ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปราถนารักข้ามภพ (Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #7 : สลักวิญญาณ ( ครบค่ะ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 120
      0
      21 ส.ค. 59




    " ข้า..ขอโทษ "
     

         ใบหน้าหวานเบือนหนี เหมือนกำลังขีดเส้นแบ่งแยกไม่ให้ความใกล้ชิดนี่เกิดขึ้นจนเลยเถิด      ริมฝีปากแม้มปิดสนิท วูบหนึ่งผมนึกอยากผลักไสร่างหนานี่ไปให้ห่างจากตัวโดยไว...

         ผมไม่ได้นึกรังเกียจกับสัมผัสห่วงแหนที่แสนอบอุ่นนี่


         ..แค่ไม่อยากให้เขาเข้ามามีอิทธิพลในหัวใจผมมากเกินจนถลำลึกกว่าที่ควร..



    " ทำไมเจ้าจึงเคืองข้า ไม่ใช่ข้ารึที่ต้องเคืองเจ้าให้มากๆ "


    " เจ้าพูดอะไร ปล่อยเถอะข้ายืนเองได้แล้ว "

        ผมตบลงบนอกเขาเบาๆให้รู้สึกตัว  ซุนชิวปล่อยแขนที่เกี่ยวเอวเล็กอย่างว่าง่าย ร่างสูงมองดูผมที่ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นไม้แบบไม่กลัวสกปรก


    " เจ้าช่างประหลาดนักอาเฟิง"


    " ไปหู๋!! "


        ดวงตาเรียวสีเขียวหม่นเหลือบมองผมที่ตีหน้ายักษ์แยกเขี้ยวเตรียมขบกัดเขาเต็มที่
        ซุนชิวกุมมือผมวางทับปิดเปลือกตา แกล้งทำเป็นไม่สนทำหูทวนลมที่ผมเผลอเรียกชื่อเดิมของเขา
        ตอนนี้ท่านอ๋องแห่งแคว้น พระอนุชาในสายเลือดองค์ฮ่องเต้กำลังนอนหนุนตักผมสบายอารมณ์ เส้นผมสีขาวถูกรวบไว้ด้วยปิ่นหยกลวยลายวิจิตรมีบางส่วนคลี่แผ่กระจายเต็มหน้าตักเหมือนเส้นไหมสีเงินที่ดูสูงค่า




    " เจ้าเคืองข้าเรื่องฉิงเทียนใช่ไหม "


    " ... "

         ผมนั่งเงียบไม่ตอบคำถาม ฝ่ามือหนาวางทับมือผมทั้งสองข้างที่ใบหน้าเขา ริมฝีปากสีชมพูรูปกระจับขยับเอื้อนเอ่ยประโยคที่บ่งบอกว่าเขายึดติดกับผมมากแค่ไหน..


    " ไม่ว่าจะเป็น หัวใจหรือร่างกายของเจ้าทั้งหมดนั้นล้วนคือของข้าๆทุกภพทุกชาติไม่ว่าเจ้าจะจุติมาสักกี่ร้อยครั้ง "


    " เจ้ามั่นใจได้หรือ หึ หากว่าข้าไม่ใช่ฉิงเทียนเล่า "

    " ต้องให้พ้นผ่านอีกกี่ภพ ข้าต้องทนมองดูเจ้าตายจากอีกกี่ครา เจ้าถึงจะเชื่อมั่นในตัวข้า เฟิงหลิง "

     
         
         และแน่นอนว่าผมหาคำตอบนั้นไม่ได้...

         ผมไม่ได้อยากให้เขาทรมาณ จมปลักกับความรักที่ไม่ยั่งยืนแบบนี่...

         จมปลักกับตัวผมที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดทุกชาติภพ


      " หรือว่าข้ารักเจ้าไม่พอ... "
     

        ดวงตากลมหลุบลงต่ำมองคนที่ใช้ตักหนุนต่างหมอน แววตาที่เคยเรียบรื่นดุจสายน้ำที่นิ่งเฉยเริ่มสั่นคลอนราวกับมีมวลคลื่นแอบแฝงใต้ท้องทะเลอันเงียบสงบ
    ใจผมวูบโหวงเมื่อได้เห็นความเจ็บปวดที่เขากักเก็บอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ


        ความสิ้นหวัง...


        ความโดดเดี่ยว..ที่เขาต้องพบเจอ..



    " ไม่พอใช่หรือไม่ ตลอดลมหายใจ ทุกส่วนของร่างกายและหัวใจข้า ยังไม่พอสำหรับเจ้าอีกรึ.. "


    " ทำไม.. ถ้าข้าไม่ใช่..! "

     

        ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ซึนชิวก็เอื้อมมือมาปิดปาก..ปลายนิ้วขาวนวลเกลี่ยริมฝีปากส่วนล่างอย่างคิดถึง รอยยิ้มเศร้าสร้อยฉีกแต้มที่ใบหน้าหล่อเหลาปานรูปสลักบางเบา


    " ไม่ต้องสนเหตุผล เจ้าสนแค่ข้า...ตลอดชีวิตเจ้าสนเพียงข้าได้ไหม "


        ไม่ต้องสนเหตุผลเหรอ...


        ผมควรทำแบบนั้นใช่ไหม..


        ผม'มีสิทธิ์'ทำได้.....งั้นสิ


        ฝ่ามือหนาลากไล้ตั้งแต่ริมฝีปากซีดมาถึงบริเวณแก้มอิ่มที่มีเลือดฝาด ผมปิดเปลือกตาลงเมื่อน้ำสีใสไหลออกจากกระบอกตาคู่กลมช้าๆ       ซุนชิวเช็ดน้ำตาให้ด้วยความอ่อนโยนก่อนที่เรียวนิ้วเย็นชืดจะแตะหลังต้นคอ


     " จะมีสักสามชื่อหรือสามคน ข้าก็พร้อมวางหัวใจ สละตบะที่พร่ำเพียรสั่งสมมาร่วมพันกว่าปีไว้แทบเท้า... "


        ใบหน้าผมถูกรั่งให้โน้มลงจนปลายจมูกทั้งสองคลอเคลียโดนกันและกัน เสียงนุ่มกระซิบชิดริมฝีปากเอ่ยคำที่ช่างดูโง่งม ไร้ซึ่งศักศรีดิ์ หมดสิ้นความหยิ่งทะนงในเผ่าพันธ์ให้ผมได้รับรู้..


    " แทบเท้าเจ้าเพียงผู้เดียว "


        ผมหลับตาพริ้มเมื่อซุนชิวเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้ ไม่ลังเลจะตอบรับสัมผัสหวานซึ่งที่มอบผ่านจุมพิตอย่างโหยหา...





        ตำหนัก ฟ้าเคลื่อน


       ณ ที่ประทับแห่งซุนชิวอ๋อง


         เรือนกายบางลงขย่มตัวลงบนที่นอนหนานุ่มสองสามรอบเพื่อทดสอบระดับความสบาย เตียงขนาดใหญ่สี่เสามีผ้าม่านผูกติดไว้ตามมุมทุกมุมดูหรูหรา ดวงตากลมคู่โศกสีเข้มตวัดมองสิ่งของประดับราคาแพงระลิ้วที่วางตกแต่งรอบตำหนักของซุนชิวอย่างสนใจ
        ตอนนี้ผมกำลังนั่งรอชายหนุ่มมาดเข้มที่มีบุคคลิกเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งพันปีอยู่บนเตียงเพื่อจะเคลียเรื่องบางเรื่องที่เขาจัดการปุปปับโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรเลย..
         ตำหนักของร่างสูงนั้นเงียบสงัดเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆจนผมนิ่วหน้า มีเพียงเสียงร้องจากแมลงในสวนที่ดังฝ่าความเงียบมาเป็นระยะๆ
    แสงเทียนน้อยใหญ่วูบไหวเกิดทาบทับเป็นเงาบนกำแพงชวนให้รู้สึกเสียวสันหลังเมื่อผมดันนึกถึงหนังสยองขวัญที่เคยดู

         
        กระดึบ..กระดึบ..

         
        ผมรีบยันกายชิดติดหน้าต่างนั่งชั่นเข่าทั้งสองข้าง คว้าผ้าแพรผืนนิ่มมากอดไว้เรียกขวัญกำลังใจพลางมองสอดส่องทั่วตำหนักอย่างหวาดระแวง เมื่อตัวเองเริ่มจิตตกคิดถึงฉากในหนังสยองที่มักมีผีโผล่มาแบบไม่ให้รู้ตัว


         หายตายเถอะ! ทำไมตำหนักนี้มันเงียบจังวะ!


         ไหนละทหาร! ไหนนางกำนัน!

         
        ไม่เห็นมีใครสักคน!!



         ฝุบฝุบ!!




        " เฮ้ย! เสียงไร.. "


         ผมรีบดีดตัวออกห่างจากกำแพง ใบหน้าหวานหันไปทางหน้าต่างทรงกลมบานเล็กที่เคยนั่งแนบชิดมันตะกี้ ริมฝีปากบางเริ่มแม้มปิดสนิท มือขาวคว้าหมอนใบโตมาเป็นโล่กำบังอีกชั้นเพื่อเสริมสร้างความอุ่นใจ
        นี่คือหนึ่งในนิสัยเสียเวลาที่มีเรื่องเครียด คิดไม่ตกหรือกำลังหวาดกลัว ผมมักจะติดนิสัยแม้มปากตลอด... มันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัตตอนที่มีเรื่องพวกนั้นมารบกวนจิตใจ
        เงาอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวสวบสาบในความมืดมิด เสียงมันขยับตัวดังกลบเสียงธรรมชาติจนผมเริ่มหลอนทุกขณะ ดวงตาคู่โศกจ้องเขม็งไปตรงพุ่มไม้ที่ขยับเสียดสีกันต่อเป็นทอด สัญชาติร้องเตือนให้ผมถอยหลังลงจากเตียงเพื่อหาทางหนีทีไล่ เมื่อเจ้าสิ่งลี้ลับเริ่มเข้ามาใกล้หน้าต่างเรื่อยๆ


        หมับ!


        ร่างกายบางสะดุ้งสุดตัว รู้สึกถึงอ้อมแขนแกร่งที่รวบเอวคอดไปกอดชิดลำตัวหนา
        ผมเกือบจะยกหมอนอาวุธหนึ่งเดียวในมือมาทุบหัวใครบางคนที่โผล่มาแบบไม่ให้ซุ้มให้เสียงหากไม่สังเกตเห็นวงแขนที่คุ้นเคยเข้าซะก่อน




         " เจ้าชั่งตื่นตูมง่ายจริงอาเฟิง "


       
         ฟอด!


         ใบหน้าหล่อเหลาหอมลงบนศีรษะมนดังฟอดสูดดมกลิ่นหอมเข้าเต็มปอดโดยไม่ได้สำรวจอารมณ์ผมเลยสักนิด ด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัว มือขาวเนียนเลยบิดเข้าที่ผิวขาวละเอียดดุจหิมะอย่างเคืองๆ

     
    " เจ้าทำข้าตกใจหมด! ไม่ต้องมากอดเลย..ปล่อยๆๆ"


    " เคยห้ามข้าได้ด้วยรึ "


         ผมรีบหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มอย่างทุลักทุเลหลังจากที่ฝาดฝ่ามือตีเขาจนสาแก่ใจตอนนี่เลยกลับกลายเป็นว่ามีเพียงหมอนอิงใบโตที่กั้นขวางระหว่างเราสองคน
         ซุนชิวแกล้งเลิกคิ้วสงสัยกับคำพูดผมในที
    ถึงแม้เขาจะมีสีหน้าเรียบเย็นดังรูปสลัก แต่แววตาเรียวสวยกลับฉายชัดถึงความขบขันจนทำให้ผมเริ่มมีอารมณ์โมโหขึ้นมา
        มือบางบิดเข้าที่เรียวแขนซ้ำๆจนมันขึ้นรอยแดงเป็นปื้น ใบหน้าหวานจ้องมองซุนชิวที่ยังคงตีหน้าเรียบเหมือนไม่รู้สึกรู้สากับการที่ผมปะทุร้ายร่างกายของเขา




    " เจ้าสั่งให้คนย้ายเสื้อผ้าข้ามาไว้ที่ตำหนักเจ้าทำไม! แล้วยังจะให้ข้าอยู่ร่วมกับคนน่าชั่งเช่นเจ้าเนี่ยนะ! ปล่อยเลย!!"


       
        ผมยังคงหยิกเนื้อที่แขนเขาอย่างหมั่นไส้ ดวงตากลมถลึงมองซุนชิวที่แอบฉกหอมแก้มผมเอาดื้อๆ

        ใครว่าผู้ชายคนนี้เย็นชากัน..ทีเขาอยู่กับผมสองต่อสองทีไรชอบเอารัด เอาเปรียบผมตลอด แถมยังหน้ามึนโครตๆ!



        " ข้าอยากนอนเคียงเจ้าเหมือนแต่ก่อน อยากเห็นเจ้าอยู่ในสายตาทุกย่างก้าว อยากให้มีกลิ่นกายเจ้าตลบอบอวลแค่ในตำหนักข้า ข้าผิดหรือ "


        ให้ตายเถอะเขามัน..


        น่ารักจริงๆ!


        ผมก้มหน้าฝุบลงกับหมอนใบเขื่อง หวังให้ความนุ่มนิ่มของมันดึงริ้วแดงชมพูที่เริ่มผาดทับบนแก้มอิ่มออกไป เสียงที่เปล่งพูดตอบประโยคหวานๆจึงดังอู้อี้แทบฟังไม่ได้ศัพท์



    " ไม่ต้องมาแถ! ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก.."


        " แถ..หมายความว่าอย่างไร "


         เสียงนุ่มรื่นหูเอ่ยกระซิบถาม ซุนชิวก้มหน้าลงมาใกล้แกล้งเป่าลมร้อนใส่ลำคอระหงเบาๆ จนผมรีบหดคอหนีทำเอาแทบขาดอากาศหายใจเดียวนั้นเพราะเอาแต่ฝังหน้าลงกับหมอนท่าเดียว

    " คำพูดเจ้าไม่เหมือนคนภพนี้ "


    " กะ..ก็ข้า..ไม่ใช่คนที่นี่นิ.. อะ.."




        ใบหน้าหวานที่แต่งเติมด้วยสีแดงส่งผลให้แก้มอิ่มดูมีน้ำมีนวลขึ้น ดวงตากลมโตสีเข้มโศกซึ้งเหลือบมองมาทางข้าก่อนจะผินหนีอย่างอายๆ      ริมฝีปากบางแม้มปิดสนิท ปลายคางเรียวถูกมือขาวรั่งให้เชิดไม่ให้หลบซ่อนสายตา
         ข้าก้มลงมองแขนตนเองที่มีรอยแดงจ้ำจากฝีมือของแมวน้อยตรงหน้า มุมปากบางยกยิ้มที่ได้เห็นท่าทางลนลานร้อนตัวของเฟิงหลิง


          เจ้าไม่รู้จักกลบเกลื่อนสีหน้าเลยสินะ..



         ข้ากลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นลำคอขาวเนียนที่ชวนดึงดูด กลิ่นกายเฉพาะตัวของร่างบางปลุกความปราถนาในกายได้ไม่ยาก
        ถึงแม้จะเพียรบำเพ็ญตบะมามากกว่าพันปี แต่เฟิงหลิงเปรียบสเหมือนสิ่งยั่วยุที่ค่อยเร้าอารมณ์ปั่นป่วนของข้า


         กับคนแบบเขาต้องใช้ความอดทนมากเพียงไรกัน



     
       " เจ้า เอ่อ..จะจ้องข้าอีกนานไหม.. "


         น้ำเสียงนุ่มติดแหบน้อยๆเปล่งถาม แต่เจ้าตัวกลับพยายามหลบสายตาไปมองที่อื่น 


    " เจ้าให้มองได้ไหมละ ตลอดชีวิตของข้า เจ้าให้ได้ไหม.. "


         ..ลองเสี่ยงเพื่อหวังผล ประโยคนี้เมื่อพันปีก่อนตอนแรกพบเจ้า ตอนที่เจ้าเหลือบแลปีศาจเช่นข้า ข้าได้เอ่ยถามเจ้าเป็นประโยคแรก..
         ใบหน้าหวานเริ่มมีสีแดงดังชาด ดวงตากลมคล้ายเส้นสายราตรีกาลกลอกหลุกหลิกไปมาอย่างหาทางหลีกเลี่ยง
         เฟิงหลิงฉีกยิ้มแหยทั้งๆที่ใบหน้าแดงฉาน มือบางยกมาเกาหัวแก้อาการเก้อเขิน

         
         ท่าทางนั้นชั่งสั่นคลอนหัวใจที่หนาวเหน็บของข้าจนชักอดใจไม่ไหว

         
         มีแค่เจ้าเท่านั้นที่ทำให้ข้ามีอารมณ์เฉกเช่นผู้อื่นได้


         มีแค่เจ้า..ที่เปรียบสเหมือนดวงใจของข้า



          ข้าฉวยโอกาศที่มีเพียงน้อยนิด ประกบปากชิดลำคอขาวผ่องที่ล่อตาล่อใจแล้วดูดดึงผิวเนื้อหอมนุ่มลิ้นเล็กน้อยเพื่อเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจจนขึ้นสีจ้ำแดง ก่อนจะไล่เลียความหวานทิ้งท้ายอย่างอ้อยอิ่ง


         หึๆ ตัวแข็งเป็นหินเชียว..




    " จะ..เจ้า..เจ้า ไป๋หู! "
     


         ผลั้ว!!


         ข้าคงประมาทคนตัวบางมากไปหน่อย พอถอยหน้าเพื่อจะมองผลงานฝีมือตนเอง หมอนใบโตก็ถูกฝาดมาตรงหน้าอกเข้าเต้มๆ เฟิงหลิงตะปบรอยบนลำคอทำหน้ายังกับเห็นผี ร่างบอบบางลุกขึ้นเดินไปส่องกระจกทองเหลืองโดยเร็ว
         ข้าส่ายหน้ากับพฤติกรรมที่แสนน่ารักน่าชัง ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่พันปี..


        เจ้าก็คือคนของข้าเพียงผู้เดียว




    " ไป๋หู เจ้า..เจ้า..มัน.. "

     
        ต่อค่ะ

     
        เฟิงหลิงหันมาชี้นิ้วประนามการกระทำข้าพอเป็นพิธี ร่างบางแทบจะถลาขึ้นไปนั่งเกยบนโต้ะเพื่อจ้องมองรอยจุมพิตนั้นชัดๆ



         ไม่ประสาเลย..



    " เจ้ายั่วอารมณ์ข้า ข้าไม่ผิด.. "



         ข้าพูดแก้ต่างเหมือนว่าตนเองเป็นผู้บริสุทที่โดนใส่ร้าย หากตาไม่พร่าเกินควร ดูเหมือนคนรักข้าเริ่มจะกลายร่างเป็นลูกแมวป่าเสียแล้วและคงอยากฝ่อนเล็บใส่ตัวเต้มที


    " ไม่ผิดบ้าอะไร ไอ้หมาบ้า แถเก่งจริง"

         

           ร่างบางขมุบขมิบปากบ่นในลำคอ เสียแต่ไม่เกินความสามมารถข้าที่จะได้ยิน
          หากท่านพี่รู้เข้าว่าเผ่าพันธ์ที่แสนเก่งกาจ หยิ่งผยองถือเรื่องศักศรีสำคัญยิ่งกว่าชีวิต โดนเฟิงหลิงเรียกว่า'หมาบ้า'เขาคงไม่วายร่ำไห้ไปเป็นวันแน่แท้..



         ผลเสี่ยงคงเท่ากับศูนย์ เฟิงหลิงยังจำได้แค่เศษเสี้ยวหนึ่งในร้อย



         แต่ไม่เปนไร..ให้รอเจ้าทั้งชาติข้าก็ทำได้




          ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองด้านหลังนิ่งๆแล้วพยักรับคำเชิงอนุญาติ ดวงตาเรียวประกายเขียวหม่นฉายแววไม่ยี่ระต่อสิ่งใด ก่อนที่ร่างๆหนึ่งจะสลายหายไปในความมืดเมื่อได้รับคำตอบ
         เสียงบ่นกระปอดกระแปดยังดังเรื่อยๆ ข้ามองใบหน้าร่างบางที่ขึ้นสีแดงก่ำงอง่ำคล้ายเด็กโดนขัดใจ สองมือเล็กยังคงปิดจับรอยแดงที่คอมั่น



    " อาเฟิงมาเถิด ข้ามีเรื่องอยากจะให้เจ้าช่วยไขข้อสงสัยเสียหน่อย "



          ข้าใช้น้ำเสียงนุ่มถอดวอนขอร้องร่างบาง เฟิงหลิงชอบแอบทำหน้าเคลิ้มทุกคราเวลาที่ได้ยินคำพูดออดอ้อนเขาเช่นนี้


    " ไป๋หู.. เป็นเช่นไรไปแล้ว "

         
         พอร่างบางเดินมาถึงช่วงแขนที่เอื้อมถึง ข้าพลันดึงเอวบางมากกกอด แนบอิงแอบใบหน้าเข้าตรงช่วงท้องของเฟิงหลิง สอดมือรัดเอวคอดไว้แน่นหนา



    " คิกๆ เจ้าอ้อนข้าหรอกรึ "


    " อืม..เช่นเจ้าคิด "


         ดวงตาเรียวหลับพริ้มไร้ซึ่งการป้องกันใดๆผิดจากวิสัยที่มักจะแบ่งแยกคนอื่นหากชนชั้นต่าง แรงสั่นสะเทือนจากร่างเล็กทำให้รู้ว่าลูกแมวน้อยคงกำลังกลั้นขำในท่าทีที่ข้าแสดงออก


    " เจ้าน่ารักจริง มาอ้อนข้าแบบนี้ใครเล่าจะไม่ใจอ่อน "

         
         เฟิงหลิงสางเส้นผมยาวสลวยให้อย่างเบามือ นิ้วทั้งห้าคอยลูบลงเรื่อยๆไม่รีบร้อนพอสุดเรียวแขนเสลาเขาจะยกมือมาสางให้ใหม่ เว้นแค่คนคนนี่ คนเดียวที่ยอมสิโรราบให้ได้ทุกอย่าง..
     

    "  เจ้าอยากให้ข้าเป็นปีศาจร้าย ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์หรือหมาที่เชื่องมือเจ้าของ..ข้าเป็นให้เจ้าได้ทุกอย่าง..
    ขอเพียงอย่าทิ้งข้าไปก็พอ.. เฟิงหลิงเจ้าอย่าจากไป..ข้ารับไม่ไหวอีกแล้ว ทนรับไม่ได้แน่หากมีอีกครา.. "

         

          ข้าพูดวอนขอชายหนุ่มมนุษย์เดินดินธรรมดา ยอมวางศักศรีทั้งหมดกองไว้แทบเท้าคนคนนี้

     

         คนที่รักหมดหัวใจ..



         เหตุเพราะไม่อาจทำใจได้ถ้าต้องสูญเสียอาเฟิงอีก แค่ครั้งเดียวที่ต้องทนมองเขาตายลงระหว่างทาง หัวใจข้าคล้ายจะแหลกสลาย เจ็บปวดดังเข็มนับพันนับหมื่นทิ่มแทง น้ำตามากมายไหลรินรดใบหน้าหวานอย่างไม่อาย  ร่างที่สิ้นไร้วิญญาณที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นยังฝังติดในความทรงจำจนบางทีก็หวาดหวั่น



         ทนรับอีกไม่ไหว..



         ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้นคราใด ข้าคงต้องคลั่งตายเป็นแน่



    " เจ้าไม่ต้องเป็นหมา อย่าทิ้งเกียรติที่มีเพื่อคนเช่นข้า ขอแค่เจ้าเป็นตัวเจ้า อย่าผันแปร ห้ามปันใจ อย่าปล่อยมือจากข้าก็พอ "


    " ไม่สัญญาแต่จะทำให้เจ้าเห็น เมื่อข้ารักเจ้า ไม่ว่าปีศาจเผ่าไหน เทพธิดาองค์ใด สายตาข้าไม่เหลือบแลผู้ใดอีกแล้ว เว้นเพียงเจ้า "


    " ไม่ยักรู้ว่าเจ้าช่างเกี้ยว โอ้!สงสัยต้องไปบอกท่านพี่จุนกวางให้รู้ซะละ หึๆ "



         เฟิงหลิงบอกน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ดวงตากลมหรี่ลงคล้ายพบเห็นวิธีกลั่นแกล้งข้า..


         ร่างโปร่งบางดีดนิ้วดังป้อกทำท่าเหมือนคนพึ่งนึกอะไรได้



    " เจ้าอยากให้ข้าไขข้อสงสัยอะไรรึ "

         
         ใบหน้าหล่อเหลาผละห่างจากกายบางแค่เล็กน้อย ข้าเงยหน้ามองคนหน้าหวานที่ยืนกระพริบตามองมาปริบๆ



    " ลอยสักบนหลัง ข้าอยากดูได้ไหม "


    " อ๋อ เรื่องนี้เอง..ได้สิ ทีแรกข้านึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร "


         มือบางปลดแก้แถบผ้าไหมคาดเอวสีเขียว เรียวนิ้วเขี่ยสาปเสื้อเนื้อดีสีขาวขลิบเขียวแยกออกจากกันช้าๆ เรือนกายบอบบางเผยผิวขาวละเอียดทีละนิด เฟิงหลิงถอดแขนเสื้อออกจากเรียวแขนเสลาจนมันตกลงไปกองอยุ่ที่ข้อมือเล็กพลางหมุนตัวโชว์ลอยสักสีดำเข้มที่ตัดกับผิวขาวเนียน
         รูปมังกรตามตำราศาสตร์นอนขดตัวอยู่กึ่งกลางแผ่นหลัง ปีกสยายกว้างดูขัดกับท่าทางราวกับจะเผยให้เห็นถึงความองอาจตามสัญชาติญาณ ดวงตาเรียวดังเมล็ดข้าวเหมือนจดจ้องมาที่ข้าอย่างไว้ซึ่งชั้นเชิง


         หึ.เจ้ายอมสละดวงจิตทั้งมวลเพื่อปกป้องอาเฟิงแบบนี้เชียวนี้


         เวลาผ่านเนิ่นนานนับพันปี ทำไมเจ้ายังไม่ยอมรับความจริงอีก..



    " อย่าเงียบสิ เจ้าไม่ชอบมันเหรอ ซุนชิว"

       
         เสี้ยวหน้าหวานพยายามหันมามอง ข้ายกมือเเตะค้างบริเวณดวงตาของมัน รู้สึกได้เลยว่าเฟิงหลิงเกร็งตัวชั่ววูบจนร่างแข็งค้าง



    " หากข้าไม่ชอบ เจ้ายอมให้ลบรอยหรือไม่ "


    " ลบรอย? เจ้าทำได้รึ "


    " ได้..อยู่ที่เจ้าว่าจะยอมให้ข้าทำไหม ทุกอย่างข้าให้เจ้าเป็นผู้ตัดสิน "

     

         อย่าทำร้ายข้า


         อย่าตอบว่าไม่...


         อย่าหลงเหลือเยื่อใยให้' เขา '




    " ได้โปรด.. "



         กว่าจะรู้ตัวว่าได้เอ่ยเรียกร้องความต้องการส่วนลึกออกมา ดวงตาเรียวตวัดมองเพื่อดูท่าทีร่างบาง เมื่อเห็นริมฝีปากบางเม้มปิด หัวใจก็พลันกระตุกถี่ระรัวโดยแรง..


    " เจ้า..ไม่.. "


    " อือ ถ้าลบได้ก็ลบเถอะ ข้าไม่รู้เหตุผลของเจ้าหรอก แต่นานๆทีเจ้าจะขออะไรกับข้า ข้าตามใจเจ้า เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้วซุนชิว "

         
          ดวงตาสีเข้มดูอ่อนแสงลง มือบางไล้บริเวณสันกรามเบาๆ ข้าแนบใบหน้าเข้าที่ฝ่ามือเล็กอย่างนึกขอบคุณ ไม่วายที่จะพรมจูบเข้าตรงผิวขาวซ้ำๆ
         เฟิงหลิงรีบชักมือกลับโดยเร็วแล้วหันหน้าหนีซ่อนสีหน้าแดงก่ำไม่ให้ข้าเห็น
         ท่าทางที่น่าเอ็นดูนั้นสามารถทำให้ข้ายกยิ้มขึ้นมาได้อย่างง่ายๆ
    ปลายนิ้วเตะค้างไว้ตรงรอยสักกึ่งกลางส่วนหัวของมังกร  ดวงตาเรียวเริ่มเปล่งแสงลี้ลับชวนหวาดหวั่น ริมฝีปากซีดเอ่ยแก้คาถาเวทชั่นสูงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบจากมรณกาลที่ใครบางคนได้สลักไว้บนวิญญาณของคนรักข้าเมื่อชาติภพก่อน



          ต่อให้เป็นหนึ่งในสองจตุรเทพแห่งทิศทั้งสี่จะลงมาด้วยตนเอง ข้าก็จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น!
         หากเผ่าสวรรค์อยากละเมิดข้อตกลงมาชวงชิงตัวอาเฟิงไปจากข้า เห็นทีคงต้องมีใครตายกันไปข้าง!
         แววตาที่เฟิงหลิงชอบมองอยู่เสมอบัดนี้เริ่มฉายชัดถึงความเหี้ยมโหดตามสัญชาติญาณปีศาจร้าย
    ทุกคราที่ลากปลายนิ้วผ่านลวดลายมังกรนั้นลอยสักก็จะเลือนหายทีละนิดอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ


       
         นี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย
         
          ....



         หวังว่าเจ้าจะได้รู้สักที
         
          ....



         หลันเหมยฮวา!!

         ...

         .




     
        ทำไมยิ่งแต่งเม้นยิ่งน้อยง้า กระซิกๆๆ
    😣😣
       แปะลิง! ตะเองงปมมันเยอะไปหน่อยน้า อย่าพึงงงกันนะครัช หมูม้วนจะค่อยๆเฉลยทีละปมให้ 🐷🐷🐷👇👇👇
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×