ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : สลักวิญญาณ ( ครบค่ะ)
" ข้า..ขอโทษ "
ใบหน้าหวานเบือนหนี เหมือนกำลังขีดเส้นแบ่งแยกไม่ให้ความใกล้ชิดนี่เกิดขึ้นจนเลยเถิด ริมฝีปากแม้มปิดสนิท วูบหนึ่งผมนึกอยากผลักไสร่างหนานี่ไปให้ห่างจากตัวโดยไว...
ผมไม่ได้นึกรังเกียจกับสัมผัสห่วงแหนที่แสนอบอุ่นนี่
..แค่ไม่อยากให้เขาเข้ามามีอิทธิพลในหัวใจผมมากเกินจนถลำลึกกว่าที่ควร..
" ทำไมเจ้าจึงเคืองข้า ไม่ใช่ข้ารึที่ต้องเคืองเจ้าให้มากๆ "
" เจ้าพูดอะไร ปล่อยเถอะข้ายืนเองได้แล้ว "
" เจ้าพูดอะไร ปล่อยเถอะข้ายืนเองได้แล้ว "
ผมตบลงบนอกเขาเบาๆให้รู้สึกตัว ซุนชิวปล่อยแขนที่เกี่ยวเอวเล็กอย่างว่าง่าย ร่างสูงมองดูผมที่ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นไม้แบบไม่กลัวสกปรก
" เจ้าช่างประหลาดนักอาเฟิง"
" ไปหู๋!! "
" ไปหู๋!! "
ดวงตาเรียวสีเขียวหม่นเหลือบมองผมที่ตีหน้ายักษ์แยกเขี้ยวเตรียมขบกัดเขาเต็มที่
ซุนชิวกุมมือผมวางทับปิดเปลือกตา แกล้งทำเป็นไม่สนทำหูทวนลมที่ผมเผลอเรียกชื่อเดิมของเขา
ตอนนี้ท่านอ๋องแห่งแคว้น พระอนุชาในสายเลือดองค์ฮ่องเต้กำลังนอนหนุนตักผมสบายอารมณ์ เส้นผมสีขาวถูกรวบไว้ด้วยปิ่นหยกลวยลายวิจิตรมีบางส่วนคลี่แผ่กระจายเต็มหน้าตักเหมือนเส้นไหมสีเงินที่ดูสูงค่า
" เจ้าเคืองข้าเรื่องฉิงเทียนใช่ไหม "
" ... "
" ... "
ผมนั่งเงียบไม่ตอบคำถาม ฝ่ามือหนาวางทับมือผมทั้งสองข้างที่ใบหน้าเขา ริมฝีปากสีชมพูรูปกระจับขยับเอื้อนเอ่ยประโยคที่บ่งบอกว่าเขายึดติดกับผมมากแค่ไหน..
" ไม่ว่าจะเป็น หัวใจหรือร่างกายของเจ้าทั้งหมดนั้นล้วนคือของข้าๆทุกภพทุกชาติไม่ว่าเจ้าจะจุติมาสักกี่ร้อยครั้ง "
" เจ้ามั่นใจได้หรือ หึ หากว่าข้าไม่ใช่ฉิงเทียนเล่า "
" ต้องให้พ้นผ่านอีกกี่ภพ ข้าต้องทนมองดูเจ้าตายจากอีกกี่ครา เจ้าถึงจะเชื่อมั่นในตัวข้า เฟิงหลิง "
และแน่นอนว่าผมหาคำตอบนั้นไม่ได้...
ผมไม่ได้อยากให้เขาทรมาณ จมปลักกับความรักที่ไม่ยั่งยืนแบบนี่...
จมปลักกับตัวผมที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดทุกชาติภพ
" หรือว่าข้ารักเจ้าไม่พอ... "
ดวงตากลมหลุบลงต่ำมองคนที่ใช้ตักหนุนต่างหมอน แววตาที่เคยเรียบรื่นดุจสายน้ำที่นิ่งเฉยเริ่มสั่นคลอนราวกับมีมวลคลื่นแอบแฝงใต้ท้องทะเลอันเงียบสงบ
ใจผมวูบโหวงเมื่อได้เห็นความเจ็บปวดที่เขากักเก็บอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
ความสิ้นหวัง...
ความโดดเดี่ยว..ที่เขาต้องพบเจอ..
" ไม่พอใช่หรือไม่ ตลอดลมหายใจ ทุกส่วนของร่างกายและหัวใจข้า ยังไม่พอสำหรับเจ้าอีกรึ.. "
" ทำไม.. ถ้าข้าไม่ใช่..! "
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ซึนชิวก็เอื้อมมือมาปิดปาก..ปลายนิ้วขาวนวลเกลี่ยริมฝีปากส่วนล่างอย่างคิดถึง รอยยิ้มเศร้าสร้อยฉีกแต้มที่ใบหน้าหล่อเหลาปานรูปสลักบางเบา
" ไม่ต้องสนเหตุผล เจ้าสนแค่ข้า...ตลอดชีวิตเจ้าสนเพียงข้าได้ไหม "
ไม่ต้องสนเหตุผลเหรอ...
ผมควรทำแบบนั้นใช่ไหม..
ผม'มีสิทธิ์'ทำได้.....งั้นสิ
ฝ่ามือหนาลากไล้ตั้งแต่ริมฝีปากซีดมาถึงบริเวณแก้มอิ่มที่มีเลือดฝาด ผมปิดเปลือกตาลงเมื่อน้ำสีใสไหลออกจากกระบอกตาคู่กลมช้าๆ ซุนชิวเช็ดน้ำตาให้ด้วยความอ่อนโยนก่อนที่เรียวนิ้วเย็นชืดจะแตะหลังต้นคอ
" จะมีสักสามชื่อหรือสามคน ข้าก็พร้อมวางหัวใจ สละตบะที่พร่ำเพียรสั่งสมมาร่วมพันกว่าปีไว้แทบเท้า... "
ใบหน้าผมถูกรั่งให้โน้มลงจนปลายจมูกทั้งสองคลอเคลียโดนกันและกัน เสียงนุ่มกระซิบชิดริมฝีปากเอ่ยคำที่ช่างดูโง่งม ไร้ซึ่งศักศรีดิ์ หมดสิ้นความหยิ่งทะนงในเผ่าพันธ์ให้ผมได้รับรู้..
" แทบเท้าเจ้าเพียงผู้เดียว "
ผมหลับตาพริ้มเมื่อซุนชิวเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้ ไม่ลังเลจะตอบรับสัมผัสหวานซึ่งที่มอบผ่านจุมพิตอย่างโหยหา...
ตำหนัก ฟ้าเคลื่อน
ณ ที่ประทับแห่งซุนชิวอ๋อง
เรือนกายบางลงขย่มตัวลงบนที่นอนหนานุ่มสองสามรอบเพื่อทดสอบระดับความสบาย เตียงขนาดใหญ่สี่เสามีผ้าม่านผูกติดไว้ตามมุมทุกมุมดูหรูหรา ดวงตากลมคู่โศกสีเข้มตวัดมองสิ่งของประดับราคาแพงระลิ้วที่วางตกแต่งรอบตำหนักของซุนชิวอย่างสนใจ
ตอนนี้ผมกำลังนั่งรอชายหนุ่มมาดเข้มที่มีบุคคลิกเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งพันปีอยู่บนเตียงเพื่อจะเคลียเรื่องบางเรื่องที่เขาจัดการปุปปับโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรเลย..
ตำหนักของร่างสูงนั้นเงียบสงัดเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆจนผมนิ่วหน้า มีเพียงเสียงร้องจากแมลงในสวนที่ดังฝ่าความเงียบมาเป็นระยะๆ
แสงเทียนน้อยใหญ่วูบไหวเกิดทาบทับเป็นเงาบนกำแพงชวนให้รู้สึกเสียวสันหลังเมื่อผมดันนึกถึงหนังสยองขวัญที่เคยดู
กระดึบ..กระดึบ..
ผมรีบยันกายชิดติดหน้าต่างนั่งชั่นเข่าทั้งสองข้าง คว้าผ้าแพรผืนนิ่มมากอดไว้เรียกขวัญกำลังใจพลางมองสอดส่องทั่วตำหนักอย่างหวาดระแวง เมื่อตัวเองเริ่มจิตตกคิดถึงฉากในหนังสยองที่มักมีผีโผล่มาแบบไม่ให้รู้ตัว
หายตายเถอะ! ทำไมตำหนักนี้มันเงียบจังวะ!
ไหนละทหาร! ไหนนางกำนัน!
ไม่เห็นมีใครสักคน!!
ฝุบฝุบ!!
" เฮ้ย! เสียงไร.. "
ผมรีบดีดตัวออกห่างจากกำแพง ใบหน้าหวานหันไปทางหน้าต่างทรงกลมบานเล็กที่เคยนั่งแนบชิดมันตะกี้ ริมฝีปากบางเริ่มแม้มปิดสนิท มือขาวคว้าหมอนใบโตมาเป็นโล่กำบังอีกชั้นเพื่อเสริมสร้างความอุ่นใจ
นี่คือหนึ่งในนิสัยเสียเวลาที่มีเรื่องเครียด คิดไม่ตกหรือกำลังหวาดกลัว ผมมักจะติดนิสัยแม้มปากตลอด... มันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัตตอนที่มีเรื่องพวกนั้นมารบกวนจิตใจ
เงาอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวสวบสาบในความมืดมิด เสียงมันขยับตัวดังกลบเสียงธรรมชาติจนผมเริ่มหลอนทุกขณะ ดวงตาคู่โศกจ้องเขม็งไปตรงพุ่มไม้ที่ขยับเสียดสีกันต่อเป็นทอด สัญชาติร้องเตือนให้ผมถอยหลังลงจากเตียงเพื่อหาทางหนีทีไล่ เมื่อเจ้าสิ่งลี้ลับเริ่มเข้ามาใกล้หน้าต่างเรื่อยๆ
หมับ!
ร่างกายบางสะดุ้งสุดตัว รู้สึกถึงอ้อมแขนแกร่งที่รวบเอวคอดไปกอดชิดลำตัวหนา
ผมเกือบจะยกหมอนอาวุธหนึ่งเดียวในมือมาทุบหัวใครบางคนที่โผล่มาแบบไม่ให้ซุ้มให้เสียงหากไม่สังเกตเห็นวงแขนที่คุ้นเคยเข้าซะก่อน
" เจ้าชั่งตื่นตูมง่ายจริงอาเฟิง "
ฟอด!
ใบหน้าหล่อเหลาหอมลงบนศีรษะมนดังฟอดสูดดมกลิ่นหอมเข้าเต็มปอดโดยไม่ได้สำรวจอารมณ์ผมเลยสักนิด ด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัว มือขาวเนียนเลยบิดเข้าที่ผิวขาวละเอียดดุจหิมะอย่างเคืองๆ
" เจ้าทำข้าตกใจหมด! ไม่ต้องมากอดเลย..ปล่อยๆๆ"
" เคยห้ามข้าได้ด้วยรึ "
ผมรีบหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มอย่างทุลักทุเลหลังจากที่ฝาดฝ่ามือตีเขาจนสาแก่ใจตอนนี่เลยกลับกลายเป็นว่ามีเพียงหมอนอิงใบโตที่กั้นขวางระหว่างเราสองคน
ซุนชิวแกล้งเลิกคิ้วสงสัยกับคำพูดผมในที
ถึงแม้เขาจะมีสีหน้าเรียบเย็นดังรูปสลัก แต่แววตาเรียวสวยกลับฉายชัดถึงความขบขันจนทำให้ผมเริ่มมีอารมณ์โมโหขึ้นมา
มือบางบิดเข้าที่เรียวแขนซ้ำๆจนมันขึ้นรอยแดงเป็นปื้น ใบหน้าหวานจ้องมองซุนชิวที่ยังคงตีหน้าเรียบเหมือนไม่รู้สึกรู้สากับการที่ผมปะทุร้ายร่างกายของเขา
" เจ้าสั่งให้คนย้ายเสื้อผ้าข้ามาไว้ที่ตำหนักเจ้าทำไม! แล้วยังจะให้ข้าอยู่ร่วมกับคนน่าชั่งเช่นเจ้าเนี่ยนะ! ปล่อยเลย!!"
ผมยังคงหยิกเนื้อที่แขนเขาอย่างหมั่นไส้ ดวงตากลมถลึงมองซุนชิวที่แอบฉกหอมแก้มผมเอาดื้อๆ
ใครว่าผู้ชายคนนี้เย็นชากัน..ทีเขาอยู่กับผมสองต่อสองทีไรชอบเอารัด เอาเปรียบผมตลอด แถมยังหน้ามึนโครตๆ!
" ข้าอยากนอนเคียงเจ้าเหมือนแต่ก่อน อยากเห็นเจ้าอยู่ในสายตาทุกย่างก้าว อยากให้มีกลิ่นกายเจ้าตลบอบอวลแค่ในตำหนักข้า ข้าผิดหรือ "
ให้ตายเถอะเขามัน..
น่ารักจริงๆ!
ผมก้มหน้าฝุบลงกับหมอนใบเขื่อง หวังให้ความนุ่มนิ่มของมันดึงริ้วแดงชมพูที่เริ่มผาดทับบนแก้มอิ่มออกไป เสียงที่เปล่งพูดตอบประโยคหวานๆจึงดังอู้อี้แทบฟังไม่ได้ศัพท์
" ไม่ต้องมาแถ! ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก.."
" แถ..หมายความว่าอย่างไร "
เสียงนุ่มรื่นหูเอ่ยกระซิบถาม ซุนชิวก้มหน้าลงมาใกล้แกล้งเป่าลมร้อนใส่ลำคอระหงเบาๆ จนผมรีบหดคอหนีทำเอาแทบขาดอากาศหายใจเดียวนั้นเพราะเอาแต่ฝังหน้าลงกับหมอนท่าเดียว
" คำพูดเจ้าไม่เหมือนคนภพนี้ "
" กะ..ก็ข้า..ไม่ใช่คนที่นี่นิ.. อะ.."
ใบหน้าหวานที่แต่งเติมด้วยสีแดงส่งผลให้แก้มอิ่มดูมีน้ำมีนวลขึ้น ดวงตากลมโตสีเข้มโศกซึ้งเหลือบมองมาทางข้าก่อนจะผินหนีอย่างอายๆ ริมฝีปากบางแม้มปิดสนิท ปลายคางเรียวถูกมือขาวรั่งให้เชิดไม่ให้หลบซ่อนสายตา
ข้าก้มลงมองแขนตนเองที่มีรอยแดงจ้ำจากฝีมือของแมวน้อยตรงหน้า มุมปากบางยกยิ้มที่ได้เห็นท่าทางลนลานร้อนตัวของเฟิงหลิง
เจ้าไม่รู้จักกลบเกลื่อนสีหน้าเลยสินะ..
ข้ากลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นลำคอขาวเนียนที่ชวนดึงดูด กลิ่นกายเฉพาะตัวของร่างบางปลุกความปราถนาในกายได้ไม่ยาก
ถึงแม้จะเพียรบำเพ็ญตบะมามากกว่าพันปี แต่เฟิงหลิงเปรียบสเหมือนสิ่งยั่วยุที่ค่อยเร้าอารมณ์ปั่นป่วนของข้า
กับคนแบบเขาต้องใช้ความอดทนมากเพียงไรกัน
" เจ้า เอ่อ..จะจ้องข้าอีกนานไหม.. "
น้ำเสียงนุ่มติดแหบน้อยๆเปล่งถาม แต่เจ้าตัวกลับพยายามหลบสายตาไปมองที่อื่น
" เจ้าให้มองได้ไหมละ ตลอดชีวิตของข้า เจ้าให้ได้ไหม.. "
..ลองเสี่ยงเพื่อหวังผล ประโยคนี้เมื่อพันปีก่อนตอนแรกพบเจ้า ตอนที่เจ้าเหลือบแลปีศาจเช่นข้า ข้าได้เอ่ยถามเจ้าเป็นประโยคแรก..
ใบหน้าหวานเริ่มมีสีแดงดังชาด ดวงตากลมคล้ายเส้นสายราตรีกาลกลอกหลุกหลิกไปมาอย่างหาทางหลีกเลี่ยง
เฟิงหลิงฉีกยิ้มแหยทั้งๆที่ใบหน้าแดงฉาน มือบางยกมาเกาหัวแก้อาการเก้อเขิน
ท่าทางนั้นชั่งสั่นคลอนหัวใจที่หนาวเหน็บของข้าจนชักอดใจไม่ไหว
มีแค่เจ้าเท่านั้นที่ทำให้ข้ามีอารมณ์เฉกเช่นผู้อื่นได้
มีแค่เจ้า..ที่เปรียบสเหมือนดวงใจของข้า
ข้าฉวยโอกาศที่มีเพียงน้อยนิด ประกบปากชิดลำคอขาวผ่องที่ล่อตาล่อใจแล้วดูดดึงผิวเนื้อหอมนุ่มลิ้นเล็กน้อยเพื่อเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจจนขึ้นสีจ้ำแดง ก่อนจะไล่เลียความหวานทิ้งท้ายอย่างอ้อยอิ่ง
หึๆ ตัวแข็งเป็นหินเชียว..
" จะ..เจ้า..เจ้า ไป๋หู! "
ผลั้ว!!
ข้าคงประมาทคนตัวบางมากไปหน่อย พอถอยหน้าเพื่อจะมองผลงานฝีมือตนเอง หมอนใบโตก็ถูกฝาดมาตรงหน้าอกเข้าเต้มๆ เฟิงหลิงตะปบรอยบนลำคอทำหน้ายังกับเห็นผี ร่างบอบบางลุกขึ้นเดินไปส่องกระจกทองเหลืองโดยเร็ว
ข้าส่ายหน้ากับพฤติกรรมที่แสนน่ารักน่าชัง ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่พันปี..
เจ้าก็คือคนของข้าเพียงผู้เดียว
" ไป๋หู เจ้า..เจ้า..มัน.. "
ต่อค่ะ
เฟิงหลิงหันมาชี้นิ้วประนามการกระทำข้าพอเป็นพิธี ร่างบางแทบจะถลาขึ้นไปนั่งเกยบนโต้ะเพื่อจ้องมองรอยจุมพิตนั้นชัดๆไม่ประสาเลย..
" เจ้ายั่วอารมณ์ข้า ข้าไม่ผิด.. "
ข้าพูดแก้ต่างเหมือนว่าตนเองเป็นผู้บริสุทที่โดนใส่ร้าย หากตาไม่พร่าเกินควร ดูเหมือนคนรักข้าเริ่มจะกลายร่างเป็นลูกแมวป่าเสียแล้วและคงอยากฝ่อนเล็บใส่ตัวเต้มที
" ไม่ผิดบ้าอะไร ไอ้หมาบ้า แถเก่งจริง"
ร่างบางขมุบขมิบปากบ่นในลำคอ เสียแต่ไม่เกินความสามมารถข้าที่จะได้ยิน
หากท่านพี่รู้เข้าว่าเผ่าพันธ์ที่แสนเก่งกาจ หยิ่งผยองถือเรื่องศักศรีสำคัญยิ่งกว่าชีวิต โดนเฟิงหลิงเรียกว่า'หมาบ้า'เขาคงไม่วายร่ำไห้ไปเป็นวันแน่แท้..
ผลเสี่ยงคงเท่ากับศูนย์ เฟิงหลิงยังจำได้แค่เศษเสี้ยวหนึ่งในร้อย
แต่ไม่เปนไร..ให้รอเจ้าทั้งชาติข้าก็ทำได้
ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองด้านหลังนิ่งๆแล้วพยักรับคำเชิงอนุญาติ ดวงตาเรียวประกายเขียวหม่นฉายแววไม่ยี่ระต่อสิ่งใด ก่อนที่ร่างๆหนึ่งจะสลายหายไปในความมืดเมื่อได้รับคำตอบ
เสียงบ่นกระปอดกระแปดยังดังเรื่อยๆ ข้ามองใบหน้าร่างบางที่ขึ้นสีแดงก่ำงอง่ำคล้ายเด็กโดนขัดใจ สองมือเล็กยังคงปิดจับรอยแดงที่คอมั่น
" อาเฟิงมาเถิด ข้ามีเรื่องอยากจะให้เจ้าช่วยไขข้อสงสัยเสียหน่อย "
ข้าใช้น้ำเสียงนุ่มถอดวอนขอร้องร่างบาง เฟิงหลิงชอบแอบทำหน้าเคลิ้มทุกคราเวลาที่ได้ยินคำพูดออดอ้อนเขาเช่นนี้
" ไป๋หู.. เป็นเช่นไรไปแล้ว "
พอร่างบางเดินมาถึงช่วงแขนที่เอื้อมถึง ข้าพลันดึงเอวบางมากกกอด แนบอิงแอบใบหน้าเข้าตรงช่วงท้องของเฟิงหลิง สอดมือรัดเอวคอดไว้แน่นหนา
" คิกๆ เจ้าอ้อนข้าหรอกรึ "
" อืม..เช่นเจ้าคิด "
ดวงตาเรียวหลับพริ้มไร้ซึ่งการป้องกันใดๆผิดจากวิสัยที่มักจะแบ่งแยกคนอื่นหากชนชั้นต่าง แรงสั่นสะเทือนจากร่างเล็กทำให้รู้ว่าลูกแมวน้อยคงกำลังกลั้นขำในท่าทีที่ข้าแสดงออก
" เจ้าน่ารักจริง มาอ้อนข้าแบบนี้ใครเล่าจะไม่ใจอ่อน "
เฟิงหลิงสางเส้นผมยาวสลวยให้อย่างเบามือ นิ้วทั้งห้าคอยลูบลงเรื่อยๆไม่รีบร้อนพอสุดเรียวแขนเสลาเขาจะยกมือมาสางให้ใหม่ เว้นแค่คนคนนี่ คนเดียวที่ยอมสิโรราบให้ได้ทุกอย่าง..
" เจ้าอยากให้ข้าเป็นปีศาจร้าย ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์หรือหมาที่เชื่องมือเจ้าของ..ข้าเป็นให้เจ้าได้ทุกอย่าง..
ขอเพียงอย่าทิ้งข้าไปก็พอ.. เฟิงหลิงเจ้าอย่าจากไป..ข้ารับไม่ไหวอีกแล้ว ทนรับไม่ได้แน่หากมีอีกครา.. "
ข้าพูดวอนขอชายหนุ่มมนุษย์เดินดินธรรมดา ยอมวางศักศรีทั้งหมดกองไว้แทบเท้าคนคนนี้
คนที่รักหมดหัวใจ..
เหตุเพราะไม่อาจทำใจได้ถ้าต้องสูญเสียอาเฟิงอีก แค่ครั้งเดียวที่ต้องทนมองเขาตายลงระหว่างทาง หัวใจข้าคล้ายจะแหลกสลาย เจ็บปวดดังเข็มนับพันนับหมื่นทิ่มแทง น้ำตามากมายไหลรินรดใบหน้าหวานอย่างไม่อาย ร่างที่สิ้นไร้วิญญาณที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นยังฝังติดในความทรงจำจนบางทีก็หวาดหวั่น
ทนรับอีกไม่ไหว..
ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้นคราใด ข้าคงต้องคลั่งตายเป็นแน่
" เจ้าไม่ต้องเป็นหมา อย่าทิ้งเกียรติที่มีเพื่อคนเช่นข้า ขอแค่เจ้าเป็นตัวเจ้า อย่าผันแปร ห้ามปันใจ อย่าปล่อยมือจากข้าก็พอ "
" ไม่สัญญาแต่จะทำให้เจ้าเห็น เมื่อข้ารักเจ้า ไม่ว่าปีศาจเผ่าไหน เทพธิดาองค์ใด สายตาข้าไม่เหลือบแลผู้ใดอีกแล้ว เว้นเพียงเจ้า "
" ไม่ยักรู้ว่าเจ้าช่างเกี้ยว โอ้!สงสัยต้องไปบอกท่านพี่จุนกวางให้รู้ซะละ หึๆ "
เฟิงหลิงบอกน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ดวงตากลมหรี่ลงคล้ายพบเห็นวิธีกลั่นแกล้งข้า..
ร่างโปร่งบางดีดนิ้วดังป้อกทำท่าเหมือนคนพึ่งนึกอะไรได้
" เจ้าอยากให้ข้าไขข้อสงสัยอะไรรึ "
ใบหน้าหล่อเหลาผละห่างจากกายบางแค่เล็กน้อย ข้าเงยหน้ามองคนหน้าหวานที่ยืนกระพริบตามองมาปริบๆ
" ลอยสักบนหลัง ข้าอยากดูได้ไหม "
" อ๋อ เรื่องนี้เอง..ได้สิ ทีแรกข้านึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร "
มือบางปลดแก้แถบผ้าไหมคาดเอวสีเขียว เรียวนิ้วเขี่ยสาปเสื้อเนื้อดีสีขาวขลิบเขียวแยกออกจากกันช้าๆ เรือนกายบอบบางเผยผิวขาวละเอียดทีละนิด เฟิงหลิงถอดแขนเสื้อออกจากเรียวแขนเสลาจนมันตกลงไปกองอยุ่ที่ข้อมือเล็กพลางหมุนตัวโชว์ลอยสักสีดำเข้มที่ตัดกับผิวขาวเนียน
รูปมังกรตามตำราศาสตร์นอนขดตัวอยู่กึ่งกลางแผ่นหลัง ปีกสยายกว้างดูขัดกับท่าทางราวกับจะเผยให้เห็นถึงความองอาจตามสัญชาติญาณ ดวงตาเรียวดังเมล็ดข้าวเหมือนจดจ้องมาที่ข้าอย่างไว้ซึ่งชั้นเชิง
หึ.เจ้ายอมสละดวงจิตทั้งมวลเพื่อปกป้องอาเฟิงแบบนี้เชียวนี้
เวลาผ่านเนิ่นนานนับพันปี ทำไมเจ้ายังไม่ยอมรับความจริงอีก..
" อย่าเงียบสิ เจ้าไม่ชอบมันเหรอ ซุนชิว"
เสี้ยวหน้าหวานพยายามหันมามอง ข้ายกมือเเตะค้างบริเวณดวงตาของมัน รู้สึกได้เลยว่าเฟิงหลิงเกร็งตัวชั่ววูบจนร่างแข็งค้าง
" หากข้าไม่ชอบ เจ้ายอมให้ลบรอยหรือไม่ "
" ลบรอย? เจ้าทำได้รึ "
" ได้..อยู่ที่เจ้าว่าจะยอมให้ข้าทำไหม ทุกอย่างข้าให้เจ้าเป็นผู้ตัดสิน "
อย่าทำร้ายข้า
อย่าตอบว่าไม่...
อย่าหลงเหลือเยื่อใยให้' เขา '
" ได้โปรด.. "
กว่าจะรู้ตัวว่าได้เอ่ยเรียกร้องความต้องการส่วนลึกออกมา ดวงตาเรียวตวัดมองเพื่อดูท่าทีร่างบาง เมื่อเห็นริมฝีปากบางเม้มปิด หัวใจก็พลันกระตุกถี่ระรัวโดยแรง..
" เจ้า..ไม่.. "
" อือ ถ้าลบได้ก็ลบเถอะ ข้าไม่รู้เหตุผลของเจ้าหรอก แต่นานๆทีเจ้าจะขออะไรกับข้า ข้าตามใจเจ้า เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้วซุนชิว "
ดวงตาสีเข้มดูอ่อนแสงลง มือบางไล้บริเวณสันกรามเบาๆ ข้าแนบใบหน้าเข้าที่ฝ่ามือเล็กอย่างนึกขอบคุณ ไม่วายที่จะพรมจูบเข้าตรงผิวขาวซ้ำๆ
เฟิงหลิงรีบชักมือกลับโดยเร็วแล้วหันหน้าหนีซ่อนสีหน้าแดงก่ำไม่ให้ข้าเห็น
ท่าทางที่น่าเอ็นดูนั้นสามารถทำให้ข้ายกยิ้มขึ้นมาได้อย่างง่ายๆ
ปลายนิ้วเตะค้างไว้ตรงรอยสักกึ่งกลางส่วนหัวของมังกร ดวงตาเรียวเริ่มเปล่งแสงลี้ลับชวนหวาดหวั่น ริมฝีปากซีดเอ่ยแก้คาถาเวทชั่นสูงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบจากมรณกาลที่ใครบางคนได้สลักไว้บนวิญญาณของคนรักข้าเมื่อชาติภพก่อน
ต่อให้เป็นหนึ่งในสองจตุรเทพแห่งทิศทั้งสี่จะลงมาด้วยตนเอง ข้าก็จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น!
หากเผ่าสวรรค์อยากละเมิดข้อตกลงมาชวงชิงตัวอาเฟิงไปจากข้า เห็นทีคงต้องมีใครตายกันไปข้าง!
แววตาที่เฟิงหลิงชอบมองอยู่เสมอบัดนี้เริ่มฉายชัดถึงความเหี้ยมโหดตามสัญชาติญาณปีศาจร้าย
ทุกคราที่ลากปลายนิ้วผ่านลวดลายมังกรนั้นลอยสักก็จะเลือนหายทีละนิดอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ
นี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย
....
หวังว่าเจ้าจะได้รู้สักที
....
หลันเหมยฮวา!!
...
.
ทำไมยิ่งแต่งเม้นยิ่งน้อยง้า กระซิกๆๆ
😣😣
แปะลิง! ตะเองงปมมันเยอะไปหน่อยน้า อย่าพึงงงกันนะครัช หมูม้วนจะค่อยๆเฉลยทีละปมให้ 🐷🐷🐷👇👇👇
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น