ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SF/OS] NCT Red Thread ❤ All Couple

    ลำดับตอนที่ #4 : SF : If only (Haechan x Mark) Part II

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 648
      30
      3 พ.ค. 61

    Title: If only (Part II)
    Pairing: Haechan x Mark
    Rate: PG-15
    Author: raining-sahara
    *Omegaverse

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------




    มาร์ครู้สึกเหมือนค้อนหนักๆทุบลงที่กลางหัวทันทีที่ได้ยินประโยคจากปากของคนที่นั่งถัดออกไปประมาณสามโต๊ะ ถ้าเขาย้อนเวลากลับไปได้ เขาคงเลือกที่จะตรงดิ่งกลับบ้านตามคำสั่งของเพื่อนสนิทแทนที่จะหอบร่างอ่อนแรงของตนเองมายังที่แห่งนี้ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายแบบนี้ เพียงเพื่อรับรู้ข้อความที่เปรียบเสมือนมีดที่กรีดลงไปกลางใจของเขา


    "เหรินจวิ้น .. ฉันว่าจะตัดใจแล้วแหละ"


    แม้บทสนทนาจะดำเนินต่อไป แต่สมองของอัลฟ่าหนุ่มก็ไม่รับรู้อะไรหลังจากนั้น หูของมาร์คอื้ออึงไปหมดจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง ในห้วงความคิดของเขา มีเพียงประโยคที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ที่ดังขึ้นมาซ้ำๆราวกับกรอเทป ..


    ดงฮยอกจะตัดใจ .. จากเขา


    มาร์คพยายามกระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่น้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอให้จางหายไป แก้วเหล้าที่บรรจุเต็มในมือถูกยกขึ้นกระดกจนหมดในคราเดียว ความแสบร้อนที่เกิดขึ้นในลำคอเทียบอะไรไม่ได้เลยกับไฟที่แผดเผาหัวใจเขาอยู่


    เพียงแค่คิดว่าวันพรุ่งนี้อีกฝ่ายจะไม่เข้ามาทักทายกัน จะไม่มีขนมอร่อยๆที่หมั่นคอยซื้อมาฝาก เพียงแค่คิดว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้กลิ่นหวานปนขมของน้ำหอมแบรนด์ดังที่เขาชอบนักหนา มาร์คก็รู้สึกปวดใจจนเหมือนจะตายลงตรงนี้ .. แม้ว่าครั้งหนึ่งของชีวิต มันจะเป็นสิ่งที่เขาเคยอยากให้เกิดขึ้นก็ตาม


    .. แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอได้ยินเข้าจังๆ มาร์คคิดว่าตัวเองกำลังจะยืนไม่ไหว


    ถึงแม้ร่างกายที่พังแหล่มิพังแหล่ของเขาจะกำลังตะโกนว่าไม่ไหว แต่เแอลกอฮอล์แก้วที่สองสามสี่ก็ยังถูกส่งเข้าปากอย่างต่อเนื่อง ปกติเขาจะไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมให้ตัวเองเมาไม่รู้เรื่อง แต่วันนี้เขากลับคิดว่าเอาให้วูบไปเลยก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนรับรู้ความจริงว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินห่างออกไป


    เขาทนไม่ได้หรอกถ้าดงฮยอกจะหันหลังเดินไปจากเขาจริงๆ ..


    เพียงแค่หลับตาลง ภาพความทรงจำต่างๆย้อนกลับเข้ามาในหัวสมองของมาร์ค อีกฝ่ายคงไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นติดอยู่ในใจมาร์คมาตลอดสองปีกว่าที่รู้จักกัน


    มาร์คค่อนข้างแน่ใจว่าอีกคนคงจำไม่ได้ .. แต่วันแรกที่เราพบกันยังเป็นความทรงจำที่เด่นชัดในความคิดของเขาอยู่เสมอ


    วันนั้นเป็นวันแรกของการเปิดเรียนสำหรับเขาที่เป็นนักเรียนใหม่ของโรงเรียนแห่งนี้ ในตอนนั้นมาร์คยังไม่ได้มีบรรยากาศน่าเกรงขามแบบที่อัลฟ่าทั่วไปควรจะมี เขายังเป็นแค่เด็กเฉิ่มๆที่ใส่แว่นทรงกลมหนาเตอะ แถมยังซุ่มซ่ามเดินไม่ดูทางสะดุดพื้นหน้าโรงเรียนล้มจนแว่นแตก 


    เขาคิดมาตลอดว่ามันเป็นความโชคร้ายในความโชคดี ..


    .. เพราะในวินาทีที่มาร์คเงยหน้าขึ้นมา เขาก็คิดว่าตัวเองกำลังได้พบกับเทวดา


    เด็กผู้ชายรูปร่างสมส่วนผิวสีแทนมองตรงมาด้วยแววตาใจดี แม้ว่าสายตาของมาร์คจะมองเห็นไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าเจ้าของรอยยิ้มหวานๆกับมือสวยๆที่ยื่นมาให้เขาจับน่ะดูดีเป็นบ้า


    "คุณโอเคหรือเปล่าครับ" น้ำเสียงหวานมีเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายเอ่ยถามออกมา เขาไม่รู้ว่าเสียงของอีกฝ่ายนั้นหวานจริงๆ หรือว่าเขาลำเอียงไปเอง แต่เขาคิดว่าตั้งแต่เกิดมาสิบหกปี ก็เพิ่งจะเคยได้ยินเสียงที่น่าฟังขนาดนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ


    บางทีสภาพของเขาอาจจะดูแย่มาก เพราะอย่างน้อยมาร์คก็สัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นๆบนหน้าผากของตัวเอง ผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มถูกหยิบยื่นมาให้เช็ดหน้าเช็ดตาโดยคุณคนใจดี ที่มาร์คลีแอบเพ่งสายตาอ่านป้ายชื่ออยู่นานว่าชื่อของคนตรงหน้าคือ อีดงฮยอก


    .. ให้ตายเถอะ ขนาดแค่ชื่อยังเท่จนเขาใจสั่นเลยเนี่ย


    มาร์คเอื้อมมือออกไปรับผ้าเช็ดหน้าสีเข้มมาด้วยมือสั่นๆเพื่อยกขึ้นซับเลือดที่ไหลซึมออกมา กลิ่นหวานสดชื่นของแบล็กเบอร์รี่ปะปนไปด้วยกลิ่นโทนอบอุ่นของไม้ลอยขึ้นมาปะทะจมูก มาร์คแม้จะเป็นคนที่ไม่ได้สนใจพวกน้ำหอมเท่าไหร่นัก ยังรู้สึกว่ามันหอมจนอยากจะได้กลิ่นซ้ำๆ


    โชคดีที่แผลของมาร์คเป็นแค่แผลตื้นๆ จึงไม่ทำให้ผ้าเช็ดหน้าผืนสวยของคนตรงหน้าเปื้อนรอยเลือดมากสักเท่าไหร่ แต่มือขาวๆของมาร์คถูกดันกลับมาในตอนที่เขาพยายามจะคืนผ้าเช็ดหน้าฉีดน้ำหอมกลับไปให้อีกฝ่าย


    "คุณเก็บเอาไว้ก่อนก็ได้ครับ วันนี้ผมคงไม่จำเป็นต้องใช้มันสักเท่าไหร่ .. จริงสิแว่นคุณแตกด้วย สายตาสั้นมากหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมพาไปร้านแว่นใกล้ๆนี้ แต่วันนี้คงตัดแว่นไม่ทัน คุณอาจจะต้องใส่คอนแทคไปก่อนนะ"


    เพราะอย่างนั้น มาร์คถึงได้เดินตามอีกฝ่ายต้อยๆ โดยที่มือเรียวสวยของอีกฝ่ายจับมือเขาอยู่ กลิ่นน้ำหอมแบบเดียวกับที่เขาได้กลิ่นจากผ้าเช็ดหน้าลอยมาตามลม ดูเหมือนว่าคนที่เดินนำคงจะไม่ได้คิดอะไร สายตาของอีกฝ่ายเอาแต่มองท้องถนน กวาดสายตาหาร้านที่จะพาเขาไปซื้อคอนแทคเลนส์


    ในทางกลับกัน สายตาของมาร์คลีกลับจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังที่แม้ไม่ได้กว้างนัก แต่ก็ดูแข็งแรงพอที่เขาจะพักพิงลงไป เขารู้สึกว่าหน้าของเขาร้อนราวกับจะไหม้เมื่อคิดว่ามือของเราจับกันอยู่


    .. มาร์คลีกำลังตกหลุมรักเป็นครั้งแรกในรอบสิบหกปีที่เกิดมา และคนๆนั้นเป็นเบต้าเพศชาย


    ดงฮยอกที่แสนใจดีคนนั้นพาเขาเข้ามาในร้านแว่นตาแล้วเอ่ยคุยกับพนักงานในร้านให้เสียเสร็จสรรพ เขาได้แต่เดินเข้าห้องไปตรวจเช็คค่าสายตา ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมันไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก มาร์คมองภาพของคนที่กำลังฟังคำแนะนำเรื่องคอนแทคเลนส์จากพนักงานสาวสวยอย่างตั้งใจด้วยความรู้สึกประทับใจ 


    ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องของคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันเมื่อครู่นี้ แต่เขาคนนั้นก็ทำราวกับว่าใส่ใจกันมากเหลือเกิน ..


    "คุณครับ พี่สาวคนนี้เขาแนะนำมาว่าแบบรายวันจะใส่สบายกว่า แต่ถ้าคุณจะใช้ยาวๆก็ซื้อแบบรายเดือนไปเลย เท่าที่ผมดูเรื่องค่าอมน้ำอะไรพวกนี้แล้วนะ ยี่ห้อนี้ถึงจะแพงไปสักหน่อย แต่ผมว่าสุขภาพตาของคุณสำคัญกว่า" คนข้างตัวหันมาอธิบายให้ฟังด้วยน้ำเสียงสดใส เนื้อความที่อีกฝ่ายพูดไม่ได้เข้าหูมาร์คนัก ในเมื่อสายตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปที่ดวงตาคู่สวยคู่นั้น


    "อ่า .. เอ่อ .. คุณว่าอันไหนดี ผมก็เอาอันนั้นก็ได้ครับ" มาร์คได้แต่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เขาไม่เคยรู้สึกประหม่ามากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ดูเหมือนคนที่มาด้วยกันจะหยุดครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ใบหน้าของเขาร้อนวูบวาบ


    "ถามความเห็นผมหรอ .. ผมว่าคุณใส่แว่นก็น่ารัก แต่ไม่ใส่ก็น่ารักเหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนี้ผมควรแนะนำให้คุณซื้อรายวันหรือรายเดือนดีอะ" อีดงฮยอกพูดออกมาด้วยท่าทางเรียบนิ่งราวกับมันเป็นประโยคปกติ แต่สำหรับมาร์คแล้ว การที่มีคนมาชมว่าน่ารักกันซึ่งๆหน้ามันไม่ได้ปกติเลยสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนๆนั้นเป็นคนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวไม่หยุดอยู่แบบนี้


    มาร์คได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดจา สมองของเขาทำงานรวนไปหมดหลังจากได้ยินคำชมนั้น เขาคิดว่าหน้าของเขาต้องดูตลกมากแน่ๆ ดงฮยอกถึงได้เอาแต่ขำไม่หยุดอยูู่แบบนี้


    "ฮะๆๆ คุณนี่น่ารักจริงๆด้วย"


    สุดท้ายคนที่มาด้วยกันก็หยิบเอาคอนแทคเลนส์แบบรายวันยื่นให้พนักงานด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่เคยใส่คอนแทค เลยเอาให้ใส่สบายไว้ก่อนจะดีกว่า ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่วันนี้มาร์คพกเงินสดมาเพียงแค่พอกินข้าวกลางวันกับซื้อขนมเล็กๆน้อยเพราะไม่ได้คิดว่าจะมีเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้เกิดขึ้น แต่ดงฮยอกก็คว้าเอาบัตรเครดิตของตัวเองไปจ่ายเงินแทนแทบจะทันที แถมหันมาบอกกับเขาด้วยรอยยิ้มหวานๆว่าไม่เป็นไร มันก็แค่คอนแทคเลนส์


    ในตอนนั้นมาร์คลีึคิดจริงๆนะ ว่าเขาจะต้องตกหลุมรักคนๆนี้ซ้ำๆไปอีกกี่ครั้ง ..


    วันแรกของการพบกันก็จบลงที่พวกเขาทั้งคู่เข้าโรงเรียนสาย ถูกหักคะแนนนิดหน่อยแต่ดงฮยอกก็บอกกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่าไม่เป็นไร แถมยังพาเขาไปห้องพยาบาลทำแผลจนเสร็จเรียบร้อย ยืนให้กำลังใจเขาในการยัดคอนแทคอีกครึ่งค่อนชั่วโมง จบด้วยการพาเขามาส่งถึงหน้าห้องเรียน แล้วอธิบายให้ครูประจำชั้นเข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาสายในวันเปิดเทอม .. ทั้งๆที่ตัวเองก็เข้าเรียนไม่ทันเหมือนกัน


    มาร์คเคยคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายก็อาจจะชอบพอเขาบ้างถึงได้เข้ามาช่วยในวันนั้น ..


    แต่อีกสามวันต่อมา ในตอนที่เขาโบกมือไปแล้วอีกฝ่ายไม่ได้โบกตอบกลับเขา แถมยังเดินผ่านไปราวกับไม่เคยพบหน้า มาร์คก็ได้รู้ว่าที่เขาเข้าใจมันไม่จริงเลยสักนิด ดงฮยอกน่ะเป็นคนดีจริงๆ


    .. ส่วนเขามันก็แค่ภาระที่คอยทำให้คนดีแบบนั้นต้องลำบากอยู่เสมอ


    ยิ่งคิดแบบนี้หัวใจของมาร์คก็ยิ่งบีบรัดแน่น เขามองตรงไปยังชายหนุ่มผิวสีแทนที่อยู่ถัดไปไม่กี่โต๊ะด้วยสายตาที่พร่ามัวเพราะหยาดน้ำตา ประโยคที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยออกมายังคงดังก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในประสาทการรับรู้


    ดงฮยอกจะเลิกชอบเขาจริงๆน่ะหรอ ..


    เขาเคยได้ยินแต่ที่คนพร่ำบอกกันว่ารักเป็นสิ่งสวยงาม แต่ไม่เห็นเคยมีใครบอกมาร์คว่าการตกหลุมรักใครสักคนมันจะทำให้เจ็บปวดราวกับจะขาดใจตายแบบนี้ 



    แม้ว่าคำพูดที่ได้ยินมันจะเป็นสิ่งที่มาร์คหวังให้มันเกิดขึ้นมาโดยตลอด แต่เขาก็ไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ เป็นเพราะท้องฟ้าในคืนนี้มืดมิดกว่าที่เคย หรือเป็นเพราะว่าหัวใจของเขามันอ่อนแอไปตามสภาพร่างกายกันแน่ ในเวลานี้เขาถึงได้อยากจะเห็นแก่ตัวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้


    เพราะมาร์คคิดว่าตัวเองคงทนอยู่ไม่ไหวแล้ว ถ้าโลกของเขาไม่มีอีดงฮยอก ..


    บนโต๊ะอาหารนั้นเต็มไปด้วยขวดแก้วเรียงราย หากแต่ไม่มีจานอาหารแม้แต่จานเดียว มาร์คเริ่มไม่แน่ใจนักว่าตัวเองดื่มแอลกอฮอล์ไปทั้งหมดกี่แก้ว แต่ก็พอจะรู้ตัวว่าสติของเขามันเริ่มจะเหลืออยู่น้อยลงเต็มที


    ความคิดต่างๆนานาแวบเข้ามาในหัวสมองเต็มไปหมด ..


    .. และมาร์คก็ปฏิเสธตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว ว่าเขาชอบอีกฝ่ายมากเหลือเกิน


    อัลฟ่าหนุ่มหอบเอาสังขารพังๆของตัวเองไปยังโต๊ะที่มีใครคนที่คุ้นตานั่งอยู่ เหรินจวิ้นดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อยที่เจอเขาที่นี่ หมอนั่นกำลังขยับปากพูดอะไรสักอย่างแต่เขาฟังไม่เข้าใจ เพราะความสนใจเดียวของมาร์คกลับพุ่งไปที่ใครอีกคนที่แทบจะไม่เหลือสติอีกต่อไป


    เขาตัดสินใจประกบริมฝีปากลงไปอวัยวะเดียวกันของคนตรงหน้า ลิ้นเรียวแทรกเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่าย ก่อนที่ลิ้นอุ่นๆนั้นจะแทรกกลับเข้ามาพันเกี่ยวกัน ร่างของเราแนบชิดกันเสียจนเขาได้กลิ่นแบล็กเบอร์รี่เจือกลิ่นไม้จากน้ำหอมที่ดงฮยอกใช้ รสชาติขมปร่าของแอลกอฮอล์ยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้น แต่มาร์คคิดว่าจูบแรกของเขากลับหวานละมุนเหมือนขนมเยลลี่ที่เขาชอบ


    สัมผัสนั้นทั้งเนิบช้าและบางเบา เป็นเวลานานกว่าที่ใครสักคนจะยอมถอนริมฝีปากออก สัมผัสนุ่มหยุ่นยามที่ลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันยังคงตราตรึงในความรู้สึก หัวใจยังคงเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก มาร์คหลุบตาลงต่ำ ขบกัดริมฝีปากตัวเองน้อยๆด้วยความเสียดาย และดูเหมือนอีกฝ่ายก็รู้สึกไม่ต่างกัน 


    นัยน์ตากลมโตช้อนขึ้นสบสายตาของคนตรงหน้า กระพริบตาช้าๆสองสามครั้งด้วยแววตาเว้าวอน 


    ก่อนที่ริมฝีปากของเราจะทาบทับเข้าหากันอีกครั้ง .. และอีกครั้ง


    "เฮ้ย มาร์ค ดงฮยอก .." ชายหนุ่มร่างบางหัวเสียเล็กน้อยเมื่ออีกสองคนกำลังทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ เสียงเรียกนั้นส่งไปไม่ถึงประสาทการรับรู้ของอีกฝ่าย


    "ดงฮยอก .. มาร์ค .. นี่ฟังฉันรู้เรื่องสักคนมั้ยเนี่ย" เสียงตะโกนของโอเมก้าเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ยังคงไร้เสียงตอบรับ เหรินจวิ้นยกนาฬิกาที่บ่งบอกว่าเวลาปิดทำการของร้านนั้นใกล้เข้ามาทุกที และพวกเขาเองก็ควรจะกลับบ้านได้แล้ว


    คนเดียวที่ยังมีสติหลงเหลืออยู่ตัดสินใจเดินออกไปเรียกแท็กซี่ เล่นเอาเหนื่อยหอบกว่าจะแยกร่างสองร่างที่กำลังนัวเนียกันของหนึ่งอัลฟ่าและหนึ่งเบต้าออกจากกันและยัดทั้งคู่เข้าไปที่เบาะหลังได้สำเร็จ เหรินจวิ้นเดินย้อนกลับมานั่งบนที่นั่งข้างคนขับ บอกทางไปบ้านเพื่อนสนิทตัวดีเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะหันไปสนใจใครอีกคน


    "มาร์ค .. บ้านนายอยู่ไหนฉันจะไปส่ง มาร์ค !" เหรินจวิ้นหันไปตะโกนเรียกคนที่นั่งอยู่บนเบาะหลังด้วยเสียงดังลั่นรถ ก่อนจะหันกลับมาก้มหัวขอโทษคนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับด้วยใบหน้าเจื่อนๆ


    ".. เหรินจวิ้นอย่าตะโกนๆ เราแสบหู" 


    "มาร์ค ฉันถามว่าบ้านนายอยู่ไหน มาร์ค .. เฮ้ย ดงฮยอก นี่ได้ยินกันมั้ยเนี่ย" เสียงตะโกนของชายหนุ่มร่างบางดังขึ้้นอีกครั้ง หากแต่คนถูกเรียกกลับจับใจความคำพูดนั้นไม่ได้สักนิด


    ".. เหรินจวิ้นพูดจาไม่รู้เรื่องหรอ เราบอกว่าอย่าเสียงดังไง" เสียงนุ่มละมุนของมาร์คในเวลานี้กลับอู้อี้จนฟังไม่ได้ความ ใบหน้าของมาร์คเริ่มซุกเข้าหากลิ่นหวานสดชื่นของน้ำหอมที่เขาหลงใหล แขนเรียวบางยกขึ้นคล้องคอคนตรงหน้า ก่อนที่ริมฝีปากบางจะเอื้อนเอ่ยประโยคที่เขาในยามปกติไม่มีทางพูดออกมาอย่างแน่นอน


    "ดงฮยอกอ่า คืนนี้อยู่กับมาร์คทั้งคืนเลยนะ .."


    เสียงโทนอบอุ่นของอัลฟ่าหนุ่มเงียบไป พร้อมกับที่ริมฝีปากที่ประกบเข้าหากันอีกครั้งหนึ่ง


    ไม่นานเกินอึดใจ ล้อรถยนต์ก็หยุดนิ่งลงหน้าตึกแถวที่เหรินจวิ้นคุ้นเคย โอเมก้าหนุ่มถอนหายใจแรงๆหนึ่งทีเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนสนิทกับใครอีกคนที่เบาะหลัง ก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากคนขับแท็กซี่ที่มาส่งด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน 


    คนถูกขอความช่วยเหลือพยักหน้าน้อยๆเป็นการตอบรับ เครื่องยนต์ถูกดับลง พร้อมๆกับที่ร่างบางแกะเอาเพื่อนสนิทของตัวเองออกมาจากร่างของคนที่กอดรัดกันอยู่เบาะหลังของรถได้สำเร็จ แขนบางๆของโอเมก้าเพียงหนึ่งเดียวยกขึ้นพยุงร่างโปร่งบางของดงฮยอก ทิ้งให้มาร์คเป็นภาระของคนอีกคนที่อยู่ด้วยกันในที่แห่งนี้


    แม้จะทุลักทุเลไปสักหน่อย แต่สุดท้ายแล้ว ร่างไร้สติของหนึ่งอัลฟ่ากับหนึ่งเบต้าก็ได้ถูกทิ้งให้นอนลงบนเตียงขนาดกลางในห้องโทนสีกรมท่า โดยที่แขนของหวงเหรินจวิ้นยังไม่หักไปเสียก่อน


    ไฟในห้องถูกดับทิ้งพร้อมๆกับประตูที่ปิดลง โอเมก้าร่างบางได้เดินกลับออกไปแล้ว ก่อนที่จะได้รับรู้ว่าการพาคนที่ไม่หลงเหลือสติเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์สองคนมานอนบนเตียงเดียวกันนั้นส่งผลเสียอย่างไร


    ดวงตาคู่สวยสบเข้าหากันอีกครั้งด้วยแววตาหวานเชื่อม ริมฝีปากของคนที่ถูกมอมเมาด้วยฤทธิ์เหล้าประกบเข้าหากันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของคืนนี้ หากแต่คราวนี้มันจะไม่จบเพียงเท่านั้น มือเรียวสวยเริ่มลูบไล้ไปตามผิวกายเนียนนุ่มของอีกฝ่าย ก่อนที่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่จะถูกปลดออก และร่วงลงไปกองบนพื้นทีละชิ้นๆ 


    ในคืนที่ท้องฟ้ามืดมิดจนเห็นดาว บนเตียงอ่อนนุ่มสีน้ำเงินเข้ม เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ และกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยคละคลุ้ง ร่างเปลือยเปล่าสองร่างกำลังบดเบียดเข้าหากันตามแรงปรารถนา


    "ดะ .. ดงฮยอก อะ อื้อ"


    แม้ว่าสัมผัสแรกนั้นจะเจ็บจนน้ำตาร่วง แต่ก็มีริมฝีปากสวยของอีกฝ่ายที่คอยจูบซับ มีสัมผัสจากมืออุ่นๆที่ลูบไล้ลงบนแผ่นหลังของเขาราวกับต้องการปลอบประโลม แม้ว่าร่างกายของเขาจะสั่นเกร็งไปหมด แต่มาร์คก็เชื่อว่าเจ้าของรอยยิ้มหวานๆที่ส่งมาจะไม่ปล่อยให้เขาต้องทนเจ็บ


    ตราบใดที่อยู่ในอ้อมกอดของคนๆนี้ เขาเชื่อเสมอว่าทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร ..


    มาร์คจำไม่ได้ว่าสติของเขาขาดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ในห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอบอุ่นของซินนาม่อนปะปนกับแอลกอฮอล์ เครื่องปรับอากาศของที่นี่ดูเหมือนจะทำงานดีเกินไปสำหรับคนขี้หนาวอย่างเขา ร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มพยายามบดเบียดซุกเข้าหาความอบอุ่นที่อยู่ข้างๆกัน


    กลิ่นหวานหอมของแบล็กเบอร์รี่เจือด้วยกลิ่นไม้จางๆเริ่มชัดขึ้นในประสาทการรับรู้ของมาร์ค ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าบนเตียงนี้ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียวอีกต่อไป


    ชิบหายแล้ว ..


    นัยน์ตากลมโตเบิกโพลงเมื่อนึกได้ว่าเจ้าของกลิ่นหวานๆที่ลอยตีเข้าจมูกของเขาเมื่อสักครู่นั้นคือใคร มาร์คดีดตัวขึ้นมาแทบจะทันที พร้อมๆกับที่สติของเขากลับมาเกือบจะเต็มร้อย เขาก้มลงมองร่างไร้อาภรณ์ของตัวเองที่มีรอยแดงช้ำ ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆที่สภาพไม่ต่างกันสักเท่าไหร่


    ภาพความทรงจำของเหตุการณ์ที่ผ่านมาเพียงไม่กี่ชั่วโมงไหลขึ้นมาเป็นฉากๆ ละเอียดมากเสียจนมาร์คต้องยกมือขึ้นกุมหน้าผากด้วยความเหนื่อยใจ เขาเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเวลาเมาจนขาดสติแล้วตัวเองจะเป็นได้ถึงขนาดนี้


    ความเจ็บปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาทุกครั้งที่เขาพยายามขยับตัวยิ่งตอกย้ำภาพเหตุการณ์ให้ชัดเจนขึ้น ที่แย่ยิ่งกว่าร่างกายคือศีรษะที่ปวดหนึบจากการพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันหลายวัน ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่มาร์คจะพาตัวเองลงมาจากเตียงได้ แต่เขาก็ล้มพับลงไปบนพื้นกระเบื้องเย็นๆทันทีที่ปลายเท้าของเขาแตะลงบนพื้น


    เห็นทีคงจะต้องลาขาดแอลกอฮอล์กันยาวๆ มาร์คควรจะคิดได้ก่อนหน้านี้ว่าการกินเหล้าประชดรักในร้านเดียวกับคนที่ชอบนี่ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีเลยสักนิด ..


    มือเรียวบางพยายามควานหาเสื้อผ้าของตนเองที่ตกอยู่กับพื้นท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ ก่อนจะหยิบขึ้นมาสวมใส่อย่างทุลักทุเล ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อสะกดกลั้นเสียงร้องจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ขยับ


    มือถือเครื่องสวยบอกเวลาตีห้ายี่สิบนาที เขาคิดว่าตัวเองพอมีเวลาที่จะออกไปจากที่นี่ก่อนที่เจ้าของห้องจะตื่นขึ้นมา


    มาร์คหอบเอาร่างไร้เรี่ยวแรงของตัวเองออกมาจากห้องโทนสีเข้มของใครอีกคนจนได้ แม้ว่าขาของเขาจะแทบยืนไม่ไหว หรือศีรษะของเขาจะปวดหนึบเพราะพิษไข้ที่ยังไม่ค่อยจะหายดี แต่มันก็ดีกว่าการนอนโง่ๆเป็นผัก เพื่อให้อีกคนตื่นมาเจอหน้ากันแน่ๆ


    อุณหภูมิเย็นเฉียบปะทะเข้าที่ผิวกายของมาร์คที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆคลุมเอาไว้ เขาห่อร่างกายที่สั่นเทิ้มเข้าหากัน นิ้วเรียวยาวกดเบอร์มือถือที่เขาคุ้นเคยก่อนจะกดโทรออกด้วยท่าทางร้อนรน เขารู้ว่านี่เป็นเวลาเช้ามืดที่คนปลายสายอาจจะยังไม่ตื่น แต่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องรับสายของเขา


    "จะ ..แจมิน มารับเราหน่อย ส่งโลเคชั่นให้ในแชทนะ อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ เดี๋ยวกลับไปแล้วจะเล่าให้ฟัง จะนั่งนิ่งๆให้ด่าอีกสองชั่วโมงเต็มๆเลย .."


    ---------------------------------------------------------------------------------------------------

    พาร์ทต่อของฝั่งมาร์คมาแล้วนะคะ ถึงแม้ว่าพาร์ทนี้อาจจะสั้นไปสักหน่อย แต่หวังว่าน่าจะทำให้เข้าใจอะไรในฝั่งของมาร์คมากขึ้น (หรือที่จริงก็ยังไม่เข้าใจเหมือนเดิมกันแน่นะ)
    ยังไงก็ขอให้รอติดตามกันต่อในพาร์ทหน้า ซึ่งทางผู้แต่งคาดว่าน่าจะเป็นพาร์ทจบแล้วค่ะ

    หนึ่งคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆของผู้แต่งนะคะ หรือจะตามไปสครีมฟิคที่แท็ก #ด้ายแดงอซท ก็ได้ค่ะ
    S
    N
    A
    P
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×