ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องครักษ์พิทักษ์หลังคา (สนพ.เฟยฮุ่ย)

    ลำดับตอนที่ #15 : เปลี่ยนมุมมอง(2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.16K
      212
      16 ก.ค. 62

         

    วันนี้ไรท์ลงให้สองตอนนะคะเผื่อมีใครอ่านข้ามตอนก่อนหน้าไป


         ในโรงเตี๊ยมภายในห้องของจ้าวเยว่เทียนตอนนี้ทั้งหกคนกำลังประชุมกันอยู่หลังจากที่เจิ้งสี่พึ่งกลับมาหลังจากที่ไปส่งข่าวคราวให้ที่จวนของจ้าวอ๋อง ขามาเขาตกใจไม่น้อยที่ได้ยินข่าวว่าจ้าวเยว่เทียนโดนลอบสังหารจนดับสิ้นไปแล้ว แต่โชคดีที่เจิ้งซื่อส่งเงาให้ไปดักแจ้งข่าวแก่เขาไว้ก่อน

         “ดูท่าในจวนของท่านพ่อจะมีหนอนอยู่เสียแล้ว” จ้าวเยว่เทียนเอ่ยขึ้นมาหลังจากฟังรายงานจากเจิ้งสี่ “หาไม่แล้วคงไม่สามารถส่งคนมาหาข้าได้เร็วถึงเพียงนี้”

         “อีกทั้งน่าจะรู้ด้วยว่าท่านต้องพิษอันใด พวกมันดูไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่ท่านมีสภาพเช่นนั้น” เจิ้งหู่เอ่ยแทรกขึ้นมา พวกนักฆ่าพวกนั้นไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อยที่จ้าวเยว่เทียนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองเพื่อออกมาจากรถม้าได้

         ในสายตาคนภายนอกถึงแม้ว่าเขาจะดูไม่เอาไหนไม่สนใจเรื่องภายนอกหรือว่าจัดการเรื่องอันใดไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงบุตรของแม่ทัพใหญ่ จะไม่ให้มีวรยุทธ์ติดตัวคงไม่ใช่เรื่อง

         “จนกว่าจะเสร็จเรื่องจากทางนี้อย่าพึ่งติดต่อไปที่บิดาข้า ส่วนการส่งข่าวให้กับองค์รัชทายาทเราจะใช้แต่คนของทางนั้นเพียงเท่านั้นบอกคนในหน่วยเราอย่าเคลื่อนไหวอันใดมาก” ตอนนี้ฝ่ายที่ส่งคนมาสังหารเขาคงคิดว่าเขาตายไปแล้วเพราะไม่มีการส่งนักฆ่าระลอกที่สองมาดูลาดเลาเขาเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นช่วงนี้เขาก็จะทำตัวให้เงียบที่สุดเพื่อให้เป็นไปตามที่พวกนั้นต้องการ

         “เอาเถิด ดึกแล้วพวกเจ้าไปพักผ่อนได้”

         ทันทีที่เขาพูดจบก็มีเงาสายหนึ่งพุ่งด้วยความเร็วสูงกว่าเพื่อนออกไปจากห้องทันทีจ้าวเยว่เทียนได้แต่มองตาม ดูท่าเขาจะทำให้นางระแวงเขาจนหนีไปอีกแล้วกระมัง แม้กระทั่งอยู่เฝ้าเขานางยังไม่ยอมอยู่

         “ท่านกำลังทำให้นางสับสนเกินไป” เสียงนุ่มๆดังขึ้นภายในห้องหลังจากที่ทุกคนทยอยออกไปหมดแล้ว

         จ้าวเยว่เทียนไม่ตอบแต่หยุดการกระทำทุกอย่างเป็นการบอกให้รับรู้ว่าพร้อมรับฟัง

         “นางยังไม่เข้าใจท่านมากนัก”

         “พวกเจ้าก็อยู่ตอนข้าเริ่มเรื่องทั้งหมดไม่ใช่หรือ”

         “แต่ท่านหาได้อธิบายนางในเรื่องอื่นมากกว่านี้”

         “...”

         “นางไม่ได้ฉลาดไปเสียทุกเรื่องหรอกซื่อจื่อ...นางเพียงต้องการความชัดเจนมากกว่านี้” เขาพูดทิ้งท้ายพร้อมกับค่อยๆเลือนหายไปจากมุมห้อง

         จ้าวเยว่เทียนได้แต่นั่งเงียบๆอยู่คนเดียวในห้อง เขารู้ว่าที่เขากระทำมาตลอดมันทั้งเป็นการป้องกันตนและทำร้ายคนที่เขารักไปในตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้

        

         ย้อนกลับไปสมัยที่เขาอายุ 18 ตอนนั้นเขากับจ้าวเหวยเฟิงที่ยังอายุได้เพียง 15 ซึ่งยังเป็นองค์ชายสามทั่วไปหาใช่องค์รัชทายาทดั่งเช่นปัจจุบัน เมื่อนั้นเกิดเหตุโจรภูเขาและชนเผ่าจากที่ราบออกอาละวาดที่เมืองฉางอันทางทิศตะวันตกของแคว้น ครานั้นโจรภูเขาคอยดักปล้นสะดมและก่อกวนไม่หยุดนานนับปีจนเกือบสูญเสียเมืองแถบชายแดนไป สุดท้ายจ้าวเหวยเฟิงได้อาสาไปปราบด้วยตนเอง เขาก็ได้ตามไปด้วยในฐานะที่เป็นกุนซือของแม่ทัพของจ้าวเหวยเฟิง สุดท้ายหลังจากผ่านไปสองเดือนด้วยแผนการรบของเขาและการชั้นเชิงต่อสู้ของจ้าวเหวยเฟิงจึงสามารถตัดศีรษะของหัวหน้าเผ่าและชับไล่โจรภูเขาได้สำเร็จ เมื่อนั้นศึกที่ยืดเยื้อมานานจึงได้จบลง

         หลังจากนั้นจ้าวเหวยเฟิงด้วยความดีความชอบอีกทั้งความเหมาะสมทางสายเลือดซึ่งประสูติจากฮองเฮา ฮ่องเต้จึงได้มีการแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นองค์รัชทายาท

         จ้าวเยว่เทียนยังรั้งอยู่ที่เมืองฉางอันต่อเนื่องจากต้องจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยแทนจ้าวเหวยเฟิงที่กลับไปที่เมืองหลวงก่อน อีกทั้งที่โซ่วอ๋องผู้ปกครองเมืองนี้คือพระอัยกาของเขาเองในตอนนั้นโดนกล่าวหาว่าให้ความช่วยเหลือแก่ข้าศึก ทำให้ตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขาที่ฮ่องเต้ต้องการที่จะปูนบำเหน็จให้เขา จ้าวเยว่เทียนเป็นคนปฏิเสธด้วยตนเองโดยขอแลกกับการเลื่อนพิจารณาลงโทษให้กับพระอัยกาของเขา

         ในที่สุดเขาก็สามารถหาหลักฐานมายืนยันว่าพระอัยกาของเขาบริสุทธิ์ ขณะที่ความยินดียังมาได้เพียงไม่นานข่าวร้ายก็ถาโถมเข้ามา เมื่อม้าเร็วจากจวนอ๋องส่งข่าวมาบอกว่าพระมารดาของเขาสิ้นแล้ว โลกทั้งใบของจ้าวเยว่เทียนขณะนั้นเหมือนกับได้พังทลายลงมาทันที

         พระมารดาที่อ่อนหวาน ใจดีและเฉลียวฉลาดของเขาไม่เคยมีศัตรูกับผู้ใด จู่ๆกลับโดนวางยาพิษ ฉวยโอกาสตอนที่พระบิดาของเขาไม่อยู่ คนที่วางยากลับเป็นคนสนิทของพระมารดาเขาอีกทั้งยังปลิดชีพตนหนีความผิดไปทำให้ไม่สามารถหาหลักฐานคนที่บงการได้

         ทั้งจ้าวอ๋องและจ้าวเยว่เทียนมั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับมารดาของเขาเหตุมาจากความหวาดระแวงในตัวของพวกเขา

         เรื่องทุกเรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากที่เขาสามารถเอาชนะศึกที่ยืดเยื้อมานานได้ ก่อนหน้านี้มีหลายฝ่ายทัดทานเรื่องที่ฮ่องเต้ต้องการมอบตำแหน่งจวิ้นอ๋องให้เขา เนื่องจากความใกล้ชิดทางสายเลือดและอำนาจได้รับอาจทำให้เขาเป็นเสี้ยนหนามให้กับบัลลังก์ในอนาคต

         หลังจากมารดาเสียเขายอมรับว่าเขาเริ่มทำตัวเหลวไหลขึ้นมาเพื่อให้ลืมความเสียใจในขณะนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายฝ่ายคลายความหวาดระแวงพวกเขาลงเนื่องจากพระบิดาของเขาแสดงตนว่าเป็นกลางไม่ยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายใด ส่วนจ้าวเยว่เทียนไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในราชสำนักทุกอย่างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

         เหล่านักฆ่าที่หลายฝ่ายเพียรส่งมาหาเขา และหลายๆเหตุการณ์เขาโดนใส่ร้ายก็เริ่มลดน้อยลง นานวันเข้าทุกคนก็ลืมเลือนเรื่องความดีความชอบที่เขาเคยทำไว้ เขาถึงได้มีชีวิตอย่างสงบสุขอีกครั้ง

         แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปสถานการณ์ไม่ได้สงบเหมือนเดิม คนที่เคยอดทนไม่กล้าเคลื่อนไหวยามนี้เริ่มเคลื่อนไหวเสียแล้วดูท่าทางแล้วคงไม่สามารถทนรอได้นานกว่านี้ถึงได้ส่งมือสังหารกะมากวาดล้างเขาหลังจากที่เขาเคยขัดขาไปครั้งก่อน

         ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็ก ๆที่มองโลกในแง่ดี และทำทุกอย่างตรงไปตรงมาเพราะหยิ่งในศักดิ์ศรีอีกแล้วเขาสามารถทำได้ทุกวิถีทางเพื่อเอาคืนคนที่คิดร้ายต่อคนรอบตัวเขาไม่ว่าวิธีนั้นจะเลวร้ายแค่ไหน เพราะอีกฝ่ายก็ไม่เคยมีศักดิ์ศรีเหมือนกัน

     

         มี่ฮวาได้แต่นอนพลิกตัวไปมาเนื่องจากนอนไม่หลับ นางไม่เข้าใจว่าจ้าวเยว่เทียนต้องการอันใดอีกทั้งยอมรับนางไม่สามารถเดาใจเขาได้หมด ภายนอกเหมือนกับว่าเขาเปิดใจให้กับพวกนางทุกคนแต่มันก็ยังมีเส้นบางๆอยู่คั่นกลางระหว่างจ้าวเยว่เทียนกับพวกนาง

         นางยอมรับว่าหวั่นไหวไม่น้อยถ้าหากนางยอมรับขึ้นมา ด้วยสถานะและชาติตระกูลของนางย่อมมีคนขัดขวางเป็นแน่ จ้าวเยว่เทียนที่ทุกคนดูเหมือนไม่สนใจแต่ก็มีแต่คนหวาดระแวงและเข้าหาเพื่อผลประโยชน์อยู่เสมอ เรื่องของเขากับนางจะทำให้เกิดความวุ่นวายมากกว่าเดิม

         “เจ้าจะพลิกตัวอีกนานหรือไม่” เจิ้งหู่ที่นอนอยู่ข้างๆเตียงเอ่ยขึ้นมา เพราะว่ามี่ฮวาไม่ได้ไปเฝ้าจ้าวเยว่เทียนวันนี้เจิ้งซื่อและเจิ้งสี่จึงอยู่เฝ้าแทน เขาจึงสบโอกาสได้นอนพักอย่างเต็มที่เสียที แต่สหายรักของเขาก็นอนพลิกตัวไปมาไม่หยุด

         เขารู้สึกอิจฉาพวกที่ไม่ได้มีประสาทสัมผัสเร็วเป็นบางครั้ง มิเช่นนั้นยามนี้เขาคงนอนหลับสบายไปแล้วหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน

         “ข้านอนไม่หลับ” มี่ฮวาเอ่ยขึ้นมา

         “ไม่ต้องบอกข้าก็รู้” เสียงนางถอนหายใจและดังไม่หยุดขนาดนี้

         เจิ้งหู่ชันตัวขึ้นมาจากข้างเตียงพร้อมกับเท้าแขนไปที่ขอบเตียงและมองหน้านาง “มีเรื่องอยากเล่าให้ข้าฟังหรือไม่”

         ข้าจะได้เข้านอนเร็วๆ คิดไว้ในใจแต่ไม่กล้าเอ่ยออกไป

         “...”

         “เจ้ากำลังกังวลกับเรื่องที่ยังไม่เกิดไปเพื่อเหตุใด” เจิ้งหู่พูดอย่างเข้าใจว่าตอนนี้นางกำลังคิดถึงเรื่องใด

         “ข้าแค่ไม่เข้าใจซื่อจื่อเพียงเท่านั้น”

         “เจ้าไม่แน่ใจหรือเจ้าไม่เชื่อใจเขา...เจ้าต้องแยกให้ออกก่อนนะมี่ฮวา” เจิ้งหู่เอ่ยเตือนสตินาง

         “ข้าไม่...ข้าไม่ได้ไม่เชื่อใจ” มี่ฮวาเอ่ยด้วย้ำเสียงเบาหวิว “แต่บางครั้งข้ารู้สึกเหมือนถูกหลอก”

         เจิ้งหู่ได้แต่กลอกตามองเพดาน “ซื่อจื่อไปหลอกเจ้าตอนใดกัน”

         “...”

         “นั่นไง...ไม่ตอบ แสดงว่าเจ้าคิดไปเองล่ะสิ” เจิ้งหู่บ่นนางทันทีที่นางไม่ยอมตอบเขา

         “เจ้าไม่ใช้ข้านี่! เจ้าจะไปรู้ได้อย่างไร” นางเอ่ยเสียงแข็งกลบเกลื่อนทันที

         “ก็ข้ารอให้เจ้าบอกอยู่นี่ไงเล่าข้าจะได้รู้!” สหายเขาเวลาเข้าบทสาวงามที่มีความรักทำไมมันดูโง่เง่าเยี่ยงนี้! “ถ้าเจ้าไม่เล่าแล้วยังคิดไปเองอยู่เยี่ยงนี้ข้าก็จนปัญญาจะช่วยแล้วนะ”

         “เดี๋ยวเจ้าก็ไปฟ้องซื่อจื่อ” มี่ฮวารู้ว่าบางครั้งเจิ้งหู่ก็แอบนำเรื่องของนางไปบอกแก่จ้าวเยว่เทียน

         “ข้าจะไปฟ้องเพื่ออันใด” เจิ้งหู่รีบกล่าวอย่างร้อนตัวเล็กน้อย “ตกลงจะบอกไม่บอก ถ้าไม่บอกข้าจะนอน” เขากล่าวพร้อมกับผละออกไปจากข้างเตียงของนาง

         “อื้อ! บอกก็ได้!” มี่ฮวายอมปริปากบอกเพราะนางไม่อยากอึดอัดและคิดไปเองเหมือนที่เจิ้งหู่บอก

         “เจ้าอย่าทำหน้ากระตือรือร้นเกินไปได้หรือไม่” มี่ฮวาบ่นเจิ้งหู่ที่ดูแล้วตั้งใจฟังเกินเหตุพลอยให้นางรู้สึกอายขึ้นมา

         “เพราะข้ามีมารยาทอย่างไรเล่า” เจิ้งหู่บอก เขาน่ะหรือจะชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ย่อม! ไม่! ใช่!

         นางถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะถามคำถามที่มันคาใจนางออกไป “เจ้าไม่คิดว่าเรื่องของข้ากับซื่อจื่อจะทำให้ทุกอย่างวุ่นวายขึ้นหรือ”

        เจิ้งหู่ได้แต่ส่ายหัวให้กับการคิดไปเองของสหาย “ความรักของคนสองคนมันจะส่งผลให้ผู้อื่นวุ่นวายได้อย่างไร หากพวกเขาเล่านั้นไม่สอดมือเข้ามาเอง”

         “เจ้าก็รู้ว่าทุกวันนี้ซื่อจื่อโดนเพ่งเล็งแค่ไหน”

         “งั้นแสดงว่าพวกเจ้ายังรักกันไม่พอที่จะผ่านเรื่องเพียงเท่านี้ไปได้”

         “อาจจะใช่” นางถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะอธิบายต่อ “ซื่อจื่อทำให้ข้ารู้สึกเหมือนข้าเป็นเพียงของเล่นแก้เบื่อของเขา”

         “เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” ถ้ามี่ฮวาเป็นของเล่นแล้วสตรีคนอื่นเรียกว่าอย่างไร เจิ้งหู่คร้านจะอธิบายเพราะเดี๋ยวนางคงกล่าวว่าเขาเข้าข้างเจ้านายอีก

         “ข้าก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน” มี่ฮวายอมรับตรง ๆ เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้นางฟุ้งซ่านไปไม่น้อยปกติหากเขาเย้านางดั่งทุกทีนางก็ควรจะปล่อยไป แต่สายตาที่เขาใช้มองนางในวันนี้ทำให้นางเริ่มลังเลขึ้นมา

         “งั้นข้ามีวิธีพิสูจน์ ว่าเจ้าเป็นของเล่นของเขาหรือไม่” เจิ้งหู่บอกเมื่อคิดแผนการบางอย่างได้ขึ้นมา

         “พิสูจน์ ?

         “เดี๋ยวก็รู้ หึหึ” กล่าวพร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย

         มี่ฮวารู้สึกเสียวสันหลังเมื่อเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของเจิ้งหู่ หวังว่าแผนพิสูจน์ของเขาจะไม่พิสดารเกินไปจนนางรับไม่ไหว

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×