-
*แจ้งก่อนค่ะ ว่าตอนแรกเราจะกดส่งคำวิจารณ์ ไหงกดผิดไปส่งคำนิยมซะได้ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ แล้วพอกดดู คำนิยมก็ไม่ขึ้นอีก ก็เลยมาส่งตรงนี้อีกที่ หากส่งซ้ำเราขอโทษด้วยนะคะ T ^ T
-----------------------
สำหรับเรื่องนี้ เรื่องย่อภาพรวมที่เราเข้าใจคือ... เป็นเรื่องราวของ "รักษ์" นักศึกษามหาวิทยาลัยที่จับพลัดจับผลูได้มาเป็นนักศึกษาฝึกงานในบริษัทเอเจนซี่โฆษณา ซึ่งแท้จริงนั่นแค่ฉากหน้า แต่งานที่เขาทำจริงๆคือเป็นครีเอทีฟเสนอไอเดีย ปน ๆ เบ๊ ปน ๆ นักสืบ ประจำตัว "คุณชาย" ผู้ดำรงตำแหน่งครีเอทีฟไดเรคเตอร์ เนื้อหาหลัก ๆ คือสืบหาความจริงของหนอนบ่อนไส้ที่ส่งมาจากบริษัทคู่แข่ง และปมปริศนาจากอดีตของคุณชายเจ้าของฉายาสโนว์ปริ๊นซ์
ตอนเราอ่านเรื่องนี้ เป็นตอนที่รีไรต์ไปแล้ว 11 ตอน ลงไว้ในเด็กดี แล้วเราก็แวบไปอ่านต่อในเล้าจนจบ 27 ตอนค่ะ (// v \\ ) เราชอบเรื่องนี้นะคะ อ่านแล้วมีความสุข ดูค่อนข้าง light ชอบการพัฒนาความสัมพันธ์ และอื่นๆซึ่งจะกล่าวต่อไปค่ะ
และต่อไปนี้คือความเห็นของเราล้วนๆ ไม่อิงอะไรทั้งนั้นนอกจากความความลำเอียง 55555555555 (จะพยายามระวังไม่สปอยล์ค่ะ)
ในความเห็นสวนตัว เราคิดว่าคุณคนเขียนเป็นคนที่สามารถเล่าเรื่องได้ดี มีสีสัน สำนวนปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเนื้อหาในช่วงนั้น ๆ ได้ดีมาก มีการบรรยายที่เห็นภาพด้วยวิธีการกล่าวย้ำแทบจะทุกครั้งที่พูดถึงครั้งซ้ำ ไม่ก็ในการพูดถึงครั้งต่อมาจะมีการเสริมรายละเอียดใหม่เข้าไป ทำให้ภาพรวมในสมองของคนอ่านค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เนื้อหาในเรื่องสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้หมด อุดช่องโหว่ได้เต็มจนคนอ่านรู้สึกอิ่ม (แม้จะมีจุดที่ยังว่างโหว่เล็กน้อยประปราย ซึ่งจะกล่าวถึงในภายหลัง) ยิ่งในตนที่ปริศนาใหญ่ของเรื่องคลี่คลาย ทุกอย่างก็ถูกถมจนเต็ม จนรู้สึกอิ่มและเลิกสงสัยได้เลย ไม่รู้สึกมีอะไรติดค้างเลยค่ะ
เอาจริงๆความสามารถการอธิบายเรื่องที่ชัดเจนจนเห็นภาพตามได้นี่ จะเห็นได้ชัดที่สุดคือตอนที่บริษัทฝ่ายคุณชายและบริษัทของคู่แข่งไปเปิดคลิปโฆษณาให้ดูที่บ้านประธานบริษัทผู้ผลิตสินค้าที่มาจ้างเอเจนซี่โฆษณา คนเขียนอธิบายได้โดยใช้คำประหยัด แต่นึกภาพได้ ทั้งที่เนื้อหากำลังกล่าวถึง 'คลิปวีดีโอ' ซึ่งสาเหตุของการอธิบายภาพได้ชัดเจนนี่เราเดาดูคิดว่าน่าจะมาจากสองอย่าง หนึ่ง...คือเคยมีคลิปลักษณะแบบนี้ให้ผู้ชมได้เห็นกันทางทีวีมาก่อนหน้าแล้ว การกล่างถึงจึงใช้คำประหยัดได้ การบรรยายทุกอย่างไม่ใช่ทางออกของการเล่าเนื้อหา อีกอย่างที่ช่วยไว้ให้ส่วนนี้เข้าใจได้ง่ายแม้ประหยัดคำก็คือมีการสร้างบรรยากาศมาก่อนหน้า ว่าคนที่ถ่ายทำโฆษณาให้บริษัทฝ่ายตัวเอกเป็นคนถ่ายภาพแนวไหน ภาพของเขาเป็นอย่างไร เป็นการทยอยอธิบาย พอคนอ่านติดภาพนี้ การมาต่อเติมในส่วนของผลงานที่ผ่านการถ่ายของช่างภาพคนนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากเลย จุดนี้เราชอบมากๆ ชอบเวอร์วังค่ะ
อีกจุดหนึ่งที่อยากชื่นชมคือ เป็นเรื่องที่มีข้อคิดชัดเจน โดยใช้วิธีการเล่าให้คนอ่านอินกับสิ่งที่อ่านเพราะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่อง (เล่าผ่านมุมมองของรักษ์ค่อนข้างมาก คนอ่านนอกจากอินตัวละครแล้วก็จะอินความคิดตัวละครด้วย อินกับเรื่องที่เขาประสบด้วย) ไม่ได้โปรยข้อคิดที่เป็นเพียงข้อความไว้พร่ำเพรื่อ อย่างเช่นเรื่องที่บอกว่าโฆษณาจะส่งผลต่อชีวิตคนอื่น ทีแรกตัวเอกอย่างรักษ์ไม่เข้าใจเรื่องนี้ เหมือนกับที่คนอ่านที่ถ้าไม่เคยประสบก็คงจะไม่เห็นภาพหรอกค่ะ จนกระทั่งเรื่องเกี่ยวกับหนอนบ่อนไส้คิดได้ ก็ถือเป็นการแสดงออกถึงผลที่เกิดจากโฆษณา ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนขึ้นมาเลย จากตอนแรกเบลอๆอยู่ และรักษ์ได้เข้าใจความหมายของมันพร้อมกับคนอ่าน และจุดนี้ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้คนอ่านได้มีส่วนร่วมกับเรื่อง และอินกับเรื่องมากขึ้น เป็นอีกจุดที่ชอบมากเลยค่ะ รู้สึกมีพลัง มีคลื่นมากระทบใจ (ทำไมเราพูดเวอร์จัง 555555555)
เรื่องการบรรยาย มีข้อติงอยู่เรื่องหนึ่ง (นาน ๆ เจอในเรื่องสักครั้ง) ว่าน่าจะต้องแก้ไขการใช้สรรพนาม เช่น ในบางบริบทไม่มีการกล่าวถึงตัวบุคคลมาก่อน แต่เป็นการที่จู่ ๆ ตัดฉากมายังใครคนใดคนหนึ่ง แล้วก็ใช้สรรพนาม "เขา" เลย ทำให้ในบางจังหวะอาจสับสนได้ว่า "เขา" ที่ว่านี้คือคนไหน ยิ่งมี "เขา" สองคนยิ่งอาจตั้งหลักยากว่าใครเป็นเจ้าของประโยคคำพูดประโยคไหน พอเป็นการสนทนาและในช่วงแรกงงว่าใครพูดก่อน ก็จะทำให้ประโยคต่อไปตีความผิดก็ได้ มารู้ตัวอีกทีคืออ่านไดอะล็อกนั้นจบค่อยมา "อ้าว ฉันเข้าใจสลับเหรอ")
อื่น ๆ ก็เป็นพวกคำผิดประปราย พบในฉบับรีไรต์แล้ว เช่น สัปพงก(สัปหงก) ฝรั่งจ้า(ฝรั่งจ๋า) คลัง(ขลัง) เกียรติศัพท์(กิตติศัพท์) ฝาก(ฟาก) แอลเลแกนซ์(ตัวละครพูดทับศัพท์จาก elegant ซึ่งน่าจะสะกดว่า "เอลเลอแกนต์" มากกว่า) เป็นต้น
อีกเรื่องค่ะที่อยากเสนอ ความเห็นส่วนตัวเราล้วนๆเช่นกัน เราคิดว่า แม้คุณคนเขียนจะเป็นคนที่อธิบายได้เห็นภาพ สละสลาย ประหยัดคำ และไม่ค่อยใช้วิเศษณ์ขยายวิเศษณ์ให้งงเล่น แต่ในบางครั้งคนเขียนก็ยังมีการแทรกบรรยายระหว่างบทสนทนามากเกินไปค่ะในความคิดเรา ซึ่งอาการแบบนี้จะพบมากตอนช่วงต้นเรื่อง ราว 11 ตอนแรก ทำให้เรื่องยาน เนื้อหาเดินช้า ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการรีไรต์แล้วเพิ่มเข้าไปทีหลังหรือเปล่า แต่การบรรยายแทรกตลอดเวลาเพื่ออธิบายสีหน้า อธิบายบรรยากาศ บางครั้งก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นค่ะเราว่า ฉากของเรื่องนี้คือประเทศไทย ฉะนั้นคนอ่านน่าจะต้องเคยเห็นภาพฉากในเรื่องมาบ้างแล้ว ทำให้การกล่าวย้ำจึงไม่จำเป็น มีแต่จะต้องอธิบายเฉพาะสิ่งพิเศษที่เพิ่มเข้ามา หรือลักษณะเฉพาะในเหตการณ์นั้น ๆ มากกว่า หากปรับปรุงส่วนนี้ได้ จะช่วยให้จังหวะเรื่องดูสม่ำเสมอมากขึ้น (จากการไปลองอ่านคอมเม้นท์ของคนอ่านคนอื่น ๆ มา พบว่ามีบ้างที่อ่านแล้วรู้สึกเบื่อ คิดว่าน่าจะเกิดจากการบรรยายมากเกินไปในบางช่วงของเนื้อหานะค่ะ เราคิดว่า) และนอกจากนี้เราว่าควรเพิ่มการบรรยายในเนื้อหาส่วนที่เขียนรวบเกินไป และพอยานบ้างรวบบ้างแบบนี้ ทำให้ความรู้สึกที่ได้จากการอ่านเรื่องนี้รวดเดียวตอนที่ผู้เขียนเขียนจบแล้ว พบว่าจังหวะของเรื่องค่อนข้างขึ้น ๆ ลง ๆ พอสมควร
นอกจากการบรรยายที่น้อยเกินบ้าง มากเกินบ้าง ก็ยังมีอีกส่วนที่ให้ความรู้สึก "ขึ้น ๆ ลง ๆ" อยู่อีกค่ะ
นิยายเรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยเนื้อหาและวิธีการเล่าเรื่องที่กำลังบอกคนอ่านกลาย ๆ ว่าเป็นแนวเลิฟคอเมดี้ แต่เมื่ออ่านจบ สรุปนิยายเรื่องนี้คงเป็นแนวสืบสวนมากกว่า (ใช่มั้ยคะ?) จากการอ่าน Talk ในแต่ละตอนของคนเขียน เรามีความเห็นว่าน่าจะวางเรื่องให้เป็นแบบหนึ่ง แต่เมื่อเขียนจริงโทนเรื่องกลับเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง (อาจเพราะเขียนในช่วงเวลาที่ห่างกัน) อย่างไรก็ตาม การเขียนแนวผสมผสานไม่ใช่เรื่องผิดค่ะเราว่า แต่การที่มากลายเป็นแนวอื่นชัดเจนขึ้นมาในภายหลัง ทำให้ตัวเรื่องเป๋พอสมควร หากในตอนรีไรท์ ได้รับการปรับโทนและเล่าจังหวะดี ๆ ภาพรวมน่าจะดีขึ้นและเข้ารูปเข้ารอย อะไรที่บรรยายมากไปตัดออก อะไรที่ส่งเสริมความเป็นคอเมดี้จนมากเกินไปก็ตัดออกไปบ้าง จะได้ไม่ทำให้คนอ่านรู้สึกว่าฉันโดนหลอก ไม่ก็... "ตกลงแนวไหนกันเนี่ย" ก็จะวกกลับสู่ความรู้สึกว่าถูกหลอก ถูกหักหลังอยู่ดี สร้างภาพลบให้กับเรื่องนี้ได้ อาจไม่มากมาย แต่ก็ส่งผลพอสมควรต่อความเห็นของคนอ่านเวลาบอกต่อค่ะเราว่า อย่างเราจะบอกต่อเพื่อนว่าเรื่องนี้สนุกมาก มาอ่านเถอะ พอเพื่อนถามว่าแนวไหน เรายังพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำเลยค่ะ ฮาาาาาา
ความ "ขึ้น ๆ ลง ๆ" ของจังหวะเรื่องนี้ยังลามไปถึงการแทรกฉากหวานในเรื่อง คือบทจะหวานก็แทรกขึ้นมาเฉย ๆ อาจมีส่วนน้อยนิดหรือมากมายก็ไม่แน่ใจที่คนเขียนมีความกดดันประมาณว่า "ฉันเล่าเรื่องธุรกิจมาเยอะมากเลย ความหวานหายไปไหนหมดนะ" สุดท้ายจึงได้เขียนออกมาในบางจังหวะเสียจนพีคมากไปดั่งกำลังเซอร์วิส (ฮาาาา) ทำให้อารมณ์เรื่องภาพรวมค่อนข้างขึ้น ๆ ลง ๆ ข้อดีก็มีอยู่ คือคนอ่านจะคอยลุ้นว่าจะมีฉากพีค ๆ แบบนี้อีกไหม/เมื่อไหร่ ข้อเสียคือทำให้อารมณ์ภาพรวมทั้งเรื่องไม่ smooth ค่ะ ซึ่งส่วนตัวเรามีความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ค่อนข้างเข้าใจความกังวลของคนเขียนนะคะ ที่ว่าเนื้อหาเน้น "งาน" เสียเยอะ กุ๊กกิ๊กน้อย แต่ปัญหาอาจไม่ใช่ที่เนื้อหาเสียทีเดียว การบรรยายน่าจะมีผลมากพอสมควร ทำให้ส่วนของงานถูกยืดขยายให้กว้างขึ้นจนเบียดบังฉากน่ารัก ๆ หลาย ๆ ฉากในเรื่อง หากแก้เรื่องการบรรยายได้ ปัญหานี้น่าจะได้รับการคลี่คลายไปด้วย
มีอีกเรื่องที่อยากชมค่ะ ไม่ชมไม่ได้ เพราะเราหลงรักคุณชายและน้องรักษ์ไปซะแล้ว ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
เราอยากชมว่า ตัวละครในเรื่องนี้มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งค่ะ คือหลายครั้งมีนิสัยที่แฟนตาซีเหนือจริงอยู่ประมาณหนึ่ง หรือถ้ามีคนแบบตัวละครในนี้จริง ก็คงไม่น่าใช่คนปกติที่จะพบได้ทั่วไปตามท้องถนน เช่น การที่คุณชายละลายผงปรุงซุปแล้วใส่แก้วกาแฟไว้ในรถ อ่านดูก็ให้ความรู้สึกว่าสิ่งที่อ่านอยู่คือเรื่องแต่ง ไม่ได้อินจนจินตนาการออกมาเป็นชีวิตจริงได้ทั้งร้อยส่วน แต่จุดนี้ก็ทำให้เรื่องนี้ดูน่ารักขึ้นมาเลยค่ะ //////////// (เรากรี๊ดคุณชายมากกกกกกกกกก) ตัวละครดูมีมิติแบบที่คนเขียนสร้างขึ้นมาและเหมาะกับโลกนั้น (ที่คนเขียนสร้างขึ้นมาเช่นกัน) ซึ่งจากการอ่านก็มีความเห็นว่าบรรยากาศในเรื่องค่อนข้างไม่ไทยจัด (แม้มีหลายอย่างที่ดูไทยก็ตาม) อ่านดูให้ความรู้สึกกึ่ง ๆ เหมือนอยู่ต่างประเทศ แบบในซีรีส์เอเชีย เพราะด้วยโลกกึ่งเหนือจริงแบบนี้ จึงเหมาะกับตัวละครที่มีพฤติกรรมเหนือจริงในบางเรื่องขึ้นมา เรื่องนี้จึงเหมาะสมในองค์ประกอบและค่อนข้างสมบูรณ์ในตอนที่ปั้นโลกและปั้นตัวละคร
ทางตัวละครสมทบเองก็มีเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งคงเป็นสิ่งที่ผู้เขียนวางไว้แล้ว เพราะเมื่อท้ายเรื่องก็จะผูกโยงมายังสิ่งที่ตัวเอกได้ประสบ ได้พบเจอ ทุกอย่างกลายเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกัน ทำให้ผู้อ่านรู้สึกได้ว่าตัวละครสมทบไม่ได้ถูกทิ้งขว้าง แถมปมในเรื่องก็สร้างมาได้น่าสนใจเสมอเลยค่ะในมุมมองของเรา ทำให้เรื่องน่าอ่านต่อ บทสนทนาก็ชอบหยอดด้วยประโยคปิดท้ายชวนให้อยากรู้ แต่ก็ไม่ได้หยอดพร่ำเพรื่อนะคะ เราเห็นใช้วิธีการนี้สลับกับการตั้งคำถามของตัวละคร การเล่าเรื่องด้วยสำนวนฉวัดเฉวียด เปรียบเทียบชัดเจน ตัวละครมีแนวคิด ไม่แบน มีพฤติกรรมที่ดู 'จริง' ไม่ใช่แค่รูปแบบพฤติกรรมตามระบบแบบแผนหรือ 'สิ่งที่ควรเป็น'
ตัดภาพกลับมาในแง่ BL ค่ะ
ว่าตามจริงเรื่องนี้มีพล็อตบางจังหวะที่เดาได้ แต่ก็ยังลุ้นเสมอนะคะในระหว่างที่จินตนาการไว้และยังไม่ได้รับคำตอบ และเมื่ออ่านถึงจังหวะนั้น ก็ยังรู้สึกชอบฉากนั้นอยู่ดี เป็นการเอานิสัยตัวละครมาเนียนเล่าให้แสดงความ BL ออกมาได้อย่างไม่ดูจงใจจนน่าเกลียด ตัวละครไม่เกร็ง ไม่แบน ตัวละครหลักสองตัวไม่น่าจะเข้ากันได้ นอกจากต่างกันสุดขั้วแล้วยังมีปัญหากันตั้งแต่แรก (ทว่าก็มีเหตุผลพอที่จะคุยกันดีๆ ไม่ใช่เอาแต่จะไม่ถูกกันให้เรื่องพอมีปมขัดแย้งไปเรื่อย ๆ) แต่สุดท้ายก็ยังเข้ากันได้ พฤติกรรมและคำพูดดูสื่อสาร มีที่มาและที่ไปต่อจากนั้น ความสัมพันธ์ของตัวละครก็ค่อยเป็นค่อยไป จากเรื่องที่ผิดปกติแบบที่รักษ์สงสัยว่าฉันทำอะไร ฉันทำสิ่งนี้ไปทำไม ก็กลับกลายมาเป็นเรื่องปกติ คำพูดที่ครั้งแรกฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ กลายมาเป็นคำพูดชินปากได้ ไม่ใช่เพราะความที่ทำจนชิน แต่เกิดจากความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปมากกว่า คนเขียนเล่าถึงจุดนี้ได้ดีมาก จนคนอ่านเองก็ไม่รู้ตัวว่าความสัมพันธ์เปลี่ยนไปตอนไหน คิดง่าย ๆ คือตอนที่เรามานั่งนึกว่าพวกเขาเปลี่ยนไปตอนไหน ก็หาจุดที่ว่านั่นไม่เจอซะทีค่ะ โดยรวมในส่วนนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องน่าอ่านต่อ
ท้ายนี้เราแอบมีข้อสงสัยและข้อปรับปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องการเสนอแก่คนเขียนค่ะ ไม่รู้จะเป็นประโยชน์มั้ยนะคะ แต่อยากบอกไว้ เพราะเรายังรอเรื่องนี้เป็นเล่มอยู่นะคะ // v \\ )
1) มีความเห็นส่วนตัวขอแย้งหนึ่งเรื่องค่ะ ไม่แน่ใจว่าคนเขียนเคยพบเจอเรื่องราวแบบไหนมา แต่เรามีข้อคิดเห็นดังนี้ค่ะ
ร้านซูเปอร์ตีนไก่ของยายแม้นในเรื่อง มีปัญหาที่ไม่ดึงดูดวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักในย่ายนั้น โดนส่วนตัวซึ่งเคยเรียนมหาวิทยาลัย หากร้านค้าไหนมีร้านเดียว หรือมีเพียงเจ้าเดียวที่ทำสิ่งนั้น ทั้งยังอร่อย และไม่แพงเกินไป แม้จะไกล แต่ด้วยพลังบอกต่อ และนักศึกษาเกือบทุกคนก็เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก ฉะนั้นนักศึกษาก็จะฮิตกันเป็นปกติอยู่แล้วค่ะจากที่เราเคยประสบ โดยสรุปคือนักศึกษาค่อนข้างเป็นกลุ่มลูกค้าจำพวก cost-sensitive ทำให้ในจุดนี้ของเรื่องดูอ่อนไปหน่อย เว้นจะมีร้านซูเปอร์ตีนไก่อีกร้าน ที่อาจอร่อยน้อยกว่าหน่อย แต่ขายถูกกว่า+ตกแต่งร้านดีกว่า+พนักงานเสิร์ฟเยอะ หรืออื่น ๆ แบบนี้จึงดูจะเหมาะกว่าสำหรับปัญหาที่เกิดกับร้านยายแม้นในเรื่อง
2) การทิ้งปัญหาแบบจงใจปกปิด อย่างการพยายามชี้ช่องให้คนสงสัย "ซัมวัน" (นามสมมติ) คนเดียวไม่สงสัย "หนอนบ่อนไส้คนนั้น" (นามสมมติ) เหมือนที่ชี้ช่องให้รักษ์สงสัย "ซัมวัน" คนเดียว ไม่สงสัย "หนอนบ่อนไส้คนนั้น" แต่พออ่านคอมเม้นท์ดู ใคร ๆ ก็สงสัย "หนอนบ่อนไส้คนนั้น" ด้วย (เหมือนเราเลยค่ะ 55555) แบบนี้ถือว่ายังเป็นการชี้ช่องที่ยังไม่แน่นเท่าไหร่ค่ะเราว่า แม้จะเล่าในมุมมองของรักษ์ที่สงสัย "ซัมวัน" คนเดียวก็ตาม แต่หากอยากให้คนอ่านอินกับมุมมองของรักษ์ ก็ควรจะหาทางบีบให้ผู้อ่านสงสัย "ซัมวัน" คนเดียวด้วยเช่นกัน ควรหาเหตุมาสนับสนุนเพิ่มให้คนอ่านสงสัย "ซัมวัน" คนเดียวเหมือนรักษ์ให้ได้ เช่น ตัดเรื่องการกล่าวถึง "หนอนบ่อนไส้คนนั้น" ไปเลย ไม่ก็กล่าวถึงแบบพอผ่าน (ผ่านมาก ๆ จนไม่เป็นที่น่าสังเกต) ในฉากนั้น ๆ
3) เป็นห่วงเรื่องชื่อตอนของเรื่องนี้ เป็นสโลแกนของโฆษณาทั้งหลายที่ผ่านการคิดของครีเอทีฟของเอเจนซี่โฆษณา ฉะนั้นจะนับเป็นทรัพย์สินทางปัญญาไหมคะ อันนี้เราไม่แน่ใจ แต่ชอบชื่อตอนมากเลยค่ะ เข้ากับธีมดี พูดชื่อตอนแล้วคิดได้เลย
4) เรื่องชื่อ "ชัยพร รณสิ"
เข้าใจในแง่ของโทรศัพท์ที่ใช้ระบบซิมเบี้ยน (มือถือปุ่มทั้งหลาย) ฟอนท์จะมีลักษณะเด่น ๆ ที่หลายคนสังเกตได้คือ ช่องว่างที่เคาะเว้นเพียงหนึ่งเคาะจะมีขนาดแคบมาก แต่...เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนจะมีช่วงชีวิตกับโทรศัพท์ซิมเบี้ยนในระยะเวลาที่นานจนเข้าใจในจุดนี้และจดจำได้ (พูดง่าย ๆ คือเด็กรุ่นหลังอาจไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้ แต่เราทันค่ะ ฮือออออ ข้ามเรื่องอายุปัยยยย) จึงอยากเสนอว่า อยากให้อธิบายจุดนี้ไว้ด้วยจะดีมากเลยค่ะ ขนาดเราซึ่งเป็นผู้อ่านและเคยใช้โทรศัพท์ซิมเบี้ยนเมื่อนานมาแล้ว ยังรู้สึกตะหงิดใจกับการเว้นวรรคที่แคบจนอ่านผิด (การขึ้นบรรทัดใหม่ทำให้เข้าใจผิดไม่ใช่เรื่องน่าติดใจ แต่สิ่งที่น่าติดใจคือ แต่การคิดว่าคำสองคำมันติดกันนี่สิแปลก ฟอนท์ที่เห็นน่าจะเป็นฟอนท์มาตรฐานที่เจ้าของเครื่องใช้จนชิน ไม่ใช่โทรศัพท์ใหม่ใช้วันแรก ทำไมจึงอ่านผิดได้) อย่างไรก็ตาม หากมีการอธิบายเพิ่มเรื่องโทรศัพท์ซิมเบี้ยน ว่าช่วงการเคาะเว้นแคบตามประสาซิมเบี้ยนจนหากอ่านผ่าน ๆ จะอ่านผิด คนอ่านน่าจะหมดข้อสงสัยไปได้นะคะ
5) ไม่เข้าใจว่าทำไมลุงยามจำรักษ์ไม่ได้ เพราะก็มากับคุณชายตั้งสองรอบ 55555555555
6) จากตอนที่ 23 เนื้อหาน่าจะเกิดตอนกลางคืน (อ้างอิงจากตอนที่ 22 ที่บอกว่าฝนตกตอนค่ำมืดดึกดื่น) แล้วท่านประธานบริษัท ATM ในตอนที่ 23 ท่านอ่านเอกสารประวัติของรักษ์เห็นได้อย่างไร ถ้าท่านพูดลอย ๆ จากความทรงจำที่เคยอ่านมาก็ว่าไปอย่าง หรือหากใช้แสงจากซูเปอร์มาร์เก็ตก็ควรต้องอธิบายเพิ่มเติมไว้ซะหน่อยนะคะ
7) เรื่องที่คุณชายก็อป "ซัมติง" จากมือถือรักษ์ใส่ในเมมโมรี่การ์ดน่ะค่ะ คือเราสงสัยว่าเพื่อนเทพทำไมไม่ทำไว้บ้าง? เห็นว่าได้จับโทรศัพท์รักษ์ออกจะบ่อยกว่าคุณชายเสียอีกนะคะ
หมดแล้วค่ะ เราพิมพ์อะไรมาซะยาวก็ไม่รู้ แต่เป็นทั้งหมดที่อยากบอกจริงๆค่ะ เราคิดว่าอ่านแล้วก็อยากบอกอะไรบ้าง ดีก็อยากอวย หรือมีจุดไหนที่ทำให้ดีขึ้นได้อีกก็อยากบอก หากมีอะไรผิดพลาดก็ขอโทษด้วยนะคะ เราไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แค่อยากให้เรื่องนี้ดียิ่งๆขึ้นไป และเป็นเล่มสุดที่รักของเราเช่นกัน (รอเป็นเล่มอยู่นะคะ <3)
เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ (ง' v ')ง !!
ความคิดเห็นที่ 1
บางส่วนที่แก้ไขได้ก็จะขอน้อมรับไว้ บางส่วนจนปัญญาจะแก้ก็คงต้องปล่อยมันไป
แต่ชอบนะคะที่ช่วยแนะนำข้อผิดพลาดมาให้
ไว้จะนำไปปรับปรุงกับงานเขียนในครั้งหน้า
ขอบคุณอีกครั้งจริงๆ ค่ะ :)
By - BitterSweet - อัพเดท 2016-07-11 07:23