ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Available @MarkBam #นบพกด is back!

    ลำดับตอนที่ #16 : 〖14〗✧ 折り紙。

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.81K
      10
      24 ธ.ค. 57


     
     





     
    Yugyeom's Diary
     
     
     
    "แบมไปไหนอะ" ผมเดินเหงื่อแตกเข้ามาในห้อง ก่อนจะถามไอ้ซึงฮุนที่นั่งตาตี่อยู่คนเดียว อืม..ไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวในห้องหรอกครับ ตอนนี้ในห้องมีคนประมาณสิบกว่าคน แต่ไอ้ตี๋นี่มันนั่งเขียนหนังสืออยู่คนเดียวไง เรียกง่ายๆว่านั่งแบบสันโดษ
     
     
     
    "ออกไปเมื่อกี้เอง ทำไมออกมาช้าจังละ" มันเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามผมก่อนจะก้มลงเขียนหนังสือต่อ จะขยันเชี่ยไรกันเยอะแยะวะ เกรดกินไม่ได้สักหน่อย แต่ถ้าได้เกรดไม่ดีก็คงไม่มีอะไรจะกิน นะจ้ะนะ
     
     
     
    "กูแข่งอยู่ ไม่เห็นไง๊" ใช่แล้วครับ คาบสุดท้ายของวันนี้คือวิชาพละ แล้วก็มีการแข่งบาสกันระหว่างห้องด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ทั้งตัวสูงและสกิลดีอย่างผมก็ต้องลงแข่งอยู่แล้ว แค่ลงแข่งน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่มันกลับกินเวลาจนต้องออกจากยิมเลทตั้งเกือบยี่สิบนาที ทำให้ครูเห็นใจเพื่อนที่นั่งเป็นกองเชียร์ แบบเผื่อต้องรีบกลับบ้านอะไรแบบนี้ เลยไล่ให้ออกมาก่อนการแข่งขันจะจบซะงั้น
     
     
     
    เพื่อนที่ว่าก็รวมถึงไอ้แบมด้วยนั่นแหละ
     
     
     
    "เห็น...แล้วชนะมั้ยละ"
     
     
     
    "มีกูอยู่จะแพ้ได้ไง" ผมยักไหล่ก่อนจะกระตุกยิ้ม แน่นอนว่าวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ห้องเราชนะ ถึงแพ้จะแบบฉิวเฉียดก็ตามทีเถอะ
     
     
     
    "เหอะ" ซึงฮุนส่ายหัวอย่างเอือมๆ ความจริงถ้าเป็นคนอื่นคงด่าผมด้วยความหมั่นไส้ในความมั่นใจแบบไร้สติแน่ๆ แต่นี่ซึงฮุนไง มันก็เลยทำได้แค่นี้
     
     
     
    สุภาพซะจนหน้าหมั่นไส้ พูดถึงก็สงสารมันเหมือนกันนะ คิดยังไงมาอยู่กลุ่มเดียวกับผมวะ
     
     
     
    "งั้นกูไปละนะ" ผมเดินไปที่โต๊ะแล้วโยนๆพวกหนังสือที่ไม่เคยอ่าน สมุดที่ไม่มีแม้แต่รอยปากกา กล่องดินสอที่วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้เปิด ขนมที่กินหมดแล้ว และสัพเพเหระต่างๆที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนใส่กระเป๋า ก่อนจะรูดซิบแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย
     
     
     
    "ที่เดิม?" มันเลิกคิ้วใส่ผมเป็นเชิงคำถาม ผมเลยพยักหน้าส่งๆให้
     
     
     
    "อืม เขาบอกอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คืนนี้กูคงนอนนั่นแหละ"
     
     
     
    "ยังไงก็เผื่อใจไว้บ้าง" มันพูดไปเขียนหนังสือไปแบบชิวๆ แต่คำพูดของมันนั้นทำให้ผมที่กำลังจะเดินออกจากห้องชะงักทันที
     
     
     
    "มึงไม่เป็นกูมึงไม่เข้าใจหรอก" ผมหันไปพูดกับมันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันกลังเดินออกมาจากห้องทันที
     
     
     
    เผื่อใจ..เหอะ มันก็พูดได้สิ คนป่วยไม่ใช่แม่มันสักหน่อย
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    loading....
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    ผมเดินออกมาจากรั้วโรงเรียนได้สักพัก สายตาก็มองตรงเพื่อดูทางไปตามปกตินั่นแหละครับ แต่เหมือนจะไปสะดุดกับคนคนหนึ่งเข้า...
     
     
     
    ไม่สิ..ต้องพูดว่าสองคนต่างหากละ
     
     
     
    สองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันหน้าร้านทาโกะยากิ
     
     
     
    พี่มาร์คกับไอ้แบม-_-
     
     
     
    แต่เหมือนว่าทั้งคู่จะไม่มีใครสังเกตเห็นผมที่กำลังกอดอกมองอยู่ข้างหลังหรอกครับ เพราะแบมมันก็ก้มมองแต่ไอ้ขนมกลมๆที่เขากำลังยำๆจิ้มๆอยู่ในหลุมตาละห้อย ส่วนพี่มาร์คนี่....
     
     
     
    เอาเถอะ ทุกคนคงรู้นิสัยพี่แกดี
     
     
     
    มองแบมเหมือนแทบจะกินเข้าไปแทนทาโกะยากิละอะ สิงเลยเอามั้ย? ถ้าแบมเป็นกระดาษพี่เขาคงขยำๆเอาใส่ปากเคี้ยวๆแล้วกลืนลงท้องอะครับดูจากสภาพ ช่วยใส่ใจสิ่งแวดล้อมโดยรอบบ้างได้มั้ยวะนั่น
     
     
     
    ผมส่ายหัวด้วยความเอือมระอา ก่อนจะก้าวขาเดินต่อ
     
     
     
    แต่ในระหว่างที่ผมกำลังจะก้าวขานั้น...
     
     
     
    ฟอด!
     
     
     
    ขวับ!
     
     
     
    ผมหันไปมองหน้าไอ้เชี่ยพี่มาร์คทันที...เห้ย ถ้าผมไม่ได้สายตาสั้นยาวเอียงหรือหน้าจอเรตินามีปัญหา สิ่งที่ผมเห็นเมื่อกี้นี่...
     
     
     
    เอาเป็นว่า คิดเอาเองกันดีกว่าครับ เรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่งเพราะผมหวีผมก่อนออกจากบ้านมาแล้ว
     
     
     
    แต่เมื่อกี้ไอ้แบมมันนิ่งไปเลยอะ ไม่รู้ว่ามัวแต่สนใจทาโกะยากิจนไม่รู้สึกตัว หรือว่าสติหลุดไปแล้วกันแน่
     
     
     
    พี่มาร์คนี่ความจริงที่ผมดูๆมาเขาก็เป็นคนดีนะครับ ดูแลแบมได้ดีเลยละ เท่าที่ฟังจากที่แบมเล่าพี่แกก็ช่วยทำการบ้าน เลี้ยงขนม ซื้อของให้ ใจดีมากจนจะกลายเป็นคำว่าตามใจไปแล้ว ความจริงมันก็ดีอยู่หรอก แต่ตามใจมากๆเพื่อนผมจะเสียคนนี่สิ
     
     
     
    ถึงพี่เขาจะเป็นคนดีแต่ก็มีเรื่องที่ผมกังวลอยู่นั่นแหละ แบมบอกพี่เขาจะชอบแกล้งล้อเล่นแรงๆ แบบทำหน้าจริงจังจนคิดว่าโกรธจริงงี้ พี่เขาอาจจะคิดว่ามันธรรมดานะครับ แต่ไอ้แบมมันเป็นพวกคิดเยอะ ระวังแกล้งกันไปแกล้งกันมาสักวันนึงเดี๋ยวได้ทะเลาะกันจริงๆแน่ อืม..เรื่องที่ผมกังวัลก็มีแค่นี้แหละ เรื่องอื่นน่ะผ่านหมด ทั้งหน้าตา การเงิน นิสัย อะไรหลายๆอย่าง
     
     
     
    แล้วอีกเรื่องนึงที่ผมสงสัยคือพี่เขาดูไม่ค่อยชอบผมอะครับ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน หรือคิดว่าผมจะชอบไอ้แบม? เพราะเวลาเจอผมอยู่กับแบมทีไรพี่เขาจะทำหน้าตาเบื่อโลกเสมอ กลอกตาขึ้นฟ้า 45 องศาและพูดจากระแทกแดกดันเป็นกิจวัตร ไม่ต้องหวงมันหรอกครับไอ้แบมเนี่ย ยิ่งเป็นกับผมแล้วยิ่งไปกันใหญ่
     
     
     
    ถ้าผมจะชอบมันอะนะ ผมชอบมันไปนานแล้วละครับพี่มาร์ค...
     
     
     
    อีกอย่างแบมมันไม่ชอบผมหรอกครับถ้าผมจะชอบมันน่ะ แบมนี่โครตใจแข็งเลยนะ มันไม่เคยมีแฟนสักคนแม้จะมีคนมาจีบแบบอ้อมๆเยอะแยะ แต่เหมือนมันจะดูไม่ออกว่าเขาจีบ มันอะทำตัวเหมือนจะฉลาดรู้ทันคนนะ แต่ความจริงแล้วก็เป็นหมาบีเกิ้ลดีๆนี่เอง รู้ตัวช้าตลอด
     
     
     
    ส่วนพี่มาร์คนี่ไม่รู้ว่าแบมมันรู้รึเปล่าว่าพี่เขาเต๊าะๆ คือผมว่าพี่เขาก็ออกตัวแรงพอสมควรอะนะถ้าพูดถึงคนก่อนๆ ไอ้แบมมันก็รู้สึกดีกับพี่เขาด้วย ไม่รู้ว่ามันรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองพูดถึงพี่เขาบ่อยมากเลยละ กินๆข้าวอยู่ก็พูดอีกละ เรียนๆอยู่ก็พูด เดินไปเรียนห้องอื่นก็พูด แล้วหน้าตาเวลามันพูดชื่อพี่มาร์คนี่ดูแฮปปี้ชิบหาย เหมือนอยู่ในวันเดอร์แลนด์แบบกู่ไม่กลับ พอถามว่าชอบหรอ ก็ปฏิเสธทุกที มันชอบพูดว่า 'พี่เขาน่ารักดีเลยชอบพูดถึงบ่อยๆ' แหม แถซะขนาดนี้ ก็ไม่รู้สีข้างถลอกแล้วรึยัง ผมน่ะไม่เคยเห็นมันพูดถึงใครแล้วดูมีความสุขเหมือนเวลาพูดถึงพี่มาร์คเลยละครับนั่น J
     
     
     
    ถ้ามันได้เป็นแฟนกับพี่เขาผมก็แฮปปี้ด้วยนะ พี่เขาเป็นคนดี มันก็เป็นคนดี ต่างคนต่างดูมีความสุขเวลาอยู่ด้วยกันดีอะครับ คบไปแล้วคงมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นนะผมว่า
     
     
     
    ส่วนเรื่องพวกมีแฟนแล้วจะทิ้งเพื่อน ผมคิดว่าแบมไม่มีทางทำหรอกครับ มันแยกแยะได้ ถ้าอยู่กับเพื่อนก็คืออยู่กับเพื่อน อยู่กับพี่เขาก็อยู่กับพี่เขา ไม่เอามาปนกันหรอก เพราะฉะนั้นผมก็ไม่เห็นต้องกลัวว่าจะเหงาถ้ามันไปมีแฟน แต่ถ้าสมมติมันเห็นพี่เขาสำคัญกว่าผม แล้วก็ไม่มาเล่นกับผมจริงๆนะ ตอนนั้นแหละผมจะยุให้เลิก เลิก แล้วก็เลิก!
     
     
     
    ...
     
     
     
     
    คิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาสักพัก จนตอนนี้ผมมาหยุดอยู่ในสถานที่ที่ช่วงนี้ผมมาแทบจะทุกวัน..อืมไม่สิ...ทุกวันเลยต่างหาก
     
     
     
    โรงพยาบาล
     
     
     
    ผมไม่ได้เป็นหมอ ผมไม่ได้ป่วย และผมก็ไม่ได้มาจีบพยาบาล
     
     
     
    ผมมาเยี่ยมคนป่วยต่างหากละครับ
     
     
     
    ผมเดินมาหยุดอยู่ที่เคาวท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ก่อนจะยิ้มให้นางพยาบาลคนเดิม คนที่ผมเจอหน้าเธอบ่อยยิ่งกว่าอาจารย์ประจำชั้น
     
     
     
    "ว่าไงคะน้องยูค มาเยี่ยมคุณแม่เหมือนเดิมใช่มั้ยคะ" พี่พยาบาลส่งยิ้มหวานทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นผม เห็นมั้ยละซี้กันขนาดไหน อีกนิดพี่แกอาจจะรู้ชื่อหมาผมก็ได้ใครจะไปรู้ คือที่คุยบ่อยเพราะก่อนเข้าห้องผมต้องมาเช็คก่อนไงว่าแม่กำลังทำอะไรอยู่ ไม่ใช่จู่ๆเดินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า เกิดคุณหมอตรวจอยู่ทำไงละครับนั่น
     
     
     
    "ครับ" ผมพยักหน้ารับยิ้มๆ ที่ตอบไปแค่นั้นเพราะขี้เกียจพูดอะครับ เพราะพอเปิดปากพูดกับพี่แกทีไรยาวทุกที นี่อยู่กรุงเทพช้ะ เขาชวนคุยเรื่องนู้นนี่ยาวไปถึงจังหวัดยะลาและปัตตานีอะ งงมาก
     
     
     
    "ตอนนี้คุณแม่กำลังนอนดูทีวีอยู่ค่ะ เข้าไปได้เลยนะ" เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงพยักหน้ารับอีกรอบแล้วหันหลังจะเดินออกมา
     
     
     
    แต่
     
     
     
    "อ่า...น้องยูคคะ เมื่อตอนกลางวันคุณแม่ทานข้าวน้อยอีกแล้ว"
     
     
     
    ...
     
     
     
    "แม่" ผมเปิดประตูห้องเข้ามาก็พบกับแม่ที่กำลังนอนดูทีวีอยู่ ซึ่งพอแม่เห็นว่าเป็นผมก็หันมายิ้มให้ทันที
     
     
     
    "ว่าไงน้องยูค ทำไมวันนี้มาเร็วจังฮึ?"
     
     
     
    "พี่พยาบาลบอกผมว่าแม่อาการไม่ค่อยดีอีกแล้ว ทำไมแม่ไม่กินข้าวเยอะๆละครับ" ผมวางกระเป๋าไว้บนโซฟาก่อนจะเดินเข้าไปจับมือแม่
     
     
     
    "แม่ไม่อยากหายป่วยไวๆแล้วกลับไปอยู่บ้านกับผมหรอครับ" 
     
     
     
    "ยูค...แม่คงไม่หายหรอก กลับบ้านตอนนี้เลยก็ได้นะครั..."
     
     
     
    "แม่อย่าพูดงี้ดิ" ผมพูดขัดแม่ก่อนที่แม่จะพูดจบ แม่ก็แบบนี้ ยังไม่ทันได้ลองรักษาเลย แล้วจะรู้ได้ไงว่าไม่มีทางหาย
     
     
     
    บางทีมันอาจมีโอกาสก็ได้นะ...
     
     
     
    อ่า...ใช่แล้วครับ ที่ผมเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆเพราะแม่ของผมน่ะป่วย..ป่วยเป็น...อืม..รู้จักโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมั้ยครับ? นั่นแหละ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรงขนาดนั้นนะ มันเป็นขั้นที่มีโอกาสรักษาให้หายได้
     
     
     
    แต่ปัญหาก็คือแม่ของผมไม่ยอมเข้ารับการรักษาเฉพาะทางนี่สิ เอาแต่นอนอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยธรรมดาแค่ให้คุณหมอดูอาการทุกวันก็แค่นั้นเอง
     
     
     
    นี่ละสาเหตุที่ผมเครียดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
     
     
     
    แม่น่ะตรวจพบมะเร็งมาได้หลายเดือนแล้วละครับ ช่วงแรกๆก็แค่เข้าๆออกๆโรงพยาบาลเพื่อทำนู้นทำนี่เกี่ยวกับคนที่เป็นมะเร็งทำกันใช่มั้ยละครับ แต่ผมกลับมารู้ทีหลังว่าแม่ไม่ได้ไปตามที่หมอกำหนด จนผมต้องพามานอนที่นี่ซะเลย แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในโรงพยาบาลขนาดนี้แล้ว แม่ก็ยังไม่ยอมไปพบหมอเฉพาะทางอยู่ดี
     
     
     
    แม่บอกว่ามันเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนมันหรอก สักวันยังไงก็ต้องตายอยู่ดี
     
     
     
    แต่ผมอยากให้แม่อยู่กับผมไปนานๆนี่ครับ
     
     
     
    และช่วงนี้ผมก็เครียดขึ้นมากเป็นพิเศษ เพราะคุณหมอบอกว่าถ้าแม่ไม่รีบไปเข้ารับการบำบัดที่ถูกต้องภายในสองเดือนนี้ อาการอาจจะทรุดหนักลง และโอกาสหายก็จะมีน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งก็หมายความว่าผมต้องรีบเกลี้ยกล่อมแม่ให้ไปรักษาแบบถูกๆสักที
     
     
     
    "จริงๆนะยูค เราจะพาแม่มานอนที่นี่ทำไมตั้งหลายเดือน ยังไงแม่ก็ไม่ได้ไปพบหมอเฉพาะทางอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..."
     
     
     
    "งั้นแม่ก็พบหมอได้แล้วนะครับ นะ จะได้หายแล้วกลับบ้านเรากันไง" สาเหตุที่ผมพาแม่มานอนที่โรงพยาบาลมีเหตุผลแค่อยากให้ใกล้มือหมอ ถึงแม่จะไม่ยอมรับการบำบัดก็ไม่เป็นไร ผมรู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่าอยู่ที่บ้าน อยู่บ้านแล้วแม่จะอาการกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันอันตรายนะครับ
     
     
     
    "รักษาแบบนั้นเราเสียเงินเยอะมากเกินไป ไม่เป็นไรหรอกนะ แม่อยู่ได้อีกนาน" 
     
     
     
    ผมส่ายหัวทันทีที่แม่พูดจบ
     
     
     
    "แม่ครับ บ้านเราไม่ได้จนอะไร เงินที่พ่อทำงานอยู่ต่างประเทศส่งมามันพอกับการ..."
     
     
     
    "ยังไงแม่ก็จะไม่รับการบำบัด"
     
     
     
    "..."
     
     
     
    "เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีกนะยูค แค่เราให้แม่มานอนอยู่โรงพยาบาลเฉยๆตั้งหลายเดือนมันก็มากพอแล้ว"
     
     
     
    ผมถอนหายใจก่อนจะเดินออกมาออกจากห้องทันที
     
     
     
    ปัง!
     
     
     
    มากี่วันกี่วัน ผมก็เถียงกับแม่เรื่องนี้เสมอ เรื่องเดิมๆ
     
     
     
    เรื่องซ้ำซาก
     
     
     
    แม่ชอบพูดเหมือนครอบครัวเราลำบากมากที่ผมพาแม่มาโรงพยาบาล ทั้งๆที่เราไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายสักนิด เพราะโรงพยาบาลนี้เป็นของเอกชน เป็นหุ้นส่วนของเพื่อนพ่อผม...แล้วไงละ เราก็อยู่ฟรีไง นี่คิดว่าผมบ้าบอขนาดที่พาแม่มานอนโรงพยาบาลเล่นๆตั้ง 4 เดือน ก่อนจะจ่ายตังแบบชิวๆด้วยราคาคืนละเกือบหมื่นรึไง นั่นมันตลกมาก ถ้าไม่อยู่ฟรีผมคงจะไม่เข้าๆออกๆที่นี่ทุกวันหรอกมั้ง
     
     
     
    ซึ่งการตัดสินใจให้แม่มานอนที่โรงพยาบาลนี้ พ่อผมก็เห็นด้วยนะครับ หนึ่งเพราะใกล้มือหมอ สองเพราะอยู่ฟรี สามเพราะเป็นอะไรจะได้พาเข้าห้องผ่าตัดได้เลย เออนั่นแหละ ตอนนี้ก็เหลือแค่กล่อมให้แม่บำบัดก่อนจะอาการหนักไปมากกว่านี้จนรักษาไม่หายก็เท่านั้น
     
     
    นั่นแหละ ประเด็นของทุกอย่างที่ผมเครียดและไม่ยอมบอกแบมมาหลายเดือน
     
     
     
    ที่ไม่บอกมัน ไม่ใช่เพราะมันเป็นปัญหาใหญ่โตแบบแก้ไม่หาย แต่เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวผม ผมไม่อยากให้ไอ้แบมมันมารับรู้และคิดมากตามผมไปด้วย ผมคิดคนเดียวก็พอแล้วครับ ส่วนมันน่ะ แค่ทำหน้าแฮปปี้ พอผมมองผมก็หายเครียดแล้ว
     
     
     
    เพราะถ้าผมบอกมัน มันก็จะทำหน้าเครียดตามผมไปด้วย พอผมมองหน้ามัน ผมก็เครียดเข้าไปใหญ่น่ะสิ
     
     
     
    เอาเป็นว่าผมทั้งรักทั้งเป็นห่วงมันมากๆเลยก็แล้วกัน ยิ่งช่วงนี้มันยิ่งสงสัยในตัวผมอยู่ว่าเครียดอะไร ผมก็ยิ่งพยายามกลบเกลื่อนตัวเองมากขึ้นเท่านั้น นี่เป็นสาเหตุที่เวลาอยู่กับมันผมจะทำตัวให้อารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ
     
     
     
    ความจริงก็ไม่ได้คิดว่าจะปิดไปตลอดหรอกครับ เดี๋ยวถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่ ตอนนั้นละผมจะเป็นคนบอกมันเองว่าเกิดอะไรขึ้น จะบอกสาเหตุ บอกเหตุการณ์ บอกทุกอย่างเลย
     
     
     
    เพราะงั้น...ตอนนี้ผมควรเคลียร์ปัญหาเรื่องแม่ให้จบก่อน ปัญหาที่กินเวลานานมาหลายเดือนอะนะ
     
     
     
    เป็นไงละ ความคิดของผม หล่อกว่าพี่มาร์คใช่มั้ยละ? ความจริง..ผมควรจะเป็นพระเอกแทนพี่เขานะครับ J
     
     
     
     
    #นบพกด



     
     
     
     


    © themy  butter

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×