ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยังเป็นเพียงตัวประกอบ

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 ll วงกตเลือด rewrite

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.5K
      706
      25 มิ.ย. 62

    " การท่องเที่ยวไปกับความกลัวของตัวเองเป็นไงบ้างค่ะ คุณบิเวียร์  " เสียงหวานดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายหนุ่มที่ลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกที่หวาดกลัวจากก้นบึ้ง

    " เลวร้ายมากเลยคุณหนู " ออสตินเอ่ยพร้อมกับพยายามปรับอารมาณ์ของตัวเองให้กลับเป็นปกติซึ่งมันยากมากที่จะนำภาพจากเหตุการณ์ที่เขาเพิ่งเจอนั้นออกไป ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าคนที่น่ากลัวที่สุดของอาณาเขตการปกครองนี้ไม่ใช่คนที่เขาเพิ่งสู้ด้วยก่อนเข้ามาแต่เป็นเด็กผู้หญิงคนนี้ต่างหาก

    " แต่คุณก็ไม่เป็นอะไรมีแค่จิตใจบอบช้ำไปหน่อยเท่านั้น อีกทั้งคุณสามารถออกมาได้ด้วยตัวเองถือว่ามีฝีมือไม่เลวเลย " แคลร์ว่าแล้วเดินเข้าไปใกล้ร่างของออสตินที่กำลังคุกเข่ากับพื้นด้วยท่าทีอ่อนแรง " คุณยังยืนยันคำตอบเดิมแล้วหอบของกลับไปหรือทำตามกฏของเรา "

    " ผมยังมีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามกฏของคุณด้วยรึคุณหนู " ออสตินว่าแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถกล่าวออกมาได้เป็นคำพูดใดๆ " วันนี้ผมขอค้างที่นี่ได้ไหม ผมยังไม่พร้อมที่จะกลับ "

    " ได้อยู่แล้ว เด็กๆพาแขกของเราไปพักพักผ่อนที่ห้องพักแขกของบ้านที อย่าลืมเตรียมอาหารให้พวกเขาด้วยละ " แคลร์ว่าแล้วเดินออกจากห้องไปทิ้งให้พ่อบ้านจัดการดูแลที่เหลือต่อเพราะตอนนี้เธอเหนื่อยมากจนสามารถจะหลับได้ทุกเวลาไม่ต่างจากออสติน การใช้เวทย์มายาครั้งนี้กินแรงเธอไปมากกว่าที่คิดนอกจากออสตินที่ทรมาณและพยายามต่อสู้อยู่กับจิตใต้สำนึกของตัวเองนั้นเธอก็รับผลกระทบที่เรียกว่าเวทย์สะท้อนกลับไม่น้อยแต่ก็ยังดีที่อยู่ที่ในขอบเขตที่ยังรับมือได้แม้จะแทบไม่รอดก็ตาม

    การกลับห้องไปพักผ่อนหรือทำงานต่อหลังจากที่ร่ายมนต์สะกดออสตินไปแล้วเหมือนที่คิดตอนแรกนั้นไม่สามารถเป็นไปได้เลยแค่ออกจากห้องก็เริ่มเหงื่อแตกจนต้องกลับเช้ามาในห้องอีกครั้ง จิตใจและพลังเวทย์ของออสตินนั้นเข้มแข็งมากดังนั้นเธอจำเป็นต้องวางเวทย์อย่างต่อเนื่องซึ่งมันก็การร่ายเวทย์ต่อเนื่องที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยทำตอนนี้แล้ว 18 ชั่วโมงเต็มๆไปเลยให้ตายเถอะ เดิมทีก็ใช่ว่าสุขภาพแข็งแรงอยู่แล้วแต่การล้มลงหน้าคู่ต่อสู้คือหนทางแห่งความตายดังนั้นจะล้มไม่ได้

    ดูเหมือนทางกลับห้องนั้นจะไกลเป็นพิเศษแต่ว่าก็ยังโชคดีที่มีคนพากลับแล้ว ว่าแล้วแคลร์ก็ปล่อยตัวของตัวเองลงในอ้อมแขนของพี่ชายฝาแฝดในนามของเธอก่อนที่จะหมดสติไป

    " ฝืนตัวเองเก่งสมเป็นเธอจริงๆ " อีธานกล่าวพร้อมกับอุ้มร่างเล็กตรงเข้าไปในห้องนอนของเจ้าตัว ระดับเสนาธิการของหนึ่งในสิบกลุ่มอิทธิพลนั้นย่อมมีความสามารถและพลังเวทย์ไม่ธรรมดา การรับมือนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆถ้าไม่ได้พลังของแคลร์ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาคนคนนั้นอยู่

    พอถึงห้องอีธานก็วางร่างบางลงบนเตียงแล้วให้สาวใช้เข้ามาจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แคลร์แล้วไปจัดการงานของตัวเองต่อแล้วแวะไปดูแขกที่ค้างคืนเสียหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง อาการยังอยู่ดีไหม แต่าถ้าจะให้ดีกลายเป็นบ้าไปเลยดีกว่าทำให้แคลร์เสียพลังงานขนาดนี้แล้ว

    ผ่านมาไม่นานเช้าวันใหม่ก็มาถึงแคลร์ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่มึนหัวเล็กน้อย ร่างบางพึมพัมบางอย่างแล้วก้าวลงจากเตียงไปจดบันทึกสิ่งที่ได้มาจากออสตินเมื่อวานลงในหนังสือในชุดนอนลูกไม้สีเนื้อที่ได้หนึ่งในแม่บ้านตัดเย็บให้ แคลร์รู้สึกว่าพลังของตัวเธอในตอนนี้ยังอ่อนด้อยเกินไปสำหรับตำแหน่งของตัวเองในตอนนี้ 

    ระหว่างบันทึกและเรียบเรียงข้อมูลที่ได้มาจากออสตินเธอก็พบอะไรน่าสนใจอย่างบันทึกโบราณที่ทางกลุ่มของออสตินกำลังตามหา ความรู้สึกลึกๆของเธอบอกว่าในนั้นน่าจะบอกอะไรเกี่ยวกับเวทย์โบราณเอาไว้โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเพิ่มขีดจำกัด

    พอพูดถึงขีดจำกัดของการใช้เวทย์แล้วปกติแล้วจะใช้หินเพิ่มพลังในการเพิ่มขีดจำการโดยเพิ่มพลังไปจนเกิดการระเบิดของขีดจำกัดจากภายในแต่มันใช่ไม่ได้ผลกับตัวเธอและอีธาน ดังนั้นขีดจำกัดของพวกเธอนั้นมีเพียงน้อยนิดถ้าเทียบกับคนในวัยเดียวกันที่มีเงินจะซื้อหิน ถ้าไม่ได้ทักษะที่เฝ้าเก็บสะสมมาอย่างเอาเป็นเอาตายมาก่อนละก็การรับมือศัตรูที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานนั้นเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

    หลังจากจัดการบันทึกเสร็จเธอก็จัดการตัวเองแล้วไปพบอีธานเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับบันทึกโบราณนี้โดยมีพ่อบ้านทั้งสองนั้นเป็นผู้คอยบริการและป้องกันไม่ให้ใครเข้ามารบกวน

    " ผมว่ามันน่าเสี่ยงเพื่อไปหามัน แต่ว่าผมกับแคลร์ไม่สามารถไปหามันพร้อมกันได้ " อีธานกล่าวแล้วมองหญิงสาวที่นั่งจิบชาอยู่ข้างๆเขา

    " ฉันรู้ วอลเลอร์ไม่อาจขาดหัวหน้า ดังนั้นต้องมีเพียงฉันไม่ก็นายที่ต้องออกไปหามัน "

    " ผมว่าเธอรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าใครที่ต้องออกไปและใครต้องอยู่เฝ้า " อีธานว่าแล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์กับแคลร์ เขารู้ว่าแคลร์ต้องการจะไปหามันด้วยตัวของเธอเองแต่ด้วยความสามารถบวกด้วยสถานการณ์ในตอนนี้เธอต้องอยู่เฝ้าที่นี่ สำหรับคนพวกนั้นแคลร์นั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวเกินกว่าจะเข้ามายุ่งด้วย

    " เกลียดนายชะมัด เดินทางปลอดภัย รีบไปรีบกลับด้วยละ " แคลร์ว่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหมั่นไส้ แต่มันก็จริงพลังของเธอนั้นเหมาะสำหรับการปกป้องมากกว่าออกไปผจภัยอีกอย่างความสามารถทางกายภาพของอีธานนั้นห่งไกลจากเธอมากห่างชนิดที่สามารถบอกได้ว่าอยู่คนะฟากของทะเล

    " ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะน้องสาว " อีธานว่าแล้วยื่นมือเข้ามาขยี้หัวของแคลร์จนสาวเจ้าต้องหันกลับมามองค้อนใส่แล้วเรียกไบรตันมาพูดคุยถึงการเดินทางที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆส่วนแคลร์ก็กลับไปค้นคว้าในสิ่งที่เธอสนใจต่อ

    ก่อนการมาของออสตินเธอได้พบหนังสือเก่าๆในร้านแห่งหนึ่งในตัวเมืองซึ่งเขียนเกี่ยวกับวงกตโบราณที่มักใช้ในการปกป้องสถานที่สำคัญๆของพวกเอลฟ์ซึ่งมันเหนือชั้นกว่าวงกตเวทย์ที่ตัวเธอเคนศึกษาสมัยยังเป็นเจ้าหญิงอยู่มากอีกยังเข้าใจยากมากมันเหมือนกับการเขียนสมการสามชั้นโดยเริ่มจากง่ายแล้วใส่เงื่อนไขไปเรื่อยๆจนซับซ้อนขึ้นแล้วจัดรูปใหม่ให้ยากต่อการมองอีกที ดังนั้นแล้วการที่จะสร้างมันออกมาไม่ง่ายเลยอีกทั้งเงื่อนไขการเข้านั้นเกี่ยวข้องกับพันธสัญญาเลือดด้วย

    " ดันเต้  ฉันอยากได้ของพวกนี้ ไปหามาให้หน่อยสิ " แคลร์ว่าพร้อมกับส่งใบรายการของไปให้กับพ่อบ้านหนุ่มที่เป็นผู้ติดตามของอีธานมาตั้งแต่ออกจากทวีปหลักแล้วเริ่มคัดลอกวงแหวนย่อยสำหรับการสร้างวงแหวนหลักลงในกระดาษนับสิบวงแหวนและดูเหมือนจะวาดเพิ่มไปอีกเรื่อยๆ

    เวลาผ่านไปสักพักดันเต้ก็ก็กลับมาพร้อมกับรายการของที่เธอใช้ให้ไปหา เมื่อได้ของมาแล้วสิ่งต่อไปที่ต้องเอามาใช้คือเลือด การสร้างวงกตของพวกเอลฟ์โบราณนั้นจะใช้เลือดแต่ตัวหล่อเลี้ยงและขับเคลื่อนกลไกของของวงกต ความแข็งแกร่งของวงกตของพวกเขานอกการเขียนวงแหวนเวทย์ซ้อนกันแล้วนั้นยังมีผลมาจากเลือดที่ใช้เขียนวงแหวนด้วยเพราะวงกตจะมีพลังนั้นการกำจัดผู้บุกรุกโดยพลังนั้นจะเป็นรูปแบบเดียวกับเจ้าของเลือดที่ใช้เขียนวงแหวน อีกทั้งมันจะเป็นบัตรผ่านให้เจ้าของเลือดสามารถเข้าไปยังสถานที่ที่วงกตเวทย์คุ้มครองได้อย่างปลอดภัย

    เลือดที่ตัวแคลร์เลือกใช้นั้นเป็นเลือดของเธอ อีธาน ดันเต้ ไบรตัน และ อังเดร แต่การกรีดเลือดนั้นต้องเป็นเลือดที่ได้จากการกรีดด้วยมีดเงินบริสุทธิ์เท่านั้น แคลร์หยิบขวดโหลและมีดเงินที่ดันเต้ไปหามาแล้วเดินไปรับเลือดของคนที่ถูกเลือกตามสถานที่ต่างที่พวกเขาและจบที่อีธานที่อยู่ในเรือนกระจกที่เธอวางแผนจะใช้เป็นศูนย์กลางวงกต

    " ผมรู้ว่าถึงผมจะห้ามไม่ให้เธอทำอะไรที่เสี่ยงแบบนี้ แต่เธอก็คงไม่ฟังถูกไหม " อีธานว่าแล้วใช้มีดกรีดปลายนิ้วของตัวเองแล้วปล่อยให้เลือดไหลลงเข้าไปในขวดโหลจนเต็มจากนั้นก็ใช้สมุนไพรทาสำหรับการห้ามเลือดแล้วใช้ผ้าพันเอาไว้

    " ก็เหมือนกับนายตอนนั้น บอกให้หยุดยังไงก็ไม่ฟัง " แคลร์ว่าพร้อมกับคิดเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วที่อีธานนั้นฟืนใช้พลังจนทำให้พลังเวทย์ของเขานั้นแปรปรวนและระเบิดออกมาจนทำให้ร่างกายของเขานั้นบาดเจ็บจนสามารถพูดได้ว่าเขานั้นเข้าไปอยู่ในนรกแล้วครึ่งตัว เธอจำวันนั้นได้ดีว่าหลังจากที่เห็นร่างของอีธานที่อาบไปด้วยเลือดนั้นล้มลงกับพื้นเธอกรีดร้องแล้วเข้าไปกอดร่างที่ชุ้มเลือดนั้นจนชุดสีขาวนั้นถูกย้อมไปด้วยสีแดง เธอศูนย์เสียการควบคุมจนไม่สามารถรักษาสติของตัวเองได้ รู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนแล้ว วินาทีนั้นเธอตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าอีธานนั้นมีความสำคัญต่อตัวเธอมากแค่ไหนและเผลอๆอาจจะมากพอๆกับที่เธอรักและเอ็นดูในตัวของเทรย์เวอร์ 

    " แต่ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ถูกไหม " อีธานว่าแล้วยิ้มให้กับหญิงสาวที่กำลังจัดแจงตำแหน่งของขวดและกองกระดาษที่มีวงแหวนอยู่นับหกสิบอันแต่ก็รับการมองค้อนกลับมา เขารู้จากอังเดรว่าตอนนั้นแคลร์นั้นหาวิธีที่จะยื้อชีวิตของเขาจนแทบบ้า เจ้าตัวนั้นไม่เคยหยุดอยู่นิ่งแม้แต่วินาทีเดียว เธอร่อนเร่ไปยังเมืองต่างๆจนพบหนทางที่จะทำให้ตัวเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง

    " ฉันรู้ แต่ความหวาดกลัวในตอนนั้นฉันไม่ต้องการที่จะเจอมันอีก " แคลร์ว่าแล้วเริ่มการวาดวงแหวนด้วยเลือดทั้งหกสิบจากเลือดของคนทั้งหกโดยแบ่งออกสิบวงแหวนต่อเลือดหนึ่งคน จากนั้นร่ายเวทย์สำหรับการสร้างวงกต ทำให้วงแหวนทั้งหกสิบที่อยู่แยกกันนั้นค่อยเลื่อนเข้ามารวมกันเกิดเป็นวงแหวนขนาดใหญ่อันหนึ่ง วงแหวนค่อยๆขยายขนาดไปเรื่อยๆจากภายในโรงเรือนไปจนครอบคลุมคฤหาสทั้งคฤหาส

    และในขณะที่ที่แคลร์กำลังร่างเวทย์นั้นเธอไม่รู้ตัวเลยว่าเส้นเลือดตามมือและคอจนถึงใบหน้าหน้าเริ่มนูฯเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆจนทำให้อีกคนที่ดูอยู่นั้นขมวดคิ้วด้วยความกังวลเขามองวงแหวนที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนพอจะเอาได้ว่าตอนนี้มันน่าจะครอบคลุมเกือบครึ่งอาณาเขตของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว

    สำหรับแคลร์นั้นตอนนี้รภาพที่เธอเห็นนั้นไม่ใช่ภาพในเรือนกระจกแต่ภาพรวมของวงแหวนที่กำลังขยายตัวครอบคลุมอาณาเขตของพวกเธอไปเรื่อยๆ เมื่อมันครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดที่เธอต้องการ เธอก็จัดการอัดพลังเวทย์ลงไปเพื่อประทับวงกตลงไปในดินแดนเพื่อให้มันทำงานซึ่งขั้นตอนนี้เป็นอะไรที่กินพลังเวทย์มากที่สุด

    " แคลร์ " อีธานอุทานด้วยความตกใจหลังจากเห็นเลือดซึมออกมาจากมุมปากหญิงสาวที่กำลังใช้พลังเวทย์ของตัวเธอที่ประทับวงแหวนลงดินแดนแต่พอจะเข้าไปใกล้ก็ถูกดีดออกมาด้วยพลังบางอย่างจนกระเด็นไปชนกับผนังโรงเรือนเสียงดังลั้นทำให้อังเดรที่กำลังจัดการพวกทหารเดนตายอยู่เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

    " นายท่าน มันเกิดอะไรขึ้น " อังเดรถามพร้อมกับพยุงร่างของอีธานขึ้นมา

    " ไม่มีอะไร แค่การป้องกันของวงกตเวทย์ต่อผู้สร้างเท่านั้น " อีธานว่าแล้วมองไปยังของแคลร์ที่มีเลือดซึมออกจากมุมปากเรื่อยๆด้วยความกังวลที่มีมากขึ้นกล่าวเดิมพร้อมกับความอดทนที่ลดลงเรื่อยๆของเขา

    ผ่านไปสักก็เกิดแสงสว่างขึ้นมาจากวงแหวนปริมาณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้แล้วมันก็ค่อยลดลงพร้อมกับแคลร์ที่กระอักเลือดออกมาทำให้พื้นหินสีเทานั้นฉาบไปด้วยสีแดงสดพร้อมกับร่างที่โงเง่ไปมาแล้วล้มกับพื้น

    _____________________________________________________________________
    จบไปอีกหนึ่งแล้วบทนี้ก็จะเป็นช่วงที่บรรยายถึงความสัมพันธ์ของแคลร์และอีธาน ซึ่งไรท์หวังว่าทุกคนจะชอบนะค่ะ อย่าลืมกดให้กำลังใจด้านล่างด้วยนะค่ะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดรีดสามารถติชมได้เต็มที่สัดได้เต็มเหนี่ยวเลยเจ้าค่ะ ขอโทษที่หายไปนานนะพอดีไรท์ไปติดนิยายแปลเรื่องหนึ่งมา ชื่อ บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน ซึ่งมันดีมากไรท์อ่านรวดสิบเล่มจบเลย

                 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×