ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องครักษ์พิทักษ์หลังคา (สนพ.เฟยฮุ่ย)

    ลำดับตอนที่ #22 : ไม่รัก(คง)ไม่ห่วง (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.4K
      183
      25 ก.ย. 62

    ไม่รัก(คง)ไม่ห่วง


         หลังจากวันนั้นมี่ฮวาก็ไม่โดนจ้าวเยว่เทียนเรียกออกมาอีกเลยจนกระทั่งวันเดินทางกลับถึงจะให้นางออกมาแล้วปลอมเป็นน้องสาวของเขาเหมือนเดิมเพื่อไม่ให้ผู้อื่นสงสัย อาการมึนตึงของจ้าวเยว่เทียนทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดยิ่งเงาในสังกัดยิ่งแทบไม่กล้ากระดิกตัวไปไหนหากไม่ได้รับอนุญาตจากเขา

         เจิ้งหู่ที่โดนบทลงโทษโบยไปสองร้อยไม้ก็ไม่โดนเรียกออกมาเช่นเดียวกัน เพราะถึงเรียกออกมาก็คงทำอะไรไม่ไหวด้วยเขาขอรับโทษแทนมี่ฮวาเองเนื่องจากเป็นแผนของเขา

         วันนั้นเจิ้งซื่อไปกับจ้าวเยว่เทียนด้วยจึงพาเจิ้งหู่ที่โดนวางยานอนหลับจนไปนอนสลบไสลบนเตียงของนายอำเภอออกมาได้ ดีที่ช่วยออกมาได้ทันก่อนที่เขาจะสูญเสียเอกราชไปทำให้เจิ้งหู่รู้สึกผิดกับมี่ฮวาเพราะคิดว่าหากเป็นนางที่โดนคงแย่กว่านี้

         นอกจากจะโดนบทลงโทษโบยไปสองร้อยไม้ ทั้งสองโดนเจิ้งซื่อให้คัดกฎขององครักษ์ร้อยจบโทษฐานฝ่าฝืนคำสั่งของนาย มี่ฮวาจึงอาสาคัดแทนเจิ้งหู่เพราะว่าเขารับโทษโบยแทนนางไปแล้ว อีกทั้งตอนนี้แผลที่หลังของเจิ้งหู่ยังไม่ทุเลาเท่าไหร่แค่ขยับแขนจะกินข้าวยังยกมือแทบไม่ขึ้น ได้แต่นอนนิ่ง ๆให้นางหยอดน้ำข้าวต้ม

         มี่ฮวารู้สึกผิดมากกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าวันนั้นจ้าวเยว่เทียนฝืนออกไปหานางทั้ง ๆที่เขาพึ่งแก้พิษได้และพลังปราณกลับมาได้เพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น เนื่องจากหากไม่ใช่เขากับเจิ้งซื่อการจะไปมาอย่างไร้ร่องรอยคงทำไม่ได้ ผลของการใช้ร่างกายเกินกำลังในครั้งนั้นทำให้เขาล้มป่วยลงไปสองวัน

         นางต้องแอบออกมาดูแลเขายามที่เขาหลับสนิทเท่านั้นเนื่องจากยังไม่กล้าสู้หน้าเขา อีกทั้งไม่มีคำสั่งให้นางออกมา

         “เป็นอย่างไรบ้าง” นางหันไปถามเจิ้งหู่ที่กำลังบังคับรถม้าอยู่ นางต้องออกมานั่งคัดกฎนอกรถเพราะไม่อยากให้เหมยซือซักถาม

         เจิ้งหู่ที่นั่งหลังตรงเนื่องจากแผลยังตึง ๆอยู่ตอบเสียงอ่อยกลับมา “นั่นพี่เจิ้งสี่บุรุษแรงช้างสารเลยนะ เจ้าคิดว่าหลังข้าจะหายเร็วได้หรือ” หลังไม่ขาดออกจากกันก็ดีแค่ไหนแล้ว เขาเกือบสลบไปหลายรอบตอนโดนโบยดีที่สมุนไพรของมี่ฮวาออกฤทธิ์ได้ดีไม่อย่างนั้นคงยังนอนเป็นผักอยู่

         “ว่าแต่ซื่อจื่อยอมคุยกับเจ้าหรือยัง” ตั้งแต่วันนั้นจ้าวเยว่เทียนยังไม่ยอมคุยกับเจิ้งหู่เลยไม่ว่าเขาจะไปกอดขางอนง้อแค่ไหน ก็ได้รับแต่บาทาประทับกลางอกมาเพียงเท่านั้น

         “ยังน่ะสิ ขนาดวันนี้ที่ออกมายังให้องครักษ์เกามาบอกข้าแทนเลย”

         “เฮ้อ! ดูท่าครานี้เราคงไปแตะเกล็ดย้อนของซื่อจื่อเข้าให้แล้วมั้ยล่ะ”

         “ใครใช้ให้พวกเราดันไปขัดคำสั่งเจ้านายกันล่ะ” เพราะมันเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้านาย

         เจิ้งหู่สายหัวก่อนจะอธิบาย “เจ้าเข้าใจผิดแล้วล่ะ เกล็ดย้อนของซื่อจื่อคือเจ้าต่างหาก” เขาหันไปบอกสหายที่เขาไม่แน่ใจว่าโง่งมหรือว่าไม่ยอมรับความจริงกันแน่

         “เกี่ยวอะไรกับข้า?

         “มี่ฮวาเพื่อนยากเอ๋ย...เจ้าคิดว่าข้ากับเจ้าแหกคอกฝ่าฝืนคำสั่งกันมากี่ครั้งแล้ว จำไม่ได้เลยหรือ” ถ้าให้เขานับใช้นิ้วมือบวกนิ้วเท้าของคนทั้งสองมานับก็คงไม่หมด

         “แต่พวกนั้นเราทำแล้วมันไม่มีปัญหาอย่างไรเล่า”

         “ย่อมไม่ใช่...ซื่อจื่อโกรธที่ข้าใช้เจ้าเป็นตัวล่อต่างหาก อีกทั้งซื่อจื่อรู้เรื่องที่เจ้านั่นวางยาเพื่อหวังทำมิดีมิร้าย ดีที่ข้าโดนไม่ใช่เจ้าไม่เช่นนั้นสิบชีวิตก็ไม่พอชดใช้หรอก”

         เขาคิดแล้วก็ยังสยอง เพราะเขาไม่ใช่มี่ฮวาจึงไม่รู้ว่าในอาหารที่กินเข้าไปมียานอนหลับอยู่ แต่ถ้าหากพวกนั้นคิดจะใช้กำลังบังคับมี่ฮวาก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เนื่องจากพวกเขามีคนน้อยกว่า หากเกิดอันใดขึ้นมาเจิ้งหู่ก็ไม่อาจรับประกันว่าจะปกป้องนางได้

         “ว่าง ๆก็คลานเข่าพร้อมดอกไม้ไปขอโทษซื่อจื่อเสียสิ” เสียงแนะนำลอยมาตามลมก่อนจะพบว่าเป็นเจิ้งสี่ที่เข้ามาอยู่ด้านบนรถม้าของพวกนาง

         “พวกเจ้าสองคนนี่ขยันหาเรื่องเสียจริง ไม่สงสารซื่อจื่อบ้างหรือที่ต้องมาควบคุมเด็กแบบพวกเจ้า”

         “เด็กแบบพวกข้ามันเป็นอย่างไรหรือพี่เจิ้งสี่” เจิ้งหู่ถามพร้อมกับทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้

         “พวกเจ้าอย่าเอานิสัยคนเลี้ยงมาสิ ตัวอย่างดี ๆมีให้เห็นก็ตั้งมากกลับไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง”

         “แบบพี่น่ะหรือเจ้าคะ” มี่ฮวาแกล้งถามเมื่อเห็นจากทางหางตาว่ามีสีขาวสะท้อนแสงผ่านมาแวบหนึ่ง แต่เหมือนคนที่นินทายังไม่รู้ตัว

         “ใช่น่ะสิ พวกเจ้าต้องสุขุมและเยือกเย็นมากกว่านี้เข้าใจหรือไม่”

         “อย่างเจ้าเรียกว่าสมองทึบคิดช้าหาใช่สุขุมและรอบคอบ” เสียงเย็นยะเยือกมาก่อนตัวทำให้เจิ้งสี่สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปท้าทายผู้ที่มาใหม่ทันที “จะลองดูไหมเล่า”

         “อ้อ! ป่าเถื่อนและไร้อารยะด้วย” เจิ้งซื่อพูดก่อนจะทำเป็นไม่สนใจและมานั่งข้างๆมี่ฮวาทันที “ทำไมตัวหนังสือเจ้าแย่ลงคัดหลายรอบมันย่อมต้องดีขึ้นไม่ใช่รึ?

         “โธ่...พี่ซื่อข้าอยู่บนรถม้านะเจ้าคะ โยกเยกขนาดนี้ข้าไม่ทำหมึกเลอะก็ดีแค่ไหนแล้ว” มี่ฮวาโอดครวญกับเขา เจิ้งซื่อไม่สนใจก่อนจะกระดิกนิวเป็นเชิงบอกให้นางส่งพู่กันมา ก่อนเขาจะสั่งให้เจิ้งหู่เร่งม้าให้เร็วขึ้นพร้อมกับตวัดพู่กันเป็นตัวอย่างก่อนจะยื่นกระดาษมาให้นาง มี่ฮวาได้แต่คอตกด้วยความจำนนก่อนจะคัดกฎต่อไปเมื่อเห็นลายเส้นที่สวยงามของเจิ้งซื่อ

         “อย่าให้ใครมาว่าได้ว่าข้าเลี้ยงเจ้าได้ไม่ดี หากเป็นคนอื่นดูแลพวกเจ้าคร้านจะไม่ทันได้โต” เขาพูดจบก็หายไปอยู่กับจ้าวเยว่เทียนทันที

         “เขียนหนังสือสวยบนรถม้านี่เอาไปใช้ประโยชน์ทางด้านไหนได้บ้าง?” เจิ้งหู่แอบกระซิบกระซาบกับนางตอนที่เจิ้งซื่อหายไป

         มี่ฮวาได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเพราะไม่กล้าร่วมวงนินทาเท่าใดนัก

         “เจ้านี่เมื่อไหร่จะเลิกวางท่าเสียทีน่าเบื่อชะมัด” เจิ้งสี่พึมพำเสียงเบาหลังจากเขาจากไป

         “ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ท่านเถียงตอนที่เขาอยู่” เจิ้งหู่หันมาบอกอย่างเอือมระอา หัวหน้าเขาเป็นแบบนี้หน่วยเขาถึงได้เป็นเบ๊ให้กับหน่วยของมี่ฮวากับเจิ้งซื่ออย่างไรเล่า!

     

         เหลืออีกเพียงไม่กี่วันทั้งหมดก็จะเดินทางถึงเมืองหลวง พวกเขาไม่ค่อยเร่งการเดินทางมากนักเนื่องจากต้องการเวลาให้จ้าวเยว่เทียนฟื้นฟูลมปราณไปในตัว อีกทั้งมี่ฮวายังคัดกฎไม่เสร็จเจิ้งหู่จึงแอบไปบอกให้คนขับรถม้าคันของจ้าวเยว่เทียนชะลอหน่อย เพราะเจิ้งซื่อบอกว่าหากถึงเมืองหลวงแล้วยังไม่เสร็จจะให้คัดเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว

          คนขับรถม้าที่เป็นลูกน้องของเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีมากทำให้กำหนดการเดิมพวกเขาควรได้พักในโรงเตี๊ยมในเมืองที่เป็นทางผ่านกลับต้องมาพำนักกลางป่าแทน ทำให้เจิ้งซื่อคาดโทษทั้งสองอีกครั้งว่าหากยังเล่นเล่ห์อีกจะโดนหนักกว่านี้สุดท้ายเจิ้งหู่จึงต้องมาช่วยมี่ฮวาปั่นงานส่ง

         เหมยซือตั้งแต่จ้าวเยว่เทียนถอนพิษได้ก็มีอาการป่วยบ่อยขึ้นเนื่องจากการถอนพิษขั้นสุดท้ายได้ใช้เลือดของนางไปเป็นจำนวนมากยิ่งต้องมาระหกระเหินเดินทางไกลสุขภาพนางยิ่งทรุดลง ดีที่มีเกาเทียนฉีคอยดูแลอยู่ตลอด เจิ้งหู่บอกว่าเห็นดอกท้อบานรอบตัวพวกเขาอยู่ตลอด

         “เฮ้อ...มีแต่คนมีความรักข้าชักจะอิจฉาเสียแล้วสิ” เขาบ่นขณะที่กำลังทำอาหารเนื่องจากเหมยซือลุกไม่ไหวหน้าที่นี้จึงเป็นของเขา

         “นายอำเภอนั่นไงที่รักเจ้า” มี่ฮวาตอบกลับอย่างเจ็บแสบ พร้อมกับหั่นไก่ป่าที่จับได้อย่างคล่องแคล่ว

         “อย่าพูดถึงได้หรือไม่มันเสียเชิงชาย” มี่ฮวาเอาแต่ย้ำอยู่ได้เขาหงุดหงิดแต่ก็ไม่รู้จะตอบโต้ไปอย่างไร “ว่าแต่วันนั้นเจ้ายังไม่บอกข้าเลยนะว่าซื่อจื่อเห็นชุดนั่นของเจ้าแล้วเขาทำยังไง” เจิ้งหู่ยื่นหน้ามากระซิบเสียงเบากับนางด้วยกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน

         “ไม่ได้พูดอันใดหนิ” นางตอบพร้อมกับพยายามซ่อนหน้าที่แดงขึ้นอย่างรวดเร็วเอาไว้

         “แน่ใจเร้อ...ข้าว่าวันนั้นเจ้าก็งามอยู่หนาซื่อจื่อจะไม่หวั่นไหวจริงรึ”

         “แค่นั้นจะนับว่าเป็นอันใดได้อย่าลืมว่าซื่อจื่อเจอมากกว่านี้มานักต่อนักแล้ว” มี่ฮวาพยายามบอกปัดเขา

         ทันใดนั้นเจิ้งหู่ก็หันมามองนางอย่างจริงจัง “สมมติว่าวันนั้นข้าเป็นคนอุ้มเจ้าออกจากจวนเทียบกับซื่อจื่อ เจ้าชอบอันไหนมากกว่ากัน”

         “แล้วมันเกี่ยวอันใดกันเล่าถามแปลก ๆ”

         “เกี่ยวสิ เจ้าไม่ได้รักข้าหนิข้าทำอันใดไปเจ้าสนรึ แต่หากเป็นซื่อจื่อเจ้าย่อมประทับใจใช่ไหมล่ะ” เขากล่าวพร้อมกับวางท่าดั่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักทั้ง ๆที่ยังไม่เคยมี “ก็เหมือนซื่อจื่อไม่ได้รักชมชอบแม่นางผู้อื่นหากเทียบกับเจ้าเขาย่อมหวั่นไหวกว่าอยู่แล้ว”

         เมื่อเห็นว่าเรื่องมันเริ่มเข้าตัวนางเรื่อย ๆมี่ฮวาเลยเดินออกมาให้เจิ้งหู่จัดการที่เหลือเพียงลำพัง แต่เขายังไม่วายตะโกนตามหลังนางมาอีกว่าให้คิดให้ดี จนคนอื่นหันมามองกันหมดมี่ฮวาเลยเดินหนีไปที่อื่นแทน

         ตอนนี้นางรู้และยอมรับอย่างเต็มอกว่าจ้าวเยว่เทียนคิดอย่างไรกับนาง

         นางเชื่อและไม่คิดจะหาข้อพิสูจน์อันใดให้ยุ่งยากอีกแล้ว เพราะแค่เพียงนางเลิกอคตินางก็รับรู้ได้ในทันที

         มี่ฮวาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อนจนได้ยินเสียงน้ำตกจึงคิดจะไปนั่งเล่นที่นั่นเพื่อผ่อนคลาย ใครบอกว่าองครักษ์เงาไม่ต้องการการพักผ่อนนางขอค้านหัวชนฝา แต่เดินไปจนเห็นน้ำตกนางกลับต้องชะงักแทนเมื่อเจอจ้าวเยว่เทียนอยู่ที่นั่นด้วย นางคิดจะเดินกลับไปแต่เมื่อมองดูรอบ ๆไม่มีใครเฝ้าเขานางจึงขึ้นไปบนกิ่งไม้ก่อนจะมองดูอย่างเงียบ ๆ

         แผ่นหลังที่ตอนเด็ก ๆนางก็คิดว่ากว้างแล้วยามนี้มันกลับกว้างกว่าเดิมอีกทั้งยังคุ้มครองนางได้ตลอดเสมอมา หากให้ทิ้งอคติไปจริง ๆสิ่งที่จ้าวเยว่เทียนดูแลนางก็มีมากกว่าเรื่องเสียเพียงเรื่องเดียวที่เขาทำในช่วงหลังมานี้

         ถ้าไม่ได้จ้าวเยว่เทียนตอนนี้นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตนางจะเป็นไรอย่างไร

         เขาก็เหมือนพระจันทร์ที่ช่วยส่องแสงลงมาหานางในยามกลางคืนที่มืดมิด

         จ้าวเยว่เทียนที่รู้ว่ามีโจรเด็ดบุปผาแอบอยู่บนกิ่งไม้ยังไม่ไปไหนจึงคิดจะแกล้งนาง เขาจึงค่อย ๆถอดเสื้อออกทีละตัวอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะเดินลงไปในน้ำที่ลึกถึงอก พร้อมกับแหวกว่ายไปมา

         ผิวขาวสะท้อนแสงจันทร์ของเขาทำให้นางหน้าแดงพลันคิดไปถึงคำพูดของเจิ้งหู่เมื่อครู่ นางเห็นเจิ้งหู่ถอดเสื้อผ้าเป็นปกติไม่เคยเขินอายยามมองเขาแต่พอเป็นจ้าวเยว่เทียนนางกลับ...

         มี่ฮวารีบสะบัดหัวเมื่อเริ่มคิดฟุ้งซ่านก่อนจะรีบกลับไป แต่ไม่ทันไรนางกลับโดนอุ้มลงจากกิ่งไม้แล้วพากระโดดลงไปในน้ำทันที

         ตูม! เสียงกระทบน้ำดังขึ้นพร้อมกับก่อคลื่นเป็นวงใหญ่ยามทั้งสองตกลงไปในน้ำ มี่ฮวาทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมาเนื่องจากไม่ทันตั้งตัวได้แต่สำลักน้ำไม่หยุดผิดกับจ้าวเยว่เทียนที่เตรียมพร้อมก่อนแล้วเขาจึงไม่รู้สึกรู้สาอันใด

         “เจ้ามัวแต่คิดอันใดอยู่จึงไม่รู้ว่าข้าเข้าใกล้” เขาถามพร้อมกับปัดผมให้นางที่ยุ่งเหยิงจากการโดนน้ำ

         “ข้า...เปล่า” จะให้นางบอกได้ไงว่านางเมากล้ามเขาคิดแล้วก็หน้าแดง

         “อ้อ...ข้าก็คิดว่าเจ้าเหม่อมองข้าเสียอีก” จ้าวเยว่เทียนรีบเย้าเมื่อเห็นอาการหน้าแดงของนางหลังจากนั้นเขาก็เงียบไปไม่พูดอะไรอีก

         มี่ฮวาอึดอัดเมื่อเขาไม่พูดอะไรต่อแถมยังไม่ยอมปล่อยตัวนางไปนางพึ่งมาสังเกตว่าถ้าหากไม่ใช่เรื่องงานแล้วจ้าวเยว่เทียนมักจะเป็นคนที่เริ่มคุยกับนางก่อนเสมอในเมื่อตอนนี้เขาไม่ยอมพูดต่อบทสนทนาจึงไม่เกิด

         จ้าวเยว่เทียนรออยู่นานว่านางจะยอมพูดออกมาหรือไม่แต่เมื่อเห็นนางนิ่งเงียบจึงผละตัวออกมาแล้วเตรียมเดินขึ้นจากน้ำ ทันทีที่เขากำลังจะขึ้นฝั่งมือของเขาก็โดนดึงเอาไว้

         “ขอโทษเจ้าค่ะ” มี่ฮวาได้โอกาสบอกเขาหลังจากที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานตอนนั้นนางมัวแต่มีทิฐิไม่ยอมมองว่าเขาเป็นห่วงจึงไม่คิดจะขอโทษ แต่เมื่อมาพิจารณาดูดี ๆที่เขาทำไปก็เพื่อตัวนางเอง

         แม้กระทั่งเริ่มบทสนทนาในครั้งนี้เขาก็เป็นคนที่โอนอ่อนยอมคุยกับนางก่อน

         แล้วจะให้นางปฏิเสธเขาต่อไปเพื่ออะไร

         “รู้ตัวแล้วหรือว่าผิด” จ้าวเยว่เทียนยังคงหันหลังให้นางอยู่ทำให้นางไม่เห็นสีหน้าของเขาว่าเขารู้สึกอย่างไร

         “ขอโทษแล้วก็...ขอบคุณเจ้าค่ะที่ไปช่วยข้า”

         จริง ๆจ้าวเยว่เทียนจะปล่อยนางไปเผชิญอันตรายอย่างไรก็ได้เพราะเขาเป็นเจ้านายของนางไม่จำเป็นต้องเอาตัวมาเสี่ยงเพื่อนางถึงเพียงนี้

         แต่เขาก็ไม่ทำจ้าวเยว่เทียนมักจะไม่ปล่อยให้ลูกน้องของเขาทำเรื่องอันตรายเกินไป เขามักวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุดอยู่เสมอ เขาไม่เคยใช้พวกนางแบบทิ้งขว้างไม่สนใจชีวิต

         “รับปากข้า...ต่อจากนี้ไปจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้อีก”

         “เจ้าค่ะ...” นางรวบรวมความกล้าก่อนจะพูดเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะหายตัวไปทันที จ้าวเยว่เทียนได้แต่หัวเราะตามหลังนางที่รีบหนีไปหลังจากมาข่วนหัวใจของเขาเล่น

         เจ้าค่ะ...พี่เยว่เทียน เขาได้ยินชัดเต็มสองหูเลยล่ะว่านางเรียกเขาเช่นนี้



    ฟินเลยสิพี่เยว่ ♥

    ส่วนเจิ้งหู่น้านนนน ยังคงคอนเซปคนซวย2019ต่อไปนะคะ

    ตอนนี้ก็เกือบครึ่งเรื่องแล้วหลังจากนี้เราจะออกจากป่ากันแล้วค่ะได้เวลาไปใช้ชีวิตในเมือง

     ไรท์จะอัพให้ได้ถึง60%ของเนื้อเรื่องนะคะเพราะว่าเป็นข้อตกลงกับสนพ. แต่สัญญาว่าจะไม่ให้ค้างแน่นอนค่ะ เพราะตรงที่ตัดเฉลยปมของเรื่องพอดี ส่วนใครรอแบบหนังสือรอกันหน่อย ถ้ามีความคืบหน้าจะมารายงานให้ทราบค่ะ

    ขอโทษที่หายไปนานนะคะ พอดีช่วงนี้ยุ่ง ๆแล้วลืมลงเรื่องนี้ไปด้วย (บ่าวขอโทษบ่าวผิดไปแล้ว   T T โบยบ่าวได้เลยเจ้าค่ะ)

    อย่าลืมคอมเม้นต์ให้ไรท์ด้วยนะคะจะได้มีแรงมาอัพให้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×