คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : เหตุเกิดในตลาด
การฝึกยามเช้าจบลงแล้ว เจิ้งสี่และเจิ้งซื่อพาทั้งสองมาพักที่เรือนขนาดกลางที่ติดกับเรือนของจ้าวเยว่เทียน อาการมึนยังมีให้เห็นจากทั้งคู่ เจิ้งซื่อจึงเริ่มทำแผลให้
มี่ฮวามีบาดแผลไม่ลึกมากที่บริเวณแขนทั้งสองข้างเล็กน้อย ส่วนเจิ้งหู่ขนาดบาดแผลถ้าเทียบกันแล้วถือว่าเล็กถ้าเทียบกับนาง
แต่จำนวนของบาดแผลนั้นมีมากมายจนเจิ้งซื่ออยากใช้วิธีเอาเขาจุ่มลงในบ่อยาแทนการมานั่งทาให้ทีละแผลเช่นนี้
เจ้าเด็กสองคนนี้เวลาซ้อมตามปกติไม่ค่อยมีแผลอะไรมากมายอย่างมากก็ฟกช้ำเล็กน้อย
ไม่รู้ซื่อจื่อจะหาเรื่องทำไม คนที่เดือดร้อนก็คือเขาคนนี้ ตั้งแต่เจ้าสองคนนี้ยังเล็กเขาก็ดูแลทายาทำแผลให้ตลอดจนกระทั่งมี่ฮวาไปฝึกวิชาแพทย์กลับมาหน้าที่นี้เขาก็ได้ทำน้อยลง
เหลือเพียงเจ้าโง่เจิ้งสี่เท่านั้นที่เขายังต้องคอยทำแผลให้อยู่ แถมรายนั้นขยันหาบาดแผลมามากมายเหลือเกิน
ไม่รู้ว่ากลัวเขาจะลืมวิชาแพทย์หรือไร
เมื่อทำแผลที่ร่างกายของทั้งสองเสร็จเขาจึงสั่งให้ทั้งสองถอดผ้าคลุมหน้าออก
ปกติคนที่ได้เห็นหน้าที่แท้จริงของเหล่าองครักษ์เงานั้นจะมีได้เพียงเจ้านาย หัวหน้าองครักษ์
และเหล่าเงาระดับเดียวกันเท่านั้นสภาพที่เห็นทำให้เขาชะงักไปชั่วครู่
สตรีป่าเถื่อนและบุรุษผู้ไม่รักหยกถนอมบุปผาคือนิยามให้เจ้าสองคนนี้
!
มี่ฮวาที่มีใบหน้างามล่มเมืองคนนั้นตอนนี้คิ้วเรียวงามของนางแตก บริเวณหน้าผากบวมเป่งเป็นสีม่วง
เลือดไหลทะลักออกจากบาดแผลอาบหน้าไปครึ่งซีกจนต้องหยีตาข้างหนึ่งตลอดเวลา เพราะโดนเจิ้งหู่ฟันศอกเข้าใส่
ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดตอนนี้คางและข้างแก้มที่โดนบาทาลูบหน้าเข้าไปมันบวมเจ่อจนเห็นได้ชัด
อีกทั้งมีคราบเลือดแห้งกรังอยู่ที่มุมปากที่แตก เขาได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายหัวน้อยๆ
“พี่เจิ้งซื่อข้าชนะใช่หรือไม่ เลือดข้าไหลน้อยกว่านาง” เจิ้งหู่พูดขึ้นมาพร้อมกับสูดปากไปด้วย
‘สตรีอันใดไยเท้าหนักเยี่ยงนี้’ ตอนที่นางฟาดเท้าใส่เขาสติเขาวูบไปเล็กน้อยรู้ตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ข้างใบหู
เป็นตอนที่เจิ้งสี่หิ้วเขาออกมานั่นเอง
“เจ้าอ้าปากพูดให้ได้กว้างกว่านี้ก่อนเถอะค่อยมาทวงถามเอาชัยชนะจากข้า”
เมื่อครู่ตอนที่นางเริ่มหายมึนนางยังเห็นเจ้านี่นั่งน้ำลายไหลอยู่เลย
เจิ้งซื่อได้แต่หน่ายใจเขาต้องมาเป็นกรรมการห้ามมวยให้สองคนนี้ตั้งแต่ยังน้อย
เจิ้งสี่เหมือนนกรู้พอวางเจิ้งหู่ลงก็เผ่นแผล็วออกไปหาซื่อจื่อทันที ปล่อยให้เขาทำหน้าที่เลี้ยงเด็กเอง
เมื่อทำแผลเสร็จเขาจึงปล่อยให้เด็กทั้งสองได้ทานอาหารเช้ากัน ผ่านไปสักพักเจิ้งสี่จึงมาบอกว่าจ้าวเยว่เทียนจะออกไปด้านนอกในยามอู่
เขาจึงให้ทั้งสองพักผ่อนและจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยส่วนเขาก็ไปเฝ้าจ้าวเยว่เทียนแทนเจิ้งสี่
ก่อนออกเดินทางหนึ่งเค่อ มี่ฮวาและเจิ้งหู่ ได้แอบออกจากทางหลังจวนเพื่อไปเอาม้าที่โรงเก็บม้าและขี่อ้อมจวนออกมาดักรออยู่บริเวณทางไปตลาดเพื่อจะได้เดินทางไปทางเดียวกัน
วันนี้ทั้งสองใส่ชุดรัดรูปสีดำสนิทด้านใน แต่ด้านนอกทั้งคู่สวมใส่ชุดสีซีดของชาวบ้านธรรมดาทับไว้อีกชั้น
มี่ฮวาเพียงปักปิ่นสีดำธรรมดาไว้เท่านั้น ส่วนเจิ้งหู่รวบผมขึ้นทั้งหมดเผยใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ตอนนี้บวมไปครึ่งหนึ่ง
เขาจึงจำต้องใส่หมวกสานที่มีผ้าคลุมสีดำบางเบาคลุมหน้าไว้
ส่วนมี่ฮวาที่ลืมตาไม่ขึ้นตอนนี้นางจึงปลอมตัวเป็นหญิงชราหลังค่อมตาฝ้าฟาง
นางได้เรียนและสำเร็จเคล็ดวิชาเปลี่ยนโฉมจากผู้เฒ่าคนหนึ่งที่นางได้ช่วยชีวิตแบบกึ่งบังเอิญเอาไว้
ที่ว่ากึ่งบังเอิญเป็นเพราะว่านางบังเอิญไปเห็นผู้เฒ่าคนนี้ตอนเปลี่ยนหน้าพอดี นางจึงสร้างสถานการณ์และเข้าไปช่วยเหลือ
และขอให้สอนวิชาให้นาง
“วันนี้ข้าต้องแสดงเป็นลูกกตัญญูพาแม่ผู้ชรามาท่องตลาดสินะ” เจิ้งหู่พูดพลางหันไปสำรวจคนด้านหลังเขา ตอนนี้ทั้งสองนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกัน
“ถ้าเจ้าอยากกตัญญูเจ้าควรลงไปจูงม้าให้ข้านั่ง มิใช่มาเบียดข้าเช่นนี้”
เจ้าตัวบัดซบนี่ขยับให้ตนนั่งสบายจนนางแทบจะตกม้า
“ขออภัยท่านแม่ ระยะทางยังอีกไกลหากให้ข้าแสดงความกตัญญูตอนนี้คงไม่ดีกระมัง”
“แม่อย่างข้าคงปวดใจหากลูกชายจะตกจากหลังม้า” นางพูดพลางซัดฝ่ามือเข้าที่กลางหลังเจิ้งหู่จนหลังแอ่น
ก่อนที่ทั้งสองจะทะเลาะกันต่อประตูจวนก็เปิดออกพร้อมกับรถม้าสีดำค่อย
ๆเคลื่อนตัวออกมา องครักษ์เกาวันนี้รับหน้าที่เป็นสารถีกิตติมศักดิ์ ส่วนคู่หูหยินหยางคู่นั้น
นางเห็นค่อย ๆเคลื่อนตัวบนหลังคาขนาบข้างรถม้าไปเป็นระยะ
ระยะทางจากจวนอ๋องค่อนข้างไกลจากตลาดกลางเมือง เหตุเพราะความรักของฮ่องเต้ที่มีต่อน้องชายอย่างจ้าวอ๋องที่มีมากล้น
จวนของเขาจึงอยู่ห่างจากวังเพียงนิดเดียว ทั้งสองควบม้าแบบเหยาะ ๆตามรถม้าแบบห่าง
ๆ แต่ระยะที่เว้นเอาไว้เป็นระยะที่ทั้งสองมั่นใจว่าหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันทั้งสองสามารถเคลื่อนตัวไปหาได้ทันท่วงที
เมื่อถึงบริเวณตลาดทั้งองค์รักษ์เกาและจ้าวเยว่เทียนจึงลงจากรถม้าและเริ่มเดินดูข้าวของ
ตลอดทางนางเห็นพายุผ้าเช็ดหน้าปลิวว่อนต่อหน้าคนทั้งสอง องครักษ์เกาได้แต่ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน
ส่วนอีกคนกลับส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยอย่างช่ำชองให้กับสาวงามทั้งหลาย
“ท่านแม่ แม่นางพวกนี้รุกได้น่ากลัวยิ่งนัก” เจิ้งหู่เงยหน้าขึ้นคุยกับหญิงชราบนหลังม้า
เขาไม่ชอบสตรีที่เปิดเผยพวกนี้เท่าใดนัก
ตอนนี้เจิ้งหู่ต้องจูงม้าให้นางเพราะตอนนี้คนเริ่มเยอะ และเขาต้องหาที่ฝากม้าที่ไกลจากรถม้าของซื่อจื่อเล็กน้อยเพื่อคนจะได้ไม่สงสัย
ความธรรมดาสามัญนี่แหละคือการพรางตัวที่เยี่ยมที่สุดยิ่งสามัญมากเท่าใดผู้คนมักลืมเลือนและไม่จดจำ
หากพยายามปกปิดคนเรามักจะให้ความใส่ใจเป็นพิเศษเพราะเกิดความระแวง จากที่ไม่เด่นจะกลับกลายเป็นเด่นทันทีหากพวกเขาทั้งสี่ใส่ชุดดำเหมือน
ๆกันฝ่ายตรงข้ามก็จะต้องสงสัยทันทีเป็นแน่
มนุษย์เราชอบสิ่งสวยงามและฉาบฉวยเสมอ ก่อนหน้านี้เขาลงจากหลังม้าเขาได้ยินหญิงสาวด้านหลังกล่าวถึงตัวเขา
ด้วยรูปร่างของเขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ทำให้ดูดีกว่าชาวบ้านทั่วไป เขาเห็นหญิงสาวสองคนเริ่มเดินตามเขามาดังนั้นเขาจึงแกล้งผินหน้าด้านที่โดนสหายรักสรรค์สร้างมาให้พวกนางเห็น
เท่านั้นแหละเขาได้ยินเสียงนินทาจากพวกนางทันทีพร้อมกับผละจากไป
‘นี่หน้าเขาบวมมากงั้นหรือ’
“ลูกรักแม่รู้สึกล้ายิ่งนักเจ้าพาแม่ไปพักทีสิ” นางเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นจ้าวเยว่เทียนมุ่งไปที่โรงเตี๊ยมด้านหน้า
เมื่อมี่ฮวาส่งสัญญาณมาเขาจึงพูดไปตามบท “ท่านแม่หิวแล้วหรือ
ข้าได้ยินมาว่าโรงเตี๊ยมด้านหน้านี้ของดียิ่ง” กล่าวพลางแสร้งประคองนางที่เดินหลังค่อมอยู่ข้างกาย
“ไปสิ... พาข้าไป” นางพูดพร้อมไอเสียงแหบ
ๆออกมา
เมื่อเข้ามาในโรงเตี๊ยมนางเห็นแล้วว่าเจิ้งสี่ได้แฝงตัวอยู่บนคานตรงด้านบนแล้ว
เมื่อกวาดสายตาไปอีกนิดบนชั้นสองนางจึงเห็นเจ้านายของนางสวมชุดสีฟ้าพร้อมโบกพัดในมือไปมาอย่างสบายอารมณ์
พวกนางทั้งสองเลือกที่นั่งที่อยู่ตรงข้ามกับจ้าวเยว่เทียนที่อยู่ด้านบน เพียงแค่มองจากทางหางตาก็สามารถเห็นเขาได้ง่าย
หลังจากนั้นนางจึงสั่งอาหารง่าย ๆแต่เป็นที่ขึ้นชื่อมาหนึ่งอย่างพร้อมกับชาทั่ว
ๆไป เสี่ยวเอ้อร์พวกนี้สามารถรับรู้ได้คร่าวๆว่าคนที่มาทานอาหารทั้งหลายเป็นแขกต่างเมืองหรือในเมือง
หากเป็นแขกต่างเมืองมักจะเป็นที่จดจำมากกว่า
เมื่ออาหารที่สั่งมาเสิร์ฟเป็นน้ำแกงปลาถ้วยใหญ่นางจึงตักให้เจิ้งหู่
“ ทานปลาเยอะ ๆนะลูกรักเจ้าจะได้ฉลาด เจ้าสอบเข้าราชการมาหลายรอบยังไม่ผ่านเสียที
”
“ลำบากท่านแม่แล้ว” เขาตอบพร้อมกับทำสีหน้าสำนึกผิดแต่ในมือกลับคีบก้างปลามาให้นาง
อยู่บนนี้เจิ้งสี่เห็นทุกอย่างทั้งเจ้านายของเขาและการกระทำของเด็กน้อยทั้งสอง
เมื่อมองไปรอบๆร้านเห็นชายผู้หนึ่งบนโต๊ะมีอาหารอยู่สองอย่าง ตอนแรกเขาไม่สงสัยจึงมองผ่านไป
แต่เมื่อสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเขาแอบเหลือบมองไปทางจ้าวเยว่เทียนบ่อยเกินไป
เขาจึงส่งสัญญาณให้กับเจิ้งซื่อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโรงเตี๊ยม และหันไปส่งสัญญาณเตือนให้เกาเทียนฉีรู้ว่าอาจจะมีเรื่องได้
เขานั่งดูไปสักครู่ชายคนนั่นเริ่มส่งสัญญาณอีกครั้ง เจิ้งสี่รีบหันมองทันทีว่ามีมุมไหนที่สามารถเห็นการกระทำของชายคนนี้ได้
ตอนนี้ทั้งมี่ฮวาและเจิ้งหู่รู้ตัวแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะทั้งสองเห็นเจิ้งซื่อหันไปมาหลายครั้งจึงเริ่มสังเกตรอบกายแบบละเอียด
ในที่สุดก็มีชายสามคนลุกจากโต๊ะด้านในของชั้นล่างขณะที่กำลังเดินออกจากร้านมี่ฮวาเห็นเขาคนหนึ่งหันไปมองทางด้านบนที่มีจ้าวเยว่เทียนแบบผ่านๆแต่นั่นก็เพียงพอสำหรับพวกนางแล้ว
ต่อให้มองเพียงเสี้ยวเดียวก็คือมอง คนปกติถ้าจะออกจากร้านคงไม่หันมามองบรรยากาศรอบร้านหรอก
หากจะมองคงมองตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว
พวกนางไม่ได้ตามออกไปแต่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ตอนนี้รู้แล้วว่าชายที่นั่งอยู่คนเดียวนั้นคือคนที่ชี้เป้าให้ชายทั้งสาม
แสดงว่าทั้งสามน่าจะไม่ใช่คนจากเมืองหลวงเพราะไม่มีใครไม่รู้จักซื่อจื่อผู้โด่งดังของนางหรอก
นางยังคงรอจนกระทั่งจ้าวเยว่เทียนกินใกล้เสร็จเจิ้งหู่จึงเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาเก็บเงิน
เมื่อเกาเทียนฉีจ่ายเงินพวกนางจึงค่อย ๆเดินออกมาก่อน การปลอมตัวเป็นคนแก่ทำให้สามารถถ่วงเวลาได้
ไม่ว่าอยากจะเดินช้าลงหรือเร็วขึ้นหน่อยคนก็ไม่สนใจ
จ้าวเยว่เทียนกับเกาเทียนฉียังคงเดินชมนกชมไม้ต่อไปอย่างสบายอารมณ์ ในเมื่อเจ้านายไม่เครียดนางก็ไม่เครียดเจิ้งหู่จึงแวะซื้อผ้าคลุมเรียบ
ๆสีเข้มมาสองผืนพร้อมกับชักชวนให้นางดูสินค้าหน้าตาประหลาดจากต่างเมือง แต่ในที่สุดความอดทนของอีกกลุ่มเหมือนจะหมดลงด้านหน้าของนางพลันได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้น
ผู้คนเริ่มแหวกออกจากบริเวณที่มีเรื่อง ตรงกลางวงล้อมของกลุ่มชายชุดดำประมาณ
6 ถึง 7 คน นางเห็นซื่อจื่อของนางกำลังโบกพัดอย่างสบายอารมณ์
“ท่านแม่ ท่านกลัวจนร้องไม่ออกเชียวหรือ” เจิ้งหู่หันมาพูดกับนางที่เหมือนจะลืมบทพร้อมกับเหยียบเท้านางเต็มแรงอีกทั้งเอามือกดหลังนางให้ค่อมกว่าเดิม
“ไอ้! … โอ้ย! ลูกเอ้ยย พาแม่หนีไปเร็วๆ”
นางพูดพร้อมกับแกล้งทำตัวอ่อนแรงล้มลงไปกับพื้นทันที
“ไม่เนียน”
เจิ้งหู่ได้แต่ก้มลงไปกระซิบคนที่แสดงออกได้ช้าเกิน
“จะให้ล้มตรงโน้นได้อย่างไร นั่นแผงขายอาวุธนะมีดได้ปักข้าพอดีน่ะสิ”
นางกระซิบกระซาบต่อขณะที่โดนเจิ้งหู่พลิกตัวขึ้นมาพร้อมกับแสร้งพัดไปให้ด้วย
เขาแกล้งอุดจมูกนาง “อย่าเถียง! เจ้าเป็นลมอยู่”
“.........”
ในสายตาของพวกมันยามนี้ ทั้งสองคนที่อยู่ตรงกลางก็เหมือนหมูในอวย พวกเขามีด้วยกันถึง 7 คนนี่ยังไม่รวมเหล่าเงาของผู้จ้างวานพวกเขาอีก
ดูท่าทางแล้วงานนี้คงเป็นงานง่าย ๆเสียแล้ว ยิ่งเห็นท่าทางที่ดูไม่น่าเชื่อถือของเป้าหมายแล้วพวกเขายิ่งรู้สึกว่าเงินที่ได้มานี่เกินคุ้มเหลือเกิน
หนึ่งบุรุษอยู่ในชุดสีฟ้าท่าทางยิ้มน้อย
ๆดูยังไงก็น่าจะจัดการง่าย แต่ที่น่ากลัวคือบุรุษชุดสีแดงเข้มผู้นั้นที่ท่าทางไม่น่าจะต่อกรได้ง่าย
สมแล้วที่เป็นองครักษ์ประจำตัวของเชื้อพระวงค์ ก่อนหน้านี้เงาของผู้จ้างวานได้ส่งข้อมูลให้พวกเขารู้มาว่าเงาของเป้าหมายน่าจะติดตามมาเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ต่อให้เก่งเพียงใดแต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ตอนนี้พวกเขาเพียงต้องรีบจัดการให้เสร็จ
ๆไปเท่านั้น
“ขอโทษพี่ชายทั้งหลายไม่ทราบว่าข้าได้ล่วงเกินพวกท่านไปตอนใดเหตุไฉนถึงได้มาทำหน้าถมึงทึงใส่กันเช่นนี้” จ้าวเยว่เทียนถามพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“น้องชายอาจไม่ได้ล่วงเกินพวกข้า
แต่เจ้า…”
“อ้อ งั้นข้าขอตัว” จ้าวเยว่เทียนกล่าวตัดบทขึ้นมาพลางหมุนตัวเดินหนีทันที โดยไม่รอฟังต่อทำให้พวกนั้นเกิดอาการอึ้งไปครู่หนึ่ง
เจ้านี่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าพวกเขางั้นรึ
“ บังอาจเงาหัวจะหายยังไม่รู้ตัว! จัดการพวกมันซะ” มันตวาดกลับมาทันที
ทันใดนั้นกลุ่มชายชุดดำทั้งหมดก็พุ่งเข้ามาโจมตีเขา
จ้าวเยว่เทียนได้แต่นึกสังเวชอยู่ในใจ
เจ้าพวกนี้คิดยังไงถึงได้มาทำท่าทางคุกคามผู้อื่นกลางตลาดขนาดนี้ อยากอวดฝีมือขนาดนั้นเชียวหรือ
เขาสู้อุตส่าห์เดินรอจนพวกมันยอมปรากฏตัว แต่กลายเป็นการเปิดตัวที่ดูอย่างไรก็คือวิสัยของลูกสมุนปลายแถว
ดูแล้วเจ้าพวกนี้คงโดนหลอกให้มาเพื่อหยั่งเชิงเขาเป็นแน่
เอาเถิด… เขาจะยอมเล่นด้วยละกัน
“เกาเทียนฉี ต่อให้เจ้าตายก็ต้องปกป้องข้าให้ได้!” เขาพูดเสียงดังพร้อมกับหลบไปอยู่ด้านหลังองครักษ์ของเขาอย่างรวดเร็ว
“…...”
เกาเทียนฉีสามารถต่อสู้ได้สมศักดิ์ศรีของการเป็นองครักษ์ชั้นหนึ่งของซื่อจื่อ
ถึงแม้ทั้งหมดจะรุมเข้ามาพร้อมกันแต่ยังไม่มีใครสามารถเข้าถึงตัวของจ้าวเยว่เทียนได้ แต่เมื่อผ่านไปเรี่ยวแรงก็เริ่มลดลงไปบ้างหนึ่งในผู้ร้ายเห็นว่าสบโอกาสจึงหวังจะฟันจากด้านหลังของเขา
โครม! เสียงดังสนั่นของเพิงขายโถดินเผาตกลงมาใส่หนึ่งในชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังเกาเทียนฉี
ผู้คนหันมามองเห็นเพียงหญิงชราตัวสั่นงันงกอยู่หลังเพิงที่ถล่มลงมา
ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มถลาลงมาโขกศีรษะกับพื้น
“ยกโทษให้มารดาของข้าน้อยด้วยขอรับ! นางตาไม่ดี ข้า…ข้าพาหลบไม่ทันขอรับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมเข้าไปกอดมารดาที่ตอนนี้เหมือนจะกลัวจนสิ้นสติไปแล้ว
“องครักษ์เกา พาข้าออกไปจากที่นี่”
จ้าวเยว่เทียนสั่งทันทีหลังจากพวกนั้นชะงักจนเปิดช่องว่างให้พวกเขาฝ่าออกไปได้
“ตามพวกมันไป! อย่าให้หนีไปได้ ” หัวหน้าคนร้ายรีบสั่งทันที
‘พวกมันเริ่มเหนื่อยแล้วสินะจึงคิดจะหนี’ เนี่ยหรือผู้สืบทอดตำแหน่งแม่ทัพกองกำลังพิทักษ์เมือง
ขนาดต่อสู้ยังหลบอยู่หลังลูกน้องช่างน่าเวทนายิ่งนัก
ขณะที่ทุกคนกำลังสนใจกับคนทั้งสองกลุ่มที่เริ่มห่างออกไป
อีกด้านหนึ่งหญิงชราและบุตรชายกำลังแอบเอาร่างของหนึ่งในคนร้ายหายไปจากบริเวณนั้นอย่างเงียบเชียบ
จ้าวเยว่เทียนและเกาเทียนฉีเคลื่อนไหวด้วยวิชาตัวเบาออกมาจากเมืองจนออกมาบริเวณป่ารอบนอก
จากนั้นจึงแกล้งผ่อนฝีเท้าลงเพื่อให้พวกนักฆ่าที่เหลือตามมาทัน
“ใครส่งพวกเจ้ามา” จ้าวเยว่เทียนถามพอเป็นพิธีเพราะเขารู้ว่านอกจากนักฆ่าปลายแถวพวกนี้ยังมีคนอื่นแฝงกายดูท่าทีของเขาอยู่ด้วย
“เริ่มอยากรู้ขึ้นมาแล้วรึ น่าเสียดายที่รู้ไปเจ้าก็ไม่รอดอยู่ดี”
พวกนั้นพูดพร้อมกับขยับเข้ามาโจมตีอีกครั้ง
และเหมือนเดิมที่จ้าวเยว่เทียนคอยแต่หลบไปมาจวบจนกระทั่งมีสัญญาณมาจากเจิ้งสี่ท่าทางล้อเล่นเหมือนเมื่อครู่ก็หายไป
เขาเลิกหลบจากนั้นก็นำกระบี่อ่อนที่ซ่อนไว้รอบเอวออกมา
“ข้าขอถามอีกข้อ ในนี้ใครคือหัวหน้าของพวกเจ้า”
“…”
ทั้งกลุ่มมองกันไปมาอย่างสับสน
“ไม่มีสินะ” เขายิ้มเย็นให้ แล้วหายวับไปจากครรลองสายตาทันที
เมื่อเจิ้งซื่อตามมาถึงก็พบเพียงแต่ร่างไร้ศีรษะกระจัดกระจายอยู่รอบ
ๆจ้าวเยว่เทียนที่กำลังบรรจงเช็ดคราบเลือดจากกระบี่กับชุดของร่างที่นอนอยู่ ส่วนเจิ้งสี่อยู่ในเงามืดของต้นไม้ไม่ไกลจากจ้าวเยว่เทียน
“เป็นอย่างไรบ้าง” เจิ้งสี่เห็นเส้นสีขาว ๆพุ่งมาหาเขาจึงเอ่ยปากถามออกไปทันที
“รอรายงานซื่อจื่อ” เจิ้งซื่อตอบพลางกระโดดไปหาจ้าวเยว่เทียน
“…”
เมื่อเก็บกวาดซากทั้งหลายเรียบร้อยทั้งสี่จึงเดินทางกลับจวนทันที
ในห้องหนังสือของเขายามนี้มีเพียงสี่คนอยู่ด้านใน ทั้งสี่กำลังมองป้ายสัญลักษณ์ที่อยู่ในตัวของศพทุกคนที่พวกเขาค้นออกมาได้
คงไม่แคล้วเป็นป้ายชื่อพรรคที่พวกนี้สังกัดเป็นแน่
“รูปหมาป่างั้นหรือ” จ้าวเยว่เทียนกล่าวพลางพลิกป้ายไปมา
“ตอนนี้มี่ฮวาและเจิ้งหู่กำลังไปสืบเรื่องนี้อยู่”
เจิ้งซื่อรายงาน สัญลักษณ์หมาป่าแบบนี้เป็นที่นิยมของพรรคเล็กๆยิ่งนัก
มีไม่รู้กี่สำนักที่ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าหมาป่า ช่างไร้รสนิยมเสียจริง!
“ส่วนชายผู้นั้นน่าจะไม่รู้อันใดไปมากกว่ามาชี้ตัวซื่อจื่อให้คนพวกนี้”
เขาเอ่ยถึงชายคนแรกที่เผยท่าทางมีพิรุธออกมาในโรงเตี๊ยมเป็นคนแรก ท่าทางแล้วดีไม่ดีพวกที่ตายอาจจะจ้างเขามาอีกที
“แต่ข้าก็ได้ให้เงาไปเฝ้าที่บ้านของชายผู้นั้นแล้วหากมีใครมาติดต่อหรือเคลื่อนไหวจะได้รู้กัน”
เจิ้งสี่ได้แต่พยักหน้ารับเมื่อได้ฟัง “ข้าพบเงาสอดแนมหนึ่งคนดูท่าแล้วไม่น่าเป็นพวกเดียวกันกับพวกที่ทำร้ายซื่อจื่อขอรับ
มันดูได้เพียงครู่เดียวก็ปลีกตัวออกไป”
ช่วงนี้เขารู้สึกว่าตนเองโดนจับตามองเพิ่มขึ้น
จ้าวเยว่ทียนคิดว่าต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหว เขาที่ถือได้ว่าเป็นฝ่ายขององค์รัชทายาทถึงตกเป็นเป้าให้พวกอื่นโจมตีเช่นนี้
อำนาจและกองกำลังที่เขามีต่อให้ทำตัวไม่ได้เรื่องเพียงใดอีกฝ่ายก็ยังคงต้องหวาดระแวง
เวลานี้เขาคงต้องรอความคืบหน้าจากสองคนที่เหลือก่อนค่อยวางแผนต่อไป
สองคนนั้นที่จ้าวเยว่เทียนพูดถึงขณะนี้กำลังเร่งตามชายชุดดำที่เหลืออยู่จนข้ามเขตนอกเมืองออกมา
ทั้งสามเคลื่อนไหวด้วยความเร็วผ่านป่าทึบไปเรื่อยๆ
“เจ้าแน่ใจนะว่าจะได้ผล”
“แน่สิ ตามสัญชาตญาณแล้วถ้าภารกิจล้มเหลวอย่างไรก็ต้องกลับไปที่ฐานใหญ่”
ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองได้ค้นตัวนักฆ่าที่เหลืออยู่และพบกับป้ายของพรรค
มี่ฮวาจึงใช้สมุนไพรหลอนประสาทควบคุมเขาและเปลี่ยนความทรงจำใหม่ให้ รอจนกระทั่งเขาได้สติฟื้นคืน
ทั้งสองจึงออกเดินทางตามมา
“สัญลักษณ์หมาป่า ข้าเดาว่าต้องชื่อว่าพรรคหมาป่าโลกันตร์
ข้าพนันสามตำลึง” เจิ้งหู่แน่ใจว่าชื่อพรรคต้องออกมาแนวนี้เพราะเขาเห็นแถบสีแดงอมส้มที่ขอบชุด
“สามตำลึงเท่ากัน แต่ข้าว่าชื่อพรรคหมาป่าทมิฬ”
นางมั่นใจเพราะเสื้อที่พวกนี้ใส่เป็นสีดำเสียส่วนมาก
เมื่อเข้ามากลางเขาทั้งสองรู้สึกได้ถึงค่ายกลที่วางอยู่รอบๆพวกเขาจึงพยายามเคลื่อนไหวเลียนแบบมือสังหารด้านหน้าเพื่อหลบหลีกกับดักทั้งหลายจนกระทั่งมาถึงประตูพรรคที่ทำให้ทั้งสองต้องชะงักค้าง
‘พรรคหมาป่าโลกันตร์ทมิฬ’
ป้ายตัวหนังสือสีแดงใหญ่เด่นหรากระแทกตาของทั้งคู่
เห่ยที่สุด!
นี่เป็นสิ่งที่คิดขึ้นมาในใจของทั้งสองพร้อมกัน นี่มันพรรคปลายแถวชัดๆ คนจ้างวานเบี้ยไม่พอใช่หรือไม่
แล้วนี่มันคือการตกแต่งอันใด!
ไร้สง่าราศรีเป็นที่สุด เพราะชื่อพรรคมีคำว่าหมาป่าหรือไรเจ้าพวกนี้ถึงได้ถลกหนังหมาป่ามาประดับเต็มกำแพงเช่นนี้
!!
เมื่อคนที่พวกนางตามมาเข้าไปด้านในทั้งสองจึงรีบเร้นกายตามไปทันที
ด้านในมีบ้านเรือนกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบปลูกสร้างอยู่เหมือนที่ใดว่างก็สร้างขึ้นมา
ทั้งสองตามไปจนเห็นเนินเขาขนาดเล็กที่ด้านบนมีอาคารขนาดย่อมๆสร้างเป็นทรงสูงขึ้นไป
เหนือยอดไม้ เห็นดังนั้นจึงลอบเข้าไปที่ชั้นบนสุดทันที
เป็นดั่งที่คาดด้านบนดูท่าจะเป็นที่อยู่ของหัวหน้าพรรค
เพราะขณะนี้ชายที่ตามมากำลังคุกเข่าอยู่ด้านหน้าชายวัยกลางคนทั้งสามคนที่นั่นอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่
ช่างเป็นพรรคที่คาดเดาได้ง่ายเหลือเกิน
มี่ฮวาและเจิ้งหู่แอบอยู่ที่เสาขนาดใหญ่จากนั้นจึงคอยฟังหุ่นเชิดของนางเล่าไปตามเรื่องที่นางแต่ง
สักพักผู้เฒ่าทั้งสามเริ่มมีสีหน้าดำคล้ำ
“ข้าว่าประเดี๋ยวต้องมีตบโต๊ะ”
มี่ฮวาคาดเดา
“ไม่ ข้าว่าเดี๋ยวต้องซัดฝ่ามือใส่”
เจิ้งหู่มั่นใจ
ปัง! ผู้เฒ่าตรงกลางตบโต๊ะพร้อมซัดฝ่ามือเข้าใส่
ชายผู้นั้นปลิวไปชนเสาฝั่งตรงข้ามพวกนางทันที
เพ้ย !! อะไรมันจะตรงตามแบบแผนตัวร้ายปลายแถวขนาดนี้
“บัดซบ ไหนเจ้านั่นบอกว่าไม่มีทางปล่อยให้ทหารมาช่วยมันได้
เหตุใดเป็นเช่นนี้” ผู้เฒ่าหมายเลขหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
“ลูกน้องฝีมือดีของเราต้องมาเสียไปแบบนี้ใครจะรับผิดชอบ”
เฒ่าหมายเลขสองเอ่ยมาติดๆ
“เอาเถิดๆ เรื่องนี้รอสักพักแล้วค่อยลงมือใหม่ก็ไม่สาย
ไหนๆซื่อจื่อผู้นั้นก็เป็นคนไร้ฝีมืออยู่แล้ว โอกาสคงมีอีกหลายครา” ผู้เฒ่าคนสุดท้ายเอ่ย
“แต่ข้าเกรงว่าคนที่จ้างเราคงจะมีดีแค่ลมปากเป็นแน่
ไหนกล่าวว่าควบคุมกองทหารได้แต่กลับปล่อยให้ทหารเหล่านั้นมาสังหารคนของเราเสีย”
เฒ่าเบอร์หนึ่งวิเคราะห์ต่อ
ขณะที่ทั้งสามกำลังปรึกษากันต่อไปมี่ฮวาและเจิ้งหู่เห็นว่าไม่น่าได้ข้อมูลไปมากกว่านี้แล้วจึงเตรียมตัวจะกลับพลันหันไปสบตากับลูกน้องที่โดนซัดติดเสาเมื่อครู่
“นั่นใครน่ะ!”
“…”
แรงกระแทกเมื่อครู่คงทำให้สติของเขากลับคืนมาแล้ว
ทั้งสองสบตากันแล้วกระโจนออกไปทันที
“ตามพวกนั้นไป!!” เสียงจากผู้เฒ่าไม่ทราบหมายเลขตะโกนตามมา
ความคิดเห็น