คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : คนเดิมกับพิษแบบเดิม
ภาพที่เห็นตอนนี้คือจ้าวเยว่เทียนกำลังดิ้นอย่างทรมานพร้อมกับไอออกมาเป็นเลือดไม่หยุด
ดาบของเกาเทียนฉีที่กำลังจะบั่นคอของนางคณิกากลับหยุดลงด้วยพัดเล่มหนึ่ง
เป็นเจิ้งซื่อที่หยุดเขาเอาไว้ได้ทันขณะเดียวกันเจิ้งหู่และเจิ้งสี่ก็ได้พุ่งตัวออกไปด้านนอกทันทีทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา
“อย่าพึ่งฆ่านางเรายังต้องใช้นางอยู่”
เจิ้งซื่อรีบเตือนสติเกาเทียนฉีเอาไว้
พลางหันไปมองมี่ฮวาที่ตอนนี้กำลังพยายามกดร่างของจ้าวเยว่เทียนให้หยุดดิ้น
จ้าวเยว่เทียนยังไออกมาเป็นเลือดไม่หยุด
ร่างกายทั้งร่างสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดราวกับโดนดึงเส้นเอ็นออกจากร่าง
ทั้งกายเขาเกร็งไปหมดจนเส้นเลือดและเส้นเอ็นนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สติสุดท้ายของเขาก่อนที่จะหายไปเขาได้กลิ่นหอมหวานที่คุ้นเคยพร้อมกับสัมผัสอ่อนโยนที่ใบหน้า
ช่วยให้บรรเทาความทรมานจากร่างกายได้ไม่น้อย
มี่ฮวาที่ตอนนี้กดจุดเพื่อให้จ้าวเยว่เทียนสลบไปเพื่อจะได้ไม่ต้องทรมานกับความเจ็บปวดนางรีบจับชีพจรของเขา
พร้อมกับหาจุดที่เขาได้รับพิษ ทั่วร่างกายของเขาไม่มีร่องรอยบาดเจ็บจากอาวุธลับ
เมื่อเห็นว่าริมฝีปากจ้าวเยว่เทียนบวมช้ำขึ้นและแตกเล็กน้อยนางจึงรีบหันไปที่จอกชาบนโต๊ะทันที
เจิ้งซื่อที่ดูท่าทีของมี่ฮวาที่ตรวจจ้าวเยว่เทียนอยู่ตลอดก็รีบตรวจในกาชาอย่างละเอียดแต่กลับไม่พบร่องรอยของยาพิษ
เกาเทียนฉีเห็นท่าทางของทั้งสองจึงถามออกไป
“ซื่อจื่อได้รับพิษจากทางใด ใช่จากในชาหรือไม่” เกาเทียนฉีรีบถามทันที
หากเขาได้รับพิษจากชาจริงนั่นถือว่าเป็นความผิดของเขา
ครั้งที่สองแล้วที่เขาอยู่ข้างกายแต่จ้าวเยว่เทียนกลับได้รับอันตราย
ความรู้สึกผิดในใจเกาเทียนฉีเพิ่มขึ้นพอๆกับความโกรธของเขาตอนนี้
ถ้าหากไม่มีเจิ้งซื่อขวางเอาไว้หญิงแพศยาคนนั้นต้องกลายเป็นก้อนเนื้อไปแล้ว
เมื่อในกาชาไม่มียาพิษเจิ้งซื่อจึงค้นรอบๆตัวนางคณิกาที่ตอนนี้กลับนั่งเหม่อลอยให้เขาค้นตัว
ท่าทางของนางไม่เหมือนคนที่ได้รับพิษแต่นางกลับไม่หลงเหลือสติ
เมื่อคิดได้ดังนั้นเจิ้งซื่อจึงฉีกชุดจากทางด้านหลังของนางออก
แล้วค่อยๆเลื่อนมือไปตามแนวกระดูกสันหลังของนางมาจนเกือบถึงคอก็พบแผลจุดเล็กที่แทบมองไม่เห็นอยู่บนรอยแดงที่นูนขึ้นมาน้อยๆ
เขาจึงใช้มีดสั้นกรีดเพื่อเปิดปากแผล
เลือดสีดำที่ข้นกว่าปกติค่อยๆเอ่อออกมาเจิ้งซื่อค่อยๆบีบที่บริเวณปากแผลจนกระทั่งในที่สุดก็มีบางสิ่งหลุดออกมา
เขาห้ามเลือดให้นางจากนั้นจึงส่งนางไปให้เกาเทียนฉีทันที สิ่งที่อยู่ในมือทำให้เขาเครียดไม่น้อย
“ซื่อจื่อตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เขาหันไปถามมี่ฮวาที่ตอนนี้กำลังพยายามฝังเข็มเพื่อคลายความเจ็บปวดให้จ้าวเยว่เทียนอยู่
“ข้าให้ซื่อจื่อดื่มยาต้านพิษก่อนมาที่นี่แล้ว
ตอนนี้ต้องตรวจดูอย่างละเอียดอีกทีถึงจะรู้ว่าโดนพิษอันใด”
นางต้องการที่เงียบๆในการตรวจเขามากกว่านี้
เป็นโชคดีของเขาที่ตั้งแต่จ้าวเยว่เทียนโดนวางยาครั้งนั้นนางก็ให้เขาดื่มยาต้านพิษทุกวัน
และยิ่งวันไหนที่เขาคิดจะไปเสเพลนางจะเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่าจากปกติ
เมื่อได้ฟังเจิ้งซื่อก็คลายความกังวลไปได้ไม่น้อย
“เรื่องนี้อย่าพึ่งให้คนในจวนอ๋องรู้
เกาเทียนฉีถ้าหากสองคนนั้นกลับมาให้ไปเจอกันที่จวนที่ชานเมืองที่เดิม
ละเจ้าจัดการพาแม่นางผู้นี้ไปด้วย แบบเป็นๆ” เจิ้งซื่อย้ำคำสุดท้ายกับเกาเทียนฉีพูดจบก็หายไปทันที
มี่ฮวาสังเกตเห็นสีหน้าของเกาเทียนฉีที่ตอนนี้ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“องครักษ์เกาให้ข้าจัดการเรื่องของนางให้แทนดีหรือไม่
ส่วนท่านพาซื่อจื่อกลับไปก่อน”
นางกลัวเขาจะทำอะไรวู่วามเหมือนเมื่อครู่อีกหากอยู่กันแค่สองคน อีกทั้งระยะทางค่อนข้างไกลจ้าวเยว่เทียนตัวมิใช่น้อยให้นางแบกไปนางกลัวจะไม่รอด
“ไม่เป็นไรเจ้าดูแลซื่อจื่อไปเถิด”
เพราะอยู่กับเขาอาจทำให้จ้าวเยว่เทียนเกิดอันตรายกว่าเดิม
อยู่ในการดูแลของมี่ฮวาย่อมดีกว่าอย่างน้อยหากเกิดอาการกำเริบนางก็รักษาทัน
มี่ฮวามองเขาครู่หนึ่งจึงยอมรับในการตัดสินใจ “งั้นเจอกันนะเจ้าคะ”
นางกล่าวพร้อมกับประคองจ้าวเยว่เทียนที่ตอนนี้ไม่ได้สติขึ้นมาคล้ายท่าอุ้มเจ้าสาวก่อนจะทะยานตัวออกไป
เมื่อทุกคนออกจากห้องไปหมดแล้วเกาเทียนฉีให้ไปมองหญิงตัวต้นเหตุที่ตอนนี้ยังดูไม่มีสติกลับมาแม้ว่าจะเกิดบาดแผลกับนาง
เขารู้สึกได้ของความผิดปกติของนางจึงได้ใจเย็นลงพร้อมกับการกำชับก่อนออกไปจากเจิ้งซื่อทำให้เขาต้องนำเศษผ้าจากชุดของนางมาทำแผลให้ก่อนจะไปจัดการเรื่องวุ่นๆในคืนนี้ให้จบลง
เจิ้งซื่อที่ผละออกมาจากจ้าวเยว่เทียนขณะนี้กำลังแอบสะกดรอยตามหนึ่งในนางคณิกาที่เคยเข้าไปในห้องของจ้าวเยว่เทียนก่อนหน้านี้
การที่สามารถวางยาพิษจ้าวเยว่เทียนได้ทั้งๆที่เขาป้องกันกันหนาแน่นขนาดนี้แสดงว่าคนที่สั่งการต้องรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับจ้าวเยว่เทียนเป็นอย่างดี
เขาจำเป็นต้องตรวจสอบความเป็นไปได้บางอย่างก่อนที่จะทำอันใดพลาดไปเขารอจนนางเขาไปในห้องของแขกคนหนึ่ง
รอจนกระทั่งแขกคนนั้นเริ่มเมามายเขาจึงโปรยผงยาสลบเข้าไปในห้องทำให้ทั้งสองสลบทันที
เมื่อเข้ามาในห้องเขาไม่รอช้าที่จะทำกับนางเหมือนกับนางคณิกาที่ทำร้ายจ้าวเยว่เทียนและเป็นดั่งที่เขาคาดทั้งสองมีรอยที่หลังคอที่เดียวกันเขากรีดและนำสิ่งนั้นออกมาก่อนที่จะจัดฉากเหมือนกับว่าแขกเกิดอาการเมาแล้วทำร้ายนาง
เขาไม่มีเวลามารักษาแผลให้นาง
ตอนนี้เขาต้องรีบตามหานางคณิกาคนสุดท้ายให้เร็วที่สุดก่อนที่จะไม่ทันการ
เจิ้งหู่และเจิ้งสี่ที่ออกมาทันทีหลังจากเห็นเจิ้งซื่อเข้ามา
ทั้งสองพุ่งออกไปรอบบริเวณด้านข้างเพื่อหาคนที่อยู่เบื้องหลังทันที
ไม่ทันไรเขาก็เห็นเงาคนวูบไหวทะยานออกไป ทั้งสองรีบตามทันที
คนร้ายที่คาดว่าเป็นผู้ร่วมมือกับนางคณิกาพยายามหนีพวกเขามันหนีแบบสะเปะสะปะแบบไร้ทิศทางเพื่อหวังให้เขาคลาดกับมัน
แต่นั่นมันใช้ไม่ได้ผลกับพวกเขาที่วิ่งพล่านตอนกลางคืนในเมืองนี้มาเกือบทั้งชีวิต
เมื่อระยะพอที่จะจัดการได้เจิ้งหู่จึงขว้างมีดซัดไปที่คนร้ายทันที
มีดของเขาแม่นยำจนปักไปบริเวณกระดูกสันหลังตรงเอวของมันทำให้มันหล่นลงจากหลังคาทันที
“เป็นหนูสกปรกที่หนีเก่งไม่น้อย”
เจิ้งหู่บ่นออกมา ขณะค่อยๆย่างสามขุมเข้าไปหา
คนร้ายมันได้แต่พยายามคลานหนีเนื่องจากตอนนี้ขาของมันใช้การไม่ได้เสียแล้ว
รอยเลือดที่ลากเป็นทางยาวทำให้มันไปทางไหนเขาก็หาเจอ แล้วมันจะหนีทำไม!
“ส่งยาถอนพิษมา
แล้วข้าจะไว้ชีวิต” เจิ้งสี่ที่เดินมาดักด้านหน้าของมันบอก
แต่ยังไม่เขาไม่ทันจะเข้าถึงตัวมันก็มีดาบเล่มหนึ่งฟันลงมาที่เขาพอดี
ซึ่งเขาสามารถใช้ดาบในมือกันได้ทันพร้อมกับตวัดดาบกลับไปจนทำให้คนที่ลอบจู่โจมกระเด็นกลับไปหลายจั้ง
ขณะเดียวกันก็มีชายชุดดำอีกสองคนพยายามที่จะหิ้วคนร้ายที่บาดเจ็บหนีไป
เจิ้งหู่จึงเข้าไปขวางทันที ดาบเกล็ดหิมะของเขาที่ไม่ได้ออกมาวาดลวดลายเสียนาน
ขณะนี้กำลังตวัดอย่างดุดันไปใส่คนร้ายที่เพิ่มเข้ามาอีกทั้งสองคนถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้จะมีถึงสองแต่ก็ยังไม่สามารถต่อกรกับเจิ้งหู่ได้
ดาบคู่ในมือของเขาข้างหนึ่งสกัดอีกข้างหนึ่งก็ฟันจนทำให้พวกนั้นสะบักสะบอมไปไม่น้อย
“อย่าขัดขืนไปเลยพี่ชายส่งยาถอนพิษเสีย
ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็ไม่รอดหรอกข้าไม่โกหกเหมือนเพื่อนข้าว่าจะไว้ชีวิตหรอกนะ”
เจิ้งหู่พูดเสียงเย็นกับคนร้ายที่ยังพยายามคลานหนีจากการต่อสู้
“น่าเสียดาย
หากข้าตายเจ้านายเจ้าก็ตายเพราะไม่มีทางรู้หรอกว่าเป็นพิษอันใด”
มันพยายามต่อรองชีวิตกับเจิ้งหู่เมื่อเห็นว่าพวกของมันที่มาช่วยไม่สามารถรับมือกับสองคนนี้ได้
เจิ้งสี่ที่ได้ฟังก็รู้สึกขยะแขยงมันยิ่งนัก
คิดจะยอมขายความลับเพื่อเอาตัวรอด
เขาวาดดาบอีกเพียงสองกระบวนท่าก็เด็ดศีรษะคนที่มาขวางเขาไว้ได้
เจิ้งสี่จึงเดินไปที่คนร้ายที่พิงอยู่กับพนังตรอกทันที
“เล่ามา ถ้าช้าข้าจะตัดนิ้วมือทีละนิ้ว”
เจิ้งสี่ขู่มัน
แต่ไม่ทันที่มันจะอ้าปากบอกเขาต่อก็มีมีดสั้นปีกเข้ากลางหน้าผากมันทันที
คนร้ายสองคนที่สู้กะเจิ้งหู่อยู่ใช้โอกาสตอนที่เจิ้งหู่พลาดปลิดชีวิตคนที่จะทรยศทันที
แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อหัวทั้งสองก็หลุดลงมาติดๆกัน
“บัดซบ! ที่อุตส่าห์วิ่งตามจะมีประโยชน์อันใดเนี่ย”
เจิ้งหู่บ่นอย่างอารมณ์เสีย
“อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าพวกมันน่าจะไม่ใช่มืออาชีพ”
เพราะถ้าเป็นมืออาชีพคงปลิดชีพตัวเองไปแล้ว
“แล้วจะทำอย่างไรต่อ”
เจิ้งหู่ถามพร้อมกับค้นตัวของพวกมัน
เขาไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์จึงคิดจะทำลายซากศพทั้งหมดทิ้ง
แต่เขาเห็นร่างสีขาวกระจ่างตากระโดดลงมาอยู่ข้างๆเขาเสียก่อน
“หยุดก่อน”
เจิ้งซื่อรีบห้ามก่อนที่เจิ้งหู่จะกำจัดศพ
“แต่พวกข้าค้นตัวหมดแล้วนะไม่พบสัญลักษณ์อันใดบ่งบอกว่าเป็นพวกใด”
เจิ้งสี่ไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยศพคนตายทิ้งไว้นานหากมีพวกมือปราบผ่านมาพวกเขาจะเดือดร้อน
“ตัดหัวพวกมันทุกคนกลับไป
แล้วไปเจอกันที่จวนนอกเมือง”
เจิ้งซื่อบอกให้ทั้งคู่ทำงานที่น่าขยะแขยงแทนแล้วตนก็เผ่นแผล็วออกไปทันที
ปล่อยให้ทั้งสองยืนค้างอยู่ที่นั่น
“เจ้าบ้านี่อยากจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป”
เจิ้งสี่บ่นไปพร้อมกับหันไประบายอารมณ์ด้วยการตัดศีรษะผู้ร้ายอีกคน
เจิ้งหู่หันไปบ่นกับเจิ้งสี่
“แล้วเมื่อครู่เหตุใดท่านไม่ยอมขัดเขาบ้างเล่า เรื่องสกปรกโยนให้เราตลอด”
“...”
อยู่กับมี่ฮวาเขาก็ต้องทำแทนนาง
ตอนนี้ก็ยังหนีไม่พ้นต้องทำหน้าที่เก็บกวาดแบบนี้อีก เขาก็รังเกียจเป็นเหมือนกันนะ!
เห็นทีกลับไปคราวนี้เขาคงต้องไปประท้วงเสียแล้ว
สายลมยามค่ำคืนที่หนาวเหน็บกระทบกับร่างบางเป็นระลอก
แต่ไม่อาจทำให้ความเร็วลดลงแม้แต่น้อยประสาทสัมผัสทุกอย่างจดจ่อกับสิ่งรอบกายอย่างระแวดระวัง
มี่ฮวาจำต้องพาจ้าวเยว่เทียนเลียบบริเวณชายป่าเพื่อปกปิดร่องรอยและพรางตัวจากคนที่อาจซุ่มโจมตีอยู่
มันอันตรายที่ต้องพาเขามาโดยที่มีนางเพียงคนเดียวเป็นคนคุ้มกัน
แต่ถ้าหากให้นางพากลับจวนอาจโดนดักทำร้ายได้สู้พาเขามาที่ที่ไม่มีคนรู้จักดีกว่า
ความเย็นที่ปะทะกับร่างกายของจ้าวเยว่เทียนเหมือนเป็นตัวกระตุ้นให้สติเขาเริ่มกลับคืนมา
แต่เมื่อเขาเริ่มมีสติความเจ็บปวดก็จู่โจมเขาทันที
จ้าวเยว่เทียนเจ็บจนต้องออกแรงรัดกับสิ่งที่อยู่ด้านข้างอย่างรุนแรงเพื่อควายความเจ็บแต่เมื่อได้กลิ่นหอมหวานที่คุ้นเคยเขาจึงได้แต่ข่มความเจ็บปวดเอาไว้และผ่อนแรงรัดลงทันที
เขากัดฟันเพื่อข่มความเจ็บปวดจนเริ่มได้กลิ่นคาวเลือดอบอวลในปากอีกครั้ง
ความเจ็บแปลบที่ไหล่ของมี่ฮวาเนื่องจากโดนจ้าวเยว่เทียนบีบทำให้นางรู้ว่าเขาเริ่มมีสติแล้ว
นางจึงต้องหาที่ปลอดภัยเพื่อวางเขาลงเพราะยังไม่ถึงที่หมายหากให้เขาทนต่ออาจไปไม่ถึงจุดหมาย
เมื่อเห็นบริเวณที่มีไม้ใหญ่ขึ้นติดๆกันนางจึงมุ่งไปทางนั้น
มี่ฮวาค่อยๆวางจ้าวเยว่เทียนให้พิงกับโคนของต้นไม้ใหญ่
นางรีบนำผ้าเช็ดหน้าของนางม้วนเป็นปมให้เขากัดเอาไว้เพื่อกันเขากัดลิ้นตัวเอง
นางไม่ลืมที่จะหันไปซัดเข็มของนางที่มีใยเหนียวร้อยอยู่ให้มันขึงรอบบริเวณที่ทั้งสองอยู่
อย่างน้อยก็ให้มันเป็นด่านแรกถ้าหากจะมีใครเข้าถึงตัว
เพราะตอนนี้นางไม่สามารถปกป้องจ้าวเยว่เทียนได้เต็มที่เนื่องจากนางต้องใช้สมาธิในการรักษาเขา
“ท่านเจ็บน้อยลงหรือไม่”
นางเห็นเขาไม่เกร็งหนักเท่าครั้งแรก จ้าวเยว่เทียนพยักหน้าน้อยๆ
พร้อมกับจับชีพจรเขาอย่างละเอียด
ตอนนี้ชีพจรเขาไม่สับสนเท่าครั้งแรกแต่ก็ยังไม่ถือว่าดี
แต่ตอนนี้จากการตรวจร่างกายเขาครั้งนี้ทำให้นางพบบางอย่างที่ทำให้รู้สึกกังวลเพิ่มขึ้น
“ยาต้านพิษที่ข้าให้ท่านดื่มล่วงหน้ามันช่วยขับพิษออกไปส่วนหนึ่งพร้อมกับเลือดแล้ว
ท่านพอจะประคองสติไหวหรือไม่อีกไม่กี่เค่อก็จะถึงจวนแล้ว”
จริงๆนางอยากทำให้เขาหลับไปเหมือนคราแรก
แต่ถ้าหากเขาทนความเจ็บไหวนางก็ไม่อยากให้เขาไม่มีสติเพราะถ้าหากเขาเกิดอาการแทรกซ้อนนางจะไม่รู้เลย
เมื่อจ้าวเยว่เทียนพยักหน้ารับอีกครั้ง
นางจึงช่วยนวดร่างกายของเขาเพื่อคลายความเกร็งของกล้ามเนื้อพร้อมกับส่งปราณอ่อนๆจากทางฝ่ามือเข้าไปด้วย
จ้าวเยว่เทียนที่รับรู้ได้ถึงความอุ่นสบายจากมือนุ่มนิ่มของนางที่กำลังลากผ่านทั่วร่างของเขามันช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้เยอะทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทของเขาค่อยๆเปิดขึ้นดูคนตรงหน้าที่กำลังจดจ่อกับการรักษา
เมื่อนางเห็นเขาลืมตาและกำลังมองมาที่นางแบบเต็มตา
บ่งบอกว่าสติเขาเริ่มแจ่มชัดขึ้นแล้ว
นางจึงประคองเขานอนลงบนตักของนางและส่งปราณไปให้เขามากกว่าเดิม นางเห็นเขามองมาที่นางไม่ยอมละสายตาแต่นางก็ไม่ได้สนใจยังคงทำหน้าที่ต่อไป
เมื่อเห็นว่านางไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาจ้าวเยว่เทียนจึงค่อยๆประคองมือที่สั่นของเขาเอื้อมไปหานางที่กำลังโน้มตัวลงมาพอดี
เขาปลดผ้าคลุมหน้าของนางลงมา เพื่อให้เห็นสีหน้าของนางชัดขึ้น
“ข้าก่อปัญหาให้เจ้าอีกแล้วสินะ”
เขากล่าวเสียงเบาขณะเพ่งมองใบหน้างดงามของนางที่สะท้อนแสงจันทร์ที่ตอนนี้กำลังมองสบตาเขาแบบไม่หลบเหมือนทุกที
นิ้วเรียวยาวของเขาไล้ไปตามหน้าผากพร้อมกับเกลี่ยเส้นผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อจากกรอบหน้าได้รูปของนาง
มี่ฮวาจับมือของจ้าวเยว่เทียนแล้วบีบน้อยๆพร้อมกับส่งปราณไปให้
“ท่านคือตัวปัญหาของข้าเสมอ” นางกล่าวพร้อมกับดึงผ้าคลุมหน้ามาคลุมเหมือนเดิม
พร้อมกับลุกขึ้นยืนและเก็บกับดักขณะที่นางกำลังง่วนอยู่จ้าวเยว่เทียนได้แอบนำผ้าเช็ดหน้าของนางใส่ไว้ในอกเสื้อโดยไม่ให้นางรู้ตัว
เมื่อร่างกายของจ้าวเยว่เทียนพร้อมพอที่จะออกเดินทางต่อมี่ฮวาจึงช่วยประคองเขาขึ้นมายืน
จ้าวเยว่เทียนที่กำลังงงอยู่ว่านางจะพาเขาไปแบบใดตอนนั้นเองร่างนุ่มนิ่มที่สูงถึงคางของเขาก็เดินเข้ามาสวมกอดเขาจากด้านหน้า
จ้าวเยว่เทียนตกใจจนตัวเกร็งทันที
มี่ฮวารีบผละออกเพื่อดูอาการของจ้าวเยว่เทียนที่รับรู้ได้ว่าร่างเขาเกิดอาการเกร็งขึ้นมาอีก
“มันเจ็บเพิ่มขึ้นอีกแล้วหรือ”
นางรีบถามเขาด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับพยามประคองเขาไปด้วยและบีบนวดให้เขา
เป็นครั้งแรกที่จ้าวเยว่เทียนเกิดอาการบื้อใบ้ไปต่อไม่ถูกเมื่อโดนจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้มือน้อยๆที่พยามจะคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกายเขากำลังจะทำให้เขาสติแตก
เพราะเมื่อครู่ความเจ็บมันครอบงำอยู่ต่างหากเขาจึงยังไม่รู้สึกอันใด
“เจ้าจะทำอันใด”
เขาถามนางเสียงแหบพร่าอย่างควบคุมไม่อยู่
“ข้าก็จะอุ้มท่านไปที่จวนอย่างไรเล่า” นางตอบพร้อมกับส่งสายตาที่คล้ายกับว่าเขาช่างไม่รู้อันใดเลย
“…”
“เราอยู่ตรงนี้นานเกินไปมันจะอันตรายต่อท่าน
ตอนนี้เหลือเพียงแค่ท่านกับข้าเพียงสองคนเท่านั้น”
´มันจะไม่อันตรายต่อเขาแล้ว
มันจะอันตรายต่อนางแทนแล้วตอนนี้!´ จ้าวเยว่เทียนพยายามสงบสติอารมณ์ของเขาที่เมื่อครู่ถูกนางทำกระเจิงไป
“ไม่เอาไม่อุ้ม”
จ้าวเยว่เทียนเริ่มต่อรองทันทีที่เริ่มมีแรง เขาเป็นบุรุษเป็นถึงจ้าวหวังซื่อจื่อ
มีลูกน้องในบัญชานับหมื่น เขา...เขารับไม่ได้
ให้ตายยังไงก็รับไม่ได้ถ้าหากจะให้นางอุ้มเขาไปถึงแม้นว่าเมื่อครู่เขาจะพึ่งถูกนางอุ้มมาก็ตามที
แต่ตอนนั้นเขาไม่มีสติเขาไม่นับ
มี่ฮวาเห็นคนตรงหน้าเริ่มแผลงฤทธิ์ทีแรกนางคิดจะให้เขาเดินตาม
แต่เมื่อเห็นหน้าตาที่ยังซีดเซียวและเส้นเอ็นที่ยังนูนขึ้นมาตามร่างกายจึงใจอ่อนลง
จ้าวเยว่เทียนเห็นนางมีท่าทีอ่อนลงจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆนาง
“ไม่อุ้มได้หรือไม่” เขากล่าวเสียงออดอ้อน
เขายังอยากเก็บศักดิ์ศรีของเขาไว้อยู่ถึงมันจะเหลือเพียงนิดก็ดีกว่าไม่มี
“ได้!”
จบคำของมี่ฮวาเขาก็รู้สึกถึงฟ้าดินพลิกกลับทันทีพร้อมกับมือที่สะกดจุดเขา
จากนั้นเขาก็รู้ได้ว่าตนลอยจากพื้นดินขึ้นมาเสียแล้ว
“...”
ให้ตายก็ห้ามมีใครมาเห็นเขาตอนนี้เด็ดขาด! ไม่งั้นเขาจะกัดลิ้นเสียให้ตายตรงนี้!
ใช้เวลาเดินทางต่ออีกเพียงสองเค่อทั้งสองก็มาถึงที่หมาย
มี่ฮวาไม่รอช้าที่จะกระโดดเข้าไปด้านในแต่กลับเป็นว่านางต้องมาเสียเวลาหลบค่ายกลของเจิ้งหู่ที่วางทิ้งเอาไว้
ทำให้คนที่พาดอยู่บนบ่านางเยี่ยงกระสอบข้าวที่ตอนแรกบ่นไม่หยุดตอนนี้นิ่งเงียบไปเสียแล้วเนื่องจากอาการไม่สู้ดีนัก
เมื่อเข้ามาในห้องนอนเขามี่ฮวาจึงรีบวางจ้าวเยว่เทียนเบาๆบนเตียงพร้อมกับรีบนำยาแก้พิษเบื้องต้นให้เขาดื่ม
เห็นรอยเลือดบนเสื้อเขามี่ฮวาจึงนำเสื้อผ้าเขามาผลัดให้พร้อมกับเช็ดตัว
คนป่วยมีอาการต่อต้านเล็กน้อยแต่ในที่สุดก็จำยอมเพราะสู้แรงนางไม่ได้
ตอนนี้อาการเจ็บตามร่างกายของเขามีเป็นระยะเท่านั้น
ไม่ได้เจ็บตลอดแสดงว่ายาต้านพิษที่นางให้ดื่มช่วยได้มาก
เมื่อจัดการธุระของจ้าวเยว่เทียนเสร็จเขาก็เหนื่อยจนหลับไปอีกครั้ง
นางจึงได้แต่นั่งเฝ้าเขาเงียบๆอยู่แบบนั้น
แต่จู่ๆคนที่นางคิดว่าหลับไปแล้วกลับมีแรงดึงนางขึ้นไปกอด
“ข้าหนาว” เขารีบพูดทันทีเมื่อเห็นนางขัดขืน
จ้าวเยว่เทียนไม่ได้โกหกตอนนี้เขารู้สึกหนาวมากกว่าปกติ
แท้จริงแล้วคนที่ฝึกวรยุทธ์แบบพวกเขามักจะสามารถควบคุมลมปราณไหลเวียนทำให้ทนต่อสภาพอากาศได้มากกว่าคนทั่วไปไม่ควรหนาวเช่นนี้
เมื่อได้ยินเขาบอกนางจึงหยุดดิ้นทันที
“ท่านหนาวมากหรือไม่ข้าจะไปจุดเตาเพิ่ม”
จ้าวเยว่เทียนงงเล็กน้อยที่เห็นนางว่าง่ายและไม่ต่อต้านเขาเหมือนทุกที
แต่ก็คงเพราะนางเห็นเขาบาดเจ็บเลยไม่ขัดขืน “ไม่ต้องแล้วอยู่แบบนี้อุ่นกว่า”
เขากล่าวพร้อมกับกระชับวงแขนกอดนางให้แน่นขึ้น แต่จู่ๆนางก็ทำให้เขาตกใจอีกครั้งเมื่อมี่ฮวาพลิกตัวกลับมากอดเขา
จ้าวเยว่เทียนเกิดอาการอัมพาตทางร่างกายชั่วคราวอีกครั้งหนึ่งจึงได้แต่นอนมองนางตาค้าง
“หลับตาลงแล้วนอน” นางออกคำสั่งเสียงเย็น
จ้าวเยว่เทียนที่ตอนนี้สมองโล่งไปหมดจึงยอมทำตามนางอย่างว่าง่าย ฝ่ามือและร่างกายของนางที่กอดเขาอยู่แผ่ปราณอ่อนๆออกมาทำให้จ้าวเยว่เทียนรู้สึกอุ่นจนเคลิ้มหลับไปอีกครั้งหนึ่ง
ทำให้เขาไม่เห็นสายตาของนางที่มองมาที่เขายามนี้ซึ่งต่างไปจากทุกที
มันเต็มไปด้วยความกังวล เป็นห่วงและสงสาร
ปลายยามโฉ่วมี่ฮวาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเบาๆมาทางเรือนที่นอนอยู่
นางค่อยๆลุกขึ้นพร้อมกับหยิบมีดสั้นออกมา
แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยนางจึงลุกขึ้นมานั่งข้างเตียงและรอจนคนที่นางรออยู่เข้ามา
“เจ้านี่ กล้าดีอย่างไรมาเปลี่ยนกับดักของข้า”
เจิ้งหู่กระซิบเสียงเบาพร้อมกับโชว์ชายเสื้อที่เป็นรอยกรีดเป็นทางยาวจากอาวุธที่เขาไม่ได้วางเอาไว้
นางแสร้งไม่สนที่เขาบ่น “คนอื่นเล่า”
มี่ฮวากล่าวพลางเดินออกมาจากเตียงของจ้าวเยว่เทียน พลางสอดสายตามองหาคนอื่น
“พี่ซื่อให้ข้ามาแทนเจ้า
เขารออยู่ห้องฝั่งตรงข้าม” เจิ้งหู่บอกหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายมา
มี่ฮวาพยักหน้ารับพร้อมกับกระซิบมอบหมายหน้าที่บางอย่างให้เจิ้งหู่ทำแทน
เจิ้งหู่ได้ยินพลันตัวแข็งทื่อทันทีพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ล้อข้าเล่นแล้ว เจ้าจะเล่นแรงเกินไปแล้วมี่ฮวา”
เจิ้งหู่กล่าวเสียงเครียด แต่เมื่อเห็นสายตาบังคับจากนางเขาก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับในที่สุด
ใช่สิ! เขามันไม่เคยเถียงนางชนะได้เลยนี่!
เมื่อเข้ามาในห้องนางก็ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่
เจิ้งซื่อกำลังง่วงกับการทำอะไรบางอย่างกับโถสามใบหันมาหานางทันที
“อาการซื่อจื่อเป็นอย่างไรบ้าง”
เจิ้งซื่อหันมาถามนาง
“พิษตกค้างในร่างกายเหลืออยู่ประมาณสามส่วน
แต่โดยรวมแล้วพ้นขีดอันตรายแล้วเจ้าค่ะ” นางยังไม่สามารถปรุงยาถอนพิษให้เขาได้
เนื่องด้วยยังไม่รู้ว่าต้องพิษแบบใด รู้แค่อาการคร่าวๆ
“เจ้าไม่มียาถอนพิษที่ใช้ได้ทุกอย่างหรอกหรือ”
เจิ้งสี่ที่เงียบมานานถามขึ้น
“ถ้ามีแล้วยังจะมีการวางยาพิษไปเพื่อการใดหากสามารถแก้ได้หมดเช่นนี้
พวกข้าคงมิต้องเสียเวลาเล่าเรียนการรักษามิสู้ไปตามหาสูตรยามาเก็บไว้ไม่ดีกว่าหรือ”
เจิ้งซื่อบ่นให้กับคู่หูเขาที่ถามคำถามโง่งมออกมา
มี่ฮวาเห็นอาการแยกเขี้ยวของคนที่โดนประชดจึงรีบอธิบาย
“ยาพวกนั้นแก้ได้เพียงพิษพื้นฐานที่ออกฤทธิ์แบบเดียวกันเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“หมายความว่าพิษที่ซื่อจื่อโดนไม่ใช่พิษทั่วไปงั้นหรอกหรือ”
เจิ้งสี่ที่เหมือนจะเข้าใจบางอย่างถามขึ้น
“เริ่มฉลาดขึ้นมาแล้วสินะ”
เจิ้งซื่อกล่าวพร้อมกับยื่นโถทั้งสามใบให้มี่ฮวาดู
“นี่มัน!” นางเห็นหนอนตัวอวบอ้วนสามตัวอยู่ในโถทั้งสามใบ
มีตัวหนึ่งใหญ่โตกว่าเพื่อนของมัน
“ข้านำมันออกมาจากนางคณิกาทั้งสาม”
เจิ้งซื่อกล่าวพร้อมกลับนำทั้งสามใบกลับมา
“หมายความว่าพวกนางเกี่ยวข้องกันงั้นหรือเจ้าคะ”
“พวกนางน่าจะเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดของผู้อื่นเท่านั้น
ข้ากับเจิ้งหู่ตามออกไปทันทีแล้วพบกลุ่มนักฆ่ากลุ่มหนึ่ง”
เจิ้งสี่กล่าวพร้อมกับหันหน้าไปมองห่อผ้าห่อใหญ่ที่ยังมีคราบสีแดงซึมออกมาเป็นวงกว้าง
เขาอุตส่าบรรจงตัดออกมาเพื่อให้นางเอามาทำเป็นหน้ากากหนังมนุษย์
“งั้นแสดงว่าพวกมันน่าจะลงมือตอนที่มามาของหอนั่นพานางทั้งสามมาให้ซื่อจื่อ”
เจิ้งซื่อวิเคราะห์เพราะจ้าวเยว่เทียนไม่ได้ระบุว่าต้องการนางคนใดเพียงขอให้มามาเลือกมาให้
ทำให้พวกมันจำต้องใช้พวกนางทั้งสามคน
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่ามีแค่สามนางที่โดน”
เจิ้งสี่ถาม
“หลังจากนั้นเฝ้าดูอยู่นานไม่มีใครที่โดนพิษจากนางคณิกาและนางคนอื่นก็ปกติดี
นอกจากนี้มามาข้าให้เงาคนอื่นไปเฝ้าดูท่าทีของนางไว้แล้ว” เจิ้งซื่อบอก
เขาอุตส่าห์ทนดูนางคณิกาหลายคนปรนนิบัติผู้อื่นโดยไม่สนว่าสายตาตัวเองจะเสียจากการดูฉากล่อแหลมเหล่านั้น
“แต่นางคณิกาผู้นั้นไม่เห็นทรมานเท่าซื่อจื่อทั้งๆที่นางเป็นผู้ที่มีหนอนเหล่านี้อยู่ในร่าง”
เจิ้งสี่ถามด้วยความสงสัย
“เพราะนางเป็นเพียงแค่แหล่งพาหะเท่านั้นอย่างไรเล่า”
เจิ้งซื่อตอบยังไม่ทันที่จะได้อธิบายเพิ่มทั้งสามก็ได้ยินเสียงร้องของจ้าวเยว่เทียนดังออกมา
เพราะอาการบาดเจ็บทำให้จ้าวเยว่เทียนหลับลึกกว่าทุกที
จนเขาเริ่มสะดุ้งตื่นเพราะความร้อนที่ส่งมาให้เขาเรื่อยๆ
จ้าวเยว่เทียนแอบยิ้มอยู่ในใจที่นางยังนอนอยู่กับเขา
ถึงแม้ว่าแขนที่พาดมาบนตัวเขาจะรู้สึกหนักกว่าเดิมก็ตาม
แต่เขาคิดว่าอาจเพราะตอนนี้เขาร่างกายอ่อนแอ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวไปเสียหมด
จ้าวเยว่เทียนกลัวว่าคนข้างๆจะตื่นจึงค่อยๆขยับตัวกลับมา
เพื่อหวังว่าจะได้เห็นใบหน้ายามหลับของนาง
กลุ่มผมสีดำที่ยุ่งเหยิงมุดอยู่ใต้ผ้าห่มเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา
ทำให้เขาชะงักค้างไปทันที
“...”
“ตื่นแล้วหรือขอรับซื่อจื่อ”
“อ้ากกกกก!”
มี่ฮวาและคนอื่นได้ยินเสียงร้องของจ้าวเยว่เทียนจึงรีบพุ่งเข้าไปหาเขาทันที
ภาพที่เห็นเมื่อเปิดเข้าไปในห้องคือเจิ้งหู่นั้นลงมานอนลงข้างเตียงด้วยท่าที่ไม่น่าชมนัก
ส่วนจ้าวเยว่เทียนตอนนี้กำลังเอาผ้าห่มคลุมกลายพร้อมกับสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ
มี่ฮวาเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าใจสถานะการณ์ทั้งหมดจึงไม่พูดอะไรนอกจากเดินไปดึงเจิ้งหู่ขึ้นมา
ด้วยอย่างน้อยก็ถือว่านางเป็นตัวต้นเหตุให้เขาโดนถีบ
เจิ้งสี่ที่ยังไม่เข้าใจในเหตุการณ์จึงถามขึ้นมา
“เกิดอันใดขึ้นขอรับซื่อจื่อ” แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือความเงียบแทน
ด้วยคนที่รู้เรื่องและคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่คิดจะเล่ามันออกมา
เมื่อไม่ได้มีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงเกิดขึ้นเจิ้งซื่อจึงเดินไปตรวจร่างกายของจ้าวเยว่เทียน
เมื่อเห็นว่าเหลือเพียงพิษตกค้างดั่งที่มี่ฮวาบอกจึงถอยห่างออกมา
“ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างตอนนี้”
เจิ้งซื่อถามเขาพร้อมกับจุดเทียนทั่วห้องให้สว่างขึ้น
จ้าวเยว่เทียนยามนี้สีหน้าดีขึ้นกว่าตอนอยู่หอคณิกามากแต่ก็ยังคงซีดเซียวอยู่ดี
“ยังเจ็บเป็นระยะแต่ก็ยังไม่รุนแรงมาก
ข้าทนไหวเพียงแต่รู้สึกหนาวเท่านั้น”
เขากล่าวพร้อมกับนึกได้จึงพยายามรวบรวมลมปราณขึ้นมา
แต่ปรากฏว่าทันทีที่เขาใช้ลมปราณร่างทั้งร่างเขาเหมือนโดนเข็มแทงอีกครั้ง
จ้าวเยว่เทียนเจ็บจนไออกมาเป็นเลือดอีกครั้งหนึ่ง
มี่ฮวาที่คอยดูอยู่ตลอดจึงรีบเข้าไปประคองแล้วช่วยระงับความเจ็บปวดให้เขาทันที
จนกระทั่งจ้าวเยว่เทียนอาการดีขึ้น
จ้าวเยว่เทียนตอนนี้เริ่มรู้สึกได้ถึงลางร้ายบางอย่าง
เขารีบถามเจิ้งซื่อทันที “นี่มันหมายความว่าอย่างไร”
เจิ้งซื่อถอนหายใจน้อยๆ
ก่อนจะค่อยตอบคำถามของจ้าวเยว่เทียนอย่างชัดถ้อยชัดคำ
คำตอบที่ออกมาตอนนี้เหมือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงกลางร่างของเขาอย่างแรง
“ข้าว่าท่านก็อาจจะพอรู้แล้ว...พิษที่ท่านโดน...มันทำลายเส้นลมปราณของท่าน”
ทั้งห้องเงียบสนิทถ้าหากมีเข็มสักเล่มตกลงมาตอนนี้ก็คงได้ยินกันทั่ว
จ้าวเยว่เทียนหลับตาลงพร้อมกับเอนไปพิงหัวเตียง
ทุกคนนิ่งเงียบแทบไม่กล้าหายใจได้แต่ยืนนิ่งกันอยู่นานจนในที่สุดเจิ้งหู่ที่ทนไม่ไหวจึงส่งสายตาไปหามี่ฮวาว่าให้ทำอันใดก็ได้
นางได้แต่ถลึงตากลับไป เจ้าสหายน่าตายของนางคิดจะโยนเผือกร้อนมาให้เสียแล้ว
จ้าวเยว่เทียนพยายามสงบสติอารมณ์เขาจะไม่ตีโพยตีพายหรือโวยวายโทษฟ้าดิน
มันเป็นสิ่งที่เขาต้องเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้แบบนี้เสมอ
แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะรุนแรงไม่น้อยกับสิ่งที่เขาสูญเสียไป
บุรุษชายชาติทหารหากไร้วรยุทธ์ยังจะทำอันใดได้อีก
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงมือฝ่ามือบางที่สัมผัสที่หลังมือเขาเบาๆ
เขาจึงได้แต่กุมมือของนางไว้อย่างนั้น
เขารู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อยว่าขณะที่เขากำลังหล่นลงเหวลึก
อย่างน้อยก็ยังมีมือที่คอยจับเขาเอาไว้อยู่ ไม่ใช่ความผิดขององครักษ์ของเขา
เขารู้ว่าทุกคนทำเต็มที่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดจากความมั่นใจของเขาเกินไป
เขาได้แต่ถอนหายใจน้อยๆออกมาอย่างยอมรับ เขาไม่อยากจมดิ่งอยู่นาน
ถึงเส้นลมปราณเขาจะไม่มีแล้วอย่างไร ความคิดของเขาไม่ได้ดับตามลงไปด้วย
“เรื่องนี้อย่าพึ่งให้ใครรู้”
จ้าวเยว่เทียนเอ่ยทำลายความเงียบที่มีมานานเกือบครึ่งชั่วยาม “ส่งข่าวบอกท่านพ่อว่าข้าจะต้องลงไปจัดการเรื่องให้กับองค์รัชทายาทยังไม่มีกำหนดกลับ”
เจิ้งสี่ค้อมตัวรับคำก่อนจะหายไปทันที
“ถ้าอาการของข้าดีขึ้นเราคงต้องออกเดินทางทันที”
จ้าวเยว่เทียนเอ่ยอย่างตัดสินใจได้แล้ว
“แต่มันจะอันตรายต่อตัวท่านนะเจ้าคะ
สู้ให้ท่านอยู่รักษาตัวอยู่ที่นี่แล้วให้พวกข้าไปสืบข่าวเองเหมือนทุกทีจะดีกว่า”
มี่ฮวาไม่อยากให้เขาเป็นอันตรายเพิ่ม
“ไม่ได้ถ้าหากว่าข้าเก็บตัวเงียบจริง ๆละก็คนที่ลงมือทำร้ายข้าคงไม่ปล่อยข้าไปแน่
เราต้องไม่ตกเป็นเป้านิ่ง” จ้าวเยว่เทียนเห็นนางจะเอ่ยขัดอีกจึงรีบอธิบาย “ที่ข้าทำแบบนี้เพราะว่าข้าต้องการให้คนที่ทำร้ายข้าเห็นว่าข้าไม่ได้เป็นอันใด
เมื่อนั้นมันต้องลงมืออีกครั้งเป็นแน่” และคราวนี้เขาจะไม่พลาดแบบนี้อีก
“งั้นข้าจะเพิ่มจำนวนเงาที่ติดตามท่าน”
นางรีบบอกทันทีก่อนที่เขาจะได้แย้ง “ข้าไม่ได้คิดว่าท่านเป็นภาระของพวกข้าแต่ว่าตอนนี้สถานการณ์มันไม่ปกติ
เรามีศัตรูหลายทางเกินไป” มี่ฮวาอธิบายเพราะกลัวเขาน้อยใจ
“เพิ่มการติดตามยามอยู่รอบนอกเท่านั้นก็พอ”
จ้าวเยว่เทียนตอบตกลงแต่เพียงเขาไม่ชินกับการที่มีคนอยู่ข้างกายมากๆเหมือนเชื้อพระวงศ์คนอื่น
เมื่อเขากวาดตามองไปรอบ ๆห้องเขาไม่พบองครักษ์ประจำตัวของเขา
“เกาเทียนฉียังไม่มาอีกหรือ” เขาคิดว่าคงต้องไปจัดการเรื่องวุ่น ๆของเขาแทนเหมือนเดิม
“เอ่อ...องครักษ์เกามาแล้วแต่ว่ากำลังอยู่กับนางคณิกาที่นำมาด้วยขอรับ”
เจิ้งหู่ไม่ได้บอกว่าตอนนี้เกาเทียนฉีกำลังลงโทษตัวเองอยู่ด้วยการคุกเข่าในห้องมาตลอดตั้งแต่กลับมาแล้ว
เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงหลับตาลงเพื่อพักผ่อนอีกครั้ง
แต่เขาสัมผัสได้ว่ามี่ฮวากำลังจ้องมองเขาอยู่เหมือนนางต้องการบอกอะไรบางอย่าง
“ข้าขอโทษที่ข้าไม่ได้บอกท่านให้เร็วกว่านี้” มี่ฮวาเอ่ยขอโทษเขา
นางรู้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าเขาไม่สามารถใช้ลมปราณได้
“ไม่มีใครผิดทั้งนั้น
เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว” มีแต่เขาต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้
“จริง ๆมันก็พอมีวิธีช่วยอยู่นะ” เจิ้งซื่อที่เงียบไปนานจู่
ๆก็เอ่ยขึ้นมา
ทั้งห้องหันไปมองเขาทันทีเจิ้งหู่รีบแยกเขี้ยวใส่แล้วบ่นเขาทันที
“แล้วทำไมไม่รีบบอกกันเล่า ข้านี่เตรียมแบ่งเวรคนอุ้มซื่อจื่อไว้แล้วนะ”
เพราะถ้าหากไม่มีปราณจ้าวเยว่เทียนก็คงใช้วิชาตัวเบาไม่ได้
จ้าวเยว่เทียนไอโขลกออกมาทันทีที่ได้ยินคำว่าอุ้มออกมา
“ปราณข้าแค่หายมิได้พิการ”
“เมื่อครู่ที่ข้าตรวจซื่อจื่อข้าพอรู้สึกถึงลมปราณได้นิดหน่อย
แต่ก็ยังไม่มั่นใจมากนัก”
มี่ฮวาได้ยินเจิ้งซื่อพูดดังนั้นจึงจับไปที่บริเวณเส้นชีพจรของลมปราณทันที
“ท่านลองรวบรวมลมปราณอีกทีได้หรือไม่”นางบอกเขา
จ้าวเยว่เทียนได้ยินก็รีบทำตามทันที
แต่ผลที่ออกมาก็คือการเจ็บปวดตามร่างกายดังเดิม
“จริงด้วยพี่ซื่อ
เส้นลมปราณยังพอมีอยู่แต่มันบางเบายิ่งนัก” นางรีบหันไปบอกเจิ้งซื่ออย่างตื่นเต้น
เมื่อสัมผัสได้ถึงลมปราณที่ไหลเวียนอย่างบางเบาถ้าหากไม่ตั้งใจเพ่งอาจไม่รู้สึก
พี่ซื่อ...พี่ซื่อ? จ้าวเยว่เทียนหันไปหรี่ตามองคนที่เรียกคนอื่นว่าพี่ได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้เขารู้สึกว่าตนกำลังจิบน้ำส้มเสียแล้ว
“คงเป็นเพราะยาต้านพิษของเจ้า
ทำให้พิษไม่ออกฤทธิ์ทั้งหมด”
ไม่งั้นต่อให้มียาแก้พิษที่มหัศจรรย์แค่ไหนก็รักษาไม่ได้แล้ว
เมื่อเจิ้งซื่อพูดขึ้นมานางก็พึ่งคิดได้
“ซื่อจื่อก่อนที่ท่านจะล้มลงไปท่านได้แตะต้องหรือทำอันใดนางคณิกาหรือไม่”
“เหตุใดเจ้าถามเช่นนี้”
เขาก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเขาโดนพิษจากทางใด เขาจำได้เพียงลาง ๆว่านางเดินเข้ามาหาเขา
“เพราะว่าพิษที่ท่านได้รับนั้นท่านได้มาจากนาง นางเป็นต้นกำเนิดของพิษ”
เจิ้งซื่อตอบแทน “นางถูกฝังตัวอ่อนลงไปในร่างเพื่อควบคุมนางเอาไว้
แม่นางอีกสองคนที่เหลือก็โดนเหมือนกันแต่ข้านำออกมาได้แล้ว”
เขาหมายถึงนางคณิกาที่เป็นตัวเลือกให้จ้าวเยว่เทียน
เมื่อเห็นทุกคนในห้องกำลังตั้งใจฟังเขาเหมือนนักเรียนดีเด่นเจิ้งซื่อจึงยอมอธิบายยาวขึ้น
“ตัวอ่อนที่อยู่ในร่างนางมันเปลี่ยนตัวนางให้กลายเป็นแหล่งยาพิษ
ที่นางไม่เป็นอันใดเหมือนกับท่านเพราะว่านางเป็นเพียงคนธรรมดาหาได้มีปราณเหมือนท่านไม่”
“ข้าเจอพวกที่เป็นคนที่ฝังตัวอ่อนให้นางด้วยเสียแต่ว่ามันโดนฆ่าปิดปากไปเสียก่อน”
เจิ้งหู่เอ่ยเสริมขึ้นมา
จ้าวเยว่เทียนเริ่มใช้ความคิด
“หมายความว่ามีคนบงการอีกแล้วงั้นหรือ” เขาไม่แน่ใจว่ามาจากฝั่งไหนเพราะช่วงนี้เขายังไม่ได้ไปขัดแข้งขัดขาใครมากนัก
แต่ก็โล่งใจไม่น้อยว่าไม่ได้เกิดจากคณิกาที่เขาไปใจร้ายใส่เหมือนครั้งก่อนหน้านี้
“แต่ข้าว่าคนจ้างวานน่าจะเป็นคนเดิมจากพวกที่แล้ว
เพราะทั้งหมดไม่น่าจะเป็นมืออาชีพ” เจิ้งหู่เสนอความคิดเพราะถ้าหากพวกมันเป็นเงาแบบพวกเขาไม่ต้องรอให้โดนซ้อมหรอกพวกมันคงดื่มยาพิษฆ่าตัวตายไปนานแล้ว
“แล้ววิธีแก้เล่าท่านพอจะรู้หรือไม่”
เจิ้งหู่ถามด้วยความสงสัยเพราะเจิ้งซื่อยังไม่บอกเสียที
“ตอนนี้มันยังเป็นเพียงตัวอ่อนของแมลงข้ายังไม่กล้าฟันธงว่าเป็นตัวใดเพราะว่าสายพันธุ์ที่ออกฤทธิ์เช่นนี้ได้มีอยู่ไม่น้อย
หากรอให้มันโตอีกหน่อยก็จะสามารถหายาแก้พิษที่ตรงกับมันได้”
“งั้นแสดงว่าท่านต้องเลี้ยงเจ้าตัวแขยงนั่นให้โตงั้นหรือ”
เจิ้งหู่บอกพร้อมกับทำท่ารังเกียจไปด้วย
“ไม่เป็นปัญหาอันใดหรอกตัวแขยงเช่นเจ้ากับมี่ฮวาข้าก็เลี้ยงให้โตจนได้
กับแค่แมลงไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงหรอก”
“...”
มี่ฮวาทำเป็นไม่ได้ยินนางหันไปถามจ้าวเยว่เทียนอีกที “ตกลงท่านจำไม่ได้จริง
ๆหรือว่าโดนพิษได้อย่างไร”
“ข้าจำไม่ได้”
จ้าวเยว่เทียนพูดไปตามความจริง
“แต่ข้า...อั่ก” เจิ้งหู่ที่อยู่ในเหตุการณ์กำลังจะเล่าว่าจ้าวเยว่เทียนโดนพิษได้อย่างไรก็โดนสันพัดฟาดกลางหลังอย่างไม่ออมแรงลงมาทันที
“นี่ใกล้ถึงเวลาอาหารเช้าแล้ว
เจ้าไปเตรียมได้อยู่ที่นี่เจ้าก็หาได้มีประโยชน์อันใด”
เจิ้งซื่อกล่าวเสียงเย็นกับเจิ้งหู่ที่ทำสีหน้าเหรอหราที่จู่ ๆก็โดนเตะโด่งออกจากวงสนทนา
เขากำลังจะเถียงแต่เมื่อเจิ้งซื่อเงื้อพัดขึ้นมาอีกครั้งจึงรีบหลบออกไปอย่างรวดเร็ว
ข้าจะปฏิวัติระบบชนชั้นนี่ให้ได้! ข้าจะต้องไม่โดนใช้งานที่เจ้าพวกนั้นไม่อยากทำอีก!
เจิ้งหู่ตั้งปณิธานในใจเขาจะไม่ยอมให้หน่วยบุกทะลวงอย่างเขาเป็นเบี้ยล่างของหน่วยแทรกซึมของเจิ้งซื่อและมี่ฮวาอีกต่อไปแต่ตอนนี้เขาต้องไปหาวัตถุดิบทำอาหารเสียก่อนจะคิดทำการใหญ่
เพราะว่ากองทัพมันต้องเดินด้วยท้อง!
เป็นชื่อตอนที่เหมาะกับพี่เยว่ที่สุดแล้วตอนนี้
ความคิดเห็น