My Mind: ดวงตา ณ ดวงใจ(ได้ 1 ใน 6 ของเรื่องที่แหวกแนวโดนใจนิยายเด็กดี)

โดย ริญญดา

++ รีไรท์ ++ เรื่องรักละเมียดละไมของสาวน้อยตาบอดกับพี่เลี้ยงแสนดี ความแปลกใหม่ของเนื้อเรื่อง ความใสของตัวละคร จะทำให้คุณอ่านไป ยิ้มไป ได้กำลังใจไป...

อ่านนิยาย

รีวิวจากนักอ่าน

รีวิว

วิจารณ์จาก MrPoseidonSon

รีวิวถึงลำดับตอนที่ 69

เยี่ยมมาก

อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

ตลอดเวลาเกือบ 5 ปีที่ทุกครั้งเวลาผมเข้าเวปเด็กดี ผมจะรู้สึกถึงหน้าที่ที่ผมต้องทำให้กับนิยายเรื่องนี้ ซึ่งเกือบทุกครั้ง ผมก็จะพยายามมองข้ามแล้วปล่อยมันไป แบบ...ไม่ต้องทำก็ได้นะ ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรก็ตาม มันแปลกที่ guilty ก็ยังเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อผมเข้ามาที่เวป ดังนั้น แม้ว่าเจ้าของนิยายอาจไม่ต้องการคำวิจารณ์อีกแล้ว แต่ผมขอลบความรู้สึก guilty ที่เกิดขึ้นด้วยการทำงานชิ้นนี้ให้เต็มที่นะครับ

เรื่องย่อ
ความใจร้อนของออม ที่ทำให้สูญเสียแม่และดวงตาของตนเองในอุบัติเหตุเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอได้รู้จัก มายด์ ฝ่ายสนับสนุนนิสิตพิการ ที่พ่อเธอจ้างมาเพื่อให้มาสอนและดูแลออมในการดำเนินชีวิตหลังจากนี้ หลังจากที่ ออมได้รู้จักมายด์ เธอได้มีความรู้สึกที่ดีให้กัน แต่ด้วยเพศสภาพที่เหมือนกัน อาจกำลังทำให้ความรักครั้งนี้มีปัญหา...ติดตามเรื่องราวได้ในเรื่องครับ

โครงเรื่อง
ผู้เขียนเริ่มด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่เป็นผลกระทบต่อเส้นเรื่องหลัก วิธีการนี้เป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมใช้ ทำให้มีความตื่นเต้น และลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผู้เขียนกระชับเรื่องราวหลังจากอุบัติเหตุภายใน 3 ตอนแรก ถึงแม้ว่าจะบรรยายความรู้สึกสูญเสียของออมบ้าง แต่กระนั้น 3 ตอนนี้ ยังไม่สามารถทำให้ผมรู้จักตัวละครได้ดีมากเท่าไหร่ (ผมจะไปอธิบายจุดนี้เพิ่มเติมตรงหัวข้อ ตัวละคร นะครับ) หลังจากที่เรื่องดำเนินได้มาสักพัก ผมเริ่มรู้สึกว่าเรื่องราวค่อนข้างเป็นเส้นตรง อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจของเรื่องราวกลับอยู่ที่ความรู้ในการดูแลผู้พิการทางสายตาและความละมุนของการใช้ชีวิตซะมากกว่า ซึ่งองค์ประกอบของสองสิ่งนี้นำไปสู่เป้าหมายของเส้นเรื่องนั่นก็คือ ความรัก ผมรู้สึกว่าผู้เขียนได้แทรกความรู้สึกของออมและมายด์ได้ค่อนข้างละเมียดทีเดียวครับ ไม่ได้ยัดเยียดว่า ฉันรักแล้ว แต่ทำให้ตัวละครรู้สึกเรื่อย ๆ จนมาถึงความขัดแย้งในอารมณ์ ถึงแม้ผู้เขียนจะมีปมขึ้นมาให้เห็น แต่ผมมองว่ามันเป็นแค่สถานการณ์หนึ่งเท่านั้น เพราะจุดนี้ผมคาดหวังจะเห็นความขัดแย้ง อยากเห็นดราม่าที่จะกระชากอารมณ์ เห็นความเจ็บปวดจนตระหนักได้ว่า นี่แหละความรัก ซึ่งอาจจะทำให้นิยายมีโทนสีมากขึ้น เพราะนิยายเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ โทนเรื่องค่อนข้างสะอาดจนผมรู้สึกว่า อะไรบางอย่างมันขาดหายไป
(ผมแนะนำให้ลองใส่ตัวละครผู้ชายอีกตัวในฐานะแฟนมายด์ลงไป จะมีอะไร ๆ สนุกรออยู่มากมาย นอกจากความรู้ที่จะได้จากนิยายเรื่องนี้เลยครับ)

ตัวละคร
ความเชื่อมั่นในตัวเองที่สูงจนเกินไปทำให้ตัวละครที่ชื่อ ออม เกิดอุบัติเหตุ ผู้เขียนดึงบุคลิกของคนในสังคมยุคปัจจุบันมาในนิยายได้ค่อนข้างดีครับ หลาย ๆ ครั้งของอุบัติเหตุเกิดมาจากความประมาท และความประมาทนี่แหละที่มาจากความมั่นใจจนเกินไป หลังจากเหตุการณ์ของอุบัติเหตุผ่านไป ทำให้เธอกลายเป็นผู้พิการทางสายตา จังหวะชีวิตแบบนี้ของเด็กอายุวัยนี้ ถือเป็นแรงกดดันค่อนข้างมากนะครับ และสำหรับผม รู้สึกว่าผู้เขียนยังไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความกดดันมากพอให้กับ ออม ให้เห็นอย่างเด่นชัด เราแค่รับรู้ว่า ออมรู้สึกแย่และทำร้ายตัวเอง แต่ภาพที่ออกมายังไม่ชัดแจ้งดั่งแสงตะวัน
นอกจากคำบรรยายไม่กี่บท นอกจากนี้ ผมยังรู้สึกว่าแค่บทบรรยายในความเชื่อมั่นของออมในตอนแรก อาจจะยังไม่มากพอที่จะทำให้ผมรู้จักออมได้แบบนั้นจริง ๆ ถ้าจะให้ผมเปรียบเทียบระหว่าง “ออม” ก่อนอุบัติเหตุและ “ออม” หลังอุบัติเหตุ ผมมองว่าไม่สมเหตุสมผลในความใจร้อนเลยทีเดียว เพราะหลังจากรู้จักออมหลังอุบัติเหตุ ตัวละครนี้น่ารักเลยทีเดียว น่าจะได้รับความรักและการอมรมมาเป็นอย่างดี แต่พอตัดภาพมาที่อุบัติเหตุต้นเรื่องปุ๊บ ทำไมคนนี้ถึงได้ใจร้อนมากเพียงนี้ พอจะนึกออกใช่ไหมครับ ดังนั้นควรจะมีสตอรี่มาให้เห็นบ้าง อาจจะบรรยายผ่านบทใดบทหนึ่งของนิยายก็ได้ครับ คล้ายภาพ flashback อะไรแบบนี้
และสืบเนื่องมาจากนิสัย ออม ต้นเรื่อง ผมคาดหวังที่จะเห็นอารมณ์ของความรักที่พลุ่งพล่านแบบนั้นในตอนท้าย ๆ เรื่องเหมือนกัน แต่ก็ยังมองไม่เห็น รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้เปลี่ยนตัวตน จากหน้ามือเป็นหลังมือ ในแง่การพัฒนาการของตัวละคร ผมมองว่ามันปุ๊บปั๊บไป ยังไม่ real พอ

มายด์ ถือเป็นตัวละครที่มีสุขุมและรอบคอบพอตัว สามารถสังเกตได้จากวิธีการเลือกรับงาน เธอไม่ได้ใช้ เงิน เป็นตัวตั้ง หากแต่เธอประเมินแล้วว่า สิ่งที่เธอทำไปจะไม่เสียแรงเปล่าและสามารถช่วยใครสักคนให้มีความหวัง ทำให้ตัวละครตัวนี้เป็นแรร์ไอเท็มในสังคมยุคปัจจุบันจริง ๆ ครับ ดังนั้น มายด์คือตัวละครที่ค่อนข้างแบน ไม่ซับซ้อนและค่อนข้างอ่านง่าย แม้บางครั้งจะมีโมเมนต์ของการยับยั้งชั่งใจ แต่ก็ไม่ได้น่าแปลกใจมากนัก

ส่วนตัวละครอื่น ๆ เช่น พ่อของออม หรือแม่ ของออม คาแร็กเตอร์มาไม่หวือหวามากมายครับ เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ จึงไม่แปลกใจที่มีลูกสาวแบบ มายด์และออมได้ ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะชักจูงให้ผู้อ่านคิดว่า พ่อของออมมีความรู้สึกต่อมายด์แบบใด แต่ท้ายสุด ตัวละครนี้ก็ยังราบเรียบเหมือนเดิม

โดยปกติแล้ว นิยายที่มีจำนวนตัวละครน้อยแบบนี้ จะทำให้เราสามารถโฟกัสความซับซ้อนของตัวละครได้ชัดมากขึ้น หรือที่เราเรียกว่า ตัวละครกลม แต่ในเรื่องนี้ ผมอาจต้องพูดว่าตัวละครสำคัญในเรื่องค่อนข้างเป็นระนาบเดียวกันหมด ไม่ค่อยได้เห็นความผันผวนของอารมณ์มากนัก เลยทำให้ตัวละครเหมือนกระดาษที่มีโทนสีเพียง 1-2 โทน

อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้เขียนสนใจนะครับ ผมมีทฤษฎีหนึ่งแนะนำโดยที่ไม่ต้องยุ่งกับนิยายมากนัก ตัวละครที่จะทำให้ ออม มีความซับซ้อนมากขึ้น ก็คือ พี่ดอม ผู้เขียนสามารถเพิ่มบทของผู้ชายคนนี้เข้าไปได้ช่วงแรกของนิยาย แล้วก็นำเขาออกไปจากนิยายได้ในช่วงแรกเช่นกัน อาจจะให้เขากลับมาดูแลออมช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วทำให้เขาคิดว่าออมก่อนหน้านี้กับตอนนี้ต่างกัน ผมว่าสนุกแน่ เพราะจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจตัวตนของออมมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งกับนิยายส่วนหลังเลยครับ ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้น้ำหนักของการหายตัวไป ของดอม ดูมีเหตุผลมากอีกด้วย

การใช้ภาษา
ภาษาในนิยายเรื่องนี้ เป็นภาษาเรียบง่าย มีสำนวนประปรายในแต่ละบท อาจจะไม่ใช่นิยายที่มีคำบรรยายมาสเตอร์พีชเท่าไหร่ แต่ข้อดีก็คือ ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจบทบรรยายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดสำคัญต่าง ๆ ของแต่ละตอนได้ค่อนข้างไว However, according to my opinion…คำฟุ่มเฟื่อยหรือคำซ้ำ มีค่อนข้างถี่ ทำให้ผมลดความสนใจในแต่ละตอนได้ประมาณหนึ่ง และเท่าที่เห็น ผู้เขียนไม่ได้ re-write นิยาย ดังนั้นผมเลยค่อนข้างแน่ใจว่า นิยายเรื่องนี้น่าจะไม่ได้ถูกต่อยอดในการทำเป็นรูปเล่มหรือเพื่อการพาณิชย์แต่งอย่างใด ผมรู้สึกเสียดายเล็กน้อยครับ เพราะมีองค์ความรู้บางอย่างที่ดีในนิยายนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลใกล้ตัวของผู้พิการทางด้านสายตา

แก่นเรื่อง
ผู้เขียนมีข้อคิดดี ๆ ผ่านตัวละครมาเป็นระยะ ทำให้นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายที่ดีเรื่องหนึ่ง นี่ยังไม่นับความรู้ของการดูแลผู้พิการทางด้านสายตานะครับ อย่างไรก็ตาม ผมยังได้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความเข้าใจและการให้กำลังใจ ปมของตัวเอกของเรื่องที่เจอหนักมากครับ แต่เพราะความเข้าใจจากคนรอบข้าง ความรักของคนในครอบครัว ทำให้เธอผู้นี้สามารถผ่านอุปสรรคที่หนักอึ้งไปได้ ซึ่งในสังคมยุคปัจจุบัน มีคนท้อแท้ในชีวิต เราเห็นว่ามีข่าวการฆ่าตัวตาย ข่าวเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นนิยายเรื่องนี้ ถ้าได้ต่อยอด จะเป็นนิยายน้ำดีเรื่องหนึ่ง ที่จะทำให้บุคคลที่ท้อแท้สิ้นหวังตระหนักว่า หากยังไม่สิ้นหวัง ยังมีความหวังรออยู่เบื้องหน้าครับ....

reviewer author
@MrPoseidonSon
23 ส.ค. 61 / 18:49 น.

3

แหวกแนวนิยายรักทั่วไป ที่จะทำให้คุณไม่สิ้นศรัทธาในคำว่า 'รัก'

รีวิวถึงลำดับตอนที่ 67

เยี่ยมมาก

1. โครงเรื่อง : จากเด็กสาวผู้มีพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ และ รูปสมบัติ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยสาว (ยี่สิบต้นๆ) แล้ววันหนึ่งเธอก็ต้องมาสูญเสียดวงตา และบุคคลอันเป็นที่รักไปในเวลาเดียวกัน แต่นั่นไม่ร้ายเท่า ความตายที่คร่าชีวิตแม่ของเธอไปนั้น มันเกิดจากความประมาทของเธอแต่เพียงผู้เดียว แล้วแบบนี้เธอจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปได้อย่างไร ในเมื่อความสมบูรณ์แบบที่เคยมีและความรักความเมตาที่เคยได้รับจากแม่บังเกิดกล้าได้เลือนหายไปพร้อมๆกัน ทว่าในความโชคร้ายที่เธอเชื่อว่าร้ายแรงที่สุดในชีวิตที่เคยพบเจอมา มันก็ยังหลงเหลือความโชคดีอยู่บ้าง นั่นคือเธอมีพ่อที่รัก ห่วงหาอาทร และเป็นกำลังใจให้เธอเสมอมา อีกทั้งยังพร้อมที่จะเติมเต็มบางสิ่งบางอย่างที่เคยขาดหายไปจากชีวิตเธอให้กลับมาสมบูรณ์พร้อมดังเดิม แม้วันนี้ดวงตาของเธอจะยังมืดบอดอยู่ แต่พี่เลี้ยงที่พ่อเธอส่งมาให้ยารักษากายให้เธอสู้ต่อไป และเป็นดังแสงสว่างนำทางใจให้เธอผ่านพ้นความมืดมนไปได้อย่างราบรื่น

การซึมซับคุณงามความดี และยอมรับทัศนคติเชิงบวกของพี่เลี้ยงสาวได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง ยิ่งทำให้เธอรู้สึกพิเศษกับพี่เลี้ยงมากยิ่งขึ้น ความผูกพันที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นความรู้สึกมากมาย ทั้งอยากอยู่ใกล้ อยากพูดคุย อยากพบเจอ อยากทำมากกว่ากอด เธอเข้าใจมาโดยตลอดว่าความรู้สึกเหล่านั้นเรียกว่าอะไร แต่พี่เลี้ยงของเธอกลับไม่ยอมจำนนเช่นเธอนี่สิ แล้วแบบนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กสาวตาบอดอย่าเธอกับพี่เลี้ยงสาวเจ้าแม่หลักการจะลงเอยเช่นไร รักหรือไม่ ช่วยตอบที

2. ตัวละคร: ในที่นี้ขอพูดถึงตัวละครหลักๆสามตัวที่เราคิดว่าพอจะจับอารมณ์ของเขาและเธอเหล่านั้นได้ จะว่าไปแล้ว ตัวละครหลักๆก็มีสามตัวจริงๆนั่นแหล่ะ

                ออม : ขอเรียกเธอคนนี้ว่าเป็นตัวเอกลำดับที่หนึ่งของเรื่อง ผู้สูญเสียดวงตาและแม่ไปพร้อมๆกัน และเธอยังเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆมากมายในชีวิตของตัวเองและคนรอบข้าง ตอนแรกๆบอกได้เลยว่าเธอขี้โวยวาย อ่อนแอ และไร้เหตุผล แต่ตอนหลังๆกลับกลายเป็นคนขี้อ้อน แข็งแรง และออกแนวโหดนิดๆ เรารู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มีอารมณ์แปรปรวนสุดๆ ไม่ค่อยคงที่สักเท่าไหร่ เดี๋ยวร่าเริง เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวโกรธ ทั้งที่เรื่องบางเรื่องไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ แต่เธอก็สามารถนำมาเป็นอารมณ์ในการเกรี้ยวกราดได้ซะงั้น อาจเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นซึ่งนำมาด้วยความสูญเสียจึงส่งผลให้อารมณ์ของเธอแปรปรวน

                มายด์ : ขอเรียกเธอคนนี้ว่าเป็นตัวเอกลำดับที่สองของเรื่อง รับบทเป็นพี่เลี้ยงผู้มีจิตใจเอื้ออารีต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเธอเข้ามาชโลมใจตัวเอกลำดับที่หนึ่งให้ก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางที่มืดบอด ขอบอกเลยว่า อ่านลักษณะนิสัยและการกระทำของผู้หญิงคนนี้ในตอนต้นๆแล้วรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ห้าวๆลุยๆ มั่นใจในตัวเองสูง และใจดีมีเมตตา แต่พออ่านไปอ่านมาในบทท้ายๆกลับกลายเป็นว่าเธอเป็นคนอ่อนโยน ไม่มั่นคง แถมยังอ่อนไหวง่ายอีกต่างหาก

ตอนกลางเรื่องไปจนท้ายเรื่องเรามีความรู้สึกว่าตัวละครเอกทั้งสองมีนิสัยใจคอรวมถึงการกระทำแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ราวกับเป็นคนเดียวกันแน่ะ ต่างกันนิดๆก็ตรงที่ออมออกอาการเอาแต่ใจและเริ่มรุกหนักขึ้นพอสมควร แต่ก็สามารถแยกแยะหรือเอาใจเขามาใส่ใจเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่มายด์ก็แลดูจะพูดน้อยลงไปมาก และออกอากาสับสนจนหลุดมาดนักจิตวิทยาสาววัยใกล้เลขสามบ่อยๆ บอกเลยว่า ตอนที่สองสาวเค้ากุ๊กกิ๊กกัน แทบแยกนิสัยใจคอไม่ออกเลยว่าใครออมใครมายด์ เราว่ามายด์น่าจะนิ่งกว่านี้นะ จะได้สมเป็นผู้ใหญ่ และเป็นเรื่องยากสำหรับออมที่จะพูดหรือแสดงความต้องการของตนลงไป

              คุณพ่อ : สารภาพจากใจจริง นี่ถ้าคุณไม่เขียนเอาไว้ว่า แม่ของออมอายุปาเข้าไปจะห้าสิบปีแล้ว เราคงคิดว่าพ่อของออมคงจะอายุไม่เกินสี่สิบ อ่านๆไปแล้วรู้สึกว่าคุณพ่อคนนี้ยังดูหนุ่มและหล่อมากถึงมากที่สุด จนสามารถนำมาเป็นพระเอกของเรื่องได้เลย เพราะนอกจากท่านจะอบอุ่น ใจดี มีเมตาแล้ว ท่านยังแอบมีมุขเด็ดๆหรือคำพูดแปลกๆมายอกเย้าสองสาวให้ขำเล่นๆอีกต่างหาก ที่สำคัญ ท่านยังมีสายตาระยิบระยับต่อพี่เลี้ยงของลูกสาวซะด้วยสิ สรุปว่าคาแร็กเตอร์คุณพ่อเหมาะสมโดนใจอาจจะไม่ค่อยสมวัยไปบ้างแต่ก็สมควรให้อภัยในความพอเหมาะพอดีกับบทบาทที่ได้รับ และการถ่ายทอดอารมณ์ที่มีความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่แปรปรวน ไม่ขึ้นๆลงๆ ถือว่าเป็นตัวละครที่เขียนออกมาได้ดีและน่าประทับใจมากค่ะ

3. การใช้ภาษา: อ่านจากภาพรวมทั้งหมดแล้ว บอกได้คำเดียวว่าคุณแต่งได้ดีมาก อีกทั้งภาษาที่ใช้ก็ง่ายๆ ไม่มีคำหรือประโยคพิเศษที่ทำให้อ่านแล้วไม่เข้าใจ สำนวนภาษาก็ดี ลำดับเหตุการณ์ได้ต่อเนื่อง ลื่นไหล ไม่วกวน เนื้อหาอาจจะหนักในช่วงแรก แต่ก็ผ่อนคลายในช่วงหลัง โดยรวมแล้วถือว่าเขียนออกมาได้เป็นธรรมชาติดี ไม่เหมือนกับการอ่านนิยาย แต่เหมือนกับการได้เห็นวิถีชีวิตที่เกิดขึ้นจริงในสังคมโดยมีเด็กสาวตาบอดเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวซะมากกว่า เราว่าหายากนะ ที่ใครสักคนจะเขียนตัวละครสักตัวให้มีชีวิต และคุณริญญดาก็คือบุคคลที่หาตัวจับยากในวงการงานเขียนเลยก็ว่าได้ รักษาและพัฒนางานเขียนดีๆต่อไปนะคะ

คำแนะนำเพิ่มเติม

เรื่องนี้แปลกแหวกแนวทั้งด้านความรักและการจรรโลงใจคนตาดีที่ต้องกลายมาเป็นคนตาบอดก็จริง แต่เรามีความรู้สึกว่าช่วงต้นๆเรื่องคุณมีการนำเสนอชีวประวัติของบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางสายตาเข้ามาแทรกมากเกินไปสักนิด จนช่วงแรกเราคิดว่าตัวเองกำลังอ่านสารคดีบุคคลสำคัญหรือบุคคลต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่มีลักษณะพิเศษมากกว่ากำลังนั่งอ่านนิยาย ดังนั้นในช่วงต้นเรื่องจึงไม่ค่อยดึงดูดให้อยากอ่านสักเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่ได้ ไม่ใช่นิยายที่คุณแต่ง แต่เป็นประวัติคนสำคัญที่นักอ่านสามารถหามาอ่านได้ตามอินเทอร์เน็ต แต่ถึงแม้ช่วงต้นเรื่องคุณจะเน้นหนักไปทางบุคคลสำคัญมากกว่าตัวละครก็จริง แต่ข้อมูลที่คุณลงไว้ก็เป็นประโยชน์ และเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับคนตาดีหลายๆคน (โดยเฉพาะเรา) ที่ยังไม่เคยรู้จักอีกโลกแห่งความมืดมิดของคนบกพร่องทางสายตา ทว่าร่างกายและจิตใจของเค้ากลับสว่างสดใสยิ่งกว่าคนตาดีบางคนซะอีก นอกจากนี้การค่อยๆสอดแทรกประวัติคนสำคัญที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง โดยไม่ใส่รายละเอียดลงไปหมดในบทเดียว จะง่ายต่อการทำความเข้าใจ และนักอ่านจะไม่เคร่งเครียดกับเนื้อหามากจนเกินไป ช่วยให้นักอ่านผ่อนคลายอารมณ์หนักๆลง จนเกิดความอยากรู้และอยากติดตามอ่านเนื้อหาของเรื่องต่อไปเรื่อยๆ

พอจบความตึงเครียดและแรงบีบอัดจนแน่นของประวัติบุคคลสำคัญอันเกี่ยวข้อกับเนื้อเรื่องไป ช่วงกลางๆไปจนกระทั่งจบเรื่องก็เต็มไปด้วยความหวานละมุน อบอุ่นหัวใจ เชื่อว่านักอ่านหลายๆคนที่อ่านพ้นบทที่แปดไปได้ คงจะหายหน้านิ่วคิ้วขมวดลงได้ และหันมายิ้มแก้มปริกันทั่วหน้า เพราะสิ่งที่คุณๆทั้งหลายจะได้รับคือความน่ารักกุ๊กกิ๊กระหว่างตัวเอกลำดับที่หนึ่งและสอง 

บทที่3 (ได้เวลาทำใจ) ฉากที่ออมคิดน้อยใจโชคชะตาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เราคิดว่าน่าจะใส่เป็นเสียงเอะอะโวยวายอย่างถึงที่สุดมากกว่าการนั่งคิดไปเองนะ เพราะคนที่กำลังทุกข์ ขาดสติ และคิดว่าตัวเองขาดที่พึ่ง มักจะโวยวายหรือระบายออกมาจนสุดเสียง ไม่ใช่ทำลายข้าวของจนพังไปข้างแต่กลับมานั่งคิดน้อยใจโชคชะตา แบบว่า การกระทำกับอารมณ์แปรปรวนมันกำลังสวนทางกัน

            บทที่45 (จำนนใจ...) สงสัยจังเลยค่ะว่า ตัวเอียงที่คุณใส่ลงไป สื่อความหมายว่าอะไร เป็นความคิดหรือว่าเป็นอะไร ไม่เห็นระบุหรือใส่คำอธิบายไว้เลย จู่ๆคำพูดของอีกคนก็เอียงแต่อีกคนก็ปกติดี อ่านแล้วงงๆ เหมือนบทพูดกับเนื้อเรื่องที่ดำเนินอยู่ ณ ขณะนั้น เป็นคนละฉากกัน

ดูเหมือนว่าบทสุดท้ายซึ่งเป็นบทสรุปของความรักครั้งนี้ คุณริญญดาจะมีการเล่าเรื่องหรือลำดับเหตุการณ์ที่ค่อนข้างโดดไปโดดมาอยู่มากเลยค่ะ อารมณ์ของตัวละครทั้งสองค่อนข้างวกวน นอกจากนี้ความคิดความอ่านของตัวละคร ก็ออกแนวกระจัดกระจาย ไม่เป็นระเบียบ อ่านแล้วรู้สึกว่าอารมณ์กับเนื้อหาขาดความต่อเนื่อง ขาดความสัมพันธ์กัน และออกจะยืดเยื้อไปหน่อย ถ้าเป็นไปได้ก็ตัดความคิดซ้ำๆของตัวละครออกไปบ้างก็ได้ค่ะ

เราคิดว่าความรักของคนทั้งคู่เกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้จะเป็นความรักฉันพี่น้องและค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นชู้สาวก็ตามที เราจึงอยากให้คุณเอ่ยถึงผู้ชายที่เคยเป็นแฟนออมเข้ามาร่วมด้วยอย่างสม่ำเสมอ ดึงความเป็นชายและนิสัยที่แท้จริงของเค้าออกมาเปรียบเทียบกับมายด์ เพื่อให้นักอ่านได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งของเพศตรงข้าม ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ถึงทำให้ออมเปลี่ยนใจไปชอบเพศเดียวกันได้โดยไม่มีเงื่อนไข ภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปี ถ้าทำแบบนี้เราคิดว่ามันน่าจะดูสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น

4. แก่นเรื่อง: โดยรวมของเรื่องนี้ตามที่เราเข้าใจ นักเขียนน่าจะต้องการขอเป็นส่วนหนึ่งในกำลังใจ หรือเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับใครหลายๆคนที่เคยตาดี แล้วจู่ๆต้องกลายเป็นคนตาบอด ให้ลองหันมามองโลกในอีกหลายๆแง่มุม เพื่อดำรงชีวิตต่อไป แม้จะไร้ซึ่งสายตาในการนำทาง แต่ไม่จำเป็นว่าคนคนนั้นต้องทำให้หัวใจตนต้องมืดบอดไปพร้อมๆกับดวงตา นอกจากนี้การที่นักเขียนไม่ใช้พี่เลี้ยงที่เป็นผู้ชายมาดูแลหญิงตาบอด ก็เพราะผู้เขียนน่าจะจงใจและคิดในแง่ความเป็นจริงที่ว่า คนตาบอดเป็นหญิงยังไงซะพ่อแม่ก็ต้องหาพี่เลี้ยงที่เป็นหญิงสิถึงจะถูก ไม่ใช่จับผู้ชายมาดูแลลูกสาว อยู่มาวันหนึ่งตานางเอกหายบอด พระนางได้รักกัน และนิยายก็จบบริบูรณ์ ทว่าเรื่องนี้ต้องการสะท้อนถึงความเป็นจริงในสังคมที่ว่า หญิงตาบอดก็ย่อมมีคนดูแลเป็นหญิงเช่นกัน ซึ่งการดูแลไม่ใช่แค่การจับจูงคนบกพร่องทางสายตาให้เดินไปไหนมาไหนได้โดยไม่ชนข้าวของ แต่เป็นการฝึกทักษะและประสาทสัมผัสส่วนอื่นๆให้สามารถใช้งานได้คล่องแคล้วมากยิ่งขึ้น เพื่อทดแทนประสาทการมองเห็นที่ขาดหายไปต่างหาก นอกเหนือจากนี้สิ่งที่มากกว่าคำว่าพี่เลี้ยงกับเด็กตาบอด นั้นคือความรักที่เกิดขึ้นกับใจคนสองคน ซึ่งมันไม่ใช่ความเพ้อฝันทางความคิด มันไม่ใช่สิ่งผิด หรือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทว่ามันเป็นแรงศรัทธาในรักของหัวใจสองดวงนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นหญิงกับชาย ชายกับชาย หรือ หญิงกับหญิง ทุกคนย่อมมีความรักต่อกันได้ หากทั้งสองฝ่ายเปิดใจยอมรับมัน และคนสองคนที่มีทั้งเพศและหัวใจที่ตรงกันจะยอมรับความรู้สึกของตนและคนที่ตนรักได้หรือไม่ นักอ่านทั้งหลายคงต้องตามลุ้นตามเป็นกำลังใจให้เธอทั้งสองได้ใน ‘My Mind : ดวงตา ณ ดวงใจ

นิยายเรื่องนี้จึงถือเป็นส่วนหนึ่งในการสะท้อนสังคมของโลกมืดและโลกสว่าง รวมไปถึงความรักหลากหลายรสที่ก่อเกิดกับคนหลากหลายเพศได้เป็นอย่างดี อ่านแล้วรู้สึกประทับใจแนวความคิดของนักเขียนมากค่ะ นอกจากคุณจะมีส่วนในการเปิดโลกทัศน์ของนักอ่านที่สมบูรณ์พร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ ให้รู้จักอีกมุมมองหนึ่งของบุคคลผู้มีความบกพร่องทางด้านร่างกายแล้ว นิยายเรื่องนี้ยังเป็นอีกหนึ่งแรงกำลังใจให้ผู้บกพร่องทางกายทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ตา หู ปาก หรือใจบอด ฯลฯ ได้เรียนรู้การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าผ่านทัศนคติอันสวยงามไร้พิษภัยของตัวละครทั้งหมด...

 
reviewer author
@กุมภ์กรณ์,หนามMelon
21 เม.ย. 57 / 11:25 น.

3