ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องครักษ์พิทักษ์หลังคา (สนพ.เฟยฮุ่ย)

    ลำดับตอนที่ #12 : แผนร้ายพรายน้ำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.17K
      255
      7 ก.ค. 62

    แผนร้ายพรายน้ำ

         การเดินทางครั้งนี้ก่อนหน้านี้พวกนางได้แวะพักตามโรงเตี๊ยมตามหัวเมืองเล็กๆมาตลอดทางทำให้การนอนหลับไม่ค่อยเป็นปัญหามากนัก ส่วนอาหารการกินก็ล้วนอุดมสมบูรณ์ดีเหมยซือจัดว่ากินง่ายอยู่ง่ายและไม่ค่อยเป็นปัญหา ทำให้เกาเทียนฉีเริ่มที่จะไม่ค่อยบ่นเวลาที่โดนสั่งให้ไปดูแลนางเหมือนเมื่อก่อน นั่นเป็นอีกข้อสังเกตที่เห็นได้ชัด

         เจิ้งหู่แอบมากระซิบบอกนางว่านี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่ทำให้เกาเทียนฉีหายขาดจากอาการขลาดเขลาเวลาอยู่ต่อหน้าหญิงสาว ดังนั้นตลอดทางที่เดินทางกันมามักจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกาเทียนฉีได้เข้าไปช่วยหญิงงามอยู่เสมอ ส่วนเฒ่าจันราที่ส่งเสริมก็หาใช่คนอื่นคนไกล ล้วนเป็นองครักษ์เงาทั้งหลายนั่นเอง

         อย่างเช่นวันนี้ที่เดินทางออกมาได้สองชั่วยามจู่ๆล้อของรถม้าที่ทั้งสองนั่งอยู่ก็หลุดออกมา มันคงไม่เป็นเรื่องแปลกหากรถม้านั้นเก่าแล้ว เมื่อเกาเทียนฉีจะขอเปลี่ยนมานั่งรถม้ากับมี่ฮวาและจ้าวเยว่เทียนก็พบว่ารถม้าคันโตได้วิ่งไปไกลเสียแล้ว

         คนขับรถม้าหรือเงาคนหนึ่งจึงเสนอขึ้นมา “พ่อบ้านเกาขอรับ ท่านนำม้าไปเพื่อบอกรถม้าคันข้างหน้าให้รอเราได้หรือไม่ขอรับ” กล่าวพร้อมกลับรีบปลดม้าออกมาแล้วยื่นเชือกให้เขาทันที

         เกาเทียนฉีที่ไม่ได้คิดอันใดว่าเหล่าลูกน้องจะทรยศจึงรับม้ามาและก่อนที่เขาจะควบออกมาเงาคนเดิมก็รีบกล่าวออกมา

         “ท่านอง...แค่ก...ท่านพ่อบ้านเกา ท่านช่วยพาแม่นางเหมยซือไปด้วยได้หรือไม่ ข้ากลัวว่ามันจะนานให้นางนั่งรอคงน่าเบื่อแย่”

         เกาเทียนฉีที่กำลังจะปฏิเสธเพราะเขากะว่าจะควบเต็มกำลังเพียงไม่กี่เค่อก็คงทัน แต่นางกลับลงมาจากรถม้าเสียก่อน หากจะให้เขาปฏิเสธต่อหน้านางเขาก็ไม่กล้า

         “แต่ว่าม้ามีตัวเดียว” เขาบอกเผื่อว่านางจะไม่อยากนั่งไปกับเขา

         “แม่นางเหมยซือ พวกข้าต้องซ่อมรถม้าอยู่ที่นี่หากไม่มีอันใดรบกวนแม่นางไปกับพ่อบ้านเกาได้หรือไม่ อยู่ที่นี่อาจเป็นอันตราย” อันตรายจากอันใดนั้นปล่อยให้นางจินตนาการต่อเอาเอง

         เหมยซือเห็นว่าให้นางอยู่ตรงนี้กับคนขับรถม้าที่นางพึ่งรู้จักสู้ให้นางไปกับพ่อบ้านเกาน่าจะปลอดภัยกว่าจึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเขา

         “ข้าคงต้องรบกวนพ่อบ้านเกาแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างเกรงใจกับเกาเทียนฉี

         เมื่อไม่มีทางเลือกเขาจึงต้องรับนางขึ้นมา ท่าทางที่เก้ๆกังๆ ของนางทำให้เขารู้ว่างนางคงไม่เคยขี่ม้า ทำให้เขาเปลี่ยนแผนจากเดิมที่กะจะควบเต็มเหยียดกลายเป็นต้องค่อยๆพานางไป กลิ่มหอมอ่อนๆของสาวงามที่อยู่ตรงหน้าเขาทำให้ใจเขาเต้นแรงไม่น้อย เขารู้สึกนับถือจ้าวเยว่เทียนทุกครั้งที่เห็นเขาเกี้ยวสาวได้แบบไม่มีสะดุด

         เมื่อม้าของทั้งสองหายลับไปจากครรลองสายตา เหล่าเงาทั้งหลายช่วยกันประกอบล้อรถม้าให้กลับไปเหมือนเดิมโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป รถม้าก็ออกเดินทางต่อทันทีเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น

         จ้าวเยว่เทียนมองคนข้างกายเขาที่ตอนนี้กำลังส่งเสียงหัวเราะคิกคักยิ้มตาหยีให้กับผู้อื่นอย่างเป็นธรรมชาติ ทีกับเขาแค่ไรฟันของนางบางครั้งยังแทบไม่ได้เห็น เขาไม่อยากให้ใครเห็นรอยยิ้มของนางถึงแม้ว่านั่นจะไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของนางก็ตาม เขารู้สึกหวงกระทั่งเสียงหัวเราะของนางเสียด้วยซ้ำตอนนี้

         มี่ฮวาที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ทำให้คนด้านข้างของนางงอนไปเป็นที่เรียบร้อยกำลังฟังที่เจิ้งหู่เล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างเมามัน

         “เจ้าต้องได้เห็นหน้าองครักษ์เกาตอนที่เห็นว่ารถม้าของพวกเจ้าทิ้งเขา” เจิ้งหู่ยังคงเล่าอยากออกรสอยู่บนหลังคารถม้า

         วันนี้เขาปลอมตัวเป็นผู้คุ้มกันรถม้า เนื่องจากมี่ฮวาขอร้องให้เขามาอยู่ใกล้ๆนาง ตอนแรกเขาไม่ยอมมานางจึงขู่ว่าจะวางยาเขาเจิ้งหู่จึงต้องมาอย่างช่วยไม่ได้

         “ทีนี้ระหว่างทางข้าเลยปล่อยงูลงไปเล็กน้อย เวลาม้าวิ่งผ่านมันจะได้พยศ ทีนี้องครักษ์เกาจะได้รู้ว่าเนื้อนวลของสาวมันนุ่มนิ่มแค่ไหน” เจิ้งหู่เล่าถึงแผนร้ายของตนออกมาอย่างไหลลื่นโดยไม่รู้สึกละอายแม้แต่น้อย พร้อมกับทำมือบีบขยำหยุบหยับไปมา

         “ฮ่า! เจ้าน่าจะวางค่ายกลให้สองคนนั้นหลงอยู่ในป่าด้วยกันสักพักก็ยังดี” มี่ฮวาเสริมความเห็น

         เจิ้งหู่ตบมือแปะๆให้กับความคิดนาง “จริงด้วย! คราวหน้าข้าไม่พลาดแน่เจ้ารอดูได้เลย”

         ทันใดนั้นเสียงเย็นเยียบของจ้าวเยว่เทียนก็ดังขึ้นมา “งั้นเจ้าทำไมไม่ย้อนกลับไปดูผลงานของตนเองเสียเล่า”

         “จริงด้วย ซื่อจื่อท่านพูดมีเหตุผล มี่ฮวาเจ้าจะไปดูพร้อมข้าหรือไม่” เจิ้งหู่ที่ยังไม่รู้สึกถึงความหงุดหงิดในน้ำเสียงของจ้าวเยว่เทียนยังคงชวนมี่ฮวาต่อ แต่นางที่นั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกันกับเขามีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเริ่มอารมณ์ไม่ดีเสียแล้วจึงแกล้งนั่งเงียบไม่ตอบกลับไป

         เจิ้งหู่ที่เห็นนางไม่ยอมตอบจึงหมายจะชะโงกหน้าลงมาดูแต่กลับโดนเม็ดถั่วดีดใส่กลางหน้าผากทันที

         “เจ้าเล่นแรงเกินไปแล้วเจิ้งหู่ตามไปดูเดี๋ยวนี้ว่าพวกนั้นอยู่ที่ใด อ้อ! ภายในสองเค่อทำให้รถม้าคันนั้นตามมาให้ทันด้วย ทำไม่ได้วันนี้เจ้าไม่ต้องโผล่มา” จ้าวเยว่เทียนเอ่ยเสียงเย็น

         ´อ่า...ยามมีความสุขก็สุขกันทั่ว แต่พอยามทุกข์เหตุใดเป็นข้าแต่เพียงผู้เดียวกันเล่า´ เจิ้งหู่ได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ

     

     

         อีกฝั่งหนึ่งในเหมืองหลวงในห้องที่เป็นส่วนตัวแห่งหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่เป็นขึ้นชื่อของเมือง มีบุรุษสองคนกำลังสนทนากันอย่างลับๆอยู่ ภายในห้อง

         “เหตุใดเปิ่นหวางยังเห็นว่ามันยังไม่เป็นอันใด ไหนเจ้าบอกว่าวิธีของเจ้าจะทำให้มันทรมานมากไม่ใช่รึ” ชายผู้สูงศักดิ์กว่าในห้องเอ่ยถามผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า

         “กระหม่อมแน่ใจพะย่ะค่ะ ต่อให้มันจะแสร้งทำเป็นไม่มีอันใดแต่กระหม่อมมั่นใจว่ามันต้องโดนพิษเป็นแน่” ชายผู้ต่ำศักดิ์กว่ากล่าวอย่างนอบน้อม

         “แล้วเจ้ามีหลักฐานมายืนยันกับเปิ่นหวางหรือไม่เล่าว่ามันต้องพิษจริงๆ” เขาต้องการหลักฐาน

         “คนของกระหม่อมบอกว่าหลังจากวันนั้นมีนางคณิกาหายตัวไปหนึ่งคนพะย่ะค่ะ ตรงกับคราวที่แล้วที่จ้าวเยว่เทียนต้องพิษ มันก็กำจัดนางคณิกาไปทันทีพะย่ะค่ะ” เขารู้ความเคลื่อนไหวของจ้าวเยว่เทียนเป็นอย่างดีด้วยฝ่ายนั้นไม่เคยนึกระแวงในตัวเขา

         “ถ้ามันเป็นดั่งที่เจ้าว่าก็ดี แต่เปิ่นหวางไม่ไว้ใจเป็นไปได้กำจัดมันทิ้งซะ” เขาไม่อยากให้มันมาขัดขวางเขาเหมือนคราวที่แล้วอีก

         “แต่ถ้าหากจ้าวเยว่เทียนตายไปตอนนี้อาจทำให้ฝ่ายนั้นระวังตัวมากกว่าเดิมก็ได้นะพะย่ะค่ะ”

         “อย่างไรเสียตอนนี้มันก็เป็นคนไร้ค่าในสายตาคนอื่น ต่อให้มันตายไปจริงๆฝ่ายนั้นก็ทำอันใดมากไม่ได้หรอก”

         “แต่ว่า...”

         “ทำตามที่เปิ่นหวางสั่ง อย่าคิดว่าเปิ่นหวางไม่รู้ทันเจ้าว่าคิดจะทำการใด” เขาขู่งูพิษเฒ่าด้านหน้าที่ใฝ่สูงตัวนี้

         “...”

         “ถ้าเสร็จจากเรื่องนี้เจ้าจะได้มากกว่าเดิมแน่นอน เปิ่นหวางสัญญา”

     

     

         หลังจากที่โดนจ้าวเยว่เทียนลงโทษไปคราวที่แล้วทุกคนก็สงบเสงี่ยมขึ้นการเดินทางเริ่มเข้าสู่แนวป่าซึ่งเป็นทางที่ไปสู่เมืองฉินที่อยู่ในหุบเขาใหญ่ ระหว่างทางเจอโจรภูเขาประปรายแต่ทั้งขบวนก็สามารถเลี่ยงผ่านมาได้โดยไม่มีการปะทะมากนัก ในที่สุดทุกคนก็ต้องหาที่พักกันในป่าเนื่องจากโรงเตี๊ยมแห่งสุดท้ายนั้นได้ผ่านมาแล้ว

         จ้าวเยว่เทียนก้มมองแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะในรถม้า เพื่อหาทางเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปในป่าให้มากที่สุดเนื่องจากเขารู้สึกว่าช่วงหลังในการเดินทางพวกเขาเจอโจรภูเขามากขึ้น พวกมันไม่เหมือนเข้ามาที่จะต้องการปล้นแต่เหมือนจะมาหยั่งเชิงเขามากกว่าจ้าวเยว่เทียนรู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ทำให้เหล่าเงาทั้งหลายกระจายตัววางแนวป้องกันโดยรอบอย่างเคร่งตรัดมากกว่าปกติ

         “ท่านจะให้หยุดรถม้าบริเวณนี้เลยไหมเจ้าคะ” มี่ฮวาถามเขาเมื่อเห็นว่าอีกเพียงไม่ถึงชั่วยามแสงแดดจะหมดลง เนื่องจากอยู่ในเขาทำให้แสงอาทิตย์ส่องลงมาได้น้อยกว่าปกติ

         “อืม... หยุดเลยก็ได้” เมื่อเขาพูดจบมี่ฮวาจึงส่งสัญญาณให้กับคนขับรถม้าทันที

         มี่ฮวารู้สึกขอบคุณที่มีเหมยซือมาด้วย เนื่องจากนางรับหน้าที่ในการทำอาหารฝีมือของนางเรียกได้ว่าไม่เป็นรองใครทำให้การเดินทางครานี้นางไม่ต้องทนกินแต่ของย่างเหมือนยามเดินทางตามปกติ ถึงแม้เจิ้งหู่จะทำอาหารอร่อยแต่ก็ไม่ได้พิถีพิถันเช่นนาง ส่วนมี่ฮวาทำเป็นเพียงแค่โยนอาหารลงกองไฟและรอให้มันสุกเพียงเท่านั้นนางก็ทานได้แล้ว

        วันนี้เกาเทียนฉีไปจับกระต่ายป่ามาได้หลายตัว มี่ฮวาจึงรับหน้าที่ถลกหนังให้เหมยซือ “คุณหนูใช้มีดได้คล่องยิ่งนัก แต่เหตุใดคุณหนูถึงทำอาหารไม่เป็นล่ะเจ้าคะ” เหมยซือเห็นท่าทางคล่องแคล่วของนางในการชำแหละและถลกหนังโดยใช้มีดเล่มเล็กเพียงเล่มเดียว

         “อะ...” นางลืมตัว จะให้บอกได้อย่างไรเนื่องจากนางฝึกมาเยอะกับการชำแหละคน แต่เหมือนนางแค่ชวนคุยจึงไม่ได้สนใจคำตอบจากมี่ฮวาต่อ นางจึงปล่อยหน้าที่นี้ให้เกาเทียนฉีแล้วเดินไปหาจ้าวเยว่เทียนที่กำลังคุยกับผู้คุ้มกันกำมะลอเจิ้งหู่ เรื่องเส้นทาง

         “เจ้าควรฝึกเข้าครัวไว้นะ อีกหน่อยออกเรือนสามีเจ้าจะได้ไม่ลำบาก” เจิ้งหู่บอกนางทันทีที่เดินมาถึง อันที่จริงเขาอยากให้นางฝึกไว้จะได้ไม่เป็นภาระให้แก่เขาต่างหาก

         “อีกสามวันเราถึงจะพ้นไปจากป่านี้ได้ เพราะต่อให้เราใช้เส้นทางอื่นมันก็ต้องตัดผ่านป่าที่ทึบที่สุดอยู่ดี เราคงต้องระวังให้มาก” จ้าวเยว่เทียนเอ่ยขัดขึ้นมาก่อนที่ทั้งสองจะเถียงกันต่อ

         “เมื่อครู่พี่เจิ้งซื่อส่งข่าวมาบอกว่าโดยรอบไม่มีทั้งโจรภูเขาหรือว่าพวกอื่นส่งมาเจ้าค่ะ แต่ว่าก็จะวางคนทิ้งไว้เพื่อดูต้นทาง”

         “แล้วมีข่าวความเคลื่อนไหวจากในจวนหรือไม่”

         “ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอันใดที่ผิดปกติขอรับ ซื่อจื่อจะให้ข้าส่งข่าวบอกองค์รัชทายาทหรือไม่ขอรับเรื่องที่เราถูกโจมตี” เจิ้งหู่ถามเขาเนื่องจากพวกเขาลงความเห็นกันว่าเป็นไปได้ที่จะไม่ใช่โจรปกติ

         “เรื่องนี้ข้าไม่ไว้ใจผู้อื่นมากนัก เจิ้งสี่” ทันใดนั้นเจิ้งสี่ก็มาปรากฏตัวเงียบๆข้างรถม้าที่มีมุมอับทางสายตาทันที “รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับองค์รัชทายาท รวมถึงแผนที่เราจะทำด้วย” เจิ้งสี่พยักหน้าน้อยๆก่อนที่จะหายไปทันทีพร้อมกับเงาที่ตามเขาไปอีกสองสาย

         พอดีกับที่เกาเทียนฉีเรียกให้ทุกคนไปทานอาหารเย็นการประชุมจึงจบลง ขณะที่มี่ฮวากำลังเดินไปที่กองไฟที่เตรียมไว้จู่ๆจ้าวเยว่เทียนก็มากระซิบที่ข้างหลังนาง “ไม่ต้องห่วงตำแหน่งของชายาของข้าไม่จำเป็นต้องทำอาหาร” กล่าวจบพร้อมกับเดินตัวปลิวไปทันทีปล่อยให้นางนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นอยู่เพียงผู้เดียว

         การรับประทานอาหารค่อนข้างเป็นไปอย่างเงียบเชียบเนื่องจากคนที่พูดมีอยู่เพียงคนเดียว ต่างจากอีกวงหนึ่งของเหล่าคนคุ้มกันที่หัวเราะกันอย่างครื้นเครง เหมยซือพยายามชวนทุกคนคุยเพื่อเพิ่มบรรยากาศ มีเพียงเกาเทียนฉีเท่านั้นที่ตอบนางกลับมาเป็นระยะแต่ก็ไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องใหม่ ทำให้นางต้องคอยเป็นคนต่อบทสนทนานี่ตลอดเวลา

         เหมยซือมองไปที่อีกฝั่งหนึ่งของกองไฟดูเหมือนว่าคุณหนูจะทะเลาะกับคุณชายเสียแล้วเนื่องจากนางเห็นคุณชายง้อคุณหนูอยู่ตลอด เดี๋ยวก็ตักอาหารให้ เดี๋ยวก็ยกน่องกระต่ายให้คุณหนูจะหยิบจะจับอันใดก็ปรนนิบัติไปเสียหมด ส่วนคนที่รู้เรื่องก็แสร้งทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เรื่องของเจ้านายอย่าไปยุ่ง

         เมื่อทานอาหารเสร็จขณะที่นางกำลังจะไปเตรียมยาให้จ้าวเยว่เทียนเหมยซือก็เดินเข้ามาหานาง “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่เหล่าคนคุ้มกันบอกว่าไม่ไกลจากที่นี่มีลำธารไหลอยู่ไม่ทราบว่าคุณหนูต้องการไปชำระกายหรือไม่เจ้าคะ” เหมยซือเอ่ยชวนมี่ฮวาไปด้วย

         มี่ฮวาเห็นใจนางว่าคงไม่เคยต้องอาบน้ำกลางป่าเพียงคนเดียวจึงตกปากรับคำจะไปกับนางทำให้นางรีบยิ้มรับและขอตัวไปเตรียมตัวทันที ขณะที่หันกลับมานางก็เห็นเจิ้งหู่เดินเข้ามาใกล้ๆจึงกระซิบบอก

         “อีกเดี๋ยวข้าจะไปอาบน้ำกับเหมยซือที่ลำธาร” นางบอกเพื่อให้เขาเตรียมดูลาดเลาให้จ้าวเยว่เทียน

         “เพ่ย! ไม่เอาข้าไม่ไปดูเจ้าอาบน้ำหรอก” เจิ้งหู่คิดแล้วขนลุกพรึ่บ

         “บ้า! ข้าจะบอกให้เจ้าเอายาไปให้ซื่อจื่อแทนข้า”

         “อ่อ...ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ข้าจัดการแทนเอง เจ้าก็สะกิดบอกนางหน่อยล่ะว่าให้เหลือผ้าผ่อนไว้บ้างเดี๋ยวพวกที่เฝ้าเวรยามจะเลือดหมดตัว” เจิ้งหู่กระซิบบอกพร้อมกับหันหน้าไปที่เกาเทียนฉีที่มองตามเหมยซือไป

         น้ำในลำธารค่อนข้างเย็นมี่ฮวาที่ฝึกมานานอีกทั้งมีวรยุทธ์ยังรู้สึกเย็นนิดหน่อย นางกับเหมยซือจึงตกลงกันว่าจะเพียงเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื่อผ้าเพียงเท่านั้นจากนั้นนางจึงหาก้อนหินที่สามารถกำบังกายได้หมดจึงเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าและปลดหน้ากากที่สวมมานานจนนางเริ่มรู้สึกไม่สบายออก แต่เมื่อได้โดนน้ำแล้วนางก็เปลี่ยนใจจะชำระกายจึงบอกให้เหมยซือขึ้นไปก่อน

         นางไม่เป็นห่วงเพราะระยะห่างไม่ได้ไกล อีกทั้งตอนที่เดินมานางก็เห็นแล้วว่าเกาเทียนฉีแอบตามมาไม่ห่างดูท่าครานี้การทำตัวเป็นเฒ่าจันทราของคนในหน่วยเงาเริ่มที่จะสัมฤทธิ์ผลเสียแล้ว

         ขณะที่นางอาบน้ำอยู่ประสาทสัมผัสทั้งหมดก็ระแวดระวังเต็มที่ นางได้ยินเสียงน้ำกระฉอกจากที่ไกลๆแต่เมื่อมองไปรอบๆก็ไม่เห็นอันใดจึงคิดว่าน่าจะเป็นสัตว์ป่าที่มาดื่มน้ำยามค่ำคืน แต่ขณะที่นางอาบน้ำไปได้สักพักนางก็รู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมจากใต้น้ำที่จู่ๆก็เพิ่มขึ้นนางจึงคิดจะขึ้นจากน้ำหากแต่ไม่ทันเมื่อมีมือคู่หนึ่งมาคว้าตัวนางจากด้านหลัง!

         จู่ๆก็มีพรายน้ำตัวโตโผล่ขึ้นมารัดร่างนางเอาไว้มี่ฮวาจึงหยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ที่ต้นขาออกมาแล้วกะแทงไปที่อกทันทีแต่เจ้าพรายน้ำตัวซีดนั้นปัดมีดออกได้ทัน เมื่อมี่ฮวาหันไปเห็นจึงได้แต่อุทานออกมา

         “ซื่อจื่อ!” จ้าวเยว่เทียนมาเล่นบ้าอะไรยามนี้

         “ท่านจะทำอันใดปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” มี่ฮวาได้แต่พยายามจะผลักเขาออกไปถ้าหากเขาร่างกายเป็นปกตินางคงซัดฝ่ามือใส่แบบไม่ยั้งไปแล้ว

         “หืม...จะเสียงดังไปไยเดี๋ยวคนอื่นก็แห่มาหรอก” เขาพูดไปพลางคิดว่าไม่มีใครกล้ามาหรอกยามนี้หากเขาไม่เรียก

         จ้าวเยว่เทียนมองคนในอ้อมแขนที่ยามนี้ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อถึงแม้อากาศจะหนาว เส้นผมสีดำเงางามเปียกชื้นแนบไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งของนาง บนใบหน้าของน้ำมีหยดน้ำเกาะอยู่พร่างพราวสะท้อนแสงจันทร์ที่ส่องลอดแมกไม้ลงมา ริมฝีปากแดงก่ำของนางอ้าน้อยๆเนื่องจากอาการตกใจและออกแรงไปเมื่อครู่

         “อาบน้ำกับเจ้าอุ่นกว่าจริงด้วย” เขาแกล้งพูดข้างหูนางพร้อมกับกระชับอ้อมแขนเข้ามากว่าเดิม

         จ้าวเยว่เทียนลงทุนเดินไปต้นลำธารแล้วค่อย ๆว่ายน้ำมาเพราะถ้าหากเดินเข้ามาใกล้ ๆอย่าหวังว่าจะได้แอบเอาเปรียบนางแบบนี้ ใครให้นางหูดีขนาดนั้นกันเล่าเขาทนหนาวอยู่ในน้ำนี่ตั้งนานกว่าจะคืบคลานไปหานางได้ เมื่อเห็นสภาพของนางยามนี้เขาก็อดจะหัวเราะไม่ได้ ขนาดอาบน้ำนางยังสวมชุดคลุมหนาหนัก สมกับเป็นองครักษ์เงาของเขา นางช่างเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

         “ท่านปล่อยข้าได้แล้ว ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” ตัวนางไม่เป็นไรแต่คนตรงหน้านางเหมือนยังไม่รู้ตัวว่าตนเองยามนี้หน้าตาซีดเซียวแค่ไหน

         นอกจากจะไม่ทำตามแล้วจ้าวเยว่เทียนยังทำตัวเป็นลูกลิงเกาะติดนางหนึบ “ข้าแค่อยากเห็นหน้าเจ้า”

         “ท่านก็เห็นอยู่ทุกวันมิใช่หรือ” นางกระซิบตอบกลับไป พร้อมกับพยายามเอามือดันอกเขาไว้เนื่องจากไม่อยากใกล้ชิดจนเกินไปสภาพตอนนี้ของนางไม่เรียบร้อยเท่าใดนัก

         “เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงหน้าใด” เขาไม่ได้อยากมองหน้ากากเหล่านั้นเสียหน่อย

         เมื่อเห็นคนในอ้อมแขนนิ่งเงียบไปเขาจึงเชยคางนางให้ขึ้นมาสบตาเขา “เจ้าเป็นอันใดไป”

         มี่ฮวาได้แต่มองคนตรงด้านหน้านิ่งๆนี่เขาไม่รู้จริงๆหรือว่านางรู้สึกอย่างไร นางได้แต่ถอนหายใจเบาๆ “เกรงว่าข้าจะมิใช่พวกสตรีที่ท่านคุ้นชินนะเจ้าคะ เพราะฉะนั้นปล่อยข้าเถอะเจ้าค่ะ”

         จ้าวเยว่เทียนรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้คราวซวยเขามาอีกระลอกแล้ว เมื่อเห็นอาการมึนตึงของนางที่มอบให้เขา จ้าวเยว่เทียนที่ถือคติว่าสาวงอนแปลว่าสาวรัก เพราะฉะนั้นถ้าหากวันนี้เขาไม่รีบแก้ตัวเพื่อลบล้างภาพลักษณ์อันเน่าเฟะของเขาที่ผ่านมาดูท่านางคงได้หนีเขาไปอีก

         “ข้าหาได้วางเจ้าเหมือนสตรีอื่นใด เผื่อเจ้ายังไม่รู้” จ้าวเยว่เทียนพูดกับนางตามตรงอย่างหนักแน่นพร้อมกับมองไปที่นางอย่างไม่มีความหวั่นไหวใด ๆ ต่างกับภายในใจที่ตอนนี้สัญญาณเตือนภัยร้องระงมว่าแย่แล้ว! แย่แล้ว! อยู่ไม่หยุด

         “ย่อมไม่เหมือนกันในเมื่อข้าเป็นองครักษ์ของท่าน” มี่ฮวาตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

         “หาใช่เรื่องนั้นไม่” เขาหมายถึงเรื่องที่เขาให้เกียรตินางต่างหากเขาไม่เคยทำตัวรุ่มร่ามกับนางดั่งสตรีอื่นนางไม่สังเกตเลยหรือว่าเขาสัมผัสตัวนางแทบนับครั้งได้

         แต่จะให้พูดไปตอนนี้ก็กระดากปากเพราะเขากำลังเริ่มเอาเปรียบนางอยู่ “เจ้ามิรู้จริง ๆหรือว่าข้าหมายถึงเรื่องใด”

         เมื่อจ้าวเยว่เทียนสบตานางแบบคาดคั้นนางจึงได้แต่เบือนหน้านี้พร้อมกับตอบแผ่วเบา “ข้ามิรู้ว่าคือเรื่องใด”

         “หากเป็นเรื่องของสกุลซุนกับสกุลหยางข้าอธิบายได้” เขารู้ว่านางอาจไม่พอใจกับเขาในเรื่องนี้

         “มิเป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจท่าน” นางเข้าใจว่าเขาทำไปเพื่อการใดแต่นางก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้

         “ถ้าเข้าใจแล้วหนีข้าเพื่อเหตุใด”

         “...”

         “เอาเถิดไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร” เขาจะยังไม่ไล่ต้อนเอาคำตอบจากนางตอนนี้ เพราะแค่นี้เขาก็รู้สึกว่านางอ่อนให้เขาลงมากแล้ว

         “ขึ้นได้แล้วเจ้าค่ะประเดี๋ยวจะไม่สบาย” พวกนางอยู่ในน้ำนี่นานแล้ว อีกทั้งตัวนางในตอนนี้สภาพก็ไม่เรียบร้อย

         “แต่ข้ายังไม่ทันได้อาบเลยนะ” จ้าวเยว่เทียนกล่าวอย่างคนหน้าไม่อาย “เจ้าจะปล่อยให้ข้าที่อ่อนแออยู่ตอนนี้ไว้ที่นี่คนเดียวหรือ” จ้าวเยว่เทียนเริ่มที่จะได้ใจเมื่อเห็นนางไม่โมโหเขาดั่งทุกที แผนง้อสาวของเขายังต้องเดินหน้าต่อ

         “งั้นท่านก็ปล่อยข้าสิเจ้าคะ ข้าจะได้ไประวังภัยให้” แต่ในใจมี่ฮวาคิดว่าเขาคือภัยสำหรับนางในยามนี้

         จ้าวเยว่เทียนไม่ปล่อย เขากลับดึงนางลงไปในน้ำที่ลึกกว่าเดิมจนนางที่ตัวเล็กกว่าเขาต้องกอดคอเขาเอาไว้ทำให้ใบหน้าทั้งสองตอนนี้อยู่ระดับเดียวกันเนื่องจากระดับน้ำมันลึกสำหรับนาง เขาทำเป็นไม่เห็นสายตาที่มองมาที่เขาอย่างไม่พอใจและมือไม้ของนางที่เริ่มจะดันเขาออก

         มี่ฮวารับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดบนใบหน้านางอยู่ จึงได้แต่หลับตาไม่กล้ามองหน้าเขา สัมผัสบางเบาที่หน้าผากแต่กลับทิ้งรอยร้อนผะผ่าวไว้ให้ เขาค่อยๆดึงนางแนบเข้ามาใกล้พร้อมกับที่ริมฝีปากจ้าวเยว่เทียนค่อยๆพรมจูบไปตามกรอบหน้าของนางจนถึงข้างแก้มไล่ไปตามคางจนสุดท้ายไปหยุดซบอยู่ที่ลำคอของนางนิ่งและเนิ่นนาน

         บัดซบ! เขามาหน้ามืดอันใดตอนนี้

        แผนเขายังไม่สำเร็จ!

         สุดท้ายจ้าวเยว่เทียนก็ต้องยอมรับสภาพความพ่ายแพ้โดยการปล่อยให้มี่ฮวาพาเขาที่ตอนนี้ขยับตัวแทบไม่ไหวกลับฝั่ง การอยู่ในน้ำเย็นนาน ๆแบบนี้ร่างกายของเขายามนี้มันรับไม่ไหว มี่ฮวาที่มีพลังปราณนางสะบัดเพียงครู่เสื้อผ้านางก็แห้งทั้งหมด แต่จ้าวเยว่เทียนได้แต่นอนสั่นหนาวไม่หยุดเนื่องจากร่างกายปรับสภาพไม่ได้

         นางหันมาส่งสายตาหาเขาราวกับจะบอกว่า ท่านรนหาที่เองนะเจ้าคะ

         เจิ้งหู่ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเมื่อได้สัญญาณจากมี่ฮวาจึงเป็นคนแบกจ้าวเยว่เทียนกลับไปในรถม้า พร้อมกลับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา เหมยซือที่เห็นนางหายไปนานจึงรีบเดินเข้ามาหาทันที

         “คุณหนูหายไปนานเหลือเกินประเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะเจ้าคะ ข้าจะไปตามหาท่านแต่พ่อบ้านเกาไม่ยอมบอกว่าอันตราย”

         “ข้าไม่เป็นอันใด เพียงแค่จัดการธุระส่วนตัวเพียงเล็กน้อย” เมื่อนางตอบไปเช่นนี้เหมยซือจึงไม่ได้มาวุ่นวายอีก

         “คุณหนูจะนอนที่ใดหรือเจ้าคะข้าจะได้เตรียมที่นอนเอาไว้ให้” เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางไม่ได้นอนในโรงเตี๊ยม

         มี่ฮวานึกขึ้นได้ว่าความจริงควรจะเป็นนางที่นอนกับเหมยซือ แต่ยามนี้พรายน้ำที่นางพึ่งกู้ขึ้นมาจากลำธารกำลังรอให้นางไปดูแลอยู่ “พี่ใหญ่ไม่สบายข้าคงต้องไปดูแล เจ้าก็นอนในรถม้าไปเถิด ขาดเหลืออันใดก็บอกพ่อบ้านเกาได้” นางกล่าวพร้อมกับเดินออกมาโดยปล่อยให้เกาเทียนฉีจัดการทั้งหมด

         จ้าวเยว่เทียนที่กำลังนอนไข้ขึ้นอยู่ในรถม้า เขากำลังคิดว่าเขาไม่น่าทำเรื่องงี่เง่าแบบนั้นลงไปจนร่างกายเป็นแบบนี้ แต่เมื่อนึกถึงท่าทางของมี่ฮวาเขาก็ปัดความรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปไร้สาระทิ้งไปทันทีอย่างน้อยก็ได้ยินความรู้สึกของนางเพียงนิดก็ยังดีทันใดนั้นประตูรถม้าก็ค่อยๆเปิดออกคนที่เขาคิดถึงอยู่ก็เข้ามา

         จ้าวเยว่เทียนแกล้งทำเป็นนอนหลับจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่จับหน้าผากเขาอยู่ นางจับไปตามข้อพับและชีพจรของเขาเมื่อเห็นว่าไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงจึงล้มตัวลงนอนข้างเขา จู่ๆตนที่นางคิดว่าหลับไปแล้วก็พลิกตัวกลับมาแล้วกอดนางไว้เบาๆ

         มี่ฮวารู้สึกว่าวันนี้นางเหนื่อยเกินกว่าทีจะทะเลาะกับเขาแล้วจึงปล่อยไปเพราะต่อให้นางพูดอย่างไร คนหน้ามึนก็หาเหตุผลมาอ้างจนชนะนางได้อยู่ดี

         จ้าวเยว่เทียนสูดดมกลิ่นหอมจากกายของนางจนผล่อยหลับไปคืนนั้นเป็นคืนที่จ้าวเยว่เทียนสามารถนอนหลับได้สนิทและฝันดีที่สุดคืนหนึ่งเลยก็ว่าได้

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×