readMe
ดู Blog ทั้งหมด

เรื่องราวเล็กๆน้อยๆของพี่หมอศิิริราชที่มีโอกาศได้ถามค่ะ:D

เขียนโดย readMe



HELLO :D


 

 


ทักทายอีกครั้งค่ะ



เพื่อนๆทุกคนเป็นไงกันบ้าง สบายดีใช่ไหมคะ บางคนเห็นว่าเปิดเทอมแล้ว แต่โลฟี่เปิด 18 ค่ะก็อีกไม่กี่วันเองเนอะ ใกล้จะเปิดเทอมแล้วทุกคนเตรียมพร้อมรึยัง โลฟี่เต็มที่ว่าว่าจะเตรียมตัวไปหลับกัเล่นเกมส์ 555




ไม่ได้เข้ามาดูสองวัน (คิดว่านะคะ) เห็นบล็อกล่าสุดติดอันดับหนึ่งด้วย ฮู้ววว
ดีใจสุดๆไปเลยค่ะ ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ



เอาล่ะๆเรามาเข้าเรื่องกันจริงๆเลยดีกว่าค่ะ
วันนี้โลฟี่มีเรียนพิเศษ วิชาฟิสิกส์(แอบเห็นบางคนอ้วก 555)
ซึ่งความจริงพี่ที่จะมาสอนคือพี่จากวิศวะจุฬาฯ แต่ปรากฎว่าช่วงนี้เขารับน้องกันค่ะ พี่เขาเลยมาไม่ได้

พี่ที่สอนเลขอีกคนเขาเลยหาตัวแทนมาสอน ก็คือ....


พี่หมอ ศิริราช ปีสี่น่ะเอง


ไม่รู้ว่าที่เืพ่อนคนไหนที่อ่านบล็อกอยู่อยากเป็นหมอบ้างไหม แต่โลฟี่ก็อยากเป็นนะแต่คิดว่คงไม่เกิงขนาดนั้นอ่ะค่ะ หมอเลยนะ แค่คิดจะสอบก็ยากแล้วล่ะ 5555


แต่พี่หมอนี่ดูงานหนักและเหนื่อยมากค่ะ ขนาดเรียนแค่ปีสี่เองนะคุะ ยังไม่ได้เป็นคุณหมอเต็มตัว



ความจริงถ้าไม่ใช่วันอาทิตย์พี่หมอคงมาไม่ได้แน่นอน เพราะต้องอยู่เวรค่ะ
เขาเรียกว่าขึ้นวอร์ด(ใช่ไหมนะ โลฟี่ไม่แน่ใจ น่าจะใช่ ใครรู้ช่วย ไขความกระจ่างด้วยค่ะ)


เมื่อคืนวันศุกร์ค่ะ เป็นวันหยุดนักขัติฤกษ์ใช่ไหมคะ พี่หมอบอกว่าได้นอนแค่ สี่ชั่วโมง


สี่ชั่วโมงค่ะ
(ความจริงโลฟี่ก็นอนประมาณ 4 นะ แต่เอาไปเล่นเกมส์ 55)


พี่หมอบอกว่าวันหยุดคนคงไม่เยอะเท่าไหร่ ตอนแรกก็จริงค่ะ

คือช่วงเช้านี่ชิวๆ

ลืมบอกไปว่าเข้าเวรตั้งแต่ 6 โมงเช้าค่ะ


แต่พอตกดึกเท่านั้นแหละ
พี่หมอบอกว่ามีแต่พวกที่ครอบออกซิเจน ไม่งั้นก็อาการหนักทังนั้นเลยค่ะ

ไม่ได้นอนเลย



มีน้องที่เรียนด้วยกันเขาถามพี่หมอว่า

พี่รู้ว่าอยากเป็นหมอตอนไหน??


ให้เดาทุกคนคงคิดว่า ตั้งแต่เด็ก ตอนม.ต้น ตอนม.ปลาย


แต่เปล่าเลยค่ะ พี่แกตอบอย่ามั่นใจว่า


"พึ่งรู้ว่าอยากเป็นก็ตอนเรียนล่ะน้อง"




ใจจริงตอนแรกพี่เขาอยากเรียนวิศวะค่ะ
พี่เขาติดค่ายเยอะมาก ทั้งเคมีและฟิสิกส์ตอนเรียนอยู๋ ม.ต้น-ม.ปลาย


แต่พอจะเลือกจริงๆพี่เขาตัดสินใจไม่ได้ค่ะว่าจะเรียนวิศวะอะไรดี เลยเลือกเรียนหมอมันซะเลย

แล้วพี่เขาถึงรู้ว่าอยากจะเป็นหมอค่ะ





แล้วก็มีน้องถามอีก ว่า พี่เคยเจอเคสที่กดดันมากที่สุดไหม มันเป็นเคสแบบไหน



พี่เขาบอกว่าถ้าเคสแบบที่เตอแล้วกดดันจริงๆคือ เคสของรุ่นพี่หมออีกทีค่ะ คือเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์


พี่เขาถามเราว่า เคยเห็นคนที่หิวอากาศแบบสุดๆไหม



น้องในห้องตอนเรียนทำหน้างง แ่ต่โลฟี่รู้ค่ะ

คนไข้จะพยายามหายใจเข้าไปถี่ๆ ถี่มาก เหมือนเหนือยอ่ะค่ะ แต่ยิ่งกว่านั้น แล้วตาเขาก็จะแทบถลนออกมา โลฟี่อธิบา่ยได้แค่นี้ อ่ะค่ะ แต่ลองนึกตัวเองเวลากลั้นหายใจนานๆ หรือดำน้ำนานๆ แล้วขึ้นมาหายใจ


โลฟี่ว่ามันทรมานมากเลยนะ แล้วเขาเป็นมากกว่านั้นอีก


พี่หมอของพี่หมอเขาต้องปั๊มหัวใจช่วยค่ะ



แต่สุดท้ายเขาก็หมดลมหายใจ

ช่วยไม่ได้ค่ะ
พี่หมอบอกว่าความจริงคนไข้รายนี้น่าจะมีอาการอะไรอย่างอื่นอีก แต่เขาไม่บอกหมอค่ะ


พอหมอให้ยาไปและมีกำหนดว่าอีกสองวันจะกลับบ้านได้แล้วนะ วันรุ่งขึ้นก็ไปแล้วค่ะ




พี่หมอที่สอนโลฟี่บอกว่า เมื่อวานก่อนหน้าที่คนไข้จะเสีย ยังไปคุยด้วยอยู่เลย
เห็นว่าไปแสดงความดีใจด้วยว่าอีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้แล้ว



อย่างนี้แหละค่ะเขาเรียกว่าเห็นกันอยู่หลัดๆ





โลฟี่ว่ามันก็เป็นความลำบากใจของหมออย่างหนึ่งเหมือนกันนะคะ สมมติว่า คนไข้ไม่สบาย แล้วเราสันนิฐานว่า อาจจะเป็นเอดส์


หมอก็ต้องถามใช่ไหมคะ??

แ่ต่จะถามโต้งๆอย่างว่า
"คนไข้ครับ คุณเคยไปมั่วกับผู้หญิง หรือใช้บริการทางเพศมารึเปล่า"

หรือ

"เวลามีเพศสัมพันธ์ คุณสวมถุงยางรึเปล่า"

หรือ

"คุณเคยใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่นรึเปล่า"



ถ้าถามตรงๆคนไข้จะตอบไหมคะ ถ้าเขาทำแบบนั้นจริงๆอย่างเช่นไปมั่วผู้หญิง เสพยา
เพื่อนๆคิดว่าเขาจะตอบตรงรึเปล่า



ไม่มีทางหรอกค่ะ

พี่หมอบอกว่าตอนวินิจฉันโรคยังไม่เหนื่อยเท่าตอนตะล่อมกล่อม ชักแม่น้ำทั้งห้า ร้อยทะเล สี่มหาสมุทร เพื่อกล่อมให้คนไข้บอกพฤติกรรมของเขาออกมาได้เลยค่ะ ต้องพูดอยู่นานมากๆ



โลฟี่แอบคิดว่า คุณหมออาจจะต้องไปเรียนจิตวิทยาด้วยแน่ๆ
ไม่รู้ว่าต้องรึเปล่า โลฟี่ไม่ได้ถาม




แต่พี่หมอก็พูดอีกนะคะว่า คนไข้บางคนก็น่าสงสารมาก


อย่างเช่นคนเป็นเบาหวานค่ะ
เขาไม่รู้สึกตัวแล้วไข้ก็ขึ้นตลอดเวลา ตัดขาทิ้งไปสองข้าง เหลือแค่น่องด้านบนอยู่ไม่เยอะเท่าไหร่
และไม่ได้การันตีว่าจะหายด้วย เพราะถ้ามันเป็นขึ้นมาอีกก็ต้องตัดอีก
ตัดไปเรื่อยๆ



จรรยาบรรณของหมอคือไม่ว่ายังไงก็ต้องรักษาชีวิตคนไข้ให้ถึงที่สุดใช่ไหมคะ



แ่ต่ถ้าคนธรรมดาอย่างเราๆ
มีชีวิตอยู่อบบนั้นก็คงไมต่างอะไรจากตายทั้งเป็น
ตายไปยังสบายกว่า

พี่หมอก็พูดบอกมาแบบนี้ค่ะ แต่ด้วยฐานะหมอแล้วทำไม่ได้



มีอีกค่ะ และคิดว่าทุกคนก็น่าจะเคยได้ยิน

ไปบริจาคเลือดค่ะ แล้วติดเอดส์


ไปทำบุญแท้ๆ มันเป็นคามซวยของซวยจริงๆ





แต่ที่พี่หมอบอกว่าน่าสงสาารที่สุดคือ
เด็กทารกค่ะ ที่พ่อแม่เป็นเอดส์


ลูกก็ต้องเป็นเอดส์
เป็นไม่พอ พอคลอดออกมาแล้วก็ทิ้งลูกเอาไว้ที่รพ.


ทุกคนก็จะรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นเอดส์ จะไม่มีใครไปยุ่งกับเขาเลยเพราะรู้ว่าเป็นเอดส์ไงคะน่าสงสารมากๆ


ไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ
พ่อแม่่รัเกียจเขายังไม่พอสังคมยังรังเกียจด้วย


สรุปมันความผิดใครกันแน่?
โลฟี่เคยไปทำบุญกับรร.มาค่ะ เป็นบ้านพักของคนเป็นเอดส์


เขาก็อยู่ักันอย่างเงียบๆนะคะ โลฟี่เข้าไปดู บ้านที่อาการของคนเป็นหนักมาด้วย คืออยู่ได้อีกไม่นาน


เขาเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกอ่ะค่่ะ แล้วผิวก็แห้งมาก แตกๆ

โลฟี่ไปกุมมือพวกเขามาด้วย


กำลังกังวลอยู่ว่าเราจะเป็นเอดส์ไหม แต่จำได้ว่าที่มือไม่มีแผลเลย และจำได้ว่าเอดส์ติดต่อกันผ่านเลือดเท่านั้น โลี่ก็มานั่งทบทวนว่าตัวเองเอามือไปจับหน้ามาไหม เพราะตัวเป็นสิวอยู่พอสมควร


แต่ก็จำไม่ได้


สุดท้ายตอนนี้ก็เลิกคิดไปแล้วค่ะ

เอาวะเป็นก็เป็น
จะตายช้าตายเร็วเท่านั้นเอง

5555

แต่พวกเขาน่าสงสารมากค่ะ พูดยังไม่ค่อยชัดเลย บางคนลุกนั่งก็ไม่ได้ บางคนพูดไม่กี่คำก็หมดแรงแล้วค่ะ




อันนี้คือคนไข้ที่เป็นเอดส์




ทีนี้ก็มีีน้องถามต่อ ว่า ถ้าพี่ต้องเลือกเรียนเฉพาะทาง จะเรียนอะไร เรียนผิวหนังดีไหม



พี่หมอตอบว่า

"พี่ไม่ได้ตั้งแง่อะไรหรอกนะ แต่น้องเรียนหมอมาสี่ปี แล้วสุดท้ายจะเลือกไปเอาเข็มจิ้มๆที่หน้าเนี่ย ไม่คิดว่ามันจะเกินไปหน่อยเหรอ??"


ก็จริงๆค่ะ โลฟี่ก็คิดแบบนั้น แต่พี่หมอก็เสริมต่อนะว่า

"แต่หมอที่เก่งๆก็มี คนไข้เป็นเรื้อนทั้งตัว แต่รักษาจนหายได้ ถ้าแบบนี้สิดี แต่เป็นยาก"
พี่หมอว่า
"เขาใช้เส้นกันทั้งนั้น ถ้าไม่ใหญ่จริงๆไม่ได้เป็นหรอก ศิริราชปีนี้ เฉพาะทางผิวหนังแค่ 15 คนเอง"




เออ ก็ว่าไปค่ะ ต่างคนต่างความคิด
เงินมันดีก็จริง
แต่ในความคิดโลฟี่
หมอน่าจะเป็นอะไรมากกว่านั้น


ต่างคนต่างใจค่ะ




แต่พี่หมอชื่นชมหมอที่เป็นศัลยแพทย์ให้ฟังค่ะ

โลฟี่คิดว่าน่าจะเป็นหมอผ่าตัดอ่ะค่ะ หมอผ่าตัดก็จะต้องมีใบอนุญาตอะไรสักอย่างด้วยไม่ใช่ว่านึกจะผ่าก็ผ่ากันง่ายๆ

(โลฟี่ไม่แน่ใจนะคะ ถ้าผิดก็ช่วยแก้ไขให้ด้วยค่ะ ประดับความรู้กันไป)

พี่หมอบอกว่า
"ตอนเช้าก็จะตรวจคนไข้ปกติ พอตกบ่ายหน่อยก็เข้าห้องผ่าตัด บางเคสยากๆก็7-8ชม.ก็มี และใช่ว่าวันๆหนึ่งจะมีแค่เคสเดียว พอผ่าเสร็จอะไรเสณ้จสักพักก็ต้องไปเช็คอาการคนไข้ที่พึ่งผ่าอีกค่ะ พอตกดึกว่าจะได้นอนหรือออกเวร ถ้ามีคนไข้ฉุกเฉินตัวเองก็ต้องตื่นไปทำหน้าที่อีก"


พี่หมอว่าเป็นหมอที่เหนื่อยและทุ่มเทมากจริงๆ




หลักๆก็มีแค่นี้ล่ะค่ะ แต่ก็เยอะนะ โลฟี่ว่าถ้าพี่เขามีโอกาสมาอีกได้ยาวแน่ๆ


ก็เป็นกำลังใจให้หมอทุกคนและว่าที่หมอทุกคนค่ะ
และคนที่อยากะเป็นหมอด้วย


สู้ๆๅๅ
พยายามเข้าค่ะ





คามจริงโลฟี่ มีประสบการณ์ส่วนตัวเล็กๆน้อย ที่ทำให้อยากจะเป็นหมอเหมือนกัน

คือวันนั้นย่าทวดโลฟี่ท่านเข้ารพ.ค่ะ ก็โรคคนแ่กน่ะค่ะ ไม่ได้มีอะไร แต่ไปเยียมนานมาก โลฟี่เลยอกมาเดินเล่นคนเดียว นั่งรอที่พวกที่นั่วรวมด้านนอกน่ะค่ะ แล้วข้างๆกับแผนกที่ย่าทวดของโลฟี่อยู่เป็น
แผนกสูตินารี

ที่คลอดลูกอ่ะค่ะ คิดว่าเรียกถูกนะ


อ่านหนังสือแม่และเด็กจบไปสองเล่ม จู่ๆก็มีพยาบาลค่ะ เข็นรถที่ใส่เด็กทารกตัวแดงๆ ผ่าหน้าโลฟี่แล้วเลี้ยวเข้าไปด้านใน เห็นแวบๆค่ะ พึ่งคลอดแน่นอน ตัวแดงเจ๊เลย
โลฟี่นั่งอยู่ตรงทางเข้าพอดีเลยค่ะ แอบคิดเล่นๆว่า

พยาบาลนี่ก็เก่งนะคะ เข็นรถมาเร็วมากแต่ไม่มีเลี้ยวเฉสักกระติ๊ด นี่ถ้าผิดพลาดทำรถคว่ำแม่กับพ่อเด็กได้เอาตายเลย คือคิดขำๆค่ะ แล้วก็แอบดีใจด้วยที่มีชีิวิตน้อยๆเกิดขึ้นมาอีกหนึ่งชีวิต


สักพักคุณแม่ก็มาค่ะ
ท่าทางจะไม่ไหวแล้วดูเหนื่อยยและเพลียมาก คุณแม่ก็ต้องรอคุณหมอตรวจอีกรอบเหมือนกัน จากนั้นก็ตามด้วยคุณพ่อค่ะ


อันนี้น่ารักดี่ี

ดูตื่นเต้น ดีใจและอยากจะร้องไห้ไปในเวลาเดียวกัน
โลฟี่ก็จ้องตาไม่กระพริบเลยค่ะ อยากรู้ๆ
5555
แต่ไม่ได้ถามนะคะว่าได้น้องผู้ชายหรือผู้หญิง


คุณพ่อเขาเดินวนไปวนมาอยู่พักหนึ่ง
ซึ่งได้ข่าวว่าโลฟี่แย่งนั่งโซฟาตัวเีดียวที่อยู่ตรงนั้น
555 นิสัยไม่ไดี
แต่โลฟี่คิดว่าถึงโลฟี่จะลุก คุณพ่อมือใหม่ก็คงยัง เดินวนไปวนมาอยู่ดี


เลยไม่ลุกค่ะ
สุดท้ายก็มีคุณหมอและพยาบาลเดินมาบอกให้ไปทำเรื่องอะไรสักอย่าง คุณพ่อมือใหม่ก็พยักหน้าเร็วๆแล้วรีบวิ่งออกไป โลฟี่ก็ทำเหมือนอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ (คิดว่าคุณหมอคงมองว่าเด็กนี่มานั่งแถวนี้ทำไม) แล้วก็เดินออกไปอีกที่ค่ะ



อันนี่เป็นคนละอารมณ์เลยค่ะ



เงียบคะ เงียบจริงๆ เงียบมาก
เงียบจนสัมผัสได้โดยไม่ต้องคิดอะไรเลยว่า คนเกือบสิบคนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งรวมนี่มารพ.ทำไม



ทุกคนมองโลฟี่นะว่าเด็กนี่เดินมาทำไม แต่โลฟี่ก็เดินเข้าไปนั่งอยู่ใกล้ๆค่ะ
ด้วยความอยากรู้เรื่องราวอย่างละเอียดอีกเช่นเคย

และแอบสังเกตทุกๆคนไปด้วย
บางคนก็กระซิบกระซาบกันเงียบๆค่ะ แต่มันเป็นความร้อนใจอะไรสักอย่างและดูตกใจตื่นกลัวอยู่พอสมควร


ส่วนคนที่นั่งข้างๆลูฟี่เป็นผู้หญิงกับผู้ชายค่ะ คนผู้ชายที่ดูไม่ออกว่าเป็นแฟนหรือญาตินั่งโอบฝ่ายหญิงเอาไว้ ฝ่ายหญิงถือโทรศัพท์เอาไว้ ตาจ้องมองโทรศัพท์ แต่หน้าจอมันดำมืด โลฟี่ว่าเขามองอะไรที่มากกว่านั้น และที่เหลือก็นั่งเงียบค่ะ คนที่ดูมีสติที่สุดกำลังคุยเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ไม่ไกลแต่โลฟี่จับนำ้เสียงและท่าทางได้ว่าเขาดูร้อนรนมาก



โลฟี่แอบคิดว่าการทำแบบนั้นเป็นการซ่อนความเสียใจอย่างหนึ่ง




แล้วเธอก็มาค่ะ มาพร้อมใครอีกสองคน เห็นได้ชัดว่าพยายามกลั้นน้ำตาอย่างหนัก



เธอมานั่งห่างจากที่โลฟี่นั่งแค่ที่เดียว จะแกล้งหลับก็เกินไปหน่อยโลฟี่ก็เลยนั่งฟังเลย




แค่คิดถึงก็อยากจะร้องไห้แล้วค่ะ

เธอถามว่าพ่อคนเธอนั้นไปเมื่อไหร่ ทุกคนบอกว่าาเข้าไปเจอท่านในห้องนอนล้มอยู่บนพื้น คนที่คิดว่าน่าจะเป็นน้าของผู้หญิง หรืออะไรสักอย่างบอกว่า


ก่อนจะเข้าห้องท่านก็เดินเหินปกติ แล้วยังบอกว่า
"พรุ่งนี้อยากกินแกงส้ม โชดีจริงๆที่มีเธอมาดูแลในบ้าน"


แค่นั้นแหละค่ะ ทั้งคนพูดคนฟังก็ร้องโฮ


แต่ผู้หญิงที่ถามดูน่าสงสารมากที่สุด
เธอพูดพร่ำว่า
ขอโทษ เสียใจที่ไม่ได้อยู่ดูแลท่านในวินาทีสุดท้าย แม้แต่วินาทีสุดท้ายก็ไม่ได้เห็็น เธอพูดแต่ว่า ถ้าไม่ไป ถ้า.. ถ้า... แล้วก็ร้องไห้ไม่หยุด
จนผู้ชายที่มาด้วยกันถึงกับลกุเดินหนีเลยค่ะ


คิดว่าคงทนไม่ได้เหมือนกัน
โลฟี่ก็ชักทนไม่ไหวแล้ว ไม่อยากยุ่งเรื่องของคนอื่นไปมากกว่านี้ เลยค่อยๆลุกค่ะแล้วเดินออกไปอีกทาง



พลางคิดว่า โรงพยาบาลนี่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกอันหลากหลายจริงๆ
โลฟี่หยุดยืนหน้าทางเข้าสูติอยู่พักหนึ่งเห็นคุณพ่อมือใหม่คนเดิมยืนเกาะกระจกอยู่ ท่าทางอยากจะทะลุกระจกเข้าไปใจจะขาด


อดยิ้มออกมาไม่ได้ค่ะ

แต่เหตุการณ์ที่โลฟี่พึ่งหันหลังให้มันมาก็สะเทอนใจซะจนยิ้มออกมาได้แค่ยิ้มเศร้าๆ




ห่างกันไม่กี่เมตร

แต่อารมณ์ความรู้สึกมันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน



แค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่โลฟี่พึ่งรู้ซึ้งถึงความจริงเล็กๆว่า แท้จริงแล้ว ชีวิตมันดราม่าขนาดไหน

และที่ๆเต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลายอย่างนี้ คนที่อยู่ที่นี่เขาอยู่ไปกันได้ยังไง


โลฟี่แอบคิดว่า บางทีหมออาจจะต้องบ้าแน่ๆ

วินาทีก่อนต้องแสดงความเสียใจกับญาติของคนไข้ีอกไม่กี่นาทีต้องไปแสดงความยินดีกับคุณพ่อมือใหม่

เขาปรับอารมณ์กันได้ยังไง
หรือว่าหมอไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวเลย



โลฟี่พูดได้แค่คำเดียวในตอนนั้นและตอนนี้ว่า
หมอนั้น


เหนื่อยและทุ่มเท








อ่านเรื่องนี้มายาวเหมือนกัน โลฟี่ก็เขียนมายาวมากเหมือนกัน
หวังว่าเพื่อนๆที่ได้อ่านบล็อกนี้คงได้รับะไรกลับไปบ้าง ไม่มากก็น้อย


ถึงจะไม่ได้อะไร ก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ

บางคนอาจจะเจออะไรที่ยิ่งกว่าโลฟี่ ก็เอามาแบ่งปันได้นะคะ




ขอบคุณเครดิตจากพี่หมอศิริราช ปี 4
ขอให้แข็งแรงและสู้ๆค่ะ


และขอขอบคุณเื่องราวดีๆที่ทั้งสุขและเศร้าจากบุคคลในเหตุการณ์ทั้งสอง ที่คงจะจำไม่ได้ว่ามีเด็กนี่นั่งอยู่ด้วย แต่เพราะทั้งสองเหตุการณ์ให้อะไรกับโลฟี่เยอะแยะเลย


ขอบคุณค่ะ

และขอเป็นกำลังใจให้หมอทุกคน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และพยายามต่อไป
สู้ๆค่ะ


และพี่ๆที่พึ่งติดหมอและเรียนหมออยู่ ขอให้พยามยามเข้าและตั้งใจเรียนค่ะ



และสุดท้ายสำหรับเพื่อนๆทุกคนที่อยากจะเป็นหมอ
พยายามเข้านะคะ อย่าท้อแท้

โลฟี่คิดว่าไม่จำเป็นต้องยึดติดกับสถาบัน หมอก็รักษคนได้เหมือนกัน หมอไม่ว่ายังไงก็ยังคงเป็นหมอค่ะ


ขอให้ได้คณะตาใจอยากทุกคนด้วย ทั้งเพื่อนๆที่ไม่ได้เรียนวิทย์แต่เรียนสายศิลป์ ทุกอาชีพมีเกียรติและความสำคัญเท่ากันค่ะ









เจอกันใหม่ อีกไม่นานนี้แน่นอน


5555


อาจจะมาแนะนำทริคเรื่องเขียน Mind mapping ค่ะ และก็อัพเดตข่าวคราวการอ่านหนังสือตามตารางของโลฟี่ด้วย



ใครที่ติดตามอยู่ อย่าพึ่งหนีโลฟี่ไปไหนนะคะ อย่าเบื่อไปซะก่อน








KEEP TRYING
<3 <3


LOFI :D


ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
-v- ขอบคุณพี่โลฟี่มากมากนะค่ะ
ได้อะไรเยอะแยะเลย :)
เพิ่มความมุ่งมั่นแหละตั้งใจให้เราได้อีกเยอะเลยค่าา
lalla_greeting
lalla_greeting 16 พ.ค. 54 / 15:01
เป็นอาชีพที่มีเกียรติเเละต้องทุ่มเทมากจริงๆ >_<
o-zone-lovely
o-zone-lovely 16 พ.ค. 54 / 23:33

โลฟี่ พูดถูกมาก หมอที่ไหนก็รักษาคนไข้ได้เหมือนกัน : )

เราเป็นคนหนึ่งที่อยากเป็นหมอ เราจะทำให้ได้ ^^

หนาวหนาวหน่อยนะพอดีพี่คูล
สู้ๆนะคะ ยิ้มหวาน :) เป็นกำลังใจให้ค่ะ


พยายามเข้า <3
pangandaom
pangandaom 17 พ.ค. 54 / 12:35
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ อย่างนี้นะคะ ส่วนตัวก็อยากเรียนหมอเหมือนกันค่ะ สู้เหมือนกันนะคะ
chouchoui3
chouchoui3 18 พ.ค. 54 / 00:13
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ขอบคุณสำหรับบทความดีๆน่าอ่าน พี่จะพยายามตั้งใจเรียนและเรียนให้ได้เป็นหมอที่ดีให้ได้ค่ะ     ถ้าได้เข้ามาบนเส้นทางนี้ มันทำให้เราได้เห็นอะไรที่คนอื่นไม่เห็นเยอะเหมือนกันเนอะ
ความคิดเห็นที่ 7
ถึงบทความจะยาว แต่อ่านแร้วประทับใจ ,,,,,หมอนี่ทุ่มเทสุดๆอ่ะ เหนื่อยมาก ก้อขอเปนกำลังใจให้หมอทุกๆคนเลยยยย
PoyPolly
PoyPolly 29 มี.ค. 55 / 22:03
ขอบคุณนะคะ ^^