ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยังเป็นเพียงตัวประกอบ

    ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ 18 ll ความลับ rewrite

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.16K
      430
      20 ก.ค. 62



                 ตอนนี้ทั้งเธอ อีธาน และ โบการ์ดเดินลงมาจากด้านบนได้สักพักแล้วกำแพงของทางเดินนั้นมีภาพเล่าอธิบายเกี่ยวกับอารยธรรมของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการถวายเลือด การเกษตร หรือ วัฒนธรรมอื่นๆอีกหลายอย่างก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเหตุการ์ณล่มสลายของอาณาจักรที่ถูกอธิบายว่าเป็นการลงทัณฑ์จากการทรยศพระแม่เมลิด้าโดยถูกอสูรแห่งชีวิตทำลายเมือง

    หลังจากเดินไปสักหนึ่งก็ปรากฏแสงที่ปลายทาง พวกน่าจะเป็นจุดสิ้นสุดของการลงบันไดที่ยาวนานของพวกเธอซึ่งมันก็เป็นไปตามคาดเพราะอีกฝากหนึ่งของแสงสว่างคือเมืองที่ถูกทำลายจากการลงทัณฑ์ของอสูรแห่งชีวิต รูปแบบบ้านเรือนของที่นี่แม้ถูกทำลายไปบ้างแล้วก็ยังพอมองออกว่ามันคล้ายกับบ้านเรือนในทวีปมืดถึงแปดส่วน

    " ถ้าไม่รู้มาก่อนว่ามันคือเมืองใต้ดิน ผมคิดว่าตอนนี้พวกเรานั้นอยู่เมืองหมายเลขสามนะเนี้ย " เมื่อเห็นทิวทัศน์ของเมืองใต้เดินโบการืดก้อดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าเมืองใต้ดินนี้มันคล้ายกับเมืองที่เขามักไปเที่ยวบ่อยๆในช่วงพักร้อนอย่างเมืองหมายเลขสามมาก 

    " อืม " อีธานครางรับอย่างเห็นด้วยแล้วเริ่มเดินนำเพื่อทำการสำรวจรอบๆว่าสถานที่แห่งนั้นมันน่าจะเป็นที่ไหนในเมืองและคณะของศาสาตราจารย์ได้ลงมาถึงที่นี่รึเปล่าหรือพวกเขาโดนสิ่งที่เรียกว่าอสูรแห่งชีวิตกินไปแล้ว ตามแผนที่ของโอโดเรแล้วคำทำนายนั้นถูกซ่อนเอาไว้ในบ้านของชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งโดยไม่มีการระบุชัดเจนว่ามันคือหลังไหนหรือมีเอกลักษณ์ยังไงรู้เพียงมันอยู่ในเมืองนี้เท่านั้น

    " แยกย้ายกันหาเถอะ ถ้าเจออะไรที่ส่งผลต่อชีวิตก็รีบให้จุดพลุสัญญาณ " แคลร์พร้อมกับยื่นพลุสัญญาณไปให้โบการ์ดแล้วเดินไปทางทิศตะวันออกเพื่อทำการสำรวจ อีธานนั้นเดินตรงไปทางทิศใต้ดังนั้นเส้นทางสุดท้ายในทิศตะวันตกจึงเป็นของโบการืดโดยอัตโนมัติทันที

    แคลร์ค่อยๆเดินเข้าออกบ้านที่เธอเดินผ่านอย่างไม่เร่งรีบ เธอค้นบ้านแต่ละหลังอย่างละเอียดและพยายามไม่ทำให้ข้าวของของเจ้าของบ้านเสรยหายไปจากเดิมมากนักต่างจากชายหนุ่มเจ้าของพลังอันเหลือล้นจากโณงประมูลที่ไม่ว่าเขาจะผ่านบ้านไหนมันก็จะถุกพังเละราวกับถูกนักเลงหัวไม้มาปล้นครั้งใหญ่

    "บันทึกของราชอาลักษณ์เล่มสุดท้าย " แคลร์อ่านตัวอักษรที่เขียนไว้บนมุมหนังสือปกกำมะยีสีกรมท่าเสียงเบาก่อนที่จะค่อยเปิดมันอ่านทีละหน้าด้วยความระมัดระวังทำให้เธอค้นพบความจริงที่น่าตกใจบางอย่างเกี่ยวการล่มสลายของอรายธรรมนี้ หลังจากอ่านไปได้เกือบครึ่งเล่มแคลร์ก็ได้สติว่าต้องรีบตามหาคำทำนายให้เจอจึงเก็บหนังสือเล่มนี้ใส่กระเป่าทันทีแล้วทำการสำรวจต่อ

    ทางอีธานเขาก็สำรวจข้าวของด้วยความปราณีไม่ต่างจากแคลร์เท่าไรนักอีกทั้งชายหนุ่มยังสวมถุงมือระหว่างหยิบจับสิ่งของในบ้านแต่ละหลังอีกด้วย อีธานไม่เจออะไรที่ดูพิเศษเหมือนที่แคลร์เจอแต่เขาสังเกตุเห็นอย่างหนึ่งที่มักมีอยู่ทุกบ้านนั้นถือแจกกันที่ทำจากแก้วที่เหมือนกับในห้องโถงกลางกับรูปปั้นเล็กๆของตัวที่อยู่ในห้องโถงรอง

    ซ่าร์ เสียงสุดพลุดังขึ้นจากทางทิศตะวันตกชี้ให้เห็นว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับโบการ์ดตามมาด้วยเสียงดังสนั่นราวกับการใช้แส้ฝาดพื้นแต่เป็นแส้เส้นใหญ่ขนาดเดียวกับต้นขาของมนุษย์กล้ามทำให้อีกสองคนวิ่งออกจากบ้านที่พวกเขากำลังสำรวจอยู่ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นก็พบกับสิ่งที่คล้ายกับหนวดปากหมึกจำนวนมากกำลังต่อสู้กับโบการ์ดอยู่

    " ไม่มีดวงเลยนะ " แคลร์ว่าเสียงเบาพร้อมพุ่งตัวไปช่วยโบการ์ดทันทีโดยมีอีธานนำอยู่ก้าวหนึ่ง เมือเข้าไปใกล้กับจุดหมายทั้งคู่ก็อดตกตะลึงกับเจ้าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าไม่ได้เพราะมันเป็นต้นไม้ต้นใหญ่ที่เคลื่อนที่ได้โดยสิ่งที่คล้ายกับหนวดนั้นคือกิ่งกาดสาขาของมัน พวกเขาทั้งสามคนมีความเห็นตรงกันว่ามันคือ ' อสูรแห่งชีวิต ' จากคำบอกเล่าจากภาพวาดที่คำแกะสลัก

    ทั้งสามช่วยกันรับมือเจ้าต้นไม้ด้วยความยากลำบากแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้มากนัก พวกเขาจึงเลือกที่จะถอยกลับไปเพื่อความปลอดภัยของชีวิตแต่การที่จะถอยนั้นก็ไม่ง่ายเพราะมันมีกิ่งกานสาขาเยอะจนสามารถไปดักทางพวกเธอได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน ตอนนี้คนที่เหมือนจะมีปัญหาที่สุดก็คือตัวแคลร์เพราะสมตภาพทางด้านร่างกายของเธออ่อนที่สุดในสามคนแม้ว่าจะมีการพัฒนาขึ้นไปอีกมากแล้วก็ตามอีกทั้งเธอนั้นหนื่อยจากการสิ้นเปลืองพลังเวทย์ในการพรางตัวจากมันเพื่อใช้ในการหนีในตอนแรกไปไม่น้อย แต่ก้เหมือนจะไร้ประโยช์นพระเจ้าอสูรนี่ตามมาทันอย่างรวดเร็ว ทำให้ภาพในวันวานฉายกลับเข้ามาในหัวของเธออีกครั้งภาพในการที่วิ่งหนีอสูรหมาป่าในวันที่ทำให้เธอและอีธานได้มาเจอกัน

    " บัดซบที่สุด " โบการ์ดคำรามด้วยความหงุดหงิดพร้อมกับใช้ดาบใหญ่และพลังเวทย์ของเขาตัดหนวดที่มาขวางทางในการกลับไปที่บันไดที่โผล่ออกมาไม่หยุดอีกทั้งพอตัดออกไปมันก็งอกออกมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

    " ระวัง " อีธานตะโกนเสียงลั่นพร้อมพร้อมกับร่ายเวทย์เพื่อตัดหนวกที่กำลังพุ่งเข้าพาหาร่างบางของแคลร์อย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่ทัน ร่างของหญิงสาวถูกหนวดพาดเข้าอย่างแรงจนปลิวไปตกอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งเสียงดังลั่น

    ทางอีธานเมื่อเห็นคนสำคัญของตัวเองถูกทำร้ายความอดทนของเขาก็มาถึงขีดจำกัดทันที เขานั้นร่ายเวทย์คนในอาณาจักรของเขาเห็นว่าเป็นภัยต่อประชาชนจนถูกเนรเทศในอสูรตัวนั้นอย่างไม่ยั้งจนหนวดของมันถูกทำลายเป็นจำนวนมากและยากต่อการฟื้นคืนในระยะเวลาอันสั้นเหมือนกับคราก่อนๆ

    ทางแคลร์ที่ถูกฝาดไปยังบ้านหลังหนึ่งก็กระอักเลือดเนื่องจากการบอกช้ำของอวัยวะภายในออกมาคำโตก่อนร่างบางจะค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก ระหว่างเธอกำลังจะออกจากบ้านสายตาคู่งามก็เหลือบไปเห็นอะไรบางคล้ายกับศิลาที่เขียนคำทำนายเอาไว้ในการตามหาครั้งที่แล้ววางอยู่ในหิมที่แตกระเอียดใกล้ๆกับหน้าประตูบ้าน

    หญิงสาวเดินเข้าไปหามันด้วยความหวัง ก่อนที่จะยิ้มออกมาแล้วเก็บศิลานั้นใส่กระเป๋าแล้วพยายามเคลื่อนตัวไปสมทบกับอีธานและโบการ์ดให้เร็วที่สุด เมื่อไปถึงก็พบกับอสูรแห่งชีวิตที่กำลังอ่อนแรงและฟื้นฟูตัวเองจากการทำลายล้างครั้งใหญ่ที่เธอคาดว่าจะเป็นฝีมือของอีธาน

    " แคลร์ " อีธานตะโกนด้วยความยินดีเมื่อเห็นร่างที่ยังมีชีวิตอยู่ของอีกฝ่ายแม้จะเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดก็ตาม เขารีบพุ่งตัวไปสำรวจร่างบางด้วยความห่วงตามด้วบโบการ์ดที่ขยับกายตามมาไม่ห่าง

    " รีบไปกัน อีกไม่นานมันคงกลับมาตามล่าเราได้อีกครั้ง " แคลร์ว่าพร้อมกับมองไปยังต้นไม้แห่งชีวิตที่ค่อยฟื้นตัวทีละเล็กทีละน้อยด้วยความเร็วคงที่

    " ดูสภาพขอองพวกนายไม่ค่อยไหว ดังนั้นการกลับไปให้เป็นหน้าที่ของพี่ชายเอง " โบการ์ดว่าแล้วใช้กล้ามแขนทั้งซ้ายและขวาของตัวเองหอบร่างของทั้งคู่ขึ้นแล้ววิ่งตรงไปที่ประตูอย่างรวดเร็วซึ่งในระหว่างนั้นต้นไม้ก็ฟื้นตัวจนสามารถตามพวกเธอมาได้แล้วถึงจะมีความเร็วไม่เท่าตอนแรกที่ตามแต่ก็ตามมาได้แล้ว

    ด้วยความเร็วของโบการ์ดทั้งสามคนก็มาถึงจุดขึ้นบันไดก่อนที่จะเริ่มขึ้นบันไดแคลร์ขอให้โบกร์ดหยุดเพื่อลงอาคมปิดปากทานดยใช้เลือดของอีธานเป็นเครื่องสังเวยเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้หนวดนั้นตามขึ้นมาเร็วนัก แน่นอนการกระทำของแคลร์ทำให้โดนอีธานส่งสายตำหนิมาตลอดทางซึ่งแคลรืก็พยายามเมินสายตานั่นไป ความจริงแล้วเธออยากใช้อาคมศักดิ์สิทธิ์ของพวกเอลฟ์ด้วยซ้ำแต่ด้วยสังขารตอนนี้ถ้าใช้ เธอคงต้องจบชีวิตน้อยๆเอาไว้ตรงนี้แน่นอน

    ตึงง ตึง ตึง เสียงเหมือนกับมีบางอย่างกระแทกกันอย่างรุ่นแรงดังก้องไปทั่วบันได สำหรับทั้งสามคนไม่บอกก็รู้ว่าเป็นเสียงของเจ้าหนวดของต้นไม้ที่กำลังพยายามทำลายอาคมที่แคลร์ลงไว้ที่โถงบันไดแน่นอน เวลาผ่านไปสักพักทั้งสามร่างก็ขึ้นมาถึงด้านบน โฐการ์ดลงมือปิดทางใต้ดินอย่างรวดเร็วพร้อมกับแคลร์ที่ลงอาคมเลือดทับอีกที

    " ต้องรีบกลับไปที่แคมป์ก่อนค่ำ ที่นั้นปลอดภัยที่สุดนตอนนี้เพราะมันคือตัวเดียวที่มาวนอยู่รอแคมป์เมื่อคืน " แคลร์ว่าเสียงอ่อนก่อนที่จะหมดสติไปด้วยความเหนื่อล้าจากการลงมนตราครั้งสุดท้ายเพราะมนตราครั้งนี้มันค่อนข้างกว้างเนื่องจากมันครอบคลุมทุกพื้นที่บนพื้นของปล่องภูเขาไฟ เพราะว่าการที่หนวดของมันสามารถวนเวียนใกล้ๆกับแคมป์ของพวกเธอในคืนที่ผ่านมาได้แสดงว่ามันอาจมีความเป็นไปได้ว่ามันจะสามารถทะลุดินขึ้นมาได้

    พอเดินออกมาถึงด้านนอกวิหารก็พบว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ใกล้พระอาทิตย์ตกเต็มทีแล้วทำให้โบการ์ดตัดสินใจที่จะใช้ไม้ตายก้นหีบของเขาในการที่จะกลับไปยังแคมป์ให้ทันเวลา

    " งั้นเกาะแน่ๆละ " โบการ์ดว่าแล้วใช้เวทย์ลมของเขาพาพวกเธอลอยขึ้นไปยังปากปล่องภูเขาไฟและกลับที่ที่แคมป์อย่างรวดเร็วทันเวลาที่หนวดจะตามออกมาไม่นาน สมาชิกอีกสองคนที่เฝ้าอยู่ที่แคมป์นั้นตกใจกับสภาพของแคลร์เป็นอย่างมากแต่พวกเขาไม่ลืมถามหาสมาชิกที่เหลือว่าหายไปไหน

    " ศาสาตร์จารย์กับที่เหลือหายไปตอนสำรวจวิหาร หลังจากนั้นพวกเราเดินตามหาจนพบทางลับเข้าทางหนึ่งที่พวกเราเดาเอาว่าศาสาตราจารย์และคนอื่นน่าจะลงไปในนั้นเลยเข้าไปตามหาแต่แทนที่จะพบคนกลับพออสูรร้ายตัวหนึ่งแทน มันทำร้ายพวกเราจนมาสามรถย่ำแย่อย่างที่เห็น " เมื่อถึงแคมป์โบการ์ดก็สวมบทบาทเป็นหนึ่งในคณะสำรวจอีกครั้งอย่างใหลลื่น ส่วนอีธานก็ไม่สนคนทั้งสองพาแคลร์เข้าไปรักษาตัวในเตนล์

    " หมายความว่าศาสาตร์กับคนที่เหลือโดนมันกินไปแล้ว " คนที่เฝ้าแคมป์หมายเลขหนึ่งสรุปเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว

    " คงจะเป็นแบบนั้น " โบการ์ดว่า

    " แล้วตอนเข้าไปนายเจออะไรบ้าง " คนเฝ้าแคมป์หมายเลขสองถามซึ่งโบการ์ดก็อธิบายภาพตรงกำแพงบันไดตามที่แคลร์แปลให้เขาตามทางให้ทั้งสองคนฟังวึ่งทั้งคู่ดูตื่นตาตื่นใจกับของมูลที่ได้มาจนลืมเหตุการณ์ศูนย์เสียครั้งใหญ่ไป

    ตึง เสียงบางอย่างกระแทกกับเขตแดนอย่างแรงซึ่งพอหันไปก็พบกับหนวดจำนวนมากกำลังกระแทกกำแพงอย่างดุเดือดสร้างความตกใจในอีกสองคนที่ไปได้ลงไปสำรวจเป็นอย่างมาก

    " เจ้านี่น่าจะเป็นอสูรแห่งชีวิตที่เป็นตัวการให้อารยธรรมนี้ล้มสลายไปและก็เป็นตัวที่ตามล่าพวกเรามา " โบการ์ดอธิบายถึงมันอย่างไม่ทุกร์ไม่ร้อน

    " แล้วมันจะเข้ามาทำอะไรพวกเราไหม " หนึ่งในคนเฝ้าแคมป์หมายเลขหนึ่งว่าพร้อมกับขดเข้าหาตัวอย่างขลาดกลัว

    " ถ้าไม่ออกไปนอดแคมป์ก็ไม่เป็นไร เพราะคืนก่อนมันก็เข้ามาไม่ได้ " โบการ์ดชี้แจงแล้วว่าถามต่อว่า " เสบียงของพวกเรายังพอเหลือไหม "

    " เหลียงอีกประมาณครึ่งหนึ่ง ทำไมหรอ " คนเฝ้าแคมป์หมายเลขสองถาม

    " เอามาทำให้อาหารบำรุงให้พวกเค้า " โบการ์ดชี้ไปทางเตนล์ของนักศึกษาจากสถาบันก่อนที่จะกล่าวต่อว่า " พรุ่งนี้เช้าเราต้องเก็บของลงจากที่นี่ทันทีเพราะงานนี้มันเสียงเกินไป "

    " แล้วพวกศาสาตราจารย์ละ ถ้าเขามีชีวิตอยู่แล้วกลับมาไม่เจอเราจะทำยังไง " คนเฝ้าแคมป์หมายเลขหนึ่งท้วง

    " อย่าทำตัวโง่ได้ไหม เมเบล เธอคิดว่าศาสตราจารย์กับพวกเหลือมีปัญญาต่อสู้ชนะคนจากสถาบันที่ถูกส่งมาดูแลพวกเราไหม " คนเฝ้าแคมป์หมายเลขสองติอีกฝ่ายและเปรียบเทียบความต่างของคนทั้งสองกลุ่มให้เธอดู " ก็ไม่ถูกไหม " เมื่อเห็นอีกฝ่ายหนักหน้ายอมรับความตอบของอีกฝ่ายคนเฝ้าแคมป์หมายเลขสองก็ว่าต่อว่า " แล้วขนาดพวกเขายังกลับมาด้วยสภาพที่แย่ขนาดนี้ ศาสาตราจารย์จะมีสภาพเป็นแบบไหนก็พอเดาได้ถูกไหม " 

    " แต่ซานเดอร์ก็ยังกลับมาอย่างปลอดภัยเลย " คนเฝ้าแคมป์หมายเลขหนึ่งหรือเมเบลท้วงอีกครั้ง

    " ที่ผมยังมีสภาพดีอยู่ก็เพราะพวกเขาเสี่ยงชีวิตปกป้อง ถ้าไม่ได้ลงไปพร้อมพวกเขาแต่ลงไปพร้อมกับศาสาตราจารย์ผมก้คงไม่มีชีวิตรอดกลับมาแบบนี้ " โบการ์ดกล่าวอธิบายให้อีกฝ่ายยอมรับว่าศาสตราจารย์และที่เหลือไม่มีทางรอดแล้ว " แต่ถ้า เมเบลต้องการรอศาสาตราจารย์อยู่ที่นี่ผมก็ห้ามนะ แต่เช้าวันพรุ่งนี้ผมจำเป็นต้องพาพวกเขาไปปรักษาตัว " กล่าวจบโบการ์ดในบทบาทของซานเดอร์ สมิธก็เดินเข้าเตนลืไปพักผ่อนเหลือให้สมาชิกกลุ่มสำรวจที่แท้จริงอยู่ด้านนอกกันสองคน

    " ตามที่ซานเดอร์บอกถ้าเธออยากรอพวกศาสาตราจารย์ก็รอต่อไปก็ได้ แต่ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ ฉันยังห่วงชีวิตของตัวเองมากกว่า " คนเฝ้าแคมป์หมายเลขสองบอกความคิดของตนกับอีกฝ่ายแล้วเดินไปจัดเตรียมมื้ออาหารให้คนที่ยังอยู่ในตอนนี้

    ไม่นานตะวันก็สาดแสงอีกครั้ง ร่างทั้งห้าออกเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านเชิงเขาถึงจะบอกว่าห้าแต่คนที่เดินนั้นมีสี่พร้อมตั้งแต่เมื่อคืนจนมาถึงตอนนนี้แคลร์ก็ยังไม่
    ได้สติเลย ในขาลงพวกเขาใช้เวลาเร็วกว่าเดิมมากและเมื่อถึงตัวหมู่บ้านชาวบ้านก็มามุงดูผู้รอดชีวิตที่เดินทางไปยังวิหารในรอบสามเดือนด้วยความตกใจ

    และด้วยที่หมู่บ้านเชิงเขานั้นไม่มีอุปกรณ์เพียงพอในการที่จะรักษาแคลร์พวกเขาจึงรถม้าให้เข้าไปยังตัวเมืองด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่อีกฝ่ายจะพาพวกเขาไปได้และเมื่อถึงโรงพยาบาลอีธานก็บอกลาอีกสามคนเหลือทันทีจากนั้นขอก็อุ้มแคลร์เข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บ

    ___________________________________________________________

    จบไปอีกหนึ่งตอนที่หนูแคลร์ของเรามีสภาพที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนักแต่แน่นอนแม่หนูของเราไม่ตายหรอกเพราะเธอยังไม่ได้มีโอกาสพบน้องชายของเธอแบบใกล้ชิดเลยสักครั้งหลังจากที่เธอกระโดดลงเหว แล้วก็ยังไงก็อย่าลืมกดให้กำลังใจและคอมเมนต์ให้ด้วยนะค่ะ






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×