ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องครักษ์พิทักษ์หลังคา (สนพ.เฟยฮุ่ย)

    ลำดับตอนที่ #3 : ความสุขของนักปราชญ์ พยัคฆ์ และดอกไม้(1) รีไรท์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 16.52K
      371
      27 มิ.ย. 62

      

        ผ่านมากว่าสัปดาห์ อาการของจ้าวเยว่เทียนก็กลับมาแข็งแรงดังเดิม ชนิดที่ว่าถ้าสามารถเหาะได้เขาคงเหาะเข้าหอนางโลมทุกที่ในเมืองหลวงไปแล้วส่วนองครักษ์เกาเทียนฉีและเจิ้งสี่ยังอยู่ในช่วงรับโทษอยู่

         เกาเทียนฉีเหมือนจะจริงจังในการสำนึกผิดหลังจากกลับมานอกจากจะขอให้โบยตนเองสามสิบที เขายังไปนั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องของจ้าวเยว่เทียน ตลอดระยะเวลาที่พักฟื้น แสดงความรับผิดชอบได้สมกับเป็นองครักษ์ประจำตัวของซื่อจื่อ

         เจิ้งสี่หลังจากโดนโบยก็หนีไปสำนึกผิดบนหลังคาจวน ทำให้หน้าที่เฝ้าซื่อจื่อตัวปัญหากลายเป็นหน้าที่ของเจิ้งหู่ มี่ฮวา และเจิ้งซื่อ

         โดยปกติแล้วคนที่แสดงตนติดตามจ้าวเยว่เทียนเสมอจะเป็นองครักษ์เกาเทียนฉี ด้วยลักษณะการวางตัวที่แทบจะเรียกได้ว่าตรงตามมาตรฐานองครักษ์ในตำรา 

         เจ้านายอยู่ที่ใดเขาต้องตามประกบอยู่ด้านหลังเยื้องไปทางขวาเสมอ เพราะจ้าวเยว่เทียนถนัดซ้าย เวลาชักกระบี่จะได้ไม่โดน แต่มี่ฮวากับเจิ้งหู่คิดว่าจะได้เข้าประคองเวลาซื่อจื่อเมาได้ถนัดมากกว่า

         ส่วนองครักษ์เงาทั้งสี่คนคือ เจิ้งสี่ เจิ้งซื่อ เจิ้งหู่ และมี่ฮวา จะไม่เปิดเผยตัวให้ใครเห็นทั้งสิ้น ยกเว้นกรณีที่จ้าวเยว่เทียนเรียกมา หรืออยู่ในช่วงเวลาคับขันจวนตัวจนถึงที่สุด โดยปกติแล้วจะมีสัญญาณลับๆตกลงกันก่อนล่วงหน้าในการเรียกใช้

         ในการติดตามก็ต้องทำให้แนบเนียนและไม่ให้ใครรู้ว่าองครักษ์เงาอยู่ตำแหน่งใด และมีจำนวนเท่าไหร่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะถ้าหากฝ่ายที่คิดปองร้ายรู้จำนวนและตำแหน่งของเงาทั้งหลาย นั่นถือว่าเป็นหายนะ

         ทั้งสี่ต้องสรรหาที่ทางในการหลบหลีกสายตาให้มากที่สุด บางครั้งก็ผลุบโผล่ๆเพื่อให้ไม่สามารถคาดเดาจำนวนได้การติดตามจะง่ายถ้าหากจ้าวเยว่เทียนอยู่ในห้องพวกเขาก็แค่ขึ้นไปอยู่บนขื่อหรือหลบตามมุมชั้นวางของคอยแอบอยู่ในเงามืดหรือซ่อนอยู่หลังม่าน   

         เคยมีครั้งหนึ่งที่จ้าวเยว่เทียนไม่อาจเอาองครักษ์เงาติดตามไปด้วย เจิ้งสี่ถึงขั้นจะยอมลงทุนปลอมตัวเป็นสาวน้อยให้จ้าวเยว่เทียนควง

         เดชะบุญที่จ้าวเยว่เทียนยังมีสติห้ามปรามไม่เห็นดีเห็นงามกับแผนนั้นทุกคนเลยรอดจากการต้องทนดูเรื่องสยองไปอย่างหวุดหวิด

           การอารักขาจ้าวเยว่เทียนมักจะแบ่งเวรยามผลัดกันเฝ้า ในกรณีที่ไม่ได้อยู่ในสถานะการณ์ที่เสี่ยงอันตรายใดๆ มี่ฮวามักจะคู่กับเจิ้งหู่เสมอ เพราะทั้งสองถูกฝึกมาพร้อมกันเพื่อช่วยกันปิดจุดอ่อนของซึ่งกันและกัน

         เจิ้งหู่นั้นถนัดในการต่อสู้แบบประชิดตัวและใช้กำลังเข้าข่มพละกำลังนี่น้อง ๆของสัตว์เคี้ยวเอื้องหากแต่ยังเป็นรองเจิ้งสี่ อ้อนางไม่ได้จะบอกว่าเจิ้งสี่เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องหรอกนะถึงแม้ว่าจะเคยได้ยินเจิ้งซื่อแอบด่าก็ตาม

         สาบานได้....

         นอกจากนี้เขายังมีลูกล่อลูกชนที่แพรวพราวและกับดักลับทั้งหลายคอยป่วนประสาทของคู่ต่อสู้ส่วนนางมักจะเป็นกำลังเสริมคอยหาช่องว่างโจมตีจากระยะไกล และคอยตัดกำลังเป็นระยะ ๆจากทั้งยาพิษและอาวุธขนาดเล็ก

         นางเป็นสตรีบอบบางจะให้ถนัดใช้แรงอย่างเดียวก็คงไม่ดี เนาะ...

         เจิ้งซื่อเคยบอกว่าพวกนางทั้งสองคนคือหน่วยสุนัขลอบกัด พวกนางไม่โกรธหรอกเพราะต่อให้ต้องปกป้องจ้าวเยว่เทียนแบบถวายชีวิตเพียงใดแต่ถ้ามีโอกาสนางก็อยากหลีกเลี่ยงการโดนฟันมันไม่สนุกสักนิดไม่เหมือนเจิ้งสี่ที่มักภาคภูมิใจในบาดแผล เขามักอวดรอยแผลเป็นต่างๆให้ดูและเล่าให้ฟังว่าแต่ละแผลได้มาอย่างไร

         ‘ข้าคิดว่าพี่เจิ้งสี่วิปลาศ เจิ้งหู่เคยแอบกระซิบกับนาง ตอนเจิ้งสี่เล่าถึงบาดแผลที่ไหล่ของเขา

         เพราะเจิ้งสี่เป็นคนที่มุทะลุและเถรตรงจึงต้องมีเจิ้งซื่อที่สุขุมรอบคอบอีกทั้งเต็มไปด้วยกลอุบายเป็นคู่หูภาพลักษณ์ของทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว

         เจิ้งสี่ที่มักมาพร้อมกับกลิ่นอายที่ดุดันใบหน้าคมคายรูปร่างใหญ่โตพร้อมกับชุดสีดำทะมึนทั้งตัวราวกับปีศาจแต่เจิ้งซื่อราวกับเทพบุตรลงมาจากสวรรค์หน้าตาที่สามารถเรียกได้ว่างดงามภายใต้หน้ากากสีขาวบริสุทธิ์ ท่วงท่าที่สง่างาม การต่อสู้อันอ่อนช้อยเหมือนกับกำลังรำกระบี่ ถึงแม้ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นจะน่าสยองแค่ไหนก็ตาม

         เจิ้งซื่อยืนยันที่จะสวมชุดขาวทั้งตัว เพื่อที่เวลามีบาดแผลจะได้รักษาได้ทันท่วงที ถ้าหากจับเขาไปยืนตรงหน้าผู้ใดแล้วบอกว่าเขาเป็นเทพเซียนย่อมไม่มีใครคัดค้านเป็นแน่

         เมื่อถึงเวลาต้องเดินทางกลับ เกาเทียนฉีและจ้าวเยว่เทียนขี่ม้ากลับ ส่วนพวกเงาทั้งสี่ชีวิตคอยใช้วิชาตัวเบาไล่ตามม้าของทั้งสอง ไปตามบนหลังคาบ้านเรือนที่เริ่มแน่นขนัดเพราะเริ่มเข้าสู่ใจกลางเมืองแล้ว

         แสงอาทิตย์ที่แผดจ้าในฤดูร้อน เจิ้งหู่และมี่ฮวาเปลี่ยนชุดเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ ทั้งสองเห็นพ้องต้องกันว่ายามกลางวันที่แดดแรงเช่นนี้ ต่อให้เอากระบี่มาจ่อคอทั้งสองก็ไม่มีทางสวมชุดสีดำที่ทำให้ร้อนกว่าเดิมเป็นแน่!! 

         ถึงพวกนางจะเคยฝึกความอดทนแต่ใช่เรื่องที่จะต้องให้การฝึกต้องมาสูญเปล่ากับเรื่องที่สามารถแก้ไขได้เพียงใช้ความคิดสักนิด ปล่อยให้เจิ้งสี่ที่ยังคงความเป็นตัวเองใส่ไปเพียงคนเดียวก็พอ ในยามกลางวันที่สว่างขนาดนี้พี่ท่านสวมชุดดำกระโดดไปมา อย่างไรนางก็คิดว่ามันเด่นเกินกว่าจะเรียกว่าพรางตัว

         ส่วนท่านเทพบุตรเจิ้งซื่อในชุดขาว ไม่ต้องกลัวว่าใครจะสังเกตุเห็น ถึงแม้ว่ามีใครมองตรง ๆอาจพาให้ตาพร่ามัวได้ เพราะความขาวไปทั้งตัวช่างสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเที่ยงได้ดียิ่งนัก ขนาดพวกนางมองผ่านผ้าคลุมบางเบายังรู้สึกแสบตา เจิ้งหู่คิดว่ามันเป็นกลยุทธทำลายสายตาศัตรูพร้อมกับทำให้รู้สึกเลื่อมใสไปในตัว

         เมื่อเข้ามาถึงบริเวณที่คนพลุกพล่านแล้ว องครักษ์เกาได้ส่งสัญญาณว่าจะหยุดพักที่โรงเตี๊ยมด้านหน้าเจิ้งสี่และเจิ้งซื่อ แฝงตัวอยู่ด้านนอก ส่วนมี่ฮวาและเจิ้งหู่รอจนจ้าวเยว่เทียนได้โต๊ะที่นั่ง ถึงค่อยกระโดดขึ้นไปอยู่บนมุมของคานชั้นบน

         “อัยหยา… ฝั่งนี้มีคนจองแล้ว” เจิ้งหู่หันมาบอกมี่ฮวาเมื่อเจอเพื่อนร่วมอาชีพอยู่บนคานฝั่งที่หมายตาเอาไว้

         ขาที่กำลังจะกระโดดกลับต้องชะงักลงกลางคันแล้วหาที่ลงจอดที่ใหม่

         “งั้นก็แยกย้ายกัน” มี่ฮวาแนะนำ เพราะถ้าหากทั้งสองมากระจุกตัวอยู่ด้วยกัน เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วต้องกระโจนออกไปคงได้ชนกันระเนระนาดเป็นแน่

         นางจึงย้ายมาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะของทั้งสองคนถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้านบน แต่จากมุมนี้ก็มองเห็นได้ชัดดี เห็นได้กระทั่งสายตาวิบวับของจ้าวเยว่เทียนที่แกล้งมองมาทางนางตอนคีบไก่ตุ๋นของโปรดนางขึ้นมากิน

         นางคิดว่าการที่เขาทำแบบนี้กับนางเรียกได้ว่าเป็นอาชญากรรมแบบหนึ่ง เพราะจ้าวเยว่เทียนกำลังประทุษร้ายกระเพาะน้อย ๆของพวกนางที่มันเริ่มร้องโครกครากแล้ว

         ‘ใช่สิ เขาไม่ต้องมาอยู่บนนี้เหมือนนางนี่

         นางได้แต่นั่ง ตาดู หูฟัง ระแวดระวังให้เขาส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นมาเช็ดน้ำลายป้อย ๆเพราะเกรงว่าจะหยดไปหาคนที่อยู่ด้านล่าง

         จนเมื่อจ้าวเยว่เทียนวางตะเกียบนางถึงได้พรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

         เหตุการณ์ในร้านผ่านไปด้วยดีเพราะซื่อจื่อของพวกนางยังไม่ได้สั่งสุรามาดื่ม นับว่ายังมีคุณธรรมที่ไม่ร่ำสุราก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน หลังจากทั้งสองออกมาจากร้าน เจิ้งหู่จึงตามมาสบทบกับนางที่ออกตัวตามมาติดๆ

         “กลิ่นอะไรน่ะ หอมมาก” นางพูดพลางขยับจมูกไปมาและดูเหมือนว่ากลิ่นนั้นจะมาจากสหายของนาง

         “กลิ่นซาลาเปาน่ะสิ ข้าไปอยู่ตรงคานที่ด้านใต้กำลังนึ่งซาลาเปาอยู่พอดี กลิ่นมันเลยติดตัวมาน่ะ” เจิ้งหู่บอกพร้อมกับกระพือเสื้อไปมา พลางยื่นซาลาเปามาให้นางหนึ่งลูก

         “เจ้าซื้อมาตอนไหนกัน ข้าไม่เห็นเจ้าลงมานี่” นางไม่เห็นจริงๆว่าเขาจะขยับลงมาตอนไหน

         เจิ้งหู่ยักไหล่พร้อมกับกัดซาลาเปาไส้ถั่วแดงคำโตก่อนจะพูดอู้อี้ทั้ง ๆที่อาหารยังเต็มปาก ก็ข้าไม่ได้ซื้อมาน่ะสิ

         “หา? นางทำตาโต

         “จะให้ข้าลงไปซื้อได้อย่างไรเล่าเดี๋ยวมีคนเห็น” เมื่อเขาเห็นนางทำหน้าบอกบุญไม่รับจึงพูดต่อ “เอาหน่า...ข้าเห็นว่าซื่อจื่อให้เงินเกินไปตั้งมากข้าจะถือว่านั่นเป็นค่าซาลาเปาก็แล้วกัน”

         พูดจบก็เอาซาลาเปายัดใส่ปากนางที่กำลังจะเถียงก่อนจะกระโดดดึ๋งหนีไป

          กว่าจะถึงจวนฉีหลินก็ล่วงเข้ายามเซินแล้ว (15.00 .- 16.59 .) องครักษ์เงาทั้งสี่ก่อนเข้าไปภายในจวนก็ได้ส่งสัญญาณให้กับองครักษ์เงาที่เฝ้าจวนอยู่ เพื่อให้ผ่านเข้าไปได้ สิ่งแรกที่เจิ้งหู่และมี่ฮวาทำคือ พุ่งตรงไปที่โรงครัวของฝ่ายองครักษ์ทันที

         ที่นี่มีคนคอยทำอาหารให้ตลอดเวลาเพราะตำแหน่งองครักษ์เงามักจะทานอาหารไม่ตรงเวลา หากใครสามารถทานอาหารได้ตรงตามเวลาทุกมื้อ คาดได้ว่าเจ้านายของพวกเขาอายุไม่น่าจะยืนยาว

         เพราะเวลาช่วงมื้ออาหารมักเป็นช่วงที่คนส่วนมากจะคลายความระแวดระวังลง อีกทั้งยาพิษที่อาจใส่มาในอาหาร นัยว่าช่วงเวลาที่เจ้านายสบายลูกน้องกลับต้องตึงเครียดแทน อาหารที่ทำส่วนมากจึงมีส่วนผสมของสมุนไพรที่ช่วยบำรุงกำลังและกระเพาะเป็นพิเศษ

         ถ้าถามว่าแล้วเวลาที่เหล่าเงาต้องติดตามเจ้านายระยะไกลจะกินดื่มอย่างไร ถ้าหากกระหายน้ำนางจะอมมะนาวฝานอบแห้งเคลือบน้ำผึ้งที่อมแล้วช่วยให้ชุ่มคอ ทั้งสามคนชอบมากจนต้องขอให้นางทำให้เป็นจำนวนมากเพื่อพกติดตัวเสมอ โดยเฉพาะเจิ้งซื่อที่กลิ่นของเขาตอนนี้กลายเป็นกลิ่นหอมหวานคล้ายน้ำผึ้งไปเสียแล้ว

         ตอนนี้เป็นเวลากลางวันอยู่ องครักษ์ประจำจวนยังมีอยู่มากมาย คงไม่มีใครกล้าหาเรื่องใส่ตัวยามนี้แน่ ดังนั้นตอนนี้ข้างกายของจ้าวเยว่เทียนจึงมีเพียงเกาเทียนฉีที่อยู่ใกล้ๆ และฝ่ายเงาปล่อยให้เจิ้งสี่ที่ยังมีแรงเหลือเฟือเฝ้าแต่เพียงผู้เดียว ส่วนที่เหลือทั้งสามแยกย้ายกันไปพักผ่อน

         บางครั้งพวกนางรู้สึกเหมือนตนเองเป็นนกฮูกมากกว่าที่จะเป็นองครักษ์ นอนก็ต้องนอนยามที่มีแสง ดึกดื่นก็ต้องคอยเฝ้าจ้าวเยว่เทียนจากด้านบนเพดาน ยิ่งถ้าต้องเดินทางไกลพวกนางแทบจะใช้ชีวิตอยู่บนยอดไม้ หรือจริงๆแล้วพวกนางคือนกฮูก ?



      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×