ตอนที่ 2 : CHAPTER 1 - THE DEAD BODY (3rd re-write)
CHAPTER 1 – THE DEAD BODY –
เสียงความวุ่นวายของสำนักงานได้กวนใจชายหนุ่มร่างสูงมานานพอสมควรแล้ว ระยะเวลา 50 นาที ตั้งแต่ได้ก้าวเข้ามา นั่งรอหน้าห้อง จนจิบกาแฟดำกลิ่นหอมฉุยไปหมดสองสามแก้ว มันช่างยาวนานเกินจะทนไหว แต่เขาก็ไปไหนไม่ได้ ได้เพียงแค่ทำใจ และรอต่อไป
ความจริง ชายหนุ่มที่ติดปกเสื้อด้วยเข็มทองปีกขนนกอย่างเขาไม่ควรมานั่งอยู่ในที่แบบนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะโทรศัพท์เรียกตัวนี่แหละ เขาจึงต้องรออยู่อย่างนี้
ประตูห้องที่ทำด้วยไม้แกะสลักอย่างประณีตค่อยๆ แง้มเปิดออก ชายวัยใกล้เกษียณยื่นหน้าออกมาส่งสัญญาณมือเรียกเขาเข้าไปข้างใน เขารีบวางแก้วกาแฟที่ดื่มค้างอยู่ลงบนโต๊ะแล้วค่อยๆ เดินตามเข้าไป
ภายในห้อง ดูเหมือนห้องหัวหน้างานทั่วๆ ไป ทั้งโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่ไม่รู้จะใหญ่ไปเพื่ออะไรในเมื่อไม่ค่อยจะมีเอกสารงานให้มานั่งอ่าน ทั้งเก้าอี้ที่มากมายเกินความจำเป็น รวมไปถึงขนาดห้องที่ใหญ่เสียจนไม่รู้จะตกแต่งอย่างไรให้ดูไม่โล่งจนเกินไป
ชายหนุ่มโค้งทำความเคารพชายวัยใกล้เกษียณผู้เรียกเขาเข้าพบ ซึ่งตอนนี้นั่งอยู่ตรงโซฟาตัวนุ่มมุมห้องที่ติดกับหน้าต่างบานใหญ่อันแสนเหมาะกับการชมทิวทัศน์ยามเช้าเย็น ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว
“อรุณสวัสดิ์ คริสโตเฟอร์”
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นทักชายหนุ่มผู้มาเยือนตามมารยาท แก้วกาแฟเซรามิคที่ว่างเปล่าตรงหน้าเขาบ่งบอกให้คริสโตเฟอร์ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้มีคนเข้าเยี่ยมเขามาแล้ว
“พวกยูจังล่ะ?”
“ผมน่าจะเป็นคนถามท่านมากกว่านะครับ ว่าลูกชายท่านหายหัวไปไหน” ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงในเครื่องแบบประดับเข็มทองปีกขนนกตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“เอาน่า หนุ่มๆ เขาก็ต้องออกไปสังสรรค์ตามประสาวัยรุ่นบ้างล่ะนะ” ชายคนนั้นหัวเราะร่าออกมาให้กับท่าทางไม่ใส่ใจของชายหนุ่มตรงหน้า “แล้วเมื่อคืน ปิดคดีไปได้กี่คดีล่ะ”
“ทั้งหมด 4 คดีครับ ตามที่ได้แนบเอกสารมาด้วย” คริสโตเฟอร์วางแฟ้มคดีทั้งสี่ที่ถูกเอ่ยถึงลงต่อหน้าชายวัยใกล้เกษียณ ก่อนหันมามองตามเสียงประตูที่ค่อยๆ เปิดแง้มออก
เจ้าหน้าที่หนุ่มหน้าเด็กในเครื่องแบบแทรกกายผอมแต่กลับดูแข็งแรงเข้ามาอย่างเงียบๆ ผ่านทางช่องประตูบานสวยนั้น สีหน้าของเขาดูเร่งรีบมาก สังเกตได้ชัดเจนจากเหงื่อที่ไหลย้อยตามโครงหน้าเรียวมาดพี่ชายของเขา
“มัวอ้อยอิ่งอะไรอยู่ ชุน แล้วจุนอิจิอยู่ไหน ฉันบอกประชุมตอน 11 โมงไม่ใช่รึไง”
หัวหน้าทีมออกปากเตือนลูกน้องของตนก่อนหัวหน้าหน่วยเสียอีก เขาขมวดคิ้ว ถอนหายใจเอาความหงุดหงิดออกมา “รีบๆ เข้ามาได้แล้ว” เขาว่าและเอนหลังลงพิงพนักโซฟาตามเดิม
“ขอโทษครับ หัวหน้า ผมลืมเอากระเป๋าห้องปฏิบัติการมาคืนเลยต้องนั่งรถกลับไปเอาครับ” หน้าหล่อเจ้าของร่างผอมบางแต่แข็งแรงพยายามถ่างตาให้เปิดออก นับวันมานี้ ถุงใต้ตาเขาชักจะชัดขึ้นทุกวัน “ส่วนจุนอิจิ... ตอนนี้กำลังนั่งรถไฟใต้ดินมาจากเขต 22 ครับ”
“เข้าใจแล้ว มานั่งสิ”
“ว่าแต่รองหัวหน้ายูสึเกะไปไหนซะล่ะครับ” ผู้มาใหม่รีบนั่งลงที่โซฟาข้างๆ หัวหน้าของเขาทันที
“เมื่อคืนออกไปปาร์ตี้ทำตัวเป็นเด็กวัยรุ่นจนแฮงค์น่ะสิ จะอะไรซะได้” คริสโตเฟอร์พูดลอยๆ แต่เสียงตอบรับกลับดังตึงมาจากโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของหน้าโครงสวยทั้งถูหัวทั้งเช็ดน้ำตาก่อนคลานออกมาจากใต้โต๊ะทำงานตัวกว้างปรากฏตัวให้ทุกคนเห็น
แผนซ่อนตัวของเขาล้มเหลวเหมือนทุกที
“รองหัวหน้ายูสึเกะครับ ผมว่าเลิกเล่นมุกนี้เถอะครับ หัวหน้าคริสจับได้ทุกที” ชุนเตือนหัวหน้าของเขาที่ตอนนี้ยืนถูเหม่งที่ปูดเป็นลูกมะนาวเพราะหัวโขกเข้าเต็มๆ เมื่อครู่นี้
“เอาเถอะ...” รองหัวหน้าบ่นพึมพำขึ้นมา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสั้นๆ มันเป็นเสียงที่บอกว่ามีข้อความเข้ามา รองหัวหน้าหน้าสวยเดินตรงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของเขาขึ้นมาอ่าน มันเป็นข้อความอีกหนึ่งสมาชิกทีมที่ตอนนี้ยังไม่โผล่หัวมาให้เห็นเลย
“คุณพ่อครับ ดูท่าจุนจังจะมาไม่ทันแน่ๆ ครับ” ชายหนุ่มหน้าสวยหันมาพูดกับพ่อเขาที่กำลังคุยอยู่กับสองหนุ่มใต้บังคับบัญชา “พวกเราเริ่มประชุมกันไปก่อนเลยดีกว่าครับ”
“จุนอิจิอยู่ไหน” หัวหน้าทีมถามขึ้นมา น้ำเสียงดูไม่ค่อยพอใจนัก
“รถไฟใต้ดินเกิดเหตุขัดข้อง ตอนนี้กำลังทำการซ่อมอยู่ จุนจังอยู่ที่เขต 20 กว่าจะมาถึงนี่ก็คงอีกชั่วโมงกว่า” ยูสึเกะเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับพ่อของเขาที่ตอนนี้อยู่ในสถานภาพผู้บังคับบัญชา
“อย่าเสียเวลาเลย เริ่มประชุมเถอะ” ผู้พ่อเอ่ยปากเสริมความเห็น
“ครับ”
การประชุมจึงเริ่มขึ้นโดยไม่มีสมาชิกอีกคนหนึ่ง เอกสารแฟ้มหนาถูกวางตระหง่านอยู่กลางโต๊ะกาแฟรับแขกตัวหรู หนุ่มเจ้าหน้าที่ทั้งสามหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านอย่างรวดเร็ว เมื่ออ่านจบก็อดมองหน้าผู้บังคับบัญชาเป็นตาเดียวกันไม่ได้
คดีการหายสาบสูญของประชากรขึ้นทะเบียนเขต 11 ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ คัตสึยะ อาซาอิ ถูกแจ้งความเอาไว้ราวๆ ปลายเดือนสิงหาคมเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ปัจจุบันถูกจัดอยู่ในหมวดคดีคนหายที่ไม่คืบหน้า คดีความนี้ไม่มีเบาะแสหรือรายละเอียดใดๆ นอกจากวันที่ภรรยาของผู้สูญหายได้เข้าแจ้งความ และข้อมูลการตรวจสอบทรัพย์สินส่วนตัวที่ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและพัฒนามนุษย์ ซึ่งเป็นที่ทำงานของเขา
ความจริง คดีนี้ไม่จำเป็นต้องมาถึงมือทีม 13 ก็ได้ พวกเขาทั้งสามคนไม่เข้าใจเลยเสียนิด เพราะพวกเขาไม่น่าจะได้จับงานนี้เลยเสียด้วยซ้ำ!
“พ่อครับ คดีนี้มันไม่น่าจะเข้าข่ายการทำงานของหน่วยพิเศษฯ ของเรานะครับ” ลูกชาย เจ้าของใบหน้าสวยวางแฟ้มงานลงอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมพ่อถึงเอามาให้พวกเราอ่านล่ะครับ”
“ทางกรมตำรวจเพิ่งโยนงานนี้มา ดูเหมือนว่าทางศูนย์วิจัยฯ จะกดดันให้รีบหาความจริง เท่าที่รู้มา ศาสตราจารย์อาซาอิเป็นทรัพยากรด้านบุคคลที่สำคัญของศูนย์วิจัยฯ และจากข้อจำกัดด้านระยะเวลาขออนุมัติทุนแล้ว พวกเขาจึงต้องการตัวศาสตราจารย์กลับมาทำงานวิจัยต่อ” ชายวัยใกล้เกษียณตบปกแฟ้มงานเบาๆ
“ข้อจำกัดด้านระยะเวลาขออนุมัติทุน?” ชุนยกมือขึ้นเกาหัวขณะที่ย้ำคำของหัวหน้าหน่วยอย่างงุนงง
“ข้อจำกัดด้านระยะเวลาขออนุมัติทุนในที่นี้ หมายถึง ข้อผูกพันของทุนโครงการที่สนับสนุนโดยรัฐบาล” ชายสูงวัยผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยปราบปรามคดีพิเศษตอบในทันที สายตาก็มองไปทางคริสโตเฟอร์ที่มีท่าทีสนใจขึ้นมา แม้จะไม่แสดงออกด้วยสีหน้าก็เถอะ มองแค่นี้ก็รู้ได้ทันทีว่าหัวหน้าทีมคนนี้เข้าใจเหตุผลของการเร่งตามหาศาสตราจารย์ผู้นี้แล้ว เขาจึงหันมาถามคนอื่นๆ แทน “มีใครรู้ไหมว่าข้อผูกพันของทุนโครงการที่สนับสนุนโดยรัฐบาลคืออะไร”
“หมายถึงกำหนดระยะเวลาของสัญญาใช่ไหมครับพ่อ?”
เจอคำถามย้อนของลูกชายตนเอง อาคามากิ ริทสึกะก็พยักหน้า
“ตามที่ข้อผูกพันของทุนโครงการฯ ระบุเอาไว้ในสัญญาเลขที่ SCT-689-35-12 โครงการวิจัยและพัฒนาอาวุธสังหารของหน่วยพัฒนาอาวุธสังหารได้ระบุไว้ว่าสัญญาการอนุมัติทุนนี้มีผล 8 ปีนับตั้งแต่การเซ็นลงนามจากประธานาธิบดี ซึ่งทุกปีจะต้องมีการส่งผลความคืบหน้าของการวิจัย”
“แล้วยังไงต่อหรือครับท่าน” คำถามนี้ ชุนเป็นคนถาม
“ก็ลองคิดในทางกลับกันดูสิ” หัวหน้าหน่วยถามย้อนและรอให้ลูกชายกับชุนนึกคำตอบ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครตอบอะไรออกมาสักคน “คริสโตเฟอร์ นายช่วยบอกลูกทีมหน่อยได้ไหม” เขาหันมายิ้มให้ด้วยรอยยิ้ม
คริสโตเฟอร์พยักหน้า
“ในกรณีที่หน่วยงานต้นสังกัดที่ขออนุมัติทุนไม่สามารถนำเสนอความคืบหน้าของโครงการที่ขออนุมัติไป โครงการดังกล่าวจะถูกถอดออกจากรายชื่อการได้รับอนุมัติ และต้องคืนเงินทุนทั้งหมดตั้งแต่เริ่มโครงการคืนให้แก่รัฐด้วย” เขาอธิบายสั้นๆ ด้วยท่าทีนิ่งเฉย ก่อนชี้ประเด็นสำคัญให้กับลูกทีมทั้งสอง “ตามแฟ้มคดี โครงการนี้ถูกอนุมัติไปเมื่อราวๆ 8 ปีก่อน ถ้าตัดระยะเวลาที่ศาสตราจารย์อาซาอิหายตัวไปแล้วล่ะก็จะเหลือเวลาทำวิจัยอีกแค่ครึ่งปีเท่านั้น”
ได้ยินแบบนั้น ลูกทีมก็ร้องอ๋อ “เพราะว่าทางหน่วยต้นสังกัดของศาสตราจารย์ไม่อยากเสียงบประมาณทั้งหมดเลยต้องเร่งตามตัวศาสตราจารย์กลับมาทำวิจัยต่อสินะ” ยูสึเกะพูดแทรกขึ้นทันที
“ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ...”
สิ้นคำพูดของคริสโตเฟอร์ที่ขัดขึ้นมานั้น หัวหน้าหน่วยก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้ “พวกนายลองดูวันที่รับคดีบนแฟ้มคดีแล้วพอจะบอกฉันได้ไหมว่าการโอนมาแบบนี้ มันมีความหมายโดยนัยยังไง” รออยู่นานก็ไม่มีทีท่าที่สองลูกทีมจะรู้ เขาเฉลยในทันที “ระยะเวลาคดีคนหายมีระยะเวลา 7 ปีกับ 4 เดือน ถ้าเกินจากนั้น คดีนั้นจะถูกปัดเป็นคดีปิดเพราะไม่มีความคืบหน้า คราวนี้ลองดูวันที่อีกที พวกนายเห็นรึยัง”
“อีก 4 เดือนก็จะถูกปัดแล้วนี่ครับ!?” ชุนที่สังเกตเห็นขึ้นมาก่อนร้องเสียงดังพร้อมมองหัวหน้าหน่วยที่พยักหน้ารับอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้
“ใช่ พวกเราโดนเล่นแง่เอา” ยอมรับตรงๆ ชายสูงวัยถอนหายใจยาวยืดด้วยความหงุดหงิด และมองหน้าเหล่าใต้บังคับบัญชาของตน “ดังนั้นเพื่อรักษาเอาไว้ด้วยความยุติธรรมของมหานครแห่งนี้ และศักดิ์ศรีของหน่วยพิเศษฯ ฉันจึงโอนคดีนี้เข้ามาเป็นความรับผิดชอบของทีม 13”
“แต่ท่านถามพวกผมรึยังครับว่าอยากได้รึเปล่า แค่นี้ยังทำไม่ทันเลย” คริสโตเฟอร์เอ่ยปากขึ้นมาก่อนจะรับแฟ้มนั้นมา
“เอาน่า... ถ้าเทียบกันแล้ว ทีมพวกนายทำงานเร็วกว่าทีมอื่นตั้งหลายเท่านี่นา” ชายวัยเกือบเกษียณจิบน้ำอุ่นๆ ในแก้วชาทรงญี่ปุ่นที่เพิ่งไปหยิบมา “ฝากด้วยละกันนะ”
หน่วยปราบปรามคดีพิเศษ หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า ‘หน่วยพิเศษฯ’ เป็นหน่วยงานที่ถูกจัดตั้งขึ้นภายหลังการกำเนิดของมหานคร Last Eden ซึ่งเป็นประเทศใหม่อันเกิดขึ้นมาจากสงครามโลกครั้งที่ร้ายแรงที่สุด หน่วยงานนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรับช่วงต่องานพิเศษจากกรมตำรวจ หรือทำการประหารนักโทษนอกสถานที่เมื่อได้รับคำสั่งจากศาลกลาง เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจะถูกจัดหมวดหมู่รวมกันเป็นทีมจำนวนมากถึง 60 ทีม แบ่งกระจายตามเขตของมหานครทั้งหมด 80 เขต โดยแต่ละทีมจะได้รับภารกิจโดยตรงจากหัวหน้าหน่วยอาคามากิ ริทสึกะ และออกปฏิบัติการได้โดยไม่มีข้อจำกัดของสิทธิเข้ามาขัดขวาง
ทีม 13 มีฉายาที่รู้ๆ กันว่า ‘THE DEATH’ พวกเขาคือที่หนึ่งในบรรดา 60 ทีมที่ได้ชื่อว่าทำงานได้รวดเร็วและสมบูรณ์แบบมากที่สุด อีกทั้งยังประกอบด้วยจำนวนสมาชิกน้อยที่สุด นั่นคือ 4 คน อันประกอบด้วยหัวหน้าทีม คริสโตเฟอร์ แคมป์เบลล์, รองหัวหน้าทีม อาคามากิ ยูสึเกะ, ชิราโทริ ชุน และทาคาฮิโระ จุนอิจิ พวกเขา ‘THE DEATH’ ไม่เคยทำงานผิดพลาดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคดีติดตามผู้ค้ายาเสพติด คดีสืบสวนการคอร์รัปชั่นของรัฐบาล หรือแม้กระทั่งการประหารชีวิตนอกสถานที่ ดังนั้นทีม 13 จึงได้รับความไว้วางใจและนับถือจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและผู้ร่วมหน่วยงานเป็นอย่างมาก
“พ่อนายนี่มันดื้อสุดยอดเลยจริงๆ ให้ตายเหอะ” คริสโตเฟอร์บ่นพึมพำขณะขับรถของกรมตำรวจที่ยืมมาตามเส้นทางออกจากอาคารที่ทำการหน่วยพิเศษฯ พร้อมด้วยยูสึเกะและชุนที่นั่งอยู่เบาะหลัง “ป่านนี้ศาสตราจารย์ที่ว่านั่นคงตายไม่ก็มีครอบครัวใหม่ไปแล้ว”
“นายไม่บ่นแบบนี้มานานมากแล้วนะ คริส” ยูสึเกะแหย่เขาเล่นก่อนจะหันไปหาชุนที่นั่งหาวหวอดอยู่ข้างๆ “ชุนจัง นายนอนไปก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวถึงแล้วพวกเราจะปลุกเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไหวอยู่ ว่าแต่เรื่องคดีนี่ ผมว่ายังไงก็คงไม่มีทางเจอหรอกครับ”
“ถึงจะเจอหรือไม่เจอ มันก็เป็นงานอยู่ดี อย่าลืมซะสิ”
คริสโตเฟอร์ถอนหายใจยาวพลางหมุนพวงมาลัยรถไปตามเส้นทาง ท้องฟ้าสีแปลกๆ ทำเอาเขาตงิดใจเหมือนจะต้องพบเจอกับอะไรบางอย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปทั้งชีวิต
“ครับๆ เรื่องนั้นผมไม่ลืมหรอก ขืนลืมแล้วผมจะเอาเงินที่ไหนไปส่งน้องสาวเรียนล่ะครับ” ชุนพูดขึ้นมาแต่สายตาก็ยังคงอ่านข้อมูลต่อไป “แล้วทำไมหัวหน้าถึงคิดที่จะไปค้นที่ศูนย์วิจัยฯ ล่ะครับ”
“นักวิจัยเคยอยู่บ้านกันซะที่ไหนล่ะ อีกอย่าง พวกตำรวจมันชอบนึกว่าตัวเองฉลาดรู้ทันทุกอย่างแม้ว่าจะเป็นแผนการของคนร้าย ก็เลยชอบมองข้ามอะไรบางอย่างไป แล้วก็ชอบลืมอะไรที่สำคัญซะด้วย เพราะแบบนั้น เราเลยต้องมาค้นที่ศูนย์วิจัยฯ ก่อน”
“คริส มีสายเข้าไลน์ 4 แหนะ ฉันรับให้นะ” เจ้าหน้าที่หนุ่มหน้าสวยเอื้อมมือไปกดรับสายนอกจากเครื่องมือสื่อสารติดรถยนต์ของกรมตำรวจที่พวกเขายืมมาใช้ “สวัสดีครับ ทีม 13 พูดครับ”
“รองหัวหน้าหรือครับ ผมจุนอิจินะครับ” เสียงของอีกหนึ่งสมาชิกทีที่ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็นจากปลายสายดังผ่านเครื่องเสียงรถยนต์ออกมา “ผมมาถึงศูนย์วิจัยฯ แล้วครับ เมื่อครู่นี้ท่านผอ. ส่งหัวหน้า หน่วยพัฒนาจักรกลและมนุษย์สังหาร ออกมาต้อนรับเรียบร้อยแล้วครับ”
“ชื่อหน่วยงาน...ฟังแล้วไม่น่าคบหาอย่างแรงเลยแฮะ” ชุนออกความเห็นจากคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมงานขึ้นมาพลางมองออกไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้กำลังจะออกเขตสำนักงานที่ทำการหน่วยพิเศษฯ
“แล้วได้เข้าไปสำรวจอะไรบ้างแล้วรึยัง มีอะไรผิดปกติไหม”
“ไม่มีเลยครับ แถมเจ้าหน้าที่บางคนยังไม่รู้จักศาสตราจารย์อาซาอิเลยด้วยซ้ำ”
“ขอบใจมาก จุนอิจิ” คริสโตเฟอร์เอ่ยปากขึ้นมา ก่อนจะเหยียบคันเร่ง “นายรอพวกเราอยู่ก่อนก็แล้วกัน พวกเราจะรีบไปให้ถึง”
ชายหนุ่มเอื้อมมือออกจากพวงมาลัยรถหลังจากได้รับการขานรับคำสั่งของลูกน้องใต้บังคับบัญชา กดตัดสายทิ้งและมุ่งหน้าสู่เขต 35 อย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าคนเบาะหลังทั้งสองจะเวียนหัวอาเจียนจนตายรึไม่แต่อย่างใด
---------------------------------------------------------------------------
ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและพัฒนามนุษย์ ตั้งอยู่ชานเขต 35 เป็นศูนย์วิจัยที่ก่อตั้งมาเมื่อ 30 ปีก่อน เพื่อวิจัยและพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในมหานคร Last Eden อาคารถูกก่อสร้างด้วยรูปแบบโมเดิร์นเน้นเหลี่ยมมุมและเส้นโค้ง ตัวอาคารมีทั้งหมด 7 ชั้น แบ่งเป็นห้องปฏิบัติการวิจัย 5 ชั้น และห้องทำงานของเจ้าหน้าที่อีก 2 ชั้น ที่นี่ประกอบด้วยหน่วยงานถึง 3 หน่วยงาน อันได้แก่ หน่วยพัฒนาอาวุธสังหาร ซึ่งทำการวิจัยเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพที่สังเคราะห์จากสารในร่างกายมนุษย์, หน่วยพัฒนาและวิจัยกายภาพมนุษย์เพื่อการอยู่รอดในสภาพสงคราม ซึ่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกายภาพมนุษย์และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในสภาวะสงคราม และหน่วยพัฒนาจักรกลและมนุษย์สังหาร ซึ่งทำการศึกษาพัฒนาเครื่องจักรและดัดแปลงมนุษย์ให้เป็นอาวุธ
ชายหนุ่มในเครื่องแบบเสื้อโค้ทกางเกงยาวสีขาว รองเท้าบู๊ตครึ่งแข้งสีดำสนิท และเสื้อด้านในสีขาวผูกเนกไทสีดำมันนั่งอยู่ตรงกลางล็อบบี้สีครีมซึ่งตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์โคซี่ ถอดแว่นสายตาทรงเหลี่ยมออกมาเพื่อบีบนวดขมับแก้อาการปวด จู่ๆ แก้วกาแฟทรงสูงทำจากเซรามิคอย่างดีถูกวางลงตรงหน้าเขา และเมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับชายวัยห้าสิบตอนต้นยืนยิ้มให้อยู่ด้วยรอยยิ้มสไตล์คุณพ่อ
เขาคนนั้นผายมือไปทางแก้วกาแฟแก้ว บนอกเสื้อกาวน์สีขาวห้องปฏิบัติการมีป้ายชื่อ ‘Prof. Dr. Alex P. Roberto’ หนีบอบู่บนกระเป๋าอกด้านขวาเล็กๆ
“ดูท่าทางเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลยนะครับ ผมเลยชงกาแฟมาให้ดื่ม” ชายคนนั้นเผยรอยยิ้มออกมา “ผมเองก็เคยฝันเอาไว้เหมือนครับว่าจะให้ลูกชายเข้าเรียนและจบออกมาเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษฯ แต่แย่หน่อยที่ผมยังไม่มีครอบครัวเลย”
“เสียใจที่ได้ยินแบบนั้นนะครับ” ชายหนุ่มแผ่วเสียงลง “และก็ขอบคุณสำหรับกาแฟครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี ยิ่งคุณมาที่นี่เพื่อตามหาศาสตราจารย์อาซาอิด้วยแล้วนี่ ผมยิ่งเต็มใจ”
ศาสตราจารย์อเล็กซ์ พี. โรบอตโต้ ชายวัยห้าสิบกว่าเจ้าของส่วนสูงราว 175 เซนติเมตรยิ้มกว้าง เขามีสีผมน้ำตาลทองถูกใจจุนอิจิเป็นอย่างมาก
“เอ่อ... ผมขอถามคร่าวๆ ก่อนได้ไหมครับว่าเรื่องราวเป็นยังไง”
“ผมกับศาสตราจารย์อาซาอิเคยทำงานอยู่หน่วยพัฒนาอาวุธสังหารด้วยกันมาก่อนครับ ผมตกใจมากเลยที่จู่ๆ มิยูกิ ภรรยาของศาสตราจารย์อาซาอิโทรมาบอกว่าเขาหายตัวไป” ศาสตราจารย์วัยห้าสิบเม้มปากแน่น ราวกับเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องสะเทือนใจที่สุดในชีวิต “ในตอนนี้ ผมก็ยังคงเชื่ออยู่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แม้พวกตำรวจจะบอกว่าตายไปแล้วก็เถอะ”
“แล้วศาสตราจารย์โรบอตโต้พบศาสตราจารย์อาซาอิครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ”
“มันก็นานมากแล้วนะครับ รู้สึกว่าจะเป็นวันแรกที่หน่วยพัฒนาจักรกลและมนุษย์สังหารของผมผ่านการพิจารณาให้ก่อตั้ง” ศาสตราจารย์คนนั้นกุมมือทั้งสองผสานกันเท้าคาง เขายังคงประหลาดใจกับลายมือของจุนอิจิที่ยังคงเป็นระเบียบแม้จะจดรัวขนาดไหนก็ตาม
“เขาขอไปดูผลการทดลองของผม และหลังจากนั้นมา ผมก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย”
“แล้วไปดูที่ไหนครับ” จุนอิจิจรดปลายปากกาค้างเอาไว้บนแผ่นกระดาษขณะรอคำตอบจากโรบอตโต้
“ห้องฝึกมนุษย์สังหารรุ่นแรก ครับ”
แต่ยังไม่ทันที่จุนอิจิจะถามคำถามต่อไป ศาสตราจารย์โรบอตโต้ก็ลุกขึ้นมองนาฬิกาข้อมือและส่งรอยยิ้มหวานแบบคุณพ่อผู้แสนใจดีให้กับเขาก่อนเอ่ยว่า “ผมต้องไปประชุมกับท่านประธานาธิบดีแล้วล่ะครับ ถ้ายังไงผมจะไปให้การต่อที่กรมตำรวจนะครับ”
“ครับ ขอบคุณสำหรับกาแฟอีกครั้งครับ” ชายหนุ่มยืนขึ้นส่งให้ชายวัยห้าสิบเดินผ่านประตูล็อบบี้ออกไปสุดสายตาเสียก่อน แล้วจึงทิ้งตัวลงเอนหลังพาดคอบนโซฟาอีกครั้งด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการทำงานหามรุ่งหามค่ำกินกันเกินสัปดาห์ “ปวดหัวชะมัดเลย ให้ตายเถอะ”
สองชั่วโมงถัดมา เจ้าหน้าที่หนุ่มร่างสูงเดินนำลูกทีมอีกสองคนเข้ามายังล็อบบี้ชั้นสองของอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและพัฒนามนุษย์ เครื่องแบบสีขาวดำที่แสนเรียบแต่โดดเด่นทำให้ทุกคนล้วนเทความสนใจให้แก่พวกเขา หนุ่มผู้ที่พิงพนักแผ่หลาบนโซฟาถึงกับต้องรีบลุกขึ้นทำความเคารพอย่างเร่งด่วน
“สวัสดีครับ หัวหน้าคริสโต---”
ยังไม่ทันจะเรียกชื่อของหัวหน้าทีมได้เต็มปาก สายตาคมแสนดุดันของคริสโตเฟอร์ก็เลื่อนมามองใบหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้น แถมยังขมวดคิ้วได้รูปเป็นปมแสดงความไม่พอใจ นั่นทำให้ฝ้ายที่คิดจะเรียกรีบกลืนพยางค์สุดท้ายลงคอไปอย่างรวดเร็ว
ที่ต้องทำแบบนั้นก็เพราะไม่อยากให้ตนถูกต่อว่าจากเจ้าของชื่ออีก
คริสโตเฟอร์ไม่ชอบให้ลูกทีมของเขาเรียกตนด้วยชื่อจริง และยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าหากเรียกนามสกุลตามมารยาทสากลแล้ว เมื่อเจอเข้าแบบนั้น เขาจะโกรธเป็นอย่างมาก เพราะเขาคิดมาตลอดว่าทุกคนในทีมคือครอบครัว ดังนั้นการเรียกชื่อจริงของเขาหรือนามสกุลจึงเป็นการแสดงความเหินห่างอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแน่นอนว่ากว่าลูกทีมทั้งสองที่ไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นปีอย่างรองหัวหน้าจะทำความคุ้นเคยได้ก็ล่อเป็นปี
“หัวหน้าคริส รองหัวหน้ายูสึเกะ สวัสดีครับ” ชายหนุ่มรีบขยับแว่นทรงเหลี่ยมให้เรียบร้อยก่อนจะหันมารับแฟ้มคดีจากเพื่อนร่วมงานของเขา “ขอบใจที่แบกแฟ้มมาให้นะ ชุน”
“นายรีบๆ อ่านแฟ้มซะนะ ภายใน 4 เดือนนี้ พวกเราต้องหาตัวศาสตราจารย์อาซาอิให้พบ ก่อนที่คดีนี้ถูกปัดไปอยู่ที่คดีสั่งปิดเพราะไม่มีคืบหน้า อีกอย่าง...” ชุนเอากระดาษโน้ตมาหนีบเข้ากับปกแฟ้ม “ถึงจะบอกว่า 4 เดือน แต่นายก็รู้ใช่ไหมล่ะว่าหัวหน้าของพวกเราเป็นคนยังไง”
“เมื่อครู่นี้ ผมได้ถามศาสตราจารย์โรบอตโต้เกี่ยวกับศาสตราจารย์อาซาอิ ได้ความมาเท่านี้ครับ”
จุนอิจิส่งสมุดบันทึกให้กับรองหัวหน้าที่หันมารับอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าทีมนั่งลงตรงโซฟายาวขณะฟังสิ่งที่ยูสึเกะอ่านจากสมุดบันทึกและยกขาเรียวยาวพาดโต๊ะ เส้นผมสีดำขลับสไตล์สุดเท่กับนัยน์ตาสีเพลิงอันแสนนุ่มลึกนั้นทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องหยุดเหลียวมอง ถึงแม้ท่าทางของเขาจะเหมือนไม่ได้ยินไม่ใส่ใจฟังอะไร แต่ทุกอย่างนั้นกลับเข้าเมมโมรี่ในสมองทุกอย่างราวกับแก้วน้ำที่ไม่มีวันเต็ม
“หัวหน้าครับ” ชุนตรงเข้ามาสะกิดไหล่เขาจากทางด้านหลัง “จากคำให้การของศาสตราจารย์โรบอตโต้ หัวหน้าว่าพวกเราควร---”
“ห้องฝึกมนุษย์สังหาร” คริสโตเฟอร์พูดขึ้นลอยๆ ก่อนจะดันตัวลุกขึ้น
แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาออกมา เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น ราวกับว่ามันเป็นลางร้ายที่เตือนเขาว่าอย่าคิดจะเข้าใกล้ความจริงของคดีนี้
“แต่หัวหน้าคริสครับ ผมว่ามันไม่น่าจะเจออะไรนะครับ” จุนอิจิเอ่ยปากขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ เขาอยากรู้ว่าทำไมต้องไปเริ่มตรงจุดนั้นเป็นที่แรก ทั้งๆ ที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ทำเช่นนี้ไปแล้วเมื่อ 7 ปีก่อน
“นายไว้ใจตำรวจมากเลยสินะ จุนอิจิ หน้าที่ของพวกเราตอนนี้คือตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่เจ้าพวกนั้นทำแล้วมาเรียบเรียงเป็นเรื่องราวใหม่” ชายหนุ่มหัวหน้าถอนหายใจยาว เกาหัวอย่างหงุดหงิดปนง่วงนอน “อย่าไปไว้ใจข้อมูลกากๆ พวกนั้น ถึงจะเป็นชิ้นส่วนน้อยๆ ที่ถูกละเลย เราก็ต้องเอามาตรวจสอบ พูดง่ายๆ ทำใหม่หมด”
“แล้วไอ้ห้องที่ว่านั่นมันอยู่ตรงไหนกันล่ะ พวกเราแยกกันค้นเลยดีไหม” รองหัวหน้ามองหาป้ายบอกทาง เขาไม่ชอบเลยที่พอพวกเขาแต่งตัวด้วยเครื่องแบบหน่วยพิเศษฯ แล้วทุกคนก็จะเกรงใจจนไม่มีใครยอมเข้ามาให้ขอความช่วยเหลือเลย
“ชุน นายมากับฉัน พวกเราจะไปสำรวจอาคารหลังกัน” คริสโตเฟอร์ดึงข้อมือชุนที่ยืนเหม่อถึงเตียงนอนที่บ้านให้รีบตามเขาไป “ตื่นหน่อยสิ พวกเรามีเวลาไม่มากนะ”
“แต่หัวหน้าบอกว่าตั้ง 4 เดือนนะครับ” ชุนเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเอง แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มกวนๆ ของหัวหน้าก็ต้องยอมตามในที่สุด
เจ้าของร่างสูงแข็งแรงที่เรียกสายตาทุกคู่ให้จับจ้องเดินเข้ามาตามทาง ห้อยท้ายด้วยลูกทีมหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่ง ทั้งคู่แต่งกายด้วยเครื่องแบบหน่วยพิเศษฯ และเพราะแบบนั้น จึงไม่มีใครคิดจะห้ามเขาทั้งสอง ฝ่าเท้าของทั้งคู่เหยียบย่ำผืนพรมชื้นแฉะจากอากาศรอบนอกซึ่งไม่ได้เชื่อมต่อกับส่วนใดของอาคารหลักเลย
ยิ่งลึกเข้าไป ลึกเข้าไป มันก็ยิ่งห่างไกลและเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความกดดัน พื้นที่ชื้นแฉะ มีคราบสนิมและรอยผุพังทำเอาชายหนุ่มผู้ห้อยสอยท้ายรู้สึกหวั่นใจ เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินแต่ละก้าวดังสะท้อนกึกก้องไปมาราวกับเสียงกู่ร้องคำรามต้อนรับของมัจจุราชผู้เลือดเย็น
เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินเป็นระยะทางกว่าสองกิโลเมตรตั้งแต่ปากทางเข้าอาคารแยก เปิดประตูสังกะสีเก่าสนิมเกรอะกรังนับร้อยบาน แต่ก็ไม่ได้พบอะไรเป็นเบาะแสมากนัก เท่าที่พวกเขารู้ตอนนี้คือที่นี่เคยเป็นที่ทำงานของศาสตราจารย์อาซาอิ พวกเขาเจอเอกสารหลายร้อยหน้าสอดอยู่ตามแฟ้มที่หล่นเกลื่อนพื้น ทั้งหมดเป็นข้อมูลงานที่จัดพิมพ์ขึ้นมาโดยลงวันที่ก่อนหน้าการเปิดหน่วยพัฒนาจักรกลและมนุษย์สังหารได้ราวๆ สองถึงสามเดือน
“นี่เราจะไม่เจออะไรเลยจริงๆ เหรอครับ หัวหน้าคริส” ชุน เจ้าหน้าที่หนุ่มหน้าเด็กแต่ท่วงท่าการเดินกลับดูมีมาดพี่ชายถามขึ้นมาอย่างสับสน มีอะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกอยากสำรอกเอาอาหารมื้อล่าสุดออกมา
“ไม่รู้เหมือนกัน ที่นี่มันยังไงกันแน่เนี่ย”
“หัวหน้าคริสครับ ผมว่ารอพวกรองหัวหน้ามาช่วยค้นหาเถอะครับ”
คริสโตเฟอร์ หัวหน้าทีมร่างสูงเกือบจะตอบตกลงเห็นด้วยไปอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่เห็นอะไรบางอย่างเข้าเสียก่อน
ในมุมมืดของปลายทาง ประตูบานหนึ่งยังคงปิดสนิทด้วยแม่กุญแจชนิดพิเศษที่ตอนนี้ถูกสนิมกินจนแทบไม่เหลือความเป็นอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย บนแผ่นสังกะสีที่ออกแบบมาเป็นบานประตูแบบเลื่อนมีกระดาษสีขาวหม่นๆ ปกคลุมด้วยฝุ่นหนาเป็นนิ้วกับเชื้อราที่เจริญขึ้นมาเพราะความชื้นอันเหลือล้น มันมีอักษรตัวหนาพิมพ์ข้อความไว้ว่า
- บุคคลภายนอกห้ามเข้า -
สองเท้าก้าวตรงดิ่งเข้าไปยังประตูบานนั้น สองมือก็จับแท่นดึงประตูออกแรงเลื่อนมันให้เคลื่อนออก แน่นอนว่ามันติดแม่กุญแจตัวนั้น เขาจึงหันมาให้ความสนใจกับเครื่องมือเจ้าปัญหาชิ้นนี้
“นายรู้จักแม่กุญแจแบบนี้รึเปล่า ชุน” หัวหน้าทีมค่อยๆ ใช้มือประคองแม่กุญแจนั้นขึ้นมา พลางเรียกลูกทีมคนสนิทผู้ช่ำชองเรื่องอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเข้ามาดูพร้อมๆ กัน “ฉันว่ามันน่าจะอายุราวๆ สิบปีเห็นจะได้นะ”
“ครับ นี่เป็นรุ่นที่นิยมมากที่สุดเมื่อสิบปีที่แล้วเลยล่ะ”
ชุนเผยรอยยิ้มออกมาก่อนร่ายยาวถึงคุณสมบัติอันแสนเลิศหรูของมัน ถึงแม้ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาเห็นจะกลายเป็นเศษเหล็กไร้ประโยชน์ก็ตาม เขาควักเอาผ้าในกระเป๋าเสื้อโค้ทเครื่องแบบออกมาเช็ดแม่กุญแจนั้นอย่างเบามือ มันค่อยๆ สะอาดขึ้นจนเห็นวันที่และรหัสทรัพย์สินทางราชการที่สลักเอาไว้บนอุปกรณ์ชิ้นนั้นลางๆ
“8 ปีที่แล้วครับ เก่าใช้ได้เลยล่ะ” เขาพูดไปก็ทำท่ามีความสุขกับการขัดถูไป
“นี่ ชุน” เห็นท่าทางสบายอารมณ์ของลูกทีมคนนี้ คริสโตเฟอร์ก็อดห่วงไม่ได้ว่าเขาลืมหน้าที่จริงๆ ไปแล้วรึเปล่า จนสุดท้ายเลยต้องยิงคำถามเบิกทางเอา “นายไม่คิดว่ามันแปลกเลยบ้างรึไง ประตูทุกบานของที่นี่ไม่มีบานไหนที่ลงกุญแจเลย แล้วทำไมกับบานนี้ ถึงลงกุญแจยี่ห้อดังซะขนาดนี้”
ตอนนี้ดูเหมือนว่าชุนจะหลุดออกมาจากภวังค์นักขัดเครื่องมือโลหะแล้ว
“ผมก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”
“เปิดเข้าไปดูข้างในหน่อยเถอะ”
คริสโตเฟอร์พยายามดึงแม่กุญแจนั้นอย่างเบามือ แน่นอนว่าเขาจะถูกหัวหน้าหน่วยด่าเปิงแน่ถ้าเผลอทำข้าวของพังอย่างที่เคยก่อนหน้านี้ แต่จนแล้วจนรอด ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม แม่กุญแจเจ้าปัญหานี่ก็ไม่ยอมหลุดออกมาเสียที สุดท้าย เขาก็ทนความบันดาลโทสะไม่ไหว ใช้สองมือกระชากมันจนหักออกเป็นชิ้นร่วงกราวลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น
ตอนนี้ พวกเขาสามารถเปิดประตูได้แล้ว
ประตูห้องสุดทางถูกเปิดออกช้าๆ เสียงกรีดร้องของประตูสังกะสีที่กำลังเสียดสีอยู่กับพื้นประหนึ่งจะระบายความเจ็บปวดของมันดังเสียดแทงเข้าไปในสมองของชุนจนต้องหลับตาปี๋
ภาพตรงหน้าของพวกเขาคือห้องสังกะสีสนิมเขรอะเกรอะกรังที่ถูกบุชั้นนอกไว้ด้วยเหล็กกล้าอย่างดี ความชื้นกำลังกัดกินไปทั่วบริเวณ คราบสีน้ำตาลดำเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งผนัง พื้น เพดาน กระจกรับแสงสว่าง และประตูสังกะสีบานนั้น สภาพห้องบุบพังอย่างกับถูกรถอัดก็อปปี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นไม่น่าเชื่อว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่
ท่ามกลางความอับชื้นและกลิ่นเหม็นคลุ้ง สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มในเครื่องแบบทั้งสองถึงกับเบิกตากว้างออกมายังคงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม มันคือตู้กระจกขนาดใหญ่บรรจุน้ำยากลิ่นแรงราวกับจะฉีกเยื่อบุภายในจมูกให้ขาดออกเป็นเสี่ยงๆ มีร่างของชายวัยเกือบห้าสิบถูกตรึงอยู่ภายใน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดและทรมานยากเกินจะอธิบาย ร่างของเขายังคงดูเหมือนมีชีวิตอยู่ น้ำยาสีเหลืองใสที่กำลังค่อยๆ ขุ่นตามกาลเวลาบรรจุอยู่จนท่วมร่างนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ร่างนั้นจะเพิ่งตาย มันถูกจัดวางท่าทางในท่ายืนตายอย่างสงบแต่ใบหน้ากลับขัดกันอย่างไม่น่าให้อภัย
ทุกอย่างตรงหน้าทำเอาชุนแทบล้มทั้งยืน เขาไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้เขาจะได้เห็นการอำพรางศพที่พิสดารขนาดนี้ ขณะเดียวกันกลิ่นของบางอย่างเตะจมูกของหัวหน้าทีมอย่างแรง มันไม่ใช่กลิ่นของน้ำยาดองศพ แต่เป็นกลิ่นของบางอย่างที่ยังมีชีวิต กลิ่นของเลือด และกลิ่นของความเจ็บปวดทรมาน
“ชุน ตั้งสติก่อนสิ!” หัวหน้าทีมเตือนสติชายหนุ่มที่แทบจะล้มพับ เขาเองก็ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยด้วยซ้ำ “เรียกยูกับจุนอิจิมาที่นี่เร็วเข้า”
“อย่าบอกนะครับ... ว่าคนคนนี้คือศาสตราจารย์อาซาอิ...” ชุนพยายามบังคับริมฝีปากให้พูดออกมาได้ แต่นั่นก็ทำให้หัวหน้าไม่พอใจมากทีเดียว
“ฉันบอกให้รีบตามยูกับจุนอิจิยังไงเล่า!” คริสโตเฟอร์ตะคอกลั่นพลางควักเอาถุงมือยางออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาสวมเตรียมปฏิบัติงาน “ที่นี่มันสถานที่เกิดเหตุนะ”
หลังจากลูกทีมรีบวิ่งย้อนกลับออกไปเพื่อติดต่อรองหัวหน้า เจ้าของร่างสูงโปร่งรีบกวาดตาอย่างคร่าวๆ พยายามจดจำรายละเอียดต่างๆ เอาไว้กลับไปสเก็ตแผนผังที่เกิดเหตุ ภาพของชายในตู้น้ำยาฟอร์มาลีนยังคงวูบขึ้นมาหลอนเป็นพักๆ ถ้ายูสึเกะมาถึง เขาก็จะเริ่มทำการบันทึกภาพทันทีแต่ตอนนี้เขาซึ่งไม่ได้เป็นคนถือกล้องจำเป็นต้องรอ
เขาเดินตรงเข้ามาใกล้ตู้กระจกพยายามสังเกตลักษณะศพที่ถูกตรึงติดอยู่ภายในใต้ฟอร์มาลีน เสื้อกาวน์ห้องปฏิบัติการที่เดิมเคยขาวสะอาดตอนนี้เหลืองคล้ำจากการซึมซับน้ำยาดองศพที่นิยมใช้กันในวงการแพทย์ มันทิ้งตัวไปตามแรงเคลื่อนของของเหลวที่อยู่ภายใน ป้ายชื่อยังคงติดอยู่บนอกเสื้อตัวนั้น
และเพราะเจ้าสิ่งนั้น คริสโตเฟอร์ถึงกับสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ
“บ้าเอ๊ย ให้ตายสิ!!” เขาร้องลั่นออกมา ก่อนหวดเอากำปั้นทุบเข้ากับตู้กระจกหนานั้นอย่างแรง นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย คดีที่หวังจะปิดให้ได้ในเวลาอันสั้นนี้ดูท่าจะนานนับปีเสียแล้ว
ป้ายชื่อตรงอกเสื้อนั้นแสดงคำตอบได้อย่างดี - Prof. Dr. Katsuya Asai -
ชายหนุ่มพยายามควบคุมอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านให้กลับมาเป็นปกติ หันมาสอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณ คราบสีน้ำตาลคล้ำเคลือบเต็มพื้น กลิ่นเลือดสดยังคลุ้งโชย มันไม่ใช่กลิ่นของการซุกศพด้วยฟอร์มาลีนแน่ๆ
คริสโตเฟอร์ค่อยๆ ถอยหลังออกห่างจากตู้กระจกที่ใช้ดองศพซึ่งกำลังบวมเป่งเนื้อแน่นเต็มที่ เขาละสายตาออกจากใบหน้าบวมตุ่ยที่มีแววของความเจ็บปวด ปากแผลยุ่ยๆ ที่เคลื่อนไปมา และดวงตาที่เหมือนจับจ้องมายังเขา ก่อนหันหลังกลับไปยังด้านหลัง
ยัง! มันยังไม่จบแค่นี้หรอกน่า ความรู้สึกแบบนี้มัน...
หัวหน้าทีมร่างสูงหยุดยืนนิ่งอยู่นาน เขาไม่เข้าใจความรู้สึกนี้เลย ทั้งๆ ที่ศพอยู่ตรงหน้าของเขา แต่กลับมีอะไรบางอย่างที่รบกวนจิตใจเขาอยู่ และตัดประเด็นเรื่องศพไปได้เลย มันไม่ได้ทำให้เขากลัวหรือสับสนแต่อย่างใด เขาเคยเจอศพมานับร้อย ไม่มีทางที่ศพแบบนี้จะก่อกวนจิตใจของเขาได้
แต่ถ้าอย่างนั้น มันคืออะไรกันล่ะ
ยังไม่ทันที่เขาจะคิดคำตอบออก เสียงหนึ่งก็ได้ดังแทรกเข้ามาและทำให้เขาต้องกวาดสายตาไปยังต้นกำเนิดเสียงนั้น
ภายใต้เงามืดของประตูห้องมีอะไรบางอย่างตะคุ่มๆ อยู่ เสียงเบาๆ ที่ไม่ใช่เสียงร้องของสัตว์เล็กหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆ ดังครางขึ้นมาแผ่วๆ ความหนาวเหน็บวิ่งขึ้นมาจากเอวพุ่งปรี๊ดขยายไปตามรยางค์ของร่างกายสูงโปร่งนั้น เขารีบคว้ากระบอกปืนประจำตัวขึ้นมาเตรียมยิงเข้าใส่ แต่มันก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของร่างนั้นจะแสดงตัวออกมา
นั่นมันอะไร? คน? สัตว์?
ชายหนุ่มพาร่างสูงของเขาเดินตรงเข้าไป ทุกอย่างค่อยๆ ชัดเจนขึ้นช้าๆ สิ่งนั้นทำให้ชายหนุ่มคนนี้ถึงกับชะงัก มันไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอะไร แต่มันไม่ควรอยู่ที่นี่เวลานี้
ร่างผอมบางของเด็กหนุ่มวัยไม่เกินยี่สิบปีในสภาพเปลือยท่อนล่าง แต่งตัวลวกๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตตัวหนาเปื้อนเลือดขาดๆ ที่ปกปิดแผ่นอกขาวอันเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยช้ำ แขนขวาของเขาอยู่ในสภาพบิดเบี้ยวผิดรูป มือซ้ายเลือดโชกจากแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ มีโซ่ตรวนล่ามทั้งแขนและขา เด็กหนุ่มคนนั้นสลบอยู่ท่ามกลางของเหลวสีแดงข้นที่ตอนนี้เริ่มจะเปลี่ยนสีคล้ำลง ต้นขามีบาดแผลและเลือดไหลเป็นทางยาว และเขาก็อยู่ในสภาพที่ดูรู้ว่า...
ทำไมเด็กคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?
Rewrite: 1 ก.ย. 2562
แอบกลัวอ่ะ
แต่หนุก
เด็กคนนี้เป็นนางเอกเรอะ?
ป.ล.ยูซึเกะ หรือ ยูวซึเกะ แบบแรกอ่านง่ายกว่าไหมคะ หรือเขียนตามหลังภาษา แต่เห็นเขานิยมเีขียน ยูสุเกะ กัน
ปริศนามากมายยยยย~~ เหมือนจะไม่จบง่ายๆนะเนี้ย!!!
ปริศนามากมาย คนที่ตามหากลับตายแทบมีรอยเลือดที่พึ่งเกิดอีก
เรื่องนี้เป็นสืบสวนไซไฟสินะ หน่วย 13 ไพ่ตาย
เรื่องตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ อ่านแล้ว มันจะ Y กันตอนไหนหว่า (?)
โอ้ ม่ายยยยย =[]=
เรื่องนี้ชวนรู้สึกแปลๆ มันเหมือนสยองๆน่าหวาดหวั่น
ลุ้นๆ
แล้วจะรออ่านนะ