรรยากาศที่สัมผัสมาตลอดหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนที่มาเยือนเมืองเล็กๆแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีร่างสูงเดินอยู่ข้างกาย จากระแวดระวังคอยดูแลมารดาและน้องสาวยามท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆกลายมาเป็นอบอุ่นปลอดภัยเมื่อมีมือใหญ่อุ่นจับมือเขาไว้มั่น 

     

    พ้นจากสะพานทอดข้ามแม่น้ำอูซที่ไหลผ่านเมือง เห็นชาวเมืองวัยหนุ่มฉกรรจ์กำลังซ้อมกรรเชียงเรือเป็นจุดเล็กๆกลางสายน้ำ เจ้าของมือใหญ่ที่จับจูงมาตลอดก็พาเขาเดินขึ้นกำแพงเมืองเก่าแก่อันสามารถเห็นมหาวิหารใหญ่โตตั้งตระหง่านได้แต่ไกล

     

    ลูอิสแหงนหน้ามองดูศาสนสถานโอ่อ่ามหึมาราวกับจะสูงเสียดฟ้าจากยอดแหลมตามศิลปะแบบโกธิคที่แม้จะดูเก่าแก่ตามกาลเวลาหากความเก่าแก่นั้นก็เพิ่มความขลังน่าเลื่อมใสอย่างอัศจรรย์ใจ ก่อนจะไล่สายตาไปตามรูปสลักต่างๆที่ประดับประดารายผนังด้านนอกให้ทึ่งกับฝีมือของช่างในยุคนั้น

     

    กลิ่นใบสะระแน่โชยมาเบาๆตามลมหนาวพัดพา ดวงตาสีสวยมองหาที่มาของมันก่อนจะสะดุดกับดอกไม้สีม่วงเล็กๆน่ารักตรงด้านหน้าโบสถ์  มือเรียวหยิบดอกที่ร่วงอยู่บนพื้นขึ้นมาดูอย่างสนใจ พยายามทำเฉยกับสายตาอ่อนโยนที่มองมายังตน แต่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าสลักจนได้เมื่อเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นราวกับอ่านใจเขาออก

     

    “แคทมินท์น่ะ ที่เรียกแบบนี้เพราะว่าแมวชอบมาเกลือกกลิ้ง ถูๆไถๆบ่อยๆ บ้านไหนเลี้ยงแมวก็เลยชอบปลูกกันด้วย”

     

    นัยน์ตาคู่เรียวหรี่ลงอย่างกังขา “นายรู้ได้ไง”

     

    แฮร์รี่หัวเราะในลำคอ ไอ้ตัวเล็กของเขาพูดแบบนี้มันแอบดูถูกกันชัดๆ

     

    “ตอนฉันเดินเล่นรอบๆเมืองตอนมาถึงได้วันสองวัน ก็สนใจเจ้าดอกไม้นี่เหมือนกัน คุณยายใจดีคนหนึ่งเลยมายืนคุยด้วย แกก็บอกฉันเหมือนที่ฉันบอกนายแหละ อืม...ฉันว่าดอกนี้สวยกว่านะ”

     

    ในช่วงท้ายร่างสูงก้มลงเก็บดอกไม้แบบเดียวกันขึ้นมา วางมันลงบนมือเล็กกว่าพลางจับมือนั้นให้กุมมันไว้ ไออุ่นที่แฝงมากับสัมผัสจากมือกว้างทำให้ลูอิสนึกโมโหตัวเองที่หน้าร้อนวาบขึ้นมา แล้วพาลยิ่งหงุดหงิดเมื่อได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะเบาๆในลำคอ

     

    คนตัวเล็กจิ๊ปากเดินลิ่วเข้าไปด้านใน หากก็ช้ากว่าเจ้าของดวงตาสีเขียวสดที่คว้าข้อมือเขาไว้ได้ทัน เรียวปากหยักกระตุกยิ้มยั่วพร้อมคิ้วเรียวเข้มยักน้อยๆกวนโมโห พอเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะโวยกลับก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปากเป็นเชิงห้ามพลางชี้ชวนให้ดูบรรยากาศเงียบสงบรอบตัว  ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้มผู้ชนะชวนกระแทกสันมือใส่สักทีสองที

     

    อารมณ์ขุ่นมัวจากถูกไอ้ยักษ์ขี้แกล้งแหย่หายไปแทนที่ด้วยความตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นด้านในของมหาวิหาร จนลืมความคิดที่จะต่อต้านกลายเป็นปล่อยให้คนตัวโตจูงมือเข้าไปต่อแถวจ่ายค่าเข้าชมตามใจชอบ

     

    เข้ามาส่วนลึกกว่าเดิมพร้อมกับความอัศจรรย์ใจที่มากกว่าเดิมด้วยโครงสร้างใหญ่โตโอ่อ่าสว่างตาข่มให้รู้สึกเหมือนคนแคระเดินเล่นอยู่ในปราสาทของยักษ์ เริ่มจากโถงที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนาอันมีเก้าอี้นับร้อยวางเรียงกันเป็นระเบียบ ก่อนไล่สายตาตามซุ้มโค้งแหลมสูงคั่นกลางระหว่างเสาขึ้นไปยังเพดานนูนรูปกากบาทตามแบบศิลปะโกธิค

     

    แฮร์รี่ชี้ให้ดูกระจกสีบานหนึ่งที่เป็นรูปหัวใจ ตามด้วยฉากกั้นระหว่างบริเวณสำหรับนักร้องประสานเสียงซึ่งมีลวดลายสวยงามประณีตด้วยตัวฐานเป็นรูปสลักกษัตริย์อังกฤษสิบห้าพระองค์ เริ่มตั้งแต่พระเจ้า วิลเลียมผู้พิชิต ถึงพระเจ้าเฮนรีที่หกแห่งราชวงศ์แลงคาสเตอร์ 

     

    ร่างสูงพาเขาเดินชมความงามภายในโบสถ์อย่างเพลิดเพลิน จนมาถึงบานกระจกสีที่สมบูรณ์และเก่าแก่ที่สุดของมหาวิหารแห่งนี้อันมีนามว่า Five Sisters Window อยู่ทางด้านทิศเหนือซึ่งอลังการด้วยความสูงกว่าสิบเมตร ตามด้วย Great East Window ที่จัดเป็นหนึ่งในกระจกสียุคโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว แสดงถึงการถือกำเนิดและสิ้นสุดของโลกตามพระคัมภีร์

     

    ลูอิสหันมองตามเสียงดังก้องกังวาน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับรูปปั้นรูปผู้ชายสองคนในชุดคล้ายทหารสมัยโบราณยืนบนแท่นติดกับผนังใต้นาฬิกาเข็มเขียนลายละเอียดงามวิจิตร ในมือทั้งสองมีอาวุธคล้ายค้อนด้ามยาวกำลังตีแท่งเหล็กข้างตัวดังก๊องๆ เหมือนคอยบอกเวลาทุกชั่วโมง

     

    จากนั้นก็ผ่านซุ้มประตูโค้งแบ่งเป็นสองช่องย่อยสำหรับเข้าและออก ระหว่างสองช่องกั้นด้วยเสาแกะสลักเป็นรูปพระแม่มารีอุ้มพระกุมารยืนเด่นเป็นสง่าในซุ้มที่เป็นเหมือนปราสาทจำลองเข้าสู่บริเวณของ The Chapter House ที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของมหาวิหารนี้ เป็นเวลาเดียวกับลูอิสจะพบว่าตนกำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกระจกสีกับแฮร์รี่เพียงสองคนในห้องด้วยตอนนี้มหาวิหารยอร์กเพิ่งเปิดทำการได้ไม่นานและคนส่วนมากก็คงกำลังเดินชมส่วนหน้าอยู่ จึงยังไม่มีใครเดินมาถึงส่วนนี้

     

    แสงแดดยามสายส่องลอดกระจกสีรายรอบห้องผสานกับแสงไฟสีส้มอ่อนที่ติดตามจุดต่างๆรวมเป็นบรรยากาศสวยงามราวกับหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง  แล้วเมื่อแหงนขึ้นมองบนเพดานก็ได้เห็นเป็นรูปดาวแปดแฉก ซึ่งทั้งแปดแฉกจะแยกลงมาเป็นเสาทั้งแปดตามสัณฐานของห้องนี้ที่เป็นรูปแปดเหลี่ยมอย่างอัศจรรย์

     

    “นายรู้มั้ยตัวเล็กว่าวิหารที่ดูขลังแบบนี้มันก็มีความโรแมนติกซ่อนอยู่” เสียงทุ้มออกแหบเป็นเอกลักษณ์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา เรียกดวงตาสีฟ้าอมเทาที่กำลังดูลวดลายบนกระจกสีอย่างเพลิดเพลินหันมามองคนพูดซึ่งคลี่ยิ้มรออยู่ก่อนแล้วส่ายหน้าน้อยๆแทนคำตอบ

     

    “ไกด์เคยเล่าให้ฉันฟังว่าที่นี่เคยเป็นที่จัดพิธีแต่งงานของราชวงศ์สามคู่ คือเจ้าหญิงมากาเร็ต ธิดาของพระเจ้าเฮนรีที่สามกับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่สามจากสก็อตแลนด์  พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่สามกับเจ้าหญิงฟิลิปปาแห่งไฮเนาท์ และครั้งล่าสุดปี ค.ศ. 1961 ดรุคแห่งเคนท์แต่งงานกับเจ้าสาวแคทเทอรีน วอล์สลีย์ ซึ่งงานนี้สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบ็ธที่สอง ก็ทรงเข้าร่วมเป็นสักขีพยานด้วย”

               

    ลูอิสพยักหน้ารับรู้ ทึ่งกับสิ่งที่เพิ่งได้ฟังไม่น้อย แล้วก็ต้องตวัดมองคนตัวโตข้างกายด้วยตาเบิกกว้างเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นมากะทันหัน

               

    “แล้วถ้างานแต่งงานของเราล่ะตัวเล็ก  จะเป็นโบสถ์แบบไหนดี”

               

    “ตัวโต...” เจ้าของดวงตาสีฟ้าเรียกแฮร์รี่เสียงเบา 

               

    “ฉันคิดเรื่องนี้มาได้ระยะหนึ่งแล้วล่ะ กฎหมายประเทศเราประกาศใช้เมื่อไหร่...จะขอนายแต่งงานทันที” ร่างสูงพูดเรื่อยๆ สวนทางกับนัยน์ตาสีเขียวเปล่งประกายวาวบอกความจริงจัง

               

    “นายอย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องที่ทำให้นายไม่สบายใจ คิดว่าเราเป็นแค่คู่รักธรรมดาๆคู่หนึ่งที่วางแผนจะใช้ชีวิตด้วยกันก็พอ”

               

    ขนตาแพหนาหลุบลงปิดแก้วตาสีสวยครู่หนึ่ง ก่อนลืมตาขึ้น ก้มมองพื้นหลบสายตาคมที่มองมาอย่างรอคอย

               

    “โบสถ์ที่บ้านเกิดของฉันหรือนายก็ได้ บรรยากาศสบายๆคุ้นเคย เชิญคนสนิทของฉันและนายมาเป็นพยาน เอ่อ...ตอนนี้ฉันคิดออกแค่นี้”

               

    แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากพื้นซึ่งจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ลูอิสก็รู้ว่าดวงตาสีมรกตของร่างสูงตรงหน้ายังไม่ละไปจากเขา ซ้ำยังรู้อีกว่าริมฝีปากหยักได้รูปนั้นกำลังคลี่ยิ้มสมใจ

               

    “แล้วแหวนแต่งงานล่ะ อยากได้แบบไหน” คำถามถัดมาจู่โจมโดยไม่ทันได้ตั้งตัวอีกครั้ง  นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างเป็นคำรบสองแล้วเสมองกระจกสีรอบห้องเรื่อยเปื่อย  อ้อมแอ้มออกมาด้วยสีหน้าที่พยายามปรับให้ดูไร้อารมณ์ หากเลือดในร่างกายก็เหมือนทรยศด้วยการสูบฉีดขึ้นมากองอยู่บนใบหน้าจนแก้มทั้งสองร้อนผ่าว มือไม้เกะกะงุ่มง่ามไปหมด

               

    “ไม่รู้สิ ฉันยังไม่ได้คิดเลย”

               

    “แล้วแบบนี้ใช้ได้มั้ยตัวเล็ก”

               

    ลูอิสขมวดคิ้ว หันกลับมาทางใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มละไมแล้วเลื่อนสายตาลงไปยังฝ่ามือกว้างที่ยื่นมาตรงหน้า ก่อนจะพบกับแหวนเพชรเป็นประกายโดดเด่นอยู่ในกล่องกำมะหยี่สีแดงเปิดกว้าง

               

    “ยอมรับว่าไม่ลงทุนเลยที่ใช้แหวนวงเดียวเป็นทั้งของขวัญวันเกิดและจองตัว...ไม่โกรธกันนะตัวเล็ก” คนตัวสูงว่ายิ้มๆ แล้วรอยยิ้มนั้นก็กว้างกว่าเดิมเมื่อร่างเล็กโผเข้ากอดเขาทั้งตัว ศีรษะปกคลุมด้วยกลุ่มผมสีน้ำตาลนุ่มส่ายไปมากับไหล่กว้าง

               

    “ไม่...ไม่เลย ไม่โกรธเลย”

               

    แขนแข็งแรงทั้งสองยกขึ้นโอบรอบเอวบางกว่า เรียวปากหยักประทับลงกลางกระหม่อมหอมกรุ่นแผ่วเบา จากนั้นค่อยผละออกจากร่างตรงหน้า จับมือเล็กข้างซ้ายขึ้นจุมพิตก่อนบรรจงสวมแหวนที่นิ้วนางอย่างอ่อนโยนในห้องกระจกสีอันเลื่องชื่อซึ่งในเวลานี้มีเพียงพวกเขาเท่านั้น

               

    “ตอนนี้รู้หรือยังว่าทำไมฉันถึงถามนายแบบนั้นตอนอยู่ริมแม่น้ำ”

               

    คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าแทนคำตอบ ใบหน้าหวานแดงระเรื่อน่ามอง

               

    “แล้วตอนนี้ฉันขอถามอีกครั้ง....ตัวเล็กพร้อมจะให้ตัวโตดูแลไปตลอดชีวิตมั้ยครับ” เสียงทุ้มทอดอ่อนหวาน ลูอิสพยักหน้าอีกครั้ง ริมฝีปากบางขยับเอ่ยเสียงเบา หากมันดังก้องไปทั้งหัวใจคนฟังที่พองฟูด้วยความยินดียากจะหาสิ่งใดเทียบเทียม

               

    “พร้อมแล้ว พร้อมมานานแล้วด้วย”

               

    ดวงหน้าสลักระบายรอยยิ้มละมุน เช่นเดียวกับประกายตาสีมรกตยามสบแก้วตาสีฟ้าของคนตัวเล็กเจ้าผู้เป็นของหัวใจ  แสงจากภายนอกส่องลอดบานกระจกสีประสานกับดวงไฟสีส้มในห้องกระทบจุดสีทองบนเพดานรูปดาวเกิดเป็นประกายราวเป็นสักขีพยานแก่คนทั้งสอง

               

    เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้เตือนว่ากำลังมีคนเดินตรงเข้ามาห้อง แฮร์รี่ขยับยิ้มน้อยๆให้ลูอิสก่อนจะจูงร่างเล็กกว่าก้าวออกไปด้วยกันตามทางเดินทอดยาวดูไม่มีที่สิ้นสุด ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าตรงปลายทางจะมีสิ่งใดรออยู่

               

    ตรงกันข้ามกับปลายทางเดินของหัวใจ ที่เขารู้แน่ว่ามันได้เจอจุดหมายและหยุดการเดินทางค้นหาผู้ครอบครองเป็นที่เรียบร้อย

               

    หยุด...อยู่ที่คนคนนั้น

               

    จนกระทั่งวันสิ้นแรง







     

     

    :THE END::





     







    -โซนเวิ่นเว้อ-

    สวัสดี สวีดัด มิตรรักนักอ่านทุกท่าน Zyrus หรือ จะเรียกสั้นๆง่ายๆว่า “แหมบ” รายงานตัว *ไหว้งาม*

    คนแต่งฟิคขี้เกียจสันหลังยาวคนนี้มาจอยโปรเจคด้วยความรักที่มีต่อลูล้วนๆ แค่รู้ว่าโปรเจคนี้จะทำสำหรับวันเกิดลูก็วิ่งหูตั้งหางตั้งมาโดยไม่ลังเล 555555

    ขอบคุณน้องปั๊บและน้องพั้นช์ที่ชวนร่วมโปรเจคฟินๆดีๆอย่างนี้นะครัซ  ขอบคุณที่ไม่ลืมพี่ขี้เวิ่นคนนี้ด้วย ;w;

    ช็อตฟิคนี้เป็นเรื่องที่แหมบใช้เวลาแต่งนานที่สุดก็ว่าได้ -_-;; ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แค่อยากใช้เมืองสวยๆในอังกฤษซักเมืองเป็นเซ็ตติ้งให้มันดูอลังการสมวันเกิดเมนสุดที่รักซะหน่อย

    ซึ่งก็สำลักข้อมูลตายทีเดียว 55555555555555

    ตอนแรกแหมบว่าจะใช้แมนเชสเตอร์ แต่ดูข้อมูลกับรูปอะไรแล้ว มันไม่ค่อยมีอะไรให้เล่นเท่าไหร่ เลยนั่งคิดๆว่าจะเอาที่ไหนในอังกฤษดี แล้วก็มีพี่สาวที่รักอย่างพี่แพร์มาช่วยชี้ทางสว่าง *O* ว่าจะใช้ยอร์กมั้ย เมืองน่ารักมากเลยนะ แหมบก็เริ่มหารูปดูก็ปิ๊งเลย ขอบคุณสำหรับข้อมูลร้านช็อคโกแลตนะพี่สาว >w<

    แล้วฟิคเรื่องนี้จะเสร็จไม่ได้เลยถ้าไม่มีน้องกิ๊ฟ (@InedibleGiff ) ที่ให้ข้อมูลละเอียดมากกก มาทั้งรูปทั้งบรรยายครบ มีวิดีโอให้ดูบรรยากาศด้วย ขอบคุณน้องมากจริงๆ ;w; ถ้ามันออกมาไม่ถูกใจยังไง เฉ่งพี่ได้เต็มที่นะครัซ ;____; ขอบคุณที่แนะนำเพลงบิ้วให้ตอนกำลังตันๆด้วย

    นอกจากน้องกิ๊ฟแล้ว ขอบคุณกูเกิ้ล เอิร์ธที่มีให้แหมบไปลากๆดูเส้นทางเหมือนกำลังเดินในยอร์กจริงๆ วิดีโอบรรยากาศต่างๆรอบเมืองจากยูทูป บล็อกและกระทู้เล่าเรื่องไปเที่ยวยอร์กที่ภาพประกอบบรรยายให้เห็นภาพแล้วเกร็ดเล็กๆน้อยๆให้แหมบดูมีความรู้ 555555555

    ตอนแรกแหมบกะให้เรื่องนี้เป็นแนวมุ้งมิ้ง ใสๆเดินเล่นลั้นลา เถียงกันแหย่กัน แต่ภาษากับฟีลมันบิ้วไม่ค่อยออกเพราะติดเล่นใหญ่จาก Mute อยู่ 555555555 เลยเปลี่ยนเป็นอย่างที่เห็น ;____;

    มีอะไรติชมได้นะเคอะ ฉีดยาแล้ว ไม่กัด ฮิๆๆ =w= หรือจะเมนชั่นมาเม้ามอยได้ที่ทวิตเตอร์ @zyrusHmab นะเคอะ

    รักทุกคน จุ๊บุ

    Happy Birthday 22th Louis Tomlinson, I love you xxx









    THEME :) Shirakuma



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×