ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Available @MarkBam #นบพกด is back!

    ลำดับตอนที่ #19 : 〖17〗✧ 折り紙。100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.19K
      7
      9 พ.ค. 59















     
     
    Learn to love your inner monster.





     
     
     
     
    Mark's Part
     
     
     
    ก๊อกๆๆ
     
     
     
    ก๊อกๆ
     
     
     
    เสียงเคาะประตูเรียกให้ผมที่กำลังเขียนงานอยู่เบนความสนใจจากงานเป็นต้นเสียงที่อยู่ด้านหน้าของห้องแทน
     
     
     
    คงจะเป็นน้องแบมนั่นแหละครับ..
     
     
     
    ผมลุกขึ้นและก้าวขาเดินไปทางประตูห้องเพื่อจะเปิดประตูให้น้องเข้ามา แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะได้ยินเสียงตี๊ดของเครื่องสแกนคีย์การ์ด
     
     
     
    ชิบหายละ..น้องแบมคงคิดว่าผมทำงานอยู่เลยนำคีย์การ์ดสำรองที่ผมให้ไปมาเปิดเองเลยสินะ เด็กแสบคนนี้นี่..
     
     
     
    ผมจึงรีบวิ่งมานั่งลงบนเก้าอี้อย่างไวแล้วหยิบแว่นมาใส่ หยิบหูฟังที่วางอยู่บนโต๊ะมาเสียบหูทั้งสองข้าง ก่อนจะหยิบดินสอขึ้นมาจ่อร่างบนกระดาษสีขาว เพื่อให้น้องคิดว่าผมไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูเพราะกำลังง่วนอยู่กับงาน
     
     
     
    มันเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนดีครับ เล่นเหมือนกลับไปเป็นเด็กอายุ 14-15 อีกครั้ง แต่ผมอยากรู้ว่าน้องจะทำยังไง จะเดินเข้ามาหามั้ย หรือจะยืนนิ่งไม่ยอมเดินเข้ามาหาผมเพราะกลัวว่าจะรบกวนสมาธิ
     
     
     
    "พี่มาร์คครับ..." เป็นไปตามคาด เจ้าของเสียงหวานชะงักทันทีที่เห็นผมกำลังนั่งจดจ่ออยู่กับงาน..อ่า ผมเคยบอกน้องครับว่าจะหงุดหงิดมากถ้าใครมารบกวนเวลาที่ผมกำลังทำงาน ซึ่งมันคือความจริงครับ
     
     
     
    แต่ก็นะ...ทุกอย่างมักมีข้อยกเว้นเสมอ
     
     
     
    ผมเหล่หางตาไปมองน้องนิดๆ พยายามทำให้เนียนที่สุดเพื่อไม่ให้เขารู้ตัว น้องยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู สีหน้าดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผมอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ 
     
     
     
    เด็กอะไรโครตจะน่ารัก ถ้าเป็นคนอื่นแม่งคงรัวเคาะประตูเป็นจังหวะเพลง Turn up the music แล้วแหกปากโวยวายให้ผมหัวเสียแน่ๆ
     
     
     
    แต่สักพักน้องก็ทำหน้าเหมือนคิดอะไรได้แล้วเดินมาทางผม ทำให้ผมที่แอบเหล่หางตามองอยู่หันกลับมามองแผ่นกระดาษสีขาวบนโต๊ะทันที
     
     
     
    "มาร์คฮยอง.." อยู่ๆกระดาษสีขาวที่ผมกำลังมองอยู่ก็กลายเป็นมืดสนิท เมื่อมือเล็กๆปิดตาทั้งสองข้างของผมจากด้านหลัง
     
     
     
    "ให้ทายว่านี่ใคร" น้องก้มลงมากระซิบข้างหูจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเจ้าตัว และกลิ่นหอมอ่อนๆที่ผมจะได้กลิ่นตลอดเวลานอนกอดเขา ผมยกมุมปากขึ้นเล็กๆ ใครจะไม่รู้ละ คนเดียวที่ผมให้คีย์การ์ดก็คือน้องแบม
     
     
     
    "ใช่คนที่พี่คิดถึงตลอดเวลาเลยรึเปล่าน้า" ผมพูดแหย่ อยากให้น้องเขินบ้างแต่ก็ไม่รู้เขาจะเขินรึเปล่านี่สิ
     
     
     
    "แล้วคนที่โดนปิดตาอยู่นี่ใช่คนที่น้องคิดถึงตลอดเวลารึเปล่านะ" น้องแบมพยายามเลี่ยงชื่อตัวเองด้วยการใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า 'น้อง'
     
     
     
    ซึ่งมันน่ารักมาก...
     
     
     
    "ต้องใช่แน่ๆเลย ไม่งั้นน้องไม่มาหาพี่หรอก" น้องหัวเราะคิกคักก่อนจะเปิดตาผมออก และย้ายมือน้อยๆไปถอดหูฟังทั้งสองข้างและแว่นของผมวางไว้บนโต๊ะ
     
     
     
    "ใช่อยู่แล้ว แบมอะคิดถึงพี่มากที่สุดในโลกรองจากม๊ากับป๊าเลย" น้องยิ้มจนตาหยีแล้วโน้มใบหน้าลงมาหอมแก้มผมเบาๆ
     
     
     
    "พี่ก็คิดถึงเรา ไม่ได้มาเล่นด้วยกันตั้งครึ่งเดือน งานพี่เย๊อะเยอะ แต่หลังจากอาทิตย์นี้ก็จะมีเวลาให้แบมแล้ว" ผมไม่รู้ว่าใครคิดถึงใครมากกว่า ถึงแม้มันจะเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่สิบวันก็เถอะ แต่ถ้าเป็นน้องถึงจะห่างกันแปปๆก็คิดถึงแล้ว
     
     
     
    ลองคิดดูสิครับ อยู่ด้วยกันใกล้ชิดกันมาตลอดตั้งกี่เดือน เจอหน้ากันตั้งแต่เช้า ตอนเย็นก็เจอ ตอนกลางคืนก็อยู่ด้วยกัน แต่พอมีงานเข้ามากลับไม่ค่อยได้เห็นหน้ากันเลยมันก็รู้สึกแปลกๆเหมือนขาดอะไรสักอย่างไป
     
     
     
    แต่อย่างว่าแหละครับ แต่ละคนก็มีเรื่องที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ จะให้อยู่ด้วยกันตลอดคงไม่ไหว มันทำให้ผมรู้ว่า ถึงจะไม่ได้คลุกคลีกันเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่เป็นไร แค่รู้ว่ายังมีน้องอยู่ข้างๆก็พอแล้วละครับ
     
     
     
    จริงๆห่างกันบ้างก็ดี จะได้คิดถึงกันไงครับ
     
     
     
    "พี่มาร์คปากหวานอีกแล้ว" น้องเอื้อมมือมาหยิกแก้มผมแรงๆทีนึง ผมจึงจับมือเขาแล้วเอามางับเล่น
     
     
     
    "วันนี้แบมอยู่กับพี่ได้เปล่า อยู่ด้วยกันนะ" ผมหันไปสบตาน้อง ความจริงที่ผมเรียกน้องมาวันนี้มันมีเรื่องที่นอกเหนือกว่าความคิดถึง
     
     
     
    ผมอยากจะทำให้สถานะของเรามันชัดเจนสักที
     
     
     
    หลายวันที่ผ่านมา ผมลองนั่งคิดทบทวนดูดีๆ ในเมื่อผมชอบน้องแบม ชอบแบบที่ไม่ใช่แบบพี่น้อง และสิ่งที่เราทำมันก็มากกว่านั้น ผมเลยอยากจะพูดเรื่องนี้กับน้อง
     
     
     
    มันคงจะดีกว่าถ้าเรามีสถานะที่ชัดเจน เราจะมีสิทธิ์ในตัวกันและกัน สามารถหวง ห่วง ถามนู้นนี่ได้แบบไม่ต้องคอยระแวงว่าเรามีสิทธิ์อะไรที่ไปทำแบบนั้น บางทีความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกมันก็คงไม่ดีนัก ถ้ามันจบด้วยอีกคนอยากเรียกแบบนึง ส่วนอีกคนอยากเรียกอีกแบบนึง
     
     
     
    "ทำไมวันนี้อ้อนจังครับเนี่ย" น้องขมวดคิ้วเล็กๆแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม จนผมต้องรวบเอวเด็กดื้อที่ยืนย่อเข่าอยู่ด้านหลัง แล้วรั้งลงมาให้เจ้าตัวมานั่งบนตักของผม
     
     
     
    "ตอบมาก่อนสิ" ผมซุกใบหน้าลงกับซอกคอน้องก่อนจะไล่จมูกไปมาเบาๆ ..หอม ตัวน้องหอมมาก
     
     
     
    "อยู่สิครับ แบมจะอยู่กับพี่มาร์คนะวันนี้...อือ..อย่าแกล้ง" น้องผลักหัวผมเบาๆเมื่อผมเริ่มจะซุกไซร้หนักขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้สนใจนัก กลับดึงมือน้องมากุมเอาไว้แล้วไล่หอมทั่วลำคอไปเรื่อยๆ
     
     
     
    จนในที่สุดผมก็ยกตัวน้องให้พลิกตัวหันหน้าเข้าหาผม น้องแบมเสตามองไปทางอื่นแล้วก้มหน้าหงุด แก้มใสเปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆอย่างเห็นได้ชัด
     
     
     
    "เขินเหรอยัยหนู" ผมแกล้งพูดแซวจนน้องเงยหน้าขึ้นมาเตรียมจะอ้าปาะแหวใส่ ผมไม่รอช้าโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้แล้วทาบทับริมฝีปากลงไปอย่างรวดเร็ว น้องแบมที่ดูท่าจะตกใจได้นั่งตัวเกร็งอยู่บนตักของผม ผมเลยโอบรอบเอวน้องไว้แน่นก่อนจะกระชับเข้าหาตัวเพื่อกันน้องตก
     
     
     
    "ฮื่อ..พี่..." น้องแบมหลับตาแล้วบีบไหล่ผมไว้แน่นเมื่อผมเริ่มจะไล่ขบเม้มริมฝีปากล่างของน้องเบาๆ ..เด็กอะไรนุ่มนิ่มไปทั้งตัว ตั้งแต่แขนขายันริมฝีปาก
     
     
     
    น้องกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้า..
     
     
     
    เขาทำให้ผมนึกถึงประโยคหนึ่งในหนังสืออ่านเล่นที่หอสมุดเมื่อสองเดือนก่อน
     
     
     
    You're my drug 
    and I am addicted.
     
     
     
    น้องเริ่มขยับริมฝีปากตามผม ถึงแม้เขาจะไม่ประสีประสา แต่การตอบโต้ของเขามันทำให้ผมแทบจะทนไม่ไหว ผมกดย้ำริมฝีปากลงไปซ้ำๆให้เขารู้ว่าผมคิดถึงเขามากแค่ไหน มือน้อยๆนั่นเปลี่ยนจากเกาะไหล่ผมมาคล้องคอผมเอาไว้แทน ผมจึงลูบไล้มือไปตามแผ่นหลังของน้องอย่างปลอบประโลม
     
     
     
    เราจูบกันไปสักพัก จนผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงนำมือออกจากแผ่นหลังบางแล้วล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงแทน เพื่อเอาสิ่งของบางอย่างที่ผมตั้งใจจะให้เขาออกมา โดยที่ริมฝีปากของเราก็ยังไม่ได้หลุดออกจากกัน
     
     
     
    ผมหยิบสิ่งนั้นมาถือไว้ในมือก่อนจะมองหน้าน้องแบมที่ห่างกันไม่ถึงคืบ มันใกล้มากซะจนแทบจะฟิวชั่นกับเขาอยู่แล้ว แถมริมฝีปากยังขยับตอบโต้กันแบบไม่มีทาทีที่จะผละออก ดวงตากลมโตที่กำลังหลับพริ้มทำให้ผมรู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้มันช่างเป็นใจซะเหลือเกิน ผมจึงจับมือข้างซ้ายของน้องที่คล้องคออยู่มากุมไว้ แล้วเตรียมจะสวมสิ่งของชิ้นเล็กที่อยู่บนมือของตัวเองลงไป
     
     
     
    แต่แล้ว...
     
     
     
    50%
     
     
     
     
     
     
    ครืด ครืด
     
     
     
    ครืด
     
     
     
    ครืดๆๆ
     
     
     
    โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงน้องสั่นขึ้นมา ทำให้ผมและเขาที่กำลังเอ่อ..กันอยู่ ผละออกจากกันในทันที ดังนั้นผมจึงต้องรีบเก็บของที่ถืออยู่ในมือลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม...
     
     
     
    น้องดูท่าจะตกใจมากเมื่อดูจากสีหน้าตื่นๆของเขา ทำเหมือนมีคนมาเห็นว่าเราสองคนทำอะไรกันทั้งๆที่ก็แค่มีคนโทรมาเท่านั้น
     
     
     
    เด็กขี้ระแวง
     
     
     
    "เอ่อ..คือ.." แบมแบมยิ้มแห้งๆก่อนจะเอามือชี้ที่กระเป๋ากางเกงเป็นเชิงว่ารับโทรศัพท์ได้มั้ย ผมไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ก็พยักหน้าให้เขารับมัน ผมเห็นช่วงนี้น้องเขามีงานเยอะ บางทีเพื่อนอาจจะโทรมาปรึกษาเรื่องงานกับน้อง 
     
     
     
    จริงอยู่ที่สิ่งที่เตรียมมาให้เขามันต้องให้ภายในวันนี้ แต่วันนี้มันเหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมง ผมมีเวลาอยู่กับเขาไปทั้งคืน ถึงจะหัวเสียนิดหน่อยที่โดนขัดจังหวะก็เถอะ ค่อยหาโอกาสดีๆใหม่ก็ได้นี่
     
     
     
    แต่ผมกลับคิดผิด
     
     
     
    ถ้าย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ได้สักสองนาที ผมจะไม่อนุญาตให้เขารับมัน
     
     
     
    "ว่าไงยูค"
     
     
     
    คนที่โทรหาแบมแบมคือยูคยอม และแน่นอน มันไม่ได้โทรมาเรื่องงาน
     
     
     
    ผมไม่ชอบ..ไม่ชอบยูคยอมเลยสักนิด และยิ่งตอนนี้ผมกับน้องก็ห่างๆกัน เป็นมันซะอีกที่ได้อยู่กับน้องตลอดเวลา แล้วจะโทรมาทำไมอีก จะมายุ่งอะไรกับแบมแบมของผมอีก
     
     
     
    ผมเริ่มหงุดหงิดเมื่อรู้ว่าเป็นมัน และหงุดหงิดขึ้นไปอีกเมื่อน้องทำสีหน้าไม่สู้ดีตอนกำลังฟังมัน 
     
     
     
    และเมื่อวางสาย น้องก็ลุกขึ้นจากตักผมอย่างรวดเร็ว
     
     
     
    "จะไปไหนแบม" ผมลุกขึ้นยืนตามพร้อมกับเดินไปคว้าข้อมือน้องที่กำลังจะหันหลังเดินไปทางประตูไว้ 
     
     
     
    "พี่มาร์ค..." น้องหลบตาผม ส่วนมืออีกข้างก็กำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น ไม่เข้าใจ..ไม่เข้าใจเลยที่น้องต้องรีบร้อนขนาดนี้
     
     
     
    "ไปไหน" ผมถามย้ำอีกรอบ พยายามข่มความหงุดหงิดเอาไว้ข้างใน ไม่งั้นสิ่งที่เตรียมจะมาพูดในวันนี้มันคงพังไม่เป็นท่า
     
     
     
    "ยูคบอกให้แบมไปหา ตอนนี้ยูคอยู่คนเดียว แล้วอาการก็กำลังแ.."
     
     
     
    "แล้วมันอยู่คนเดียวไม่ได้?" ผมสวนกลับไปทั้งๆที่น้องยังพูดไม่จบ
     
     
     
    "ไม่ใช่นะครับ..แม่ยูคไง ที่แบมเคยเล่าให้ฟังว่าเขามีปัญหา พี่มาร์คจำได้มั้ยครับ แม่ของยูคมีปัญหาเรื่องสุขภาพ แล้วตอนนี้อาการกำลังแย่ลง ท่านต้องผ่าตัด..แล้ว..แล้วยูคก็เครียดมาก แบมต้องไปหายูคนะ" แววตาของน้องฉายความกังวลอย่างปิดไม่มิด แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมจะต้องเป็นห่วงมันขนาดนั้น ก็แม่มันไม่ใช่เหรอที่ต้องผ่าตัด ไม่ใช่มันสักหน่อย ทำตัวเหมือนเจ็บเองเพื่ออะไร? ทำไมถึงได้โทรมาหาน้องขนาดนี้
     
     
     
    แต่ที่ไม่เข้าใจที่สุดคือการกระทำของน้อง ไม่เข้าใจความเป็นเดือดเป็นร้อนกับไอ้เด็กเชี่ยนั่นขนาดนั้น
     
     
     
    "งั้นพี่ไปส่ง" ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงก่อนจะค่อยๆคลายนิ้วที่กำลังจับกับข้อมือของน้องอยู่ ผมคิดว่าผมควรจะไปด้วย อย่างน้อยๆเวลาที่น้องอยู่กับยูคยอมมันก็ยังอยู่ในสายตาผม และเมื่อหมอยืนยันว่าแม่ของมันปลอดภัยผมก็จะพาน้องกลับทันที
     
     
     
    ผมมีเรื่องที่ต้องพูดกับน้อง เรื่องที่ต้องพูดภายในวันนี้เท่านั้น
     
     
     
    "ไม่! ไม่ต้องหรอกครับพี่มาร์ค" แต่ผมก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อน้องปฏิเสธผม
     
     
     
    "ทำไม?"
     
     
     
    "แบมไปเองได้ครับ จริงๆนะ"
     
     
     
    แปลก..น้องไม่เคยดื้อกับผมแบบนี
     
     
     
    "พี่จะไปส่ง เสร็จแล้วก็จะได้กลับเลย" ผมยังยืนยันคำเดิม ไม่เห็นว่าการที่ไปโรงพยาบาลกับน้องมันจะเสียหายตรงไหน ดีซะอีกที่มีผมขับรถไปให้ถึงที่
     
     
     
    "แบมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะผ่าตัดเสร็จนี่ครับ พี่มาร์คก็ต้องเสียเวลารออีก บางทีแบมอาจจะกลับพรุ่งนี้เช้าเลยถ้ามันเกินสี่ทุ่ม แต่สัญญาว่าแบมจะโทรมาบอ.."
     
     
     
    "พรุ่งนี้เช้า?"
     
     
     
    "อือ..พี่มาร์ค..แบมไปได้รึยังครับ ยูครอแบมอยู่"
     
     
     
    "ยัง" ผมดึงแขนน้องเอาไว้อีกรอบ พรุ่งนี้เช้า? กลับมาพรุ่งนี้เช้ามันเกินไปหน่อยมั้ย แบมเป็นเพื่อนไม่ใช่คนในครอบครัวมัน ทำไมต้องให้ไปนั่งเฝ้าด้วย
     
     
     
    "มันไม่มีญาติหรือเพื่อนคนอื่นรึไง ทำไมต้องโทรหาเรา? ทำไมเราต้องไปหามัน? มันจะตลกเกินไปรึเปล่าครับ" 
     
     
     
    "พี่มาร์ค! อย่าหาเรื่องแบมแบบนี้ ยูคเป็นเพื่อนคนสำคัญของแบมนะครับ มันกำลังแย่แบมก็ต้องเข้าไปช่วย" น้องเริ่มขึ้นเสียงเมื่อได้ยินผมพูดไปแบบนั้น ผมบีบแขนเขาแรงขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า 'คนสำคัญ' หลุดออกมาจากปากแบมแบม
     
     
     
    "แล้วเราก็จะทิ้งพี่ไปหามัน? แม่มันแค่ผ่าตัดนะครับ ไม่ใช่มันสักหน่อยที่เป็นคนเจ็บ จะเป็นห่วงเป็นใยอะไรมันขนาดนั้นละ ถ้าเราไม่ไปมันจะขาดใจตายกลางโรงพยาบาลรึไง"
     
     
     
    วันนี้มันวันอะไร น้องลืมไปแล้วเหรอ..
     
     
     
    "ทำไมพี่พูดแบบนี้! แบมว่าเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วละครับ ปล่อย!" น้องเริ่มสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของผม แต่ผมนั้นแรงเยอะกว่ามาก แรงแค่น้อยนิดนั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวหลุดออกจากการเกาะกุมได้
     
     
     
    "โมโหทำไม พี่พูดอะไรแทงใจเข้ารึไง หรือที่ผ่านมาที่ไม่โทรไม่ไลน์มาหาเพราะมัวแต่ไปอยู่กับมันเหรอครับ ความสัมพันธ์ถึงได้แนบแน่นกันขนาดนี้ พี่พูดนิดพูดหน่อยก็โมโหใหญ่เลย" ผมกระตุกยิ้ม พูดทุกอย่างที่คิดออกไปอย่างไม่ได้ไตร่ตรองก่อน อารมณ์ชั่ววูบทำลายทุกอย่างผมรู้ แต่ผมควบคุมมันไม่ได้
     
     
     
    "แบมไม่ได้โมโหที่พี่มาร์คแขวะยูค แต่แบมโมโหที่พี่มาร์คไม่เข้าใจแบมเลย พี่พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง! พี่ลองคิดสิถ้าแม่พี่ป่วยจะตายพี่อยากจะได้คนที่มาคอยอยู่ข้างๆมั้ย? อยากได้กำลังใจมั้ย?! ยูคมันไม่มีใครแล้วนะครับ เพื่อนมันถึงจะดูเยอะแต่มันก็สนิทใจกับแบมที่สุด เลิกทำตัวมีปัญหาสักทีเถอะ!" น้องโกรธจนหน้าแดง แขนเล็กๆทั้งสองข้างนั่นก็สะบัดไปมาไม่หยุด
     
     
     
    "แล้วทำไมไม่ให้พี่ไปส่ง? จะไปทำอะไรลับหลังพี่รึไงครับ มันไม่น่าไว้ใจเลยกับการกระทำของเราน่ะ!" ผมเริ่มขึ้นเสียง รู้สึกไม่พอใจกับคำว่า 'ทำตัวมีปัญหา' ใช่ ผมทำ แต่ผมก็หวงของผม และตอนแรกผมมั่นใจมากว่าตัวเองมีเหตุผลพอที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่ใช่..ผมแปลกใจในท่าทีของน้องตอนที่ผมบอกว่าจะไปส่
     
     
     
    "เพราะพี่เป็นแบบนี้ไงครับ! เป็นแบบนี้ตลอดไง! ไม่มีเหตุผลแบบนี้ ถ้าพี่ไปด้วยเชื่อเถอะว่าพอไปเจอยูคพี่ก็จะพูดจาร้ายๆแบบที่ชอบทำประจำ พี่ไปมันก็จะมีแต่แย่ลง แค่นี้มันก็เครียดพออยู่แล้วปะ!"
     
     
     
    "เห็นพี่แย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ พี่ก็รู้ปะว่าอะไรควรทำไมควรทำ เราพูดแบบนี้เหมือนไม่เชื่อใจพี่เลยนะครับ!"
     
     
     
    "พี่ก็เหมือนกัน! พี่ไม่เคยเชื่อใจแบม เพราะถ้าพี่เชื่อใจเราก็จะไม่เถียงกันแบบนี้ไง!" เราเริ่มเถียงกันเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ และผมก็บีบแขนน้องแรงขึ้นจนน้องเริ่มเบ้หน้า ตากลมๆนั่นมีน้ำใสๆคลอออกมา
     
     
     
    "ปล่อยแบม" 
     
     
     
    "พี่กับมันแบมเลือกใคร" ผมไม่ยอมปล่อยแต่กลับยิงคำถามใส่แทน ผมรู้ว่ามันงี่เง่าที่ถามคำถามนี้ในเวลาแบบนี้ แต่ผมอยากจะฟัง อยากรู้คำตอบของน้อง
     
     
     
    ทั้งๆที่ในใจลึกๆก็รู้อยู่แล้วว่าน้องจะตอบว่าอะไร
     
     
     
    "เพื่อนที่แบมรู้จักมาเกือบทั้งชีวิต คนที่อยู่ข้างแบมมาตลอด กับพี่ที่เพิ่งรู้จักแบมแค่ไม่กี่เดือน แถมยังมาพูดจาแย่ๆใส่แบม พี่ยังจะกล้าถามอีกเหรอครับ" น้องตอบเสียงสั่น น้ำตาเอ่อคลอจนจะไหลอยู่รอมร่อ แต่เจ้าตัวก็ยังเม้มปากแน่น กลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมา
     
     
     
    คำตอบของน้อง..มันก็เจ็บดี..
     
     
     
    "โอเค..คำถามสุดท้ายแล้ว" ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
     
     
     
    "วันนี้วันอะไร" ผมเริ่มผ่อนแรงลง จนกลายเป็นกำแขนทั้งสองข้างของน้องไว้เฉยๆเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังจะเบะปากร้องไห้
     
     
     
    "วันอะไร?"
     
     
     
    "..."
     
     
     
    "อ่อ...."
     
     
     
    "....."
     
     
     
    "วันที่แย่ที่สุดของเราไงครับ"
     
     
     
    "...."
     
     
     
    ไม่ใช่..
     
     
     
    มันคือวันครบรอบหกเดือน..
     
     
     
    หกเดือนตั้งแต่วันแรกที่ผมจงใจโยนลูกวอลเล่ย์ใส่หัวน้อง ตั้งแต่วันแรกที่เรานั่งกินปีโป้และคุยเล่นกันหน้าห้อง
     
     
     
    วันที่ผมเตรียมคำพูดมาเป็นสัปดาห์เพื่อจะขอแบมแบมเป็นแฟน
     
     
     
    ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ที่เราห่างกัน ผมคิดถึงน้องตลอดเวลา มองไปทางไหนในห้องก็มีแต่ภาพน้องที่ชอบมานั่งเลยซ้อนทับตลอด มีหลายครั้งที่ผมกังวลว่าน้องเขาจะเทใจไปหาคนอื่น ผมไม่ต้องการ..ไม่ต้องการแบบนั้น มันไม่ใช่เพราะผมไม่เชื่อใจน้อง แต่แน่นอนว่าใครที่ใกล้ชิดด้วยมากกว่าก็จะมีโอกาสมากกว่า 
     
     
     
    ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกมันน่ากลัว เพราะอีกฝ่ายสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ ผมยอมรับอย่างไม่อายว่ารักแบมแบมมาก ทั้งรักทั้งห่วงทั้งเอ็นดู ผมไม่มีทางที่จะปล่อยมือเขา
     
     
     
    ผมลังเลอยู่หลายครั้งว่าจะพูดตอนไหนดี จนเมื่อเราห่างกันมันทำให้ผมยิ่งแน่ใจ ว่าผมต้องการดูแลเขา ต้องการยืนยันสถานะของเราให้มันชัดเจน
     
     
     
    แต่พอวันนี้มาถึง ผมก็ทำมันพังไม่เป็นท่า
     
     
     
    ที่แย่ไปกว่านั้นคือเราทะเลาะกัน น้องไม่มีท่าทางว่าจะจำวันครบรอบได้ ทั้งๆที่เมื่อเดือนก่อนน้องเป็นคนมาเซอร์ไพร์สเอง แถมยังจะหนีไปหายูคยอม
     
     
     
    และล่าสุด..น้องบอกว่าวันนี้เป็นวันที่แย่ที่สุด เป็นวันที่ผมทำน้องร้องไห้
     
     
     
    น้องยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
     
     
     
    ปัง!
     
     
     
    น้องออกไปแล้ว..
     
     
     
    ผมยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ไม่ได้คิดจะเดินตามน้องไปอีก
     
     
     
    แม่งเป็นหกเดือนที่โครตห่วยแตก
     
     
     
     
    100%
     
     
     
    มาแก้หน่อย ตอนก่อนเราบอกห้าเดือนช้ะตอนนี้มันก็ต้องหกดิละตอนแรกเราพิมพ์ว่าครบรอบสี่เดือนเว้ย บ้าไรอะเพิ่งมาอ่านย้อน งงวันเวลามากมั้ยไอ้บ้าเอ้ยอาย5555555555555555555555555555555555




         
    #นบพกด





     
     
    ©
    t
    h
    e
    m
    y
    b
    u
    t
    t
    e
    r

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×