[แฟนฟิคบารามอส] To my heart... - [แฟนฟิคบารามอส] To my heart... นิยาย [แฟนฟิคบารามอส] To my heart... : Dek-D.com - Writer

    [แฟนฟิคบารามอส] To my heart...

    โดย SadoZ

    ...หากไม่มีเสี้ยววินาทีนั้น.... นางคงเป็นเพียงเจ้าหญิงแห่งเอเธนส์....

    ผู้เข้าชมรวม

    993

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    993

    ความคิดเห็น


    12

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 ก.พ. 57 / 14:14 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      "ท่าน............ท่าน ท่านนั่นแหล่ะคนเมือง ช่วยบอกแจ้งแก่ข้าได้หรือไม่ ว่าถิ่นนี้คือเขตแดนประเทศใด?"

          ".................."

          "คาโนวาลรึ? เช่นนั้นเส้นทางนี้ก็นำสู่เอดินเบิร์ก นครแห่งปราชญ์สินะ"

          ".................."

          "อา... เอดินเบิร์ก นครแห่งนั้นทำให้ข้านึกถึงความทรงจำเมื่อหนหลัง นั่งเถิดคนเมือง การพักขาเหนื่อยล้าข้างทางเพียงลำพังช่างเปล่าเปลี่ยวนัก นั่งเถิดข้าจะเล่านิทานให้ท่านฟัง.....หึ.... ข้ามิใช่นักกวีฤาคีตธร ข้าเป็นเพียงคนจร....ฟังเถิดคนเมือง เรื่องราวของข้า....

          ข้าเกิดในเอเธนส์....อา.... ใช่แล้ว เอเธนส์อันงดงาม ท่านคงทราบ ประเพณีเก่าแก่ การเลือกรัชทายาทแห่งบัลลังก์ กษัตริย์ที่มาจากคนสามัญ.... เอฟิน่า...."

          ดวงตาใต้ผ้าคลุมสีซีดนั้นมองผ่านคู่สนทนา ผ่านทุ่งหญ้าเวิ้งว้าง ข้ามเขตแดนอาญาจักรและโพ้นทะเลกว้าง สู่อดีตอันแสนไกล....

      [<>]~[<>]~[<>]

          เราเกิดในครอบครัวธรรมดา มีชีวิตธรรมดา ท่ามกลางผู้คนที่แสนธรรมดา ข้าใช้ 'เรา' จึงหมายถึงตัวข้าและน้องสาวร่วมอุธร นางเป็นฝาแฝดของข้า...

          ผู้รู้เคยกล่าวไว้ ว่ามนุษย์มิอาจจดจำสิ่งใดก่อนจะมีอายุครบสามขวบปี กระนั้นข้ายังระลึกได้ถึงวันที่นางจากบ้านสู่มหาราชวัง จากชีวิตแสนเรียบง่ายสู่โลกแห่งความหรูหรา ที่ผู้คนต่างสวมหน้ากากเข้าประชันปัญญา และความรับผิดชอบยิ่งใหญ่หลวง

          บิดามารดาของข้าอาจคิด ว่าหากไม่บอกกล่าวคำใด สุดท้ายจิตใจของข้าจะลืมนาง เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นแม้เป็นสิ่งคุ้นเคย แต่เมื่อพรากจากเนิ่นนานความทรงจำจำลบหายไปกับกาลเวลา หรือไม่ก็หมดความสำคัญต่อดวงใจ

          พวกท่านอาจคิดถูก.... หากไม่มีวันนั้น

          เจ้าหญิงคนงามจะเสด็จออกนอกเอเธนส์ สู่เอดินเบิร์ก.... สู่โลกแห่งความเป็นราชันย์

          ขบวนแห่อวยชัยจัดแต่งหรูหราเลิศเลอ ข้าชะเง้อมองหวังพบเจ้าหญิงแห่งนครา จากหมู่ชนมากมายที่รายล้อม ตาข้ามองเห็น ร่างบางเล็กในอาภรณ์งามหรู นั่งหลังตรงสง่าในรถม้าจากราชวัง ดวงตาดำราวรัตติกาลมิได้มองสอดส่ายสำรวจเส้นทางรอบด้าน หากจับจ้องยังเบื้องหน้าราวไม่มีสิ่งใดจะให้สนพระทัยนอกจากเส้นทางที่จะทรงก้าวเดิน ริมฝีปากบางแฝงรอยความเครียดบนใบหน้างามที่เชิดขึ้นอย่างยโส

          หากชั่วขณะที่รถม้าแล่นผ่านข้า พระพักต์ก็หันกลับมา ข้ามองสบดวงหน้าละม้ายตนและดวงตาสีดุจเดียวกัน เพียงเท่านั้นภาพรอยยิ้มของน้องสาวก็หวนกลับจากความทรงจำ ทั้งเสียงหัวเราะใสกังวานราวกระดิ่งลม ทั้งสัมผัสของเส้นผมดำขลับที่นุ่มราวผืนไหม และสุดท้าย หยาดน้ำตาที่มองให้ข้ายามต้องจากกัน

          หากไม่มีเสี้ยววินาทีนั้น นางคงเป็นเพียงเจ้าหญิงแห่งเอเธนส์....

          โดยไม่รู้สาเหตุ ข้าตัดสินใจสมัครเข้ากองทหาร จะเป็นนักรบที่เก่งกล้า แม้ในความเป็นจริงข้าคงเป็นได้เพียงทหารชั้นเลว แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

          ด้วยหูของคนต่ำชั้น ข่าวคราวของยังเจ้าหญิงแว่วให้ได้ยินจากแดนไกล ข้ารับฟังด้วยหัวใจที่เอิบอิ่มขณะฝึกซ้อมแทบล้มประดาตาย บางที....ข้าคงอยากเป็นกำลังให้นางบ้างกระมัง

          เวลาผ่านพ้นเพียงข้ามปี เอเดนก็พบกลียุค ฝนเลือดสาดลงทั่วแผ่นดินทำลายชีวิตเราสิ้น เมื่อเอเดนอดอยาก มีหรือเอเธนส์จะได้อิ่มท้อง.... พืชผลในนาแห้งเหี่ยว แม่น้ำขอดเหลือเพียงคูดินแตกระแหง

          กษัตริย์ของเราเลือกแก้ปัญหา นักบวชให้บูชายัญชีวิตคน ข้าเห็นคนมากมายร่ำไห้ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าควรทำเช่นไร หากสละเพียงไม่กี่ชีวิต.... ต่อให้เป็นตัวข้า.... แล้วเอเธนส์จะรอดตาย มันก็สมควรแล้ว กษัตริย์อาจไม่ใช่พระเจ้า แต่พระองค์ก็ทรงพยายามหาทางที่ดีที่สุด

          และสุดท้ายทางเลือกก็เหลือเพียงหนึ่ง....สงคราม
          โอกาสของข้ามาถึง สงครามระหว่างเอเดนและเดมอส....เมืองแห่งคนบาป
          
          "ทหารเลวเยี่ยงข้าอาจไม่ทรนงองอาจ ไม่มีปัญญาชาญฉลาดเช่นเหล่าเสนาปราชญ์ใด
          หากเราจะเป็นโล่ห์ที่ปกปักรักษา จะเป็นดาบที่ฟาดฟันเพื่อแผ่นดิน...."

          นายกองของข้ากล่าวเช่นนั้นในคืนก่อนศึก ข้าจดจำคำนั้นไว้มั่น ยึดถือมันดุจคำสัญญา จากนี้....แม้นรกขุมไหนข้าก็ไม่หวั่นเกรง

          หากสงครามนั้นเป็นยิ่งกว่านรก ชีวิตมากมายดับหายราวใบไม้ร่วงยามเหมันตฤดู มีเพียงสิ่งเดียวที่ฉุดข้าขึ้นเหนือซากศพสหายร่วมรบ คือภาพของนาง....

          ร่างบางในอาภรขาวที่ตัดกับเรือนผมดำขลับนั้นคงเหยียดตรงอย่างทรนง ไหล่เล็กๆที่ผายออกอย่างองอาจคงแบกรับภาระผิดชอบมากกว่าผู้ใดจะเข้าใจ
          ข้าอยากเป็นกำลังให้นาง เป็นมือที่คอยเชิดชู เป็นขาที่จะก้าวตาม เป็นเบี้ยที่น้อมกายรับคำสั่งให้เดินตามกระดานหมากแห่งนครา....

          และสงครามก็สิ้นสุด รวดเร็วเฉกเดียวกับเมื่อครั้งเริ่มต้น ฝนทองหลั่งไหลจากผืนฟ้าสู่แผ่นดิน ฟื้นฟูชีวิตที่เคยสิ้น ทุกสิ่งกลับมาอุดมเช่นที่เคยเป็น... และข้าก็ไม่ใช่ทหารชั้นเลวอีกต่อไป....
          
          ทุกชีวิตดำเนินต่อไป ทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง ข้ายังคงเฝ้ามองเจ้าหญิงด้วยความภาคภูมิอย่างผู้มีสายเลือดร่วมกันพึงจะมี เคารพเฉกเดียวกันกับเหล่าชาวประชาใต้ปกครอง และภักดีเช่นที่ทหารผู้หนึ่งจะมีต่อนายเหนือหัว ข้าอาจรักนาง หากมิใช่ในด้วยความรักของประชาชนต่อวงศ์กษัตริย์ แต่เป็นฐานะของพี่ชายผู้พึงจะรักและหวงแหนน้องสาว นางอาจไม่รู้จักข้าในฐานะใดนอกจากข้ารองพระบาทผู้หนึ่ง แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

          ชีวิตของเราล่วงเลยผ่าน ตลอดเวลานั้นแม้ต้องเหนื่อยยากเท่าใด หากนางจะยิ้มเพียงเมื่อหมู่ชนยินดี และทุกข์โศกเมื่อเหล่าประชาหมองหม่น ตัวข้าจะยิ้มเพียงเมื่อเห็นนางยิ้ม และจะทุกข์ยิ่งหากนางต้องร่ำไห้ มันคงจะวนเวียนเช่นนี้ตลอดไป....

          อย่างน้อย ข้าก็หวังเช่นนั้น



          หากชะตาคือสิ่งที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ลิขิตอาจไม่ใช่สิ่งที่ชีวิตคาดหวัง สงครามบังเกิดอีกครั้ง ครานี้ศัตรูที่ต้องรบพุ่งกลับมิใช่ข้าศึกจากแดนไกล หากเป็นประชาราษฎร์แห่งเอเธนส์  พี่น้องร่วมแผ่นดินของพวกเราเอง....

          เราทุกคนย่อมรู้ ว่ามนุษย์คนหนึ่งๆนั้น ย่อมมีความคิดอ่านของตนเอง ด้วยเหตุผลกลความที่แตกต่าง มนุษย์จึงมีรักและเกลียดในสิ่งที่ต่างกัน และบางครั้ง มันก็ทำให้เราอยู่ร่วมกันไม่ได้

          เอเธนส์อาจรุ่งเรืองงดงาม อาจได้รับนามว่านครแห่งนักคิด หากแท้จริงแล้ว เราอาจเป็นเมืองที่หลงอยู่กับความเชื่อโง่งมงายมากที่สุด บัดนี้เหล่าประชาส่วนหนึ่งลุกขึ้นต่อต้านระบบความเชื่อเดิม พวกเขาเป็นญาติพี่น้อง เป็นสหายสนิทหรือคนรักของผู้สละวิญญาณเพื่อการบูชาแลกความอุดมสมบูรณ์เมื่อครั้งกลียุค เดิมทีความเศร้าของพวกเขาคงเป็นเพียงอารมณ์ที่ซ่อนลึกในจิตใจ แต่เมื่อพบว่าแม้จะพรากชีวิตของผู้เป็นที่รักไป แผ่นดินก็มีอาจคืนสู่ความอุดมได้ ชีวิตและอำนาจของไฮคิงนั่นเสียอีกที่แลกความสุขกลับคืนสู่เอเดน เมื่อคิดเช่นนั้น อารมณ์โศกที่เคยมีจึงเปลี่ยนเป็นความแค้น แค้นความเชื่อ แค้นคำทำนายที่พรากคนรักให้จากไป และสุดท้าย แค้นวงศ์กษัตริย์ ที่มิเคยยอมบิดพริ้วจากคำทำนายนั้น

          สมรภูมิเล็กๆเริ่มปรากฏตามหมู่บ้านห่างไกล พร้อมกับเงาร่างของสงครามที่ก่อตัวอย่างเงียบๆในนครหลวง บางครั้งถึงกับมีผู้บังอาจเอ่ยวาจากร้าวกลางหมู่ประชุมชน มีมือที่ส่งให้หินบินใส่ขบวนเสด็จยามประพาสนอกรั้ววัง

          ....เราไม่อาจยิ้มได้อีกต่อไป....
          



          และเวลาแห่งการลาจาก ก็มาถึง....

          ข้าได้รับคำสั่ง หน้าที่ปราบรามกบฎเล็กน้อยตามหมู่บ้านห่างไกล แม้จะเป็นกองกำลังไม่มาก แต่หากปล่อยให้รวมตัวกันก็อาจเป็นอันตรายต่อนครา ข้ารับภาระนี้ด้วยความเต็มใจ จะมีสิ่งใดให้ข้าทำได้อีกเล่า?

          วันสุดท้ายในรั้วราชวัง ข้าเหลียวมองยอดหอคอยที่พำนักเจ้าหญิงเช่นเคยทำตลอดหลายปีที่พ้นผ่าน ก่อนชักม้าออกห่างเพื่อเดินตามเส้นทางตนเอง
          
      "ขอให้ท่านจงปลอดภัย...."

          เสียงหวานราวนางสวรรค์ลอยลมสู่สัมผัส ชั่ววินาทีนั้นข้าเหลียวมองเบื้องหลัง และพบร่างแบบบางในชุดขาวยืนอยู่ไม่ไกล
          พร้อมรอยยิ้มที่ไม่เคยมอบให้ใครแต่เพียงผู้เดียว
          โดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่านานเท่าใด ข้าจึงรู้ ว่าตนเองกำลังยิ้ม.....
          ทหารใต้บัญชาคงสังเกต เขาเอ่ยบอกด้วยท่าทีย่ำเกรง.... ข้ายิ้มเช่นนั้นอยู่นานจนเคลื่อนทัพพ้นเขตนครา

          นั่นคงเป็นรอยยิ้มสุดท้ายของเรา....




          หลายเดือนพ้นผ่านกับการสู้รบที่ไม่อาจหาจุดสุดสิ้น ขณะข่าวคราวจากราชธานีก็นำพาแต่ความหนักใจ เราอาจชนะได้สักหลายครั้ง ปราบกบฎต่อต้านสักหลายหน หากยังมีผู้คนลุกขึ้นต่อต้านไม่มีหมด บ่อยครั้งที่ข้าทำได้เพียงมองผ่านเส้นทางสู่นครหลวง ทั้งที่หัวใจร่ำร้องบอกให้กลับไปเคียงข้าง ปกป้องดูแลนาง....

          ทว่า.....ข้ามิเคยทำเช่นนั้น แม้สักครั้ง
          ตัวข้าในยามนั้นเพียงคิด หากตนย้อนกลับไป แล้วจะทำสิ่งใดได้ ตัวข้าที่ไม่มีความรู้ความสามารถใดเหนือหมู่ทหาร กลับไปจะช่วยประโยชน์ใดแก่นางได้ รังแต่จะทำให้ตนไม่สบายใจ รู้สึกต่ำต้อยในความไร้สามารถเสียเปล่าๆ หากข้าอยู่ที่นี่ ห่างไกลถึงเพียงนี้ แต่ได้สร้างประโยชน์ต่อนางแล้ว ข้าก็ยอม

          แต่หากข้าในยามนั้น สามารถรู้ความเท่าปัจจุบันแล้วล่ะก็ คงเลือกจะยืนไร้ประโยชน์เคียงชิดนางแทน อย่างแน่นอน



          ข่าวสุดท้ายจากนครา นำมาโดยพลม้าที่ชีวิตใกล้ดับสิ้น
          เกิดกบฎในราชธานี องค์กษัตริย์สิ้นพระชนม์ !!!!

          สติของข้าคงขาดสะบั้นลงในพลันนั้น ข้าชักม้ามุ่งตามเส้นทางที่ได้เพียงมองมาตลอดหลายเดือนในทันที หูข้ายินเสียงร้องห้ามของสหาย หากมันก็เลยผ่านไปราวกับไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น

          ระยะทางยาวไกลที่อาจต้องใช้เวลาถึงสองวัน ข้าใช้เพียงหนึ่งคืน ม้าศึกล้มขาดใจเพียงเขตราชธานี ข้าชักดาบวิ่งเข้าหาความวุ่นวายในรั้วบ้านเกิด หากศึกเดมอสคือนรก ศึกยามนี้คงยิ่งกว่าโลกันต์ ข้าเห็นผู้คนมากมายที่คุ้นหน้าต่างจับอาวุธเข้าฟาดฟัน กองทหารที่เคยร่วมทุกข์ บัดนี้อาจกลายเป็นศัตรู ข้ามุ่งผ่านความวุ่นวายสับสน เพียงแสงสว่างเดียวที่ยึดเหนี่ยวไว้มิให้ถูกกลืนกิน คือรอยยิ้มนั้น....

          ข้าผ่านพ้นเขตราชวังเมื่อนภาสาง ดวงตะวันค่อยเคลื่อนเหนือขอบฟ้า สาดแสงจ้าสู่สายตาที่มืดมน ส่องไล้ราชวังงดงามที่ผ่านพ้นกาลเวลาผ่านหลายรัชสมัย ณ ที่นั่นข้าได้พบนาง....

          ร่างแบบบางในอาภรขาว ถูกตอกตรึงด้วยหมุดเหล็กดำวาวราวกีบเท้าแห่งอาชายมฑูต เรือนผมยาวสยายแผ่ไล่บนผนังหินดั่งเถาไม้หาที่ยึดเกาะพึงพิง
          และดวงตาคู่นั้น ที่มิอาจแลเห็นข้าได้อีกต่อไป

          ข้าอาจยืนหรืออาจทรุดนั่ง ข้าไม่อาจรู้ได้ สิ่งเดียวที่ตรึงติดในความทรงจำดุจช่างเหล็กใช้หมุดใหญ่ตอกติดไว้ในใจข้า คือรอยยิ้มอ่อนหวานที่มอบแก่ข้าเพียงผู้เดียว

          เสียงแห่งความวุ่ยวายรอบกายยังไม่สงบ ภาพสงครามที่บังเกิดยังไม่จบสิ้น แต่ข้าปิดตา ปิดหูตน หากในโลกนี้ไม่เห็นนาง ข้าก็ไม่ต้องการเห็นสิ่งใด โลกที่ไม่มีเสียงของเอฟิน่า ข้าก็ไม่อยากได้ยินอะไรอีก ในโลกนี้ที่ขาดนางไป ชีวิตข้าจะมีความหมายอะไร....

      [<>]~[<>]~[<>]


          คำของคนจรขาดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อช้าๆ แต่ละคำคงเอื้อนเอ่ยได้ยากเต็มทน

          "จากวันนั้น เอเธนส์ก็ล่มสลาย คาโนวาลและแอเรียสเข้าครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ ที่เหลือถูกกลืนไปโดยเวนอล ทริสทอร์ อเมซอน หรือแม้แต่กิลดิเรกที่รายล้อมรอบข้าง แคว้นแห่งความโง่งมพบจุดจบด้วยตัวมันเอง....ด้วยประชาชนที่รักยิ่งของตนเอง...."

          แม้มิอาจมองเห็น หากดวงหน้าใต้ผ้าคลุมนั้นคงเศร้าหมอง มีดวงใจนักรบใดบ้างจะแช่มชื่นเมื่อต้องกล่าวถึงความสิ้นสูญแห่งแคว้นตน

          "...................."

          "อา.... ข้าแน่ใจ ท่านคงสงสัย หากข้าคือผู้ภักดีต่อราชวงศ์ ไฉนจึงหลีกลี้หนีหน้า มีได้พลีกายส่งวิญญาติดตามนายเหนือหัวสู่ปรโลก...."

          "...................."

          "....ท่านช่างแสนจินตนาการ แต่อย่าเลยคนเมือง เก็บความคิดของท่านไว้ให้สิ่งรื่นรมกว่านั้นเถิด อา.... ตะวันใกล้ลับแล้วสินะ ขาข้าเริ่มจะหายล้า เราคงต้องลากันเสียที คนจรผู้นี้ต้องขอเดินทางต่อ ส่วนท่านคนเมือง.... ข้าขอขอบใจที่ยอมนั่งฟังนิทานของคนจรไม่รู้เหนือใต้...."

          "...................."

          "มนุษย์เช่นท่านช่างมากความกระหาย คนจนกระหายเงินตรา คนขาดกระหายความกล้า คนกล้ากระหายอำนาจ จอมปราชญ์เฉกท่านกระหายวิชา.... เอาเถิดเมื่อท่านร้องขอ ข้าก็จะตอบให้ หากค่าตอบแทนคงมิได้เป็นเพียงคำขอบคุณ สัญญากับข้า คนเมือง หากท่านได้ในสิ่งที่กระหายแล้ว จงเดินกลับไปตามทางที่ท่านผ่าน ด้วยวิถีเท้าและดวงใจของตน อย่าได้หันกลับมาฤาตามรอยข้าไป...."

          "....................."

          แม้มิอาจมองเห็นหากรู้สึกได้ว่าใบหน้านั้นกำลังยิ้ม ก่อนมือกร้านจะยกขึ้นช้าๆ เบิกผืนผ้าที่ปกคลุมศีรษะออก....


      [<>]~[<>]~[<>]


          ร่างไร้วิญญาณทอดยาวบนพื้นดิน แผ่นดินที่เจ้าของกายพร้อมจะพลีทุกสิ่งเพื่อความสงบ บัดนี้แดงฉานด้วยความสับสนในใจคน ดวงตาสีรัตติกาลสองคู่มองสบ หากแตกต่างที่ดวงหนึ่งขุ่นมัวราวมืดบอด แต่อีกดวงยังแววประกายแห่งชีวิต

          "เอฟิ....น่า...."

          คำเรียกแผ่วเบาจนมิอาจเล็ดรอดลมหายใจคงไม่สามารถเข้าถึงโสตรับฟังของผู้ใดได้ หากในดวงจิตที่ปวดร้าวกลับก้องด้วยเสียงตะโกนลั่นจนกายสั่นไหว หยาดน้ำใสไหลเอ่อจนล้นดวงตา และหยาดแรกก็ร่วงลงช้าๆบนผิวหน้าเนียน มือกร้านค่อยเอื้อมอย่างเชื่องช้าหวังจะปาดรอยน้ำตาออกให้ หากต้องชะงักด้วยเห็นรอยเลือดแดงฉานที่อาบมือ....

          มิใช่เพียงแค่นั้น.... หากบัดนี้ทั้งร่างของเขาถูกแต่งแต้มจนเต็มด้วยสีแห่งชีวิต มิเพียงภายนอก หากโลหิตสีเข้มกำลังทะลักไหลออกจากบาดแผลจากคมอาวุธของสหายร่วมสาบาน

          เขาเคยร้องขอ....

          เพียงนางได้อยู่สูงเหนือผู้ใด
          เพียงนางคงแย้มยิ้มได้
          เพียงให้นางเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุดในดินแดนแห่งนี้....
          เขายอมแลก.... ทั้งชีวี และวิญญา
          เพราะนางเป็นยิ่งกว่าชีวิตของเขา
          แม้ไม่อาจแตะต้องได้ก็ตาม....


          หรือเป็นเขาที่ผิด....

          ผิดที่ยังจดจำ
          ผิดที่คิดเอื้อมคว้าสิ่งที่สูงกว่า
          ผิดที่รักษาสัญญาที่ให้กับตนเพียงผู้เดียว

          มือแดงฉานค่อยวางลงบนใบหน้าที่งดงามราวเทพธิดา ไม่ใยว่าหยาดแดงคล้ำและเขม่าควันจะเปราะเปื้อนสิ่งสีขาวที่สำคัญยิ่ง ริมฝีปากแห้งจุมพิตที่หน้าผากขาวเนียนอย่างช้าๆ ก่อนเศษเสี้ยวสุดท้ายของวิญญาณหลุดลอย....

      [<>]~[<>]~[<>]
          
          ตะวันลับฟ้า จันทราขึ้นแทนที่ คนเมืองจากไปแล้ว แต่คนจรยังอยู่กับที่ ผืนผ้าสีหม่นที่คลุมกายไหวพะเยิบตามแรงลม ก่อนจะถูกปล่อยให้ปลิวหายไปในราตรี ร่างสูงในอาภรดำของนักรบเหยียดกายตรง เขาหันหลังให้เส้นทางที่คนเมืองเดินย้อนผ่าน เบื้องหน้าคือหนทางยาวไกลสุดหล้าที่มิอาจรู้ได้ว่าจะจบลงที่ใด

          หากสีสรรพเฉดหนึ่งได้กระทบสายตา ราวประกายดาวกระพริบเป็นแสงขาวในความมืดมิด ขาของเขาเริ่มก้าวเดินโดยไม่ต้องสั่ง กระทั่งเข้าใกล้จนเห็นร่างแบบบางนั้นได้ถนัด มันจึงเปลี่ยนเป็นวิ่ง

          ....และ "เรา" ก็ได้ยิ้มร่วมกัน....
          







      .................................................................................................

      เอิ้กกกกกกกกก จบจนได้
      ไม่ค่อยได้แต่งอะไรหวานๆ (นี่หวานของแกเรอะ....)
      ลำบากเหมือนกันแหะ
      อันว่าฟิคเรื่องนี้ได้ไอเดียมาจากเกมส์ (Drakenguard...หรือ Dragon Dragoon)
      เป็นครั้งแรกที่เล่นอยู่ดีๆวางจอยมาแต่งฟิค.....

      โดยส่วนตัวแล้วเป็นมนุษย์(?...หมี ไม่ใช่เรอะ) ที่ชอบพล็อตแบบธรรมดาสามัญมากมาย อย่างพวกเจ้าชายบุกไปช่วยเจ้าหญิงที่ถูกจับขังไว้...อะไรทำนองนี้
      แต่มันจะเพิ่มความได้ใจถ้าคนที่ไปช่วยเป็นองรักษ์ หรือใครก็ได้ที่มันยศด้อยกว่าแต่ให้ความสำคัญกับเจ้าหญิงมากมาย (แกเป็นลัทธินิยมทาสสินะ ="=)
      และจะได้ใจสุดๆ ถ้าคนไปช่วยมันเป็นพี่ชาย.....

      กับอีกอย่าง.... คือประเภทที่สาบานจะเป็นทาสกันตลอดชีวิต หรือพวก wind beneat my wing (ขอยืมชื่อเพลงมาใช้ หึหึ)
      คนชนิดที่ยอมอุทิศตัวเองเพื่อนคนอื่นนี่จะนิยมอย่างรุนแรง...

      จึงได้เกิด "พี่ชาย" คนนี้ขึ้นมา
      ตามเนื้อเรื่อง(ของพี่แรบบิท) เอเธนส์เป็นเมืองที่เลือกรัชทายาทโดยการสุ่ม (เฮ้ย!) เลยแอบคิดว่า... การเอาเด็กมาเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายซะแบบนี้ ครอบครัวมันจะยอมรึ??? พ่อแม่มันไม่ห่วงหาเลยรึไง หรือถือว่าเสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง (และคงได้สวัสดิการเลี้ยงชีพไปตลอดชาติ...)
      แต่ที่แน่ๆ ไม่คิดว่าเขาจะบอกเด็กหรอกว่าเอ็งมาจากบ้านไหน ไม่งั้นเกิดเหตุพ่อแม่เลวมาอ้างสิทธิควบคุมคิงควีนก็แย่ดิ...
      เลยคิดว่าให้มันตัดขาดกันไปเลยก็แล้วกัน...
      แต่อีตา"พี่ชาย" มันไม่ตัดกะเขาด้วย...
      ประกอบกับเอฟิน่าเป็นตัวละครที่หยิ่งสะใจดี... เลยคิดว่าคนแบบนี้น่าจะมีอีกด้านที่"อ่อน"อยู่ด้วย
      ลองคิดว่าตัวเองเป็นลูกใครก็ไม่รู้ แต่ถูกเลี้ยงมาเป็นเจ้าหญิง เชื้อสายอะไรก็ไม่ใช่ แต่เขาว่า"เทพ" มาจุติในตัวเองก็จะได้ครองเมือง
      แม้อาจจะเหลิง เย่อหยิ่ง บ้าอำนาจ...
      แต่ยังไงก็คงรู้สึกว่างเปล่า.... เหมือนยืนหันหลังให้ปากเหวนั่นแล ถอยไม่ได้เพราะไม่มีใครรออยู่เบื้องหลัง ไม่มีใครคอยปลอบโยน
      คงเหงาพิลึก....

      ในฟิคเป็นการเล่าเรื่องในมุมมองของ"พี่ชาย" ล้วนๆ ไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่ด้วย (สกิลการแต่งต่ำเตี้ยเรี่ยดิน TT TT)
      จึงไม่กระจ่างว่าเอฟิน่ารู้รึเปล่าว่าพี่ชายตัวเองมองดูอยู่เสมอ...
      คิดเล่นๆว่าอาจจะแอบชอบโดยไม่รู้ว่าเป็นพี่ชายก็ได้ (เน่าไป..... เน่าไปแล้ว)
      ตัวคนเขียนเองก็คิดว่าคงไม่รู้หรอก แค่รู้สึกผูกพันกับมนุษย์คนนี้ โดยไม่ทราบสาเหตุ
      กว่าจะรู้ก็คงเป็นตอนที่ตายไปแล้วทั้งคู่

      ธีมหลักของคู่(?)นี้คือความรักแบบคนในครอบครัว ที่ไม่จำเป็นต้องพร่ำบอกกันมากมายว่า"รักนะ" แต่การกระทำทุกอย่างจะสื่อว่า"รัก"
      ประมาณว่าเขารู้กันโดยไม่ต้องพูด...

      ตอนจบก่อนหน้านี้มีมากมาย แต่เลือกมาใช้อันเดียว คือตายมันทั้งคู่
      ชื่อของ"พี่ชาย" คือ อารอน
      พ่อแม่รึ?????? ช่างมันเถอะ.......

      SadoZ
      [AsaThor]

      ปล. เม้นท์ ติ ชม วิจารณ์กันได้เต็มที่... ขอขอบคุณล่วงหน้าคร้าบบบบบบ

      ปล.2 เข้าใจว่าบ่นมายาวเกือบเท่าเรื่อง ="=...

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×