ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พนักงานเลี้ยงเด็ก(โข่ง)

    ลำดับตอนที่ #4 : บรรยากาศที่คิดถึง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.72K
      185
      18 พ.ย. 64

    -3-

    บรรยากาศที่คิดถึง

    มีคำแสลง (แสลงในที่นี้หมายถึงคำที่ไม่ถูกบัญญัติในพจนานุกรม)

     

    ในรุ่งขึ้นของวันอาทิตย์อคิราห์ก็ลุกขึ้นตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า เพื่อจัดเตรียมข้าวของทุกอย่างที่ต้องใช้เก็บลงกระเป๋าอย่างเป็นระเบียบ  เมื่อครบถ้วนทุกอย่างแล้วก็กวาดสายตามองไปยังเสื้อผ้า ครีมอาบน้ำ แปรงสีฟัน แป้งเบบี้มายด์ยี่ห้อโปรด และสิ้นสุดที่ชั้นในสีหวานสกรีนลายการ์ตูน

    “คงไม่ลืมอะไรแล้วนะ” เขากวาดตาดูอีกครั้งก่อนจะปิดกระเป๋าลงเมื่อมั่นใจว่าตนไม่ได้ลืมสิ่งใดอีก ทว่ายังไม่ทันได้เดินแยกตัวไปอาบน้ำ สายตาก็เหลือบไปเห็นสายชาร์จแบตเส้นยาวห้อยระย้าไปกับเตียงนอน “เกือบลืมแล้วไหมล่ะ”

    “ขี้ลืมจริง ๆ เลยนะเราเนี่ย” ว่าแล้วก็เดินไปหยิบของชิ้นสำคัญมายัดใส่ลงในกระเป๋า ก่อนจะหันหลังเข้าห้องน้ำพร้อมกับฮึมฮัมเสียงเพลงที่ตัวเองเข้าใจอยู่คนเดียว “เฮียร์ ไทยแลนด์ หลอกแดกงบขั้นเทพ ตูด ตูด ตู๊ด ....บอกทำเพื่อประเทศเราแล้วมันก็ แดก แดก แดก ฮู้ ฮู”

    Cr. อย่ามาโยเย / DRZO

     

    06 : 10 น.

    Suzuki Zwift GL Plus เคลื่อนตัวออกจากหอพักให้หลังจากที่อคิราห์เก็บของเสร็จหนึ่งชั่วโมงเต็ม  โดยที่เช้าวันหยุดแบบนี้แน่นอนว่ารถที่เคยแน่นขนัดอยู่บนถนนมันซาลง เพราะทุกคนกำลังพักผ่อนแล้วตื่นให้สายที่สุดเท่าที่จะทำได้  และจากการคาดคะเนของชายหนุ่ม  เขาคิดว่าเวลาที่ใช้ในการเดินทางจากหอพักสู่บ้านของมารดาก็คงไม่นานมากเช่นกัน  หากให้ตีเป็นตัวเลขกลม ๆ ก็คงเกือบ ๆ สองชั่วโมงเป็นอย่างมาก 

    เมื่อคิดว่าตัวเองจะได้กลับไปสู่บ้านเกิดปากบางก็ยกยิ้มขึ้นชวนเอ็นดู  ในหัวสมองนึกย้อนไปถึงสถานที่อันสงบสุขและอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติ แตกต่างจากตนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองซึ่งแออัดและแน่นไปหมด  ส่วนบ้านของคุณวันนานั้นอยู่ในชนบท  บรรยากาศสบาย ๆ มีทุ่งนาเขียวขจีล้อมรอบ   หน้าบ้านเป็นคลองน้ำที่ปล่อยมาจากเขื่อน 

    เขาจำได้ราง ๆ ว่า ตอนเด็ก ๆ เวลาน้ำแห้งแม่จะพาเขากับน้องลงไปเก็บหอย  หอยในที่นี้ไม่ใช่หอยนางรม  ไม่ใช่หอยแครง หรือหอยแมลงภู่แต่อย่างใด ทว่ามันคือหอยกาบ หอยขม และหอยเชอรี่ที่อยู่ในคลอง  ตอนนั้นมันเป็นอะไรที่สนุกมาก  ทั้งตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน  ไม่เว้นแม้กระทั่งศีรษะที่ไว้ผมทรงสกินเฮด 

    เมื่อได้สิ่งที่บากบั่นไปเก็บมาแล้วก็นำมันขึ้นมาล้างให้สะอาดแล้วเอาไปประกอบอาหาร  ส่วนตัวแล้วเขามองว่าเนื้อสัมผัสของหอยกาบมันจะออกเหนียว ๆ แต่ก็เป็นหอยชนิดหนึ่งที่เอามาลาบใส่หัวปลีแล้วอร่อยมาก  ส่วนหอยขมก็เอามาต้มจิ้มกับน้ำพริกที่ซอยหอม ใส่พริกป่น น้ำปลา มะนาว ผงชูรส  หากแต่ก็น่าเสียดายไม่น้อย เพราะเดี๋ยวนี้มันมีไม่ค่อยเยอะแบบเมื่อก่อนแล้ว

    คิดไปคิดมาชายหนุ่มก็เดินทางมาถึงบ้านของผู้เป็นมารดา โดยใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงกับอีกสามสิบแปดนาที  เขาจอดรถเอาไว้ที่บ้านทันทีที่เลี้ยวเข้าซอย  ส่วนสาเหตุที่จอดขวางทางเช่นนี้ก็เพราะว่า บ้านของเขาไม่มีโรงจอดรถ 

    หากให้บรรยายออกมาเป็นภาพ มันก็เป็นเพียงบ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น มี สามห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่น  ส่วนครัวต่อยื่นออกไปด้านข้าง  โดยโครงสร้างของแต่ละห้องก็ไม่ได้กว้างนัก จะเรียกว่าห้องเล็กก็คงไม่ผิด  หากแต่เห็นห้องเล็ก ๆ แบบนี้กลับอบอุ่นอย่าบอกใครเชียว

    เจ้าร่างเล็กเดินหิ้วกระเป๋าเดินทางจนตัวเอนเพื่อเอาของเข้าไปเก็บไว้ในห้องนอนของตัวเอง  ก่อนจะขับรถออกไปหามารดาที่ร้าน  

    ไม่รู้ว่าเขาเคยบอกไปหรือยังว่า คุณวันนาเปิดร้านอาหารตามสั่ง  หากใครได้กินก็ติดรสมือไปตาม ๆ กัน และก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะยืนยันคำพูดของตัวเองได้อย่างไร นอกเสียจากยกนิ้วโป้งขึ้นมาชูแล้วยื่นไปข้างหน้า เพื่อบอกว่าฝีมือของแม่มันเยี่ยมยอดที่สุด  แถมที่ร้านก็มีอาหารสารพัดเมนู  ทั้งผัดกะเพรา ผัดพริกแกง ก๋วยเตี๋ยว และอีกมากมายก่ายกอง ไม่เว้นแม้แต่อาหารป่าอย่างแกงเผ็ดงูเห่า หรือคั่วหนูรสจัดจ้าน 

    ส่วนสถานที่ตั้งร้านจะอยู่ติดริมถนน  โดยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นลูกค้าจร  ถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ หน่อยก็ลูกค้าที่กำลังขับรถอยู่แล้วเกิดหิวเลยแวะทาน  แต่ถ้าให้เข้าใจง่ายขึ้นไปอีก ก็ลูกค้าที่ไม่ใช่ลูกค้าประจำนั่นแหละ  แต่ถึงอย่างนั้นลูกค้าประจำก็มีอยู่ไม่น้อยหน้าเช่นกัน 

    เพราะอะไรถึงมีน่ะหรือ....ก็เพราะคุณวันนาทำอาหารอร่อยที่สุดในโลกนั่นอย่างไร  

     

    เมื่อมาถึงสิ่งแรกที่ได้ยินก็คือ เสียงตะหลิวกระทบกระทะดังเคร้งครั้ง ๆ ไปหมด  อคิราห์กวาดตามองพื้นที่ในร้านแล้วก็พยักหน้ากับตัวเอง  พลางพึมพำ ๆ แล้วเดินเข้าไปหลังร้าน “คนเยอะจริงด้วย”

    “แม่ค้าบ...” ร่างเล็กเดินตรงดิ่งเข้าไปกอดผู้เป็นมารดาจากด้านหลังโดยที่คุณวันนาไม่ทันได้รู้ตัว พร้อมกันนั้นก็ร้องเรียกแม่อย่างโหยหวน  ด้วยเพราะคิดถึงหญิงวัยกลางคนคนนี้มากจนทนไม่ไหว  อีกอย่างเขาก็ไม่ได้เจอมารดาตั้งหลายเดือน  หากแต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอย่างไรคุณวันนาก็ยังคงความสวยเอาไว้เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

    “อุ๊ย!! แม่ร่วงตาเถรตก” ท่าทางดีใจกับรอยยิ้มสวยสดที่เจ้าร่างเล็กวาดไว้ในจินตนาการมลายหายไป เพียงเพราะผู้เป็นมารดาสะดุ้งตกใจจนอุทานออกมาเสียงดัง พร้อมทั้งปล่อยตะหลิวที่ถืออยู่ให้หล่นลงกระทบพื้นกระเบื้องแทนกระทะ

    “ตาเถรที่ไหนล่ะแม่ นั้นตะหลิว ” 

    “โอ๊ย...ตาอิม!! ตกใจหมด หัวใจแม่เกือบวาย” คุณวันนาหันไปมองลูกชายตัวดีแล้วก้มลงหยิบตะหลิวขึ้นมาถือเอาไว้ ก่อนจะวางมันไว้ข้างเตาแล้วหยิบอันใหม่มาผัดอาหารที่ทำค้างต่อ “คิดว่าโจรที่ไหนจะมาปล้นสวาทกลางวันแสก ๆ แบบนี้ซะอีก”

    “อย่างแม่ไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก...มีเสียงเป็นอาวุธ” อันนี้ไม่เกินจริงเลย  ยืนยันได้ด้วยประสบการณ์กว่ายี่สิบห้าปีที่อยู่ร่วมกันมาว่า เสียงมารดาของเขาน่ะ...ด่าทีเหมือนโทรโข่ง 

    “เดี๋ยวเถอะเรา” หญิงวัยกลางคนส่งสายตาคาดโทษให้บุตรชาย  แต่ก็ไม่ลืมถามสารทุกข์สุกดิบอย่างห่วงใย “นี่มาถึงนานรึยัง แล้วกินข้าวแล้วใช่ไหมเราน่ะ”

    “ยังเลย นี่ผมรีบออกมาแต่เช้าก็เลยยังไม่มีอะไรตกถึงท้องสักอย่าง”

    “ไปนั่งรอไปเดี๋ยวแม่ทำไปให้ อีก 2 คิวก็หมดละ”

    ได้ยินอย่างนั้นมือเรียวจึงยกขึ้นตะเบ๊ะเหมือนทหาร  ยืดตัวตรง  ฝ่าเท้าแนบชิดสนิทกัน  พร้อมกับเอ่ยตอบรับอย่างฮึกเหิม “รับทราบครับ”

     ฝ่ายผู้เป็นมารดาก็ปัดมือไล่แล้วพูดแบบไม่มีเสียงบอกว่า “ไปไป”

     

     รอเพียงไม่นานข้าวผัดกะเพราทะเลรวมกลิ่นหอมฉุยก็มาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะไม้ที่อคิราห์นั่งอยู่   นัยน์ตาสีหายากกดลงมองหอย กุ้ง และปลาหมึกซึ่งถูกคลุกเคล้ารวมกันอยู่ในจาน เสริมกลิ่นหอมด้วยใบกะเพราสีเขียวสดอย่างหิวโหย  มือทั้งสองข้างของเขาจับช้อนและส้อมขึ้นชูราวเด็กน้อยยามที่มีอาหารมาล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้า  และหากไม่ใช่อคิราห์ที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ก็คงได้เห็นภาพเด็กชายตัวน้อยน้ำลายไหลยืด แลบลิ้นแพล็บ ๆ โชว์ความกระหาย 

    “งื้อ...ของชอบทั้งนั้นเลย” ว่าแล้วก็ใช้ช้อนตักอาหารฝีมือแม่เข้าปาก  พร้อมกับตีมือไปมาแสดงออกว่ารสชาติที่ได้สัมผัสมันตรงต่อใจขนาดไหน  ทว่าในสายของคุณวันนามันกลับเป็นการสะดีดสะดิ้งเสียจนเธอต้องส่ายหัวอย่างเอือมระอาระคนเอ็นดู  ก่อนจะหันหลังให้ภาพชวนหัวเราะไม่ลืมส่งสายตาดุ ๆ เพื่อปรามเจ้าลูกชายให้รักษามารยาทบนโต๊ะอาหารให้ดีบ้าง “ก็มันอร่อยนี่นา” 

    “จ้า”

    “เฮ้อ เครียดจังเลย ทำไมคุณวันนาถึงทำอะไรก็อร่อยแบบนี้นะ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่สีหน้าของอคิราห์กลับไม่ได้บอกเลยว่าชายหนุ่มกำลังเคร่งเครียด  หากแต่มันบอกว่าเขากำลังสุนทรีย์กับหอยแมลงภู่ตัวโตที่อยู่ในช้อนนั่นต่างหาก

    หลังจากผ่านไปสามสิบนาทีในที่สุดชายหนุ่มก็ทานอาหารที่คุณวันนาทำจนหมด  แต่ด้วยความที่เคยชินกับการที่ตัวเองเป็นลูกชายคนโตเลยอดไม่ได้ที่เข้าไปช่วยผู้เป็นมารดารับผิดชอบหน้าที่ที่ทำอยู่  โดยเริ่มจากการที่กินหมดแล้วก็เดินเอาจานไปวางไว้ในอ้างล้างจาน  แล้วเดินกลับออกมาช่วยเก็บจานตามโต๊ะไปล้างด้วย  ส่วนหนึ่งเพราะลูกค้าเริ่มทยอยออกไปแล้วบวกกับที่พี่พนักงานเดินเก็บไปบ้างแล้วจึงมีให้เขาเก็บไม่เยอะเท่าไหร่  เมื่อล้างจานเสร็จก็เช็ดมือกับผ้า แล้วออกมาช่วยหยิบถาดใส่อาหารไปเสิร์ฟให้แก่ลูกค้าที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะของตัวเองตามออเดอร์ 

    “แฮ่ก ๆ ครบแล้ว”

    “อะไรกัน ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ ๆ ดูสิหอบเหมือนหมาเลยเรา”

    “แม่อะ ผมไม่ใช่หมา” 

    “เอ๋! ไม่ใช่หรอกรึ”

    “ไม่ใช่สักหน่อย”

     “ว้า! แย่จัง สงสัยแม่ต้องไปตรวจสายตาบ้างแล้วสินะ” พูดแล้วก็ยกมือขึ้นลูบหัวของบุตรชายด้วยความเย้าหยอก  ปากสีแดงแปร๊ดด้วยลิปสติกอย่างที่คนวัยกลางคนชอบทายกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี “แม่มองอิมเป็นลูกหมาน้อยได้อย่างไรเนี่ย”

    “แม่!!” คนถูกแซวเรียกแม่เสียงดังลั่นแล้วทำหน้าหงิกตีลมอมอากาศอยู่ในโพรงปาก เรียกเสียงหัวเราะร่าจากหญิงวัยกลางให้ต้องอมยิ้มตาม 

    นับเป็นความโชคดีที่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงสายจึงไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านนัก  แต่จากคำบอกกล่าวของผู้เป็นมารดาประเดี๋ยวก็คงจะมีมาอีกระลอกหนึ่งช่วงเที่ยง ๆ  เห็นแบบนั้นชายหนุ่มจึงย้ายตัวเองออกมานั่งเล่นตรงโต๊ะที่อยู่ใกล้กับพัดลมที่สุด  สายตากวาดมองออกไปนอกร้านที่ลมโชยจนใบไม้โยกเยกไปมา  แค่ได้มองก็ทำให้รู้สึกถึงความเย็นสบายแล้ว 

    เมื่อมองไปรอบร้านก็พยักหน้ากับตัวเอง นึกชื่นชมบิดามารดาที่พัฒนาจากข้าวแกงรถเข็นมาเป็นร้านอาหารที่ใคร ๆ ก็รู้จัก  ทว่าร้านที่ถูกสร้างนั้นไม่ใช่ร้านอาหารที่หรูอะไร  เป็นแค่ร้านโล่ง ๆ ไม่มีผนัง  ทำหลังคาแบบเพิงหมาแหงน  ด้านหน้าเป็นที่นั่งสำหรับลูกค้า มีโต๊ะไม้วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่สิบสองโต๊ะไม่ขาดไม่เกิน  พื้นที่ด้านหลังถูกแบ่งไว้สำหรับทำครัว  มีตู้กระจกวางโชว์ของแห้งจำพวก หมูกรอบ เส้น  ส่วนของสดต่าง ๆ ก็แช่ในตู้เย็นบ้าง ลังน้ำแข็งบ้าง  แต่ก็อย่างว่าแหละนะ ร้านในบ้านนอกจะทำให้มันหรูหราไปทำไม ถึงจะโนแอร์แต่ก็มีแอร์กี่ที่เป็นธรรมชาติสุด ๆ อย่างหาที่เปรียบเปรยมิได้ 

     

     18:00 น.

     ถึงเวลาปิดร้านก็พากันช่วยเก็บข้าวเก็บของให้เข้าที่ เพื่อที่พรุ่งนี้มาเปิดจะได้ไม่วุ่นวายจนเอาไม่ทัน  เมื่อเก็บร้านเสร็จแล้วคุณวันนาก็แยกตัวไปจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ลูกน้อง  ก่อนจะพากันขึ้นรถกลับบ้าน  โดยระบบการบริหารเงินในร้านก็ใช้การจ่ายแบบวันต่อวัน เพื่อตัดปัญหาเงินไม่พอจ่ายลูกจ้าง  ส่วนหนึ่งก็ง่ายต่อการคำนวณต้นทุนในแต่ละวันด้วย พอคำนวณทุนได้แล้วก็มาคิดกำไรที่ได้แล้วจดลงกระดาษเพื่อให้ง่ายต่อการจำว่า วันนี้ขายได้เท่าไหร่ ขาดทุนเท่าไหร่  

    ทว่าตั้งแต่ขายมาคุณวันนาไม่เคยขาดทุนเลยสักครั้ง  ถึงกระนั้นก็มีบ้างที่กำไรน้อย กำไรมาก แตกต่างกันออกไปตามจำนวน  แต่ถึงจะได้มันน้อยก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับชีวิตของหญิงวัยกลางคน  เพราะเพียงแค่ได้เห็นว่าทุกคนที่มากินอิ่ม หรือ กินกันอย่างเอร็ดอร่อยเธอก็มีความสุขแล้ว  

    ทันทีที่เดินเข้าบ้านมาก็เจอกับร่างสูงโปร่งของน้องชายซึ่งนอนเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์  ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบ ๆ พื้นที่เพื่อหาผู้เป็นบิดาซึ่งอาจจะหลบซ่อนอยู่ที่ใด ทว่ามองแล้วมองเล่าก็ไร้วี่แววของคนที่ตนเฝ้ามองหา “ไอ้เจมส์ พ่อไปไหน”

    “เฮ้ย!! ตกใจหมดเลย” 

    “พ่อไปไหน”

     “ไปหาปลา” คนเป็นน้องก้มลงหยิบโทรศัพท์ที่ลอยไปตกอยู่บนพื้นแล้วเงยหน้ามองชายหนุ่มร่างเล็กที่สูงเพียงไหล่ของตนด้วยความสงสัย “กลับมาเมื่อไหร่”

    “มาถึงเมื่อเช้า”

    “แล้วจะมาอยู่กี่วัน”

    “พรุ่งนี้บ่าย ๆ ก็กลับแล้ว” พูดจบก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างน้องชายที่ขยับร่างไปชิดที่ด้านหนึ่งของโซฟาอย่างรู้งาน เขาเหลือบตามองหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดค้างเอาไว้แล้วหันไปหยิบรีโมตมาเปิดโทรทัศน์ดู พลางถามสารทุกข์สุกดิบของน้องชายตามมารยาท “เรียนเป็นไงบ้าง”

    “ ก็ดี”

    “คงไม่ได้ไปต่อยตีกับใครใช่ไหม”

    “ก็เปล่า”

    “แน่ใจ”

    “อืม” คนถูกคาดคั้นไม่ได้แสดงพิรุธใดออกไปให้อคิราห์ได้จับโป๊ะ  เขาจ้องมองหน้าคนเป็นพี่แล้วใช้สองมือประกบไปบนแก้มอูม ๆ อย่างมันเขี้ยว “เมื่อไหร่จะเลิกอมข้าว”

    “ฮื้อ อู ไอ อ้าย อม อ้าว” 

    “ลม” 

    “อื้อ ๆ อ่อย”

    “หึ ๆ จะฟ้องแม่ว่าพี่อมลมไว้ในปาก”

    เพียะ!!

    “แฮ่ก ๆ”  เจ้าร่างเล็กยกมือขึ้นตีไปบนมือของน้องชายแล้วปัดออก พร้อมกันนั้นก็มองหน้าหล่อ ๆ แต่กวนโอ๊ยนั่นอย่างเอาเรื่อง  พลางพูดประชดประชันให้คนฟังหัวเราะลั่น “กูไม่ได้อมอะไรทั้งนั้นแหละ กูแค่อ้วน มึงพอใจรึยัง”

    “อืม” อยากแกล้งต่อ แต่ก็ไม่รู้จะแกล้งอะไรแล้ว ทว่า... “ไปดูพ่อหาปลากันปะ”

    “พ่อไปหาปลาเหรอ”

    “ก็ อืม”

    “ไปดิ”

     เมื่อตกลงกันได้แล้วพวกเขาก็พากันเดินเตาะแตะมาที่รถ Honda wave100 (ปี2550) สีแดงซีด  โดยที่ฝ่ายคนเป็นน้องขึ้นคร่อมก่อนพร้อมทั้งสตาร์ทรถรอ  ตามด้วยอคิราห์ที่วาดขาขึ้นคร่อมตามไปติด ๆ  เจ้าน้องชายพาคนเป็นพี่ทว่าตัวเล็กกว่าขี่ลัดเลาะไปตามชายคลองด้วยความเร็วที่เหมือนเต่าคลาน  ด้วยเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเย็นที่ตะวันใกล้จะลาลับฟ้าแล้ว บวกกับทางที่เป็นลูกรังไม่ใช่ถนนคอนกรีต เลยต้องค่อย ๆ ขี่ไปเรื่อย ๆ  เวลาผ่านไปไม่นานในที่สุดชายหนุ่มก็ได้เห็นพ่อหนุ่มผมยาวตาสีน้ำตาลอ่อน ยืนถอดเสื้อถือน้ำเปล่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวัดนัก  ซึ่งจุดนี้ก็คือจุดที่เลี้ยวเข้ามาจากถนนใหญ่ มุ่งตรงสู้บ้านเขาที่ห่างออกไปไม่เกินสามกิโลเมตร 

    “พ่อ!!” พ่อในที่นี่ไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของอคิราห์แต่อย่างใด หากแต่เป็นพ่อของเจมส์หรือผู้เป็นน้องชายที่เขาเลี้ยงมาเองกับมือ  เป็นสามีคนใหม่ที่มารดาของเขาแต่งงานตอนตนอายุประมาณสี่ขวบได้  แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติที่สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะให้กำเนิดลูกน้อยได้ออกมาลืมตาดูโลก  ถึงอย่างนั้นบิดาเลี้ยงคนนี้ก็ฟูมฟักเขาเหมือนลูกแท้ ๆ  ไม่เคยรังเกียจที่เขาเป็นลูกติดแม่เลยสักนิดเดียว  แต่มันก็ไม่ใช่ทุกครอบครัวหรอกที่จะรับได้  มีข่าวออกมากมายว่า พ่อเลี้ยงข่มขืนลูกเลี้ยง พ่อเลี้ยงทำร้ายร่างกายลูกเลี้ยง หรือแม้แต่พ่อเลี้ยงแอบเอาลูกเลี้ยงไปปล่อยก็เยอะแยะไป  มันคงเป็นโชคดีที่เขาไม่เจอแบบนั้น 

    “อ้าว!  มาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย ไม่เห็นนาบอกเลย” 

    “ถึงเมื่อเช้าครับ”

    “อะ ไป ๆ กลับกัน ฉันได้ปลามาเต็มถังเลย” ไม่พูดเปล่าชายวัยกลางคนยื่นถังน้ำสีดำที่มีปลาดิ้นไปมาโชว์ให้อคิราห์ได้ดู

    “โอ้โห มีปลาช่อนด้วย” ดวงตากลมโตเบิกกว้างยามเห็นเจ้าปลานักล่าสีคล้ำอมมะกอกนอนอ้าปากพะงาบ ๆ อยู่ในถัง  ขนาดตัวของมันเท่าแขนของเขาเลยก็ว่าได้  เห็นแบบนั้นชายหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อตาปริบ ๆ  ความรู้สึกมันบอกว่าแค่เห็นน้ำลายก็ไหลย้อยออกมาแล้ว  

    โดยปกติถ้าเขากลับมาที่บ้านผู้เป็นพ่อก็จะหารอไว้ให้ ตัวเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ปะปนกันไป  เมื่อเขาเดินทางมาถึงก็จะได้ทานปลาช่อนทอดกรอบ ปลาช่อนต้มยำ และปลาช่อนนึ่งที่ทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด 

    “ฮ่า ๆ อยากกินล่ะสิ ไป..เอาไปให้แม่ทำกับข้าว” ชายวัยกลางคนหัวเราะเสียงดัง พลางยัดถังน้ำที่มีปลาใส่มือของอคิราห์  เพื่อให้เอากลับไปให้ศรีภรรยาทำกับข้าวให้ก่อน  แล้วตัวเองก็ขี่รถตามไปอีกคัน

     

     วันนี้เมนูที่คุณวันนารังสรรค์ให้ทานเป็นปลาช่อนนึ่งกับผักที่ใส่นึ่งไปพร้อมปลา  โดยผักที่เขาชอบที่สุดก็หนีไม่พ้นต้นหอม ผักชี และตั้งโอ๋ เจ้าพวกนี้นึ่งทานคู่กับปลาเป็นอะไรที่เข้ากันที่สุด  ทว่าลูกชายกลับบ้านมาทั้งทีจะมีกับข้าวแค่อย่างเดียวได้อย่างไร  ก็เป็นคุณวันนาอีกเช่นเคยที่ทำต้มยำปลาตะเพียน ไก่ทอด หมูทอด และมีข้าวสวยร้อน ๆ ควันฉุย ๆ บนอากาศ

    พวกเขานั่งทานกันไปเรื่อย ๆ จนอิ่ม  แย่งกันคนละหมุบคนละหมับก็ยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก  ในวงข้าวมีแต่เสียงหัวเราะของพ่อกับแม่ที่เห็นพี่ชายกับน้องชายแย่งพุงปลาช่อนกัน  สุดท้ายก็เป็นคนพี่ที่ได้มันไป  ทานเสร็จก็ช่วยกันเก็บจานไปล้าง  ก่อนจะกลับมานั่งเล่นให้อาหารย่อย  แล้วค่อยไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมเข้านอน

    ชายหนุ่มเอนหัวลงนอนหนุนตักแม่  ฝ่ายคนเป็นแม่ก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวของบุตรชายเบา ๆ  เหมือนตอนเด็ก ๆ เวลากล่อมอคิราห์ให้นอนหลับใหล “อิม”

    “ครับ” เขาเบนสายตาจากโทรทัศน์มามองใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยตามอายุ  ก่อนจะขานรับออกไปพร้อมกับยกมือไปดึงแขนของมารดามากอดเอาไว้อย่างออดอ้อน

    “อยู่ที่โน่นเป็นอย่างไรบ้าง มีเงินใช้หรือเปล่า” 

    “ผมก็สบายดีนะ ส่วนเงินก็ยังมีเงินเก็บเหลืออยู่แม่ไม่ต้องห่วง อีกอย่างผมได้งานใหม่แล้ว วันอังคารก็ต้องไปเริ่มงานแล้วด้วย” 

    “หืม งานอะไรล่ะ”

    “เลี้ยงเด็ก” 

    “ฮ่า ๆ เราน่ะเหรอจะไปเลี้ยงเด็ก” หญิงวัยกลางคนระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น  สวนทางกับร่างเล็กที่นอนนิ่งซุกหัวในตักของมารดา กับคำถามที่ไร้เสียง ไร้การเอื้อนเอ่ยว่า ‘มันตลกหรือไงก็แค่เลี้ยงเด็ก’

    “แน่นอนสิ ขนาดไอ่เจมส์อิมยังเลี้ยงได้เลย”

    “จะไหวรึ” 

    “ไหวสิ นี่ใคร...ลูกชายเจ๊นาเลยนะ”

    “ฮ่า ๆ” เธอระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งแล้วค่อย ๆ เงียบเสียงลง พลางทำหน้าจริงจัง “ไม่ไหวก็กลับมาอยู่บ้านนะลูก”

    “ค้าบ..” ก็รู้อยู่หรอกว่าคนเป็นแม่น่ะเป็นห่วงตัวเองขนาดไหน  แต่ลำพังแค่เลี้ยงเด็กมันจะซักแค่ไหนกันเชียว “งั้นผมไปอาบน้ำนอนแล้วนะ” 

    คุณวันนาที่ได้ยินลูกชายยืนยันเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ  เธอทำแค่พยักหน้าแล้วมองบุตรชายที่เดินตูดบิดหายเข้าไปในห้องเพื่ออาบน้ำเตรียมเข้านอน

                

    19 : 36 น.

    Suzuki Zwift GL Plus จอดลงที่ลานจอดรถของหอพักอีกครั้งในวันถัดไป  จากที่กะเอาไว้ว่าคงถึงไม่ค่ำนักก็ลากยาวจนฟ้ามืด  ส่วนสาเหตุที่ถึงช้าก็เพราะรถค่อนข้างติด  แล้วตอนที่เขาขับรถเข้าเมืองมาก็เป็นเวลาที่เหล่ามนุษย์เงินเดือนต่างกำลังเลิกงาน  มันก็เลยติดเป็นธรรมดา  ชายหนุ่มเดินลากกระเป๋าไปตามทางเดินอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง พอถึงห้องก็เปิดกระเป๋าออกเพื่อรื้อทุกอย่างไปเก็บเข้าที่แล้วแยกตัวออกไปอาบน้ำอาบท่า  แต่งตัวเสร็จก็เตรียมที่จะนอน  

    วันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกเหนื่อยจริง ๆ ทั้งไปช่วยคุณวันนาที่ร้าน แล้วก็ไปช่วยบิดาดูนาข้าว  พอเข็มนาฬิกาเดินมาถึงเลขสิบหกก็รีบขับรถกลับเข้าเมือง  แต่ทว่ายังไม่ทันได้ล้มตัวลงนอนเสียงริงโทนของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  เรียกให้ร่างเล็กปวกเปียกต้องฝืนลุกขึ้นมารับ

    Rrrrrrrrrr

    08x-xxx-7446

    “อิมพูดครับ”

    (สวัสดีครับ ผมวิชัย)

    “อ๋อ ครับ”

    (คุณได้ที่อยู่แล้วใช่มั้ยครับ)

    “ได้แล้วครับ ให้ผมไปหาที่นั่นเลยเหรอครับ”

    (ครับ ถ้าพรุ่งนี้คุณมาถึงแล้วรบกวนติดต่อมาที่เบอร์นี้เลยนะครับ)

    “ครับผม”

    (ผมขอวางสายนะครับ)

    “ครับ” 

    สายวางไปแล้วแต่อคิราห์ยังงงงวยเหมือนไม่เข้าใจอยู่เลย  ในใจก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า นี่เขาได้งานนี้จริง ๆ ใช่ไหม  คิดแล้วก็ยกยิ้มออกมาราวคนบ้า  มือเรียวลดลงวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่โต๊ะข้างเตียงเหมือนเดิม แล้วพยายามข่มตาหลับ  ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไม่ลืมที่จะให้กำลังใจตัวเอง

     

    “หมดเวลาสนุกแล้วสินะ พรุ่งนี้ต้องทำงานแล้ว สู้ ๆ เข้าล่ะ...อิมเมจ”

     

     

    TBC.

    TalK : สู้เขานะลูก เด็ก ๆ พวกนี้ว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยน่ารักสดใส เรียบร้อยกว่าใครแถมความคิดแสนบรรเจิด การันตีโดยมัมหมีที่สร้างหนูขึ้นมาเอง!! 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×