ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องครักษ์พิทักษ์หลังคา (สนพ.เฟยฮุ่ย)

    ลำดับตอนที่ #9 : เริ่มจับปลา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.25K
      239
      1 ก.ค. 62

    วันนี้ไรท์เพิ่มใหม่สองตอนนะคะเผื่อมีใครกดข้ามไป

    เริ่มจับปลา

         การแก้ข่าวที่ด้วยวิธีที่ค่อนข้างพิลึกของจ้าวเยว่เทียนกลับกลายเป็นว่าได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยตอนนี้ทุกคนได้กลับมาจดจำเขาในคราบคุณชายเจ้าสำราญอีกครั้ง เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหนูจากตระกูลใหญ่ทั้งสองก็เหมือนเขาเพียงบริหารเสน่ห์ธรรมดา แต่ปัญหากลับตกไปที่แม่นางจากจวนทั้งสอง

         ซุนซูลี่ไม่เท่าไหร่คนทั่วไปยังพอเข้าใจและรับรู้ได้ว่านางเป็นหญิงที่เพียบพร้อมคนหนึ่งของเมืองหลวง แต่กับหยางซินหลินที่ไม่เคยปรากฏโฉมให้ใครเห็นทุกคนต่างพากันสงสัยว่าเหตุใดนางถึงสามารถต้องตาของจ้าวเยว่เทียนได้ ทำให้คนส่วนมากเชื่อว่านางต้องเป็นหญิงที่งามไม่น้อยหน้าคุณหนูซุนซูลี่เป็นแน่หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ตั้งแต่นั้นมาหน้าจวนของแม่ทัพบูรพามักจะมีหนุ่มๆมาคอยชะเง้อมองเผื่อว่าจะได้เห็นนางแม้เพียงเส้นผมก็ยังดี

         หลายวันที่ผ่านมาเจิ้งสี่ในคราบบัณฑิตจางได้พบปะกับบรรดาพ่อค้าหน้าใหม่ที่ร่ำรวยอย่างผิดปกติที่เข้ามาในเมืองเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้ทั้งองค์รัชทายาทและจ้าวเยว่เทียนรับรู้ได้ว่าตอนนี้เรื่องที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้มันเริ่มรุนแรงขึ้นเสียแล้ว

         ภายในห้องลับแห่งหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่เป็นกิจการลับขององค์รัชทายาท ไม่เชิงว่าคือห้องลับแต่มันคือเรือนหลังเล็กที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยมโดยมีสวนสวยที่มีไม้ใหญ่และเถาวัลย์รกครึ้มปกปิดเอาไว้อย่างแนบเนียนซึ่งเถาวัลย์ที่ว่านี้ล้วนเป็นตระกูลที่มีพิษ หากใครทะเล่อทะล่าเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจต้องได้รับผลลับที่ไม่ค่อยน่าดู

         ขณะนี้จ้าวเยว่เทียนกำลังสนทนากับบุรุษผู้สูงศักดิ์อยู่ภายในห้อง มี่ฮวาและเจิ้งหู่ที่ยังไม่โดนเรียกเข้าไปจึงได้แต่แฝงกายรอด้านนอกเรือน แต่ด้วยประสาทการรับรู้ขององครักษ์เงาอย่างพวกเขาต่อให้ออกไปไกลกว่านี้ก็ยังสามารถได้ยินบทสนทนาภายในห้องได้อยู่

         “ดูท่าปลาเล็กปลาน้อยพวกนั้นจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจนกลายเป็นปลาใหญ่อวบอ้วนขึ้นมาเสียแล้ว” จ้าวเหวยเฟิงกล่าวพร้อมกับหมุนถ้วยชาในมือไปมา

         “ปลาที่ตัวใหญ่เป็นที่สังเกตง่ายก็จริง แต่ถ้าหากสายเบ็ดของเราแข็งแรงไม่พอคงยากที่จะตกปลาเหล่านั้นขึ้นมาได้” จ้าวเยว่เทียนตอบพร้อมกับเคาะนิ้วเบาๆเป็นจังหวะบนโต๊ะอย่างใช้ความคิด

         “ท่านพี่พอจะมีวิธีที่จะนำปลาออกจากบ่อของผู้อื่นแล้วหรือไม่ ข้าคิดว่าเบ็ดอาจไม่เพียงพอท่านอาจต้องหว่านแหจับปลาพวกนั้นเสียรวดเดียวเพื่อไม่ให้เจ้าของทันรู้ตัว” ถ้าหากเขาจะจับปลาพวกนั้นเขาต้องได้ทั้งหมดไม่ให้เหลือรอดไปได้

         “ปลาพวกนี้นับวันมันก็เติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เจ้าต้องให้เวลาข้าในการถักทอแหเพื่อจับพวกมันเข้าใจหรือไม่” เจ้าเด็กตรงหน้าเขาคิดจะให้เขาทำงานที่วุ่นวานอีกแล้วสินะ

         “ย่อมได้ หากท่านต้องการสิ่งใดขอเพียงให้บอกข้าพร้อมที่จะมอบให้ท่านเสมอ” จ้าวเหวยเฟิงรู้สึกดีเสมอที่เขามีจ้าวเยว่เทียนเป็นพวกเดียวกับเขา เขานึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าถ้าหากอีกฝ่ายอยู่ตรงข้ามกับเขาตำแหน่งของเขาจะสั่นคลอนขนาดไหน แต่เขาก็รู้ดีว่าพี่ชายเขาคนนี้เบื่อหน่ายตำแหน่งหน้าที่เพียงใด

         จ้าวเยว่เทียนทำงานมากมายแต่ไม่เคยออกหน้ารับเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตำแหน่งอ๋องที่เสด็จพ่อของเขาเคยจะมอบให้ก็ยังไม่รับกลับบอกว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น ขออยู่แบบไร้บรรดาศักดิ์อันหน้าปวดหัวไปก่อน ทั้งเขาและฮ่องเต้จึงไม่คะยั้นคะยอและปล่อยตามใจไปเพราะรู้สาเหตุดีว่าเหตุใดจ้าวเยว่เทียนจึงอยากทำตัวธรรมดาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ไปก่อน

         “แล้วตอนนี้เห็บหมัดที่พื้นพรมของวังเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวเยว่เทียนถามอีกเรื่องที่เขารู้ว่าค่อนข้างกวนใจองค์รัชทายาทมากกว่าเรื่องแรก

         “ท่านไม่ต้องห่วง ข้าแค่คันเพียงนิดไม่เป็นอันใดร้ายแรงมาก ถ้าหากยังเหิมเกริมไม่เลิกข้าจะเป็นคนพลิกพรมขึ้นมาเผาเอง”

         “ใกล้เผาเมื่อไหร่ก็บอกข้า ข้าจะได้เตรียมเชื้อเพลิงไว้ให้ตั้งแต่เนิ่น ๆ”

         “ถึงเวลานั้นก็ต้องขอแรงท่านอีกที... อ้อ! ข้าได้ข่าวมาว่าช่วงนี้ท่านมีข่าวกับคุณหนูในจวนต่าง ๆไม่น้อยเลยนี่” ญาติผู้พี่ของเขาคนนี้เสน่ห์ช่างมีอย่างเหลือล้น นอกจากจะมีข่าวกับคุณหนูสองจวนใหญ่ไปยังมีข่าวกับคุณหนูจากจวนอื่นมาเข้าหูเขาอีกเป็นระยะ

         “ก็แค่พวกตาเฒ่าที่หวังลม ๆแล้ง ๆน่ะสิ” พวกขุนนางแก่ ๆหลายคนช่วงนี้มักมาหาท่านพ่อของเขาที่จวนประจำแถมยังพกตัวปัญหาอย่างเหล่าคุณหนูที่ทำอันใดไม่เป็นนอกจากเขินอายมาด้วย น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก

         “ก็จู่ ๆท่านก็เข้าหาคุณหนูหยางแบบกระทัน ขุนนางคนอื่นย่อมคิดว่าท่านคงง่ายต่อการเข้าหา” ตอนที่เขารู้ข่าวเขายังรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่จ้าวเยว่เทียนแก้ปัญหาแบบนี้ “แล้วท่านไม่กลัวคนของท่านเข้าใจผิดหรอกหรือ” กล่าวพลางมองออกไปด้านนอก

         “...” จ้าวเยว่เทียนไม่ตอบ แต่สีหน้าที่แสดงออกมาก็ทำให้จ้าวเหวยเฟิงพอรู้ได้ว่าสถานการณ์น่าจะไม่ค่อยดี

         “เอาเถิด ข้าคงไม่ขัดท่านถ้าท่านคิดว่าดีแล้ว แต่ทำแบบนี้ข้าว่าจะทำให้คุณหนูหยางตกอยู่ในอันตราย” ความริษยาของสตรีนั้นหน้ากลัวและยากจะหยั่งถึง โดยเฉพาะจากคุณหนูตระกูลซุนที่เขาเห็นนางครั้งแรกก็รู้สึกไม่ชอบทันที ยิ่งจ้าวเยว่เทียนหักหน้านางแบบนี้ไม่มีทางที่นางและตระกูลของนางจะยอมอยู่เฉยเป็นแน่

         “ข้าส่งองครักษ์เงาจำนวนหนึ่งไปดูแลรอบเรือนนางแล้วไม่ต้องห่วง” อีกทั้งนางยังอยู่ในจวนแม่ทัพคงไม่สามารถเข้าไปถึงตัวนางได้ง่าย

     

         ส่วนคนที่อยู่ด้านนอกที่โดนแอบอ้างว่าเป็นคนของจ้าวเยว่เทียนตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กับการแก้พิษให้กับเจิ้งสี่ จนไม่ได้สนใจบทสนทนาภายในห้องเท่าใดนัก

         “พี่เจิ้งสี่ข้าว่าท่านยอมทำแบบพวกข้าเถิด ตอนนี้อยู่ในเขตขององค์รัชทายาท อีกทั้งค่ายกลที่วางเอาไว้คนเข้ามาที่นี่ไม่ได้ง่ายๆหรอก” เจิ้งหู่แหงนหน้าคุยกับเจิ้งสี่ที่ตอนนี้ยืนยันที่จะแฝงตัวอยู่บนกิ่งไม้เพื่อระวังภัยให้กับจ้าวเยว่เทียน

         มี่ฮวาและเจิ้งหู่ได้แต่ถอนหายใจกับความทุ่มเทของเขา ใช่...การทุ่มเทให้เจ้านายถือเป็นเรื่องที่ควรกระทำอย่างยิ่งสำหรับองครักษ์เงา แต่ตอนนี้สิ่งที่เจิ้งสี่ทำมันเรียกได้ว่าเข้าขั้นไร้ประโยชน์!

         “ท่านลงมาเถิด มันเปลืองยาถอนพิษของข้า” มี่ฮวาได้แต่ตะล่อมให้เขายอมลงมานั่งด้านล่างกับพวกนาง ใครใช้ให้เขาไปโหนอยู่กับเถาวัลย์พิษกันเล่า ถึงนางจะมียาต้านและยาถอนพิษให้เขา แต่ถ้าเขาไปสัมผัสมันตลอดเวลาขนาดนี้มันจะมีประโยชน์อันใด

         เจิ้งสี่ได้แต่มองลงมาที่เจ้าเด็กหัวหมอสองคนที่ตอนนี้กำลังนั่งเอกเขนกจิบชากินขนมอย่างสบายอยู่บนพื้นหญ้าเรียบ ๆด้านล่าง “ไม่ได้ ยังไงก็ต้องมีคนคอยระวังอยู่เสมอยิ่งพวกเจ้าไม่ระวังข้ายิ่งต้องระวังตัวมากกว่าเดิม” เพราะคราวที่แล้วเป็นเพราะเขาปล่อยปละละเลยจ้าวเยว่เทียนจึงโดนวางยาไม่ใช่หรือ เจ้าเด็กสองคนนี้ไม่เข้าใจความรู้สึกผิดในใจเขาหรอก

         “พวกเจ้าปล่อยไปเถิดไม่ต้องสนใจหรอก องครักษ์เงามีอีกมากหากหายไปสักคนก็ไม่เป็นอันใด” เสียงเนิบนาบเอ่ยออกมา จากเจิ้งซื่อที่ปล่อยตัวไม่สนใจจะระวังภัยจนถึงขั้นนั่งดีดกู่ฉินอยู่ในร่มไม้ใหญ่ ท่าทางนั้นเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีให้เจิ้งสี่ยิ่งยืนหยัดที่จะอยู่ด้านบนต่อไป

         หึ...เจ้าพวกไม่ได้ความพวกนี้น่าตายยิ่งนัก!

         ขณะที่ทั้งสี่กำลังทุ่มเถียงกันเป็นต้องชะงักไปเพียงนิด เนื่องจากรับรู้ได้ถึงความผิดปกติและสายลมบางเบา ก่อนที่จะทันได้ลงมือทำอันใดต่อไปก็ได้ยินเสียงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “เห็นพวกท่านอยู่ด้วยกันแล้วดูครึกครื้นอยู่เสมอเลยนะขอรับ” ชายผู้หนึ่งท่าทางสุภาพที่จู่ ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบเชียบจนจับสัมผัสเกือบไม่ทัน เขาคือองครักษ์เงาจิ้นเหอ หัวหน้าหน่วยเงาขององค์รัชทายาท

         จิ้นเหอที่เห็นการถกเถียงกันของกลุ่มคนตรงหน้าตั้งแต่ต้นเขาจึงช่วยออกหน้าคลี่คลายสถานการณ์ให้ด้วยรู้ถึงศักดิ์ศรีขององครักษ์เงาเหมือนกันที่คงไม่ยอมลงให้กันโดยง่ายเป็นแน่ “ท่านองครักษ์ลงมาเถิดขอรับ พวกข้ารู้สึกผิดยิ่งนักที่การป้องกันของพวกข้าทำให้ท่านไม่สามารถรู้สึกวางใจได้”

         เมื่อเห็นว่าการกระทำของตนเป็นการเสียมารยาท เจิ้งสี่จึงยอมลงมาจากต้นไม้แต่โดยดีแต่ไม่วายหันไปมองคาดโทษให้กับพวกที่ทำตัวเหมือนมาพักผ่อนมากกว่ามาทำงาน

         หลังจากทุกอย่างกลับมาสงบจิ้นเหอจึงหันมามองเด็กหนุ่มและหญิงสาวที่นั่งอย่างสบายใต้ต้นไม้ “ไม่เจอกันเสียนานพวกเจ้าสองคนโตขึ้นไม่น้อย ยังคงทะเลาะกันเหมือนเดิมหรือไม่” จิ้นเหอหันไปกล่าวทักทายกับเจิ้งหู่และมี่ฮวาอย่างสนิทสนมด้วยตำแหน่งของเขามักต้องติดต่อกับองครักษ์เงาคนอื่นอยู่เสมอ และสองคนนี้เขาก็ได้พบบ่อยกว่าใครอื่น

         ทั้งสองไม่ตอบได้แต่ส่งยิ้มทางสายตาไปให้จิ้นเหอด้วยเพราะผ้าคลุมที่บังใบหน้าอยู่ มี่ฮวาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเพื่อรักษาหน้าตาขององครักษ์เงาในตำแหน่งของจ้าวหวังซื่อจื่อ 

         “ท่านจิ้นเหอมาหาพวกข้ามีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” นางถามเพราะปกติเขาไม่ค่อยเปิดเผยตัวง่ายๆ ด้วยฐานะขององค์รัชทายาทที่อันตรายกว่าตำแหน่งของจ้าวเยว่เทียนหลายเท่าตัวดังนั้นเขาจึงไม่เผยตัวถ้าหากไม่มีเรื่องสำคัญจริง ๆ

         “ข้านำจุดนัดหมายที่พวกเจ้าต้องคอยส่งข่าวมาให้น่ะ” เขายื่นกระดาษแผ่นเล็กๆมาให้ มันคือกระดาษที่บอกตำแหน่งแหล่งข่าวขององค์รัชทายาทและข้อความลับที่ต้องใช้ติดต่อ ข้อความด้านในมีเพียงสัญลักษณ์ที่ต้องสังเกตและข้อความไม่กี่ประโยคทำให้พวกนางจดจำได้ทันที เมื่ออ่านเสร็จเจิ้งซื่อเพียงดีดนิ้วเล็กน้อยกระดาษก็ไหม้กลายเป็นเถ้าลอยไปตามลม

         จิ้นเหอเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยจึงเอ่ยลาทันที “ไว้โอกาสหน้าค่อยพบกันใหม่” เขาโค้งให้น้อย ๆอย่างคนมีมารยาทจากนั้นเขาก็หายตัวไปแบบเงียบ ๆทันทีเหมือนกับขามา

         หลังจากกลับมาจากการประชุมกับองค์รัชทายาท หลายวันที่ผ่านมาจ้าวเยว่เทียนให้เจิ้งสี่ในคราบบัณฑิตจางปล่อยข่าวว่าเขาต้องการของหายากแปลกใหม่ไม่เหมือนใครเพื่อเตรียมถวายให้กับองค์รัชทายาทเนื่องในโอกาสใกล้วันคล้ายวันประสูติของพระองค์ เหล่าบรรดาพ่อค้าทั้งหลายทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าต่างสรรหาและตระเตรียมสิ่งของมาให้เลือกถึงจวนอ๋องเพื่อหวังว่าถ้าหากจ้าวเยว่เทียนซื้อของไปจากตนจะทำให้การค้าของพวกเขาดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขี้น

         จ้าวเยว่เทียนเลือกของอยู่นานหลายวันจนบรรดาพ่อค้าที่ขนสินค้าแทบจะทำพื้นที่หน้าจวนยุบจากรอยลากของรถม้าที่ขนของมาให้เลือกอย่างมากมาย ในที่สุดเขาก็ได้ของมาสิบกว่าชิ้นบรรดาพ่อค้าที่ขายของได้ต่างพากันยิ้มหน้าบานออกจากจวน

         ล่วงเข้ายามซวีถนนหนทางในเมืองบางแห่งเริ่มเงียบสงบตรงกันข้ามกับภายในของหอซูเซียว หอคณิกาชื่อดังของเมืองที่วันนี้มีการแสดงจากคณิกาชั้นสูงที่หอคณิกาแห่งนี้ ทำให้มีการจับจองที่นั่งจนเกิดความแออัดไปหมด คนที่ไม่ได้จองล่วงหน้าย่อมไม่มีที่นั่งทำให้หลายคนต้องผิดหวังกลับไป

         ขณะที่บรรดาเสี่ยวเอ้อร์ในร้านกำลังจัดหาที่ทางให้คนที่มาใหม่พลันเขาก็เห็นจ้าวเยว่เทียนเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มน้อยๆดั่งทุกที เขาจึงรีบวิ่งไปตามมามาของหอซูเซียวมาต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์คนนี้แทน

         มามาร่างอวบรีบวิ่งออกมาจากห้องทันที การที่ท่านชายเจ้าสำราญมาเยือนถึงหอของนางก็ถือว่าโชคดีมากหากนางให้คนปรนนิบัติได้ถูกใจเงินที่จะได้มาคงมิใช่น้อย “คารวะจ้าวหวังซื่อจื่อเจ้าค่ะมิทราบว่าวันนี้มาเพื่อตั้งใจดูใครเป็นพิเศษหรือเปล่าเจ้าคะ” นางรีบจีบปากจีบคอพูดประจบประแจง

         “วันนี้ข้าอยากเพียงมานั่งฟังดนตรีเฉยๆ มามาพาใครที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสมมาเถิด” ได้ยินดังนั้นนางก็รีบนำทางไปที่ด้านข้างของหอคณิกาที่มาทางเชื่อมไปอีกสวนหนึ่งของหอ

         หอคณิกาซูเซียวมีการแบ่งสัดส่วนชัดเจนสำหรับผู้ที่จ่ายมากกว่า เมื่อจ้าวเยว่เทียนอย่างไรก็คือคนที่เข้าข่ายกระเป๋าหนักนางไม่ลังเลที่จะพาเขามาที่เรือนหลังไม่ใหญ่มากที่อยู่ในสวนข้างหอที่มีการปลูกเรือนรับรองหลายหลังกระจายตัวอยู่รอบสวน ทำให้ดูเป็นส่วนตัวเมื่อเทียบกับความแออัดด้านหน้า

         เมื่อพาจ้าวเยว่เทียนและเกาเทียนฉีที่วันนี้ยอมตามมาถึงด้านในห้องรับรองแล้ว มามาของหอก็รีบออกไปด้านนอกเพื่อไปเลือกนางคณิกาที่เห็นว่าเหมาะมาให้เขาทันที

         เมื่อแม่นางทั้งหลายรับรู้ว่าท่านชายจ้าวเยว่เทียนมาเยือนและเขาไม่ได้ระบุเจาะจงว่าต้องเป็นใครทำให้ทุกคนทะเลาะกันจนเหมือนจะเกิดสงครามย่อมๆแทบจะทันที

         เพื่อไม่ให้เกิดความขายหน้ามามาของหอซูเซียวจึงต้อนนางคณิกาที่นางมั่นใจว่าดีที่สุดไปให้จ้าวเยว่เทียนเลือกถึงสามนาง ทั้งสามล้วนแสดงท่าทางเอียงอายเล็กน้อยยามที่ถูกจ้าวเยว่เทียนจ้องมาที่พวกนางอย่างพิจารณาขณะที่มามาก็บรรยายจุดเด่นของทั้งสามไปด้วย

         “แม่นางลี่เลี่ยน ขึ้นชื่อเรื่องการบรรเลงเพลงพิณมากเจ้าค่ะ” มามากล่าวพร้อมกับดันร่างสาวงามที่ทั้งร่างสวมใส่ชุดสีขาวราวกับเทพเซียนให้จ้าวเยว่เทียนชมเป็นคนแรก ทั้งร่างนางประดับด้วยเครื่องประดับที่ดูเรียบหรูเพียงไม่กี่ชิ้นแต่ก็ทำให้งามไม่น้อยหน้าคนที่เหลือ

         เมื่อเห็นจ้าวเยว่เทียนยังไม่มีท่าทางตอบรับอันใดนางจึงรีบผลักอีกคนออกมาแทน “นี่คือแม่นางเหลียนฮวาเจ้าค่ะนางถนัดเรื่องร่ายกาพย์กลอนยิ่งนัก” แม่นางเหลียนฮวายามนี้เปล่งประกายสมชื่อนางอยู่ในชุดสีชมพูกลีบบัว ดูแล้วอ่อนหวานน่าถนุถนอมแต่จ้าวเยว่เทียนก็ยังคงเฉยต่อนาง

         มามาแห่งหอซูเซียวเริ่มแอบปาดเหงื่อในใจ เมื่อเห็นจ้าวเยว่เทียนยังไม่สนใจจึงพาคนสุดออกมานางสวมชุดสีแดงเพลิงพร้อมกับเครื่องประดับสวยงามเต็มร่าง ยามนางขยับกายก่อให้เกิดเสียงกระทบกันของเครื่องประดับ ยังไม่ทันที่นางจะอธิบายจ้าวเยว่เทียนก็เอ่ยขัดขึ้นมาทันที

         “ข้าเอาคนนี้” มามาได้ยินแล้วแทบกระโดดตัวลอย นางเกือบทำตัวเองเสียชื่อแล้วถ้าหากไม่สามารถหาคนที่ถูกใจมาให้เขาได้

         ทันทีที่จ้าวเยว่เทียนตกลงนางจึงนำสองคนที่เหลือออกมา พลางรีบจดจำไว้ในใจว่าจ้าวเยว่เทียนชอบสตรีที่ร้อนแรง ไม่เสียทีที่เป็นมามาแห่งหอซูเซียวมานานนางเตรียมรับมือกับลูกค้ามาหลายแบบนางจึงนำคณิกาทั้งสามที่บุคลิกต่างกันมาให้เลือก

     

         เมื่อคนที่ไม่เกี่ยวออกไปคนงามในชุดสีแดงก็ค่อยๆเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามของจ้าวเยว่เทียนด้วยท่าทียั่วยวน “ให้เหมยซือได้ปรนนิบัติท่านชายนะเจ้าคะ” นางแกล้งบอกชื่อนางให้เขารับรู้ก่อนที่จะเริ่มต้นชงชาให้จ้าวเยว่เทียนทันที ด้วยท่าทางที่งดงงามจนองครักษ์เงาที่แอบอยู่ในห้องทั้งสองเคลิบเคลิ้มตามไปไม่น้อย เจิ้งหู่ที่วันนี้อยู่ในห้องรู้สึกว่าแม่นางในวันนี้ดูไม่โชว์เนื้อหนังเท่าแม่นางในหออื่น แต่ก็ดีที่นางไม่เปิดเผยมากเขาไม่อยากรู้สึกผิดที่แอบดูพวกนางเพราะมุมบนมันเห็นชัดกว่าด้านล่างยิ่งนัก!

         ทันทีที่นางส่งถ้วยชามาให้จ้าวเยว่เทียนก็มีมือหนึ่งยื่นมาขวางทันทีทำให้มือนุ่มนิ่มนั้นโดนมือที่ใหญ่กว่า นางพลันส่งเสียงร้องตกใจน้อยๆออกมา “ขออภัยแม่นางข้าทำตามหน้าที่” เกาเทียนฉีรีบตอบนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยหากแต่ใบหูกลับแดงแปร๊ด เขาต้องตรวจสอบพิษให้ก่อนถึงจะให้จ้าวเยว่เทียนดื่มได้ ถ้าหากวันนี้มีมี่ฮวาหรือว่าเจิ้งซื่อมาอยู่ใกล้ๆเขาคงไม่ต้องระแวงขนาดนี้ เพราะสองคนนั้นแยกแยะพิษจากกลิ่นได้หากมันปนมาในจอกน้ำชาจริงๆ

         “งั้นให้ข้าร่ายรำให้ท่านชายดูนะเจ้าคะ” เมื่อเห็นว่าการชงชาไม่ได้ดึงดูดจ้าวเยว่เทียนมากนางจึงเริ่มงัดศาสตร์อื่นมาเอา ใจเขาทันที

         นางเริ่มจากการปรบมือเบาๆเป็นจังหวะก่อนที่ร่างของนางเริ่มยักย้ายส่ายสะโพกไปมาน้อยๆ เสียงของชายผ้าส่งเสียงพึ่บพั่บตามจังหวะของแขนที่นางวาดไปมาจากตอนแรกที่ค่อยร่ายรำแต่เมื่อนางเห็นจ้าวเยว่เทียนกำลังสนใจนางจึงเร่งจังหวะให้เร่งเร้าและร้อนแรงยิ่งขึ้น เมื่อนางร่ายรำจบก็ได้รับเสียงปรบมือจากจ้าวเยว่เทียนทันที

         “แม่นางร่ายรำได้งดงามยิ่งนัก เป็นการร่ายรำที่แปลกใหม่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน” จ้าวเยว่เทียนเอ่ยชมจนนางเขินอายไปหมด

         “ท่านชายกล่าวเกินไป ซือเอ๋อร์เพียงจดจำมาจากระบำท้องถิ่นจากบ้านเกิดซือเอ๋อร์เท่านั้นเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างถ่อมตัว

         “การร่ายรำที่งดงามเช่นนี้คงมีหลายคนพอใจไม่น้อย” จ้าวเยว่เทียนแกล้งถาม

         นางยิ้มรับ “ซือเอ๋อร์เป็นนางคณิกาย่อมเป็นหน้าที่ของซือเอ๋อร์อยู่แล้วเจ้าค่ะที่จะให้ความสำราญแก่พวกท่าน”

         จ้าวเยว่เทียนพยักหน้าน้อยๆให้กับนาง “การระบำท้องถิ่นของเจ้าคงทำให้ใครหลายคนหายคิดถึงบ้านเกิดสินะ”

         “ใช่เจ้าค่ะ ช่วงนี้มีพ่อค้าจากต่างถิ่นประมาณสามถึงสี่รายมาหาซือเอ๋อร์บ่อยๆ พวกเขาบอกว่าข้าทำให้เขาคลายเหงาไปได้”

         “อ้อ...ช่วงนี้พ่อค้าต่างถิ่นเข้าเมืองมาเยอะหรอกรึ” จ้าวเยว่เทียนแสร้งทำเป็นไม่รู้

         “ใช่เจ้าค่ะ มีบางคนที่ถูกใจข้าพวกเขาถึงขั้นจะไถ่ตัวข้าและพาข้ากลับไปด้วย” นางเล่าไปตามความจริงโดยไม่ปิดบังอันใด “พวกเขาอายุยังน้อยแต่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้รวดเร็วยิ่งนักเจ้าค่ะ”

         “แล้วพวกเขาบอกเจ้าหรือไม่ว่าจะพาเจ้ากลับไปด้วยเมื่อใด”

         “พวกเขาบอกว่าช่วงนี้ยังต้องติดต่อกับขุนนางหลายท่านอยู่น่ะเจ้าค่ะคงต้องหลังจากงานเฉลิมฉลองขององค์รัชทายาท”

         หึ...พ่อค้าพวกนี้ไม่มีการระวังตัวอันใดทั้งสิ้น คงคิดว่าขุนนางเล็กพวกนั้นจะคุ้มครองได้งั้นหรือ

          เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการจ้าวเยว่เทียนจึงเปลี่ยนเรื่องทันที “ไม่รู้ว่าแม่นางพอจะบรรเลงเพลงให้ข้าฟังได้หรือไม่ ระบำเมื่อครู่ถือว่าดีงามยิ่งนัก แต่ว่าวันนี้ข้าอยากฟังเพลงด้วย”

         เมื่อนางได้ยินจึงเดินไปหยิบกู่ฉินที่วางอยู่ตรงมุมห้องแล้วเริ่มบรรเลงทันที จ้าวเยว่เทียนจึงนั่งฟังนิ่งๆพร้อมกับปะติดปะต่อข้อมูลที่ได้มาในวันนี้

        

         บนเรือนยอดไม้ในสวนบริเวณใกล้เคียงกับเรือนที่จ้าวเยว่เทียนอยู่ทั้งสองที่เกาเทียนฉีคิดถึงขณะนี้กำลังแฝงตัวอยู่เนื่องจากยืนยันว่าไม่อยากเข้าไปดูจ้าวเยว่เทียนคลุกวงในกับนางคณิกาด้านในถึงแม้ว่าวันนี้ซื่อจื่อของพวกนางจะยืนยันว่าวันนี้ไม่มีการทำอะไรแบบนั้นแน่นอน แต่พวกนางก็ขอดูแลแบบห่างๆอยู่ตรงนี้

         “ข้าคิดว่าท่านเล่นกู่ฉินได้ไพเราะกว่านางอีกนะเจ้าคะ” มี่ฮวาเอ่ยขึ้นมาขณะแอบอยู่บนต้นไม้แต่ยังได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากนอกเรือนที่จ้าวเยว่เทียนอยู่

         เจิ้งซื่อหันไปมองคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มฟังเสียงเพลงอย่างสบายใจบนกิ่งไม้ข้างๆเขา “ถ้าเจ้าชอบกลับไปข้าจะสอนเจ้าเพิ่มดีหรือไม่” เขากล่าวทีเล่นทีจริงออกมาเพราะเขารู้ว่านางไม่ชอบการเรียนศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีเท่าใดนัก หากไม่ติดว่ามันจำเป็นในการใช้เพื่อปลอมตัวเขามั่นใจว่านางไม่มีทางแตะต้องพวกมันเป็นแน่

         “ข้ามีท่านที่เล่นเก่งอยู่แล้วคอยเล่นให้ฟังเหตุใดข้าต้องเหนื่อยเพิ่ม” นางเอ่ยถามคนตรงหน้าที่สามารถทำได้ดีไปเสียทุกเรื่อง

         เห็นนางปฏิเสธการเล่าเรียนเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ “ข้าเลี้ยงเจ้าไม่ดีใช่หรือไม่ถึงได้โตมาแล้วเกียจคร้านเยี่ยงนี้” เจิ้งซื่อเริ่มคิดว่าเขาอาจตามใจนางจนเกินไป

         ตอนนางเด็กเขาคิดว่าอีกหน่อยนางคงเป็นพยัคฆ์สาวที่ปราดเปรียวแต่เดี๋ยวนี้น่ะหรือนางเริ่มทำตัวเป็นแมวบ้านที่เกียจคร้านแทนเสียแล้ว แต่จะว่านางก็ไม่ได้ในเมื่อคนเลี้ยงนางมาคือเขานิสัยไม่ดีของเขาทุกอย่างนางก็รับไปหมด

        เสียงเพลงที่บรรเลงอยู่จู่ ๆก็สะดุดลงไปเล็กน้อยแล้วเริ่มบรรเลงใหม่ ทั้งสองเริ่มรู้สึกถึงสัญญาณไม่ดีบางอย่าง เมื่อไฟจากเรือนด้านข้างดับลงพร้อมกับกลุ่มคนที่เดินด้วยท่าทางที่เมามายออกไปเจิ้งซื่อจึงชวนมี่ฮวาย้ายที่ทันที “ข้าว่าเราย้ายไปอยู่บนเรือนด้านข้างดีกว่าจะได้เห็นด้านใน เมื่อครู่คนที่อยู่ด้านในเรือนนั้นพึ่งออกมาพอดี”

         ทันทีที่ทั้งสองที่ย้ายที่มาตรงเรือนฝั่งตรงข้าม จนสามารถมองเข้าไปทางหน้าต่างภายในเรือนของจ้าวเยว่เทียนได้ ยังไม่ทันที่มี่ฮวาจะได้ตั้งตัว เจิ้งซื่อก็จับพลิกนางหันมาหาเขาแล้วใช้ชายแขนเสื้อบังนางทันทีขณะที่นางกำลังจะถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียงร้องของจ้าวเยว่เทียนดังออกมาพร้อมกับเสียงดังตุบลงที่พื้น

         เมื่อนั้นมี่ฮวาถึงได้รู้ว่าเจิ้งซื่อหายไปจากข้างกายนางเสียแล้ว เมื่อนางรีบหันกลับไปมองด้านในจึงเห็นจ้าวเยว่เทียนนอนฟุบกับพื้นห้องพร้อมกับกระอักเลือดออกมากองโต!

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×