เอี๊ยด
โครม !
    เปลวเพลิงลุกไหม้ท่วมรถสว่างจ้าดังไฟกัลป์เปลี่ยนค่ำคืนร้อนระอุให้กลายเป็นทิวาในบัดดล  ภาพเลวร้ายที่สุดในชีวิตของนักข่าวหนุ่มคนหนึ่งยังคงติดตรึงปรากฏในความทรงจำทุกครายามหลับเสมอแม้จะผ่านมาหลายคืน  ภาพ
ที่ทำให้ชีวิตยามตื่นของเขาไม่ต่างอะไรกับห้วงนิทรารมณ์
หดหู่
และมืดมิด
    มืดมิด
อย่างที่ไม่อาจมองเห็นโลกใบนี้อีกตลอดกาล
        “พักผ่อนก่อนนะคะคุณพลสินธุ์  เดี๋ยวสักบ่ายโมงดิฉันจะมาช่วยเก็บข้าวของ”
        “ครับ”  ชายหนุ่มตอบเรียบ ๆ  เขารู้สึกได้ว่าพยาบาลสาวลุกจากเตียงไปช้า ๆ  ไม่นานเสียงปิดประตูก็ดังตามมา
    พลสินธุ์รอจนแน่ใจว่าพยาบาลคนนั้นไปไกลแล้วจึงใช้มือคลำโต๊ะข้างเตียง  ค่อย ๆ ลงไปจนถึงลิ้นชักแล้วจึงเปิดมันออก  เขาควานหาบางสิ่งในนั้นอยู่สักพักก็พบ
มันคือมีดปอกผลไม้ที่พยาบาลสาววางเก็บไว้  ชายหนุ่มคลำหาด้านคมมีดแล้วจ่อลงไปบนข้อมือตัวเอง  สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์
    เขาบรรจงกดคมมีดลงพร้อมกับลากมีดไปช้า ๆ ความเจ็บปวดค่อย ๆ แผ่ซ่านเสียดแทรกบาดลึก    พลสินธุ์ยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลันกดมีดแรงขึ้นอีก  ของเหลวอุ่น ๆ ซึมผ่านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  ยิ่งกำมือแน่นของเหลวนั้นยิ่งทะลักล้นไหลรินเปรอะเต็มแขนจนแม้มองไม่เห็นก็ยังจินตนาการภาพสีแดงฉานได้แจ่มชัด
            “หยุดนะสินธุ์ !”
    เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู  พลสินธุ์ซึ่งเพลียเพราะเสียเลือดถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย  เขาไม่ได้ยินเสียงใครเข้าห้องมาเลยแต่กลับมีคนมาห้ามข้าง ๆ หูเขา  หรือเพราะเพลียจนมิอาจรู้สึกตัวกันแน่
            “คุณ
เป็นใคร”  พลสินธุ์ถามเสียงอ่อนโรยแรงเจือความขุ่นเคืองเล็กน้อย
          “เป็นใครไม่สำคัญหรอก  แต่นายน่ะไม่ควรจะทำแบบนี้
”เจ้าของเสียงลึกลับดึงมีดออกจากมือพลสินธุ์ก่อนจะนำผ้ามาพันห้ามเลือด “ถ้าพ่อแม่นายรู้เข้าจะเสียใจแค่ไหนเคยนึกไหม”
           
“แล้วคุณมายุ่งอะไรด้วย !  มันเรื่องของผม !”
          “พอเถอะ
พอได้แล้ว”  เสียงเรียบเย็นนั้นทำให้จิตใจของชายหนุ่มสงบลง  ความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายจางหายไปทีละน้อย  มันก็จริง
หากเขาไม่นึกถึงตัวเองก็ควรจะนึกถึงพ่อแม่ที่อยู่บนสวรรค์บ้าง
          “ขอบคุณ
ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม”
    เป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่าแล้วเมื่อนักข่าวหนุ่มกลับมาถึงคอนโดหรูของตน  ห้องกว้างมีเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นห้องนี้คงเรียกได้ว่า ‘เงียบสนิท’ หากไม่มีเสียงพูดคุยเบา ๆ ของชายเจ้าของห้องดังแทรกอยู่
          “ขอบคุณที่มาส่งผมนะ  คุณจะดื่มอะไรไหม”
          “ไม่ล่ะ  นายพักเถอะ  เสียเลือดไปเยอะนี่”  เสียงที่เตือนสติชายหนุ่มเมื่อตอนสายตอบ “แต่
” แปลกนัก
เพียงไม่กี่วินาทีเสียงของเขากลับเข้ามาใกล้หูพลสินธุ์จนเจ้าตัวสะดุ้ง “ฉันรู้ว่านายคงเบื่อจะนอนแล้วใช่ไหมล่ะ”
            “หึ ๆ รู้ใจจังนะ”  ชายหนุ่มยิ้มออกเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
            “นี่ก็เวลาเลิกงานพอดี  ถ้านายยังไม่อยากพักก็ไปหาไอ้ต้นเพื่อนนายหน่อยไหมล่ะ  ที่สำนักพิมพ์น่ะ”
            “อืม
ก็ดี”
    ถึงพลสินธุ์จะรู้สึกถึง ‘อะไรบางอย่าง’ ในน้ำเสียงนั้น  เหมือนจะเป็นอุบาย  แต่เขาก็เชื่อและยอมนั่งแท็กซี่ไปสำนักพิมพ์โดยดีด้วยเป็นห่วงเพื่อนยิ่งกว่า  เนื่องจากก่อนประสบอุบัติเหตุนั้นพลสินธุ์กับต้นไปทำข่าวเสี่ยง ๆ เข้า  ชายหนุ่มสังหรณ์แปลก ๆ บางที
อาจจะเกิดอะไรขึ้นกับต้นก็ได้
          “อ้าว  ไอ้สินธุ์  เฮ้ยแกเป็นไงมั่งวะ”  เสียงต้นตะโกนโหวกเหวกมาแต่ไกล  ตั้งแต่คู่สนทนาเพิ่งก้าวลงจากรถได้ไม่เต็มก้าวด้วยซ้ำ  ทว่าอย่างน้อยคำทักทายนี้ก็สร้างความโล่งใจให้ชายตาบอดได้
แม้สักนิดก็ยังดี
            “หึ
ก็โอเคแบบบอด ๆ อย่างที่เห็นเนี่ยแหละว่ะ  นี่แกจะกลับบ้านแล้วเหรอ”
            “เออ  เลิกงานแล้วนี่หว่า”
    พลสินธุ์เดินกวาดไม้เท้าช้า ๆ ไปหาคนตอบ  แม้เป็นเวลาเลิกงานพื้นที่บริเวณนี้ก็ยังเงียบ  เพราะมันคือด้านข้างสำนักพิมพ์ที่ไม่ค่อยมีใครมา  ทว่าเป็ฯที่จอดรถประจำของต้นซึ่งพลสินธุ์เองรู้ดี  เขาจึงจงใจให้แท็กซี่มาส่งตรงนี้  เสียงฝีเท้าถี่ ๆ ของต้นหยุดลง  ตามมาด้วยเสียงไขกุญแจปลดล็อกรถ  วินาทีนั้นเอง
          “สินธุ์ ! อย่าเพิ่งเดินเข้าไป !”
    เสียงเดิมที่เคยช่วยชีวิตเขาดังขึ้นข้างหูอย่างฉับพลันจนหนุ่มตาบอดถึงกับชะงักเท้า  พลสินธุ์ไม่ทันจะหันไปถามเหตุผลเขาก็ได้รับคำตอบในวินาทีต่อมานั้นเอง
           
บึ้ม !!!
    เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวตรงหน้าพลสินธุ์  เปลวเพลิงสว่างจ้าสะท้อนวิบวับในดวงตาว่างเปล่าที่เบิกโพลง  กระไอร้อนปะทะใบหน้าและผิวกาย  ภาพอุบัติเหตุคืนนั้นแจ่มชัดในความทรงจำอีกครั้ง  ชีพจรถี่รัว  หนักหน่วง  จนเจ้าของมันแทบอยากให้ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นนั่นหยุดเต้นเสียเดี๋ยวนั้น
           
“ไอ้ต้น !!!” ชายหนุ่มตะโกนสุดเสียง  แม้รู้แก่ใจ
ถึงตะโกนให้ดังถึงสวรรค์เพื่อนรักก็ไม่อาจหวนคืน  แข้งขาพาลไร้เรี่ยวแรงทรุดลงคุกเข่าเอาดื้อ ๆ เขาได้เพียงพึมพำกับตัวเอง “ทำไม
ทำไมเป็นแบบนี้
ทำไมต้องมาเจอ  แล้ว
แล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้  ทำไม
”
          “ใจเย็นน่าสินธุ์  นายปลอดภัยก็ดีแล้วนี่”  เสียงเดิมกล่าวปลอบ  หากพลสินธุ์กลับพูดตอกกลับด้วยน้ำเสียงไม่ใยดี
         
“ไม่ต้องมาพูด !  แกรู้ได้ยังไงว่ารถจะระเบิด  แก
แกเป็นใคร  ต้องการอะไรกันแน่ ! หรือว่า
หรือว่าแก
”
            “เฮ้
เฮ้
ใจเย็นหน่อยสิสินธุ์  อย่าเพิ่งกล่าวหาฉันแบบนั้นได้ไหม  ไม่ดีเลยนะ”
            “แล้วไง  ไม่ดีแล้วไง
ฉันว่าแกตอบคำถามฉันมาก่อนดีกว่ามั้ง”
            “บางที
นายอาจจะสนใจนี่นะสินธุ์
”  เสียงลึกลับพยายามเบี่ยงเบนประเด็น  และมันก็ได้ผลเสียด้วย  “นายแอบชอบผู้หญิงที่ชื่อริมธารอยู่ใช่ไหมล่ะ
เขาฝากเทปมาให้นายฟังม้วนนึง  อืม
นายอยากฟังตอนนี้เลยรึเปล่าล่ะ”
    พลสินธุ์ไม่ตอบ  ดูท่าเสียงลึกลับนั่นคงไม่สนใจจะรอให้เขาตอบเช่นกัน  กลิ่นอายแห่งความตายยังไม่ทันจากหายไปจากบรรยากาศรอบตัวเสียงเทปก็ดังขึ้น
   
หวัดดีจ้ะท่านองครักษ์  ข้าคือเจ้าหญิงแห่งน้ำนะ  ฮิฮิ
สินธุ์จำได้ไหม  ตอนเด็ก ๆ เราเล่นกันแบบนี้ที่ริมทะเลสาบตอนไปค่ายไง  โดนครูดุเลยเนอะ  สินธุ์ช่วยไปที่ทะเลสาบนี้หน่อยได้ไหม  ธารมีเรื่องจะพูดกับสินธุ์  อะแฮ่ม
นี่เป็นคำสั่งของเจ้าหญิงแห่งน้ำ  เพราะฉะนั้นท่านองครักษ์  กรุณารีบมาด้วยนะจ๊ะ
    พลสินธุ์ไม่รอช้าและไม่แยแสต่อผู้คนที่เริ่มมามุงดูลูกไฟดวงใหญ่ลุกโชติช่วง  หากริมธารเป็นอะไรไปอีกคนละก็
เขาต้องตรอมใจตายเป็นแน่  ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไปให้ได้  ขอเพียงได้รักษาชีวิตผู้หญิงอันเป็นที่รักเอาไว้ก็พอ  ชายหนุ่มเดินชนโน่นนี่เปะปะไปตลอดทางด้วยความรีบร้อนจนถึงด้านหน้าของสำนักพิมพ์เพื่อเรียกแท็กซี่ 
              เขานั่งนิ่งราวรูปปั้นอยู่ในรถ  ทว่าหัวจิตหัวใจทำไมมันกลับกระวนกระวายไร้ท่าทีสงบนิ่งเช่นนี้หนอ
                        “ธาร ! ธารอยู่ไหนน่ะ
ธาร !” ชายหนุ่มตะโกนเรียกริมธารก่อนจะปิดประตูรถเสียอีก  รัตติกาลพร่างพรมความมืดลงมาได้ครู่ใหญ่แล้ว  ยิ่งชานเมืองเช่นที่นี่ยิ่งมีแต่แสงจันทร์อ่อน ๆ  หาความสว่างจากหลอดไฟไม่ค่อยจะได้  แท็กซี่ผู้อารีจึงยังไม่จากไปด้วยเป็นห่วงลูกค้าผู้ ‘มองไม่เห็น’
                พลสินธุ์หันซ้ายขวาอย่างไร้ทิศทาง  เสียงที่เข้ามาในโสตประสาทมีเพียงเสียงลมแผ่ว ๆ เท่านั้น
จู่ ๆ อีกเสียงก็ดังขึ้นจากทิศหนึ่ง  ฟังดูค่อนข้างไกลจากตัวเขาพอควร  เสียงเหมือนใครสักคนกำลังเล่นน้ำ
แต่ไม่ใช่ !
                        “สินธุ์
ช่วยธารด้วย ! ช่วยด้วย !”
                     
“ธาร !” ชายหนุ่มไม่รอช้า  กระโดดลงทะเลสาปทันที  แม้จะมองไม่เห็นเขาก็ต้องช่วยให้ได้  เสียงสำลักน้ำนั่นใกล้เข้ามาแล้ว
อีกนิดเดียว
อีกนิดเดียวเท่านั้น
.
 
                แต่แล้ว
เสียงทั้งหมดก็พลันเงียบหาย  กลับมีอีกเสียงหนึ่งที่เขาไม่ต้องการได้ยินดังขึ้นข้างหูอีกครา
เสียงปริศนานั่น !
                          “สินธุ์  นายช่วยเธอไม่ได้แล้วละ  กลับขึ้นไปเถอะ  เดี๋ยวก็จมน้ำตายซะเองหรอก”
             
“ฉันจะช่วยธารให้ได้ ! แกไม่ต้องมายุ่ง !” พลสินธุ์ตะคอกกลับเสียงปริศนานั่น  เขาดำลงไปในน้ำเย็นๆ ของทะเลสาป  มันทั้งกว้างทั้งลึกจนอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะหาเธอไม่พบ  ชายหนุ่มควานหาสะเปะสะปะไปรอบ ๆ ตัวเท่าที่ตนทำได้แต่ปัดป่ายมือเท่าไรก็ไม่กระทบกังสิ่งใด  กระทั่งออกซิเจนในปอดของเขาจวนจะหมดแล้วนั่นแหละ  มือหนึ่งจึงจับคอเสื้อเขาดึงขึ้นมาจนพ้นน้ำและลากต่อมาจนถึงฝั่ง
                          “คุณ
เป็นอะไรมากไหมนี่”  เจ้าของมือคือคุณลุงคนขับแท็กซี่นั่นเอง
                          “แค่ก
แค่ก  ไม่
ไม่เป็นไรครับลุง”  คนถูกช่วยค่อย ๆ ดันตัวขึ้นนั่ง  ไม่ทันไรก็กลับมีท่าทีร้อนรนเหมือนจะถลาลงน้ำอีกจนคุณลุงผู้ใจดีต้องรั้งไว้
                          “เดี๋ยวพ่อหนุ่ม  จะลงไปทำไมอีกล่ะ  มันอันตรายนะ”
                     
“ผมไม่สน ! ผมจะไปช่วยธาร !”
                          “อย่าลงไปเลย  ถึงเอ็งลงไปตอนนี้ก็ช่วยใครไม่ได้หรอก  ขนาดคนตาดี ๆ ยังหาไม่เจอเลย”
                          “แต่ว่าธาร
ธารอยู่ในนั้น
”  พลสินธุ์ทรุดฮวบลงอีก  ทั้งเจ็บใจทั้งเสียใจจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ “ทำไม
ทำไมฉันช่วยธารไม่ได้  ทำไมฉันปกป้องคนที่ฉันรักไม่ได้”
                          “นั่นสินะ
ทำไม
น่าคิดดีนี่”  เสียงปริศนายั่วเล่น  พลสินธุ์ได้แต่กำมือแน่นอยู่เงียบ ๆ ร่างสั่นสะท้านไปด้วยโทสะที่ระอุอยู่ภายใน
              พลสินธุ์ยืนชมทิวทัศน์เมืองหลวงยามราตรีอยู่ที่ระเบียงคอนโดชั้น 17 อันที่จริงควรเรียกว่ายืนรับลมเสียมากกว่า  เพราะอย่างไรเขาก็มองไม่เห็นทิวทัศน์เหล่านั้น  ชายหนุ่มไม่อาจข่มตาให้หลับด้วยเหตุผลหลายประการ  จนในที่สุดค่ำคืนอันยาวนานสำหรับเขาก็ผ่านพ้นไป  ดวงอาทิตย์โผล่พ้นกลีบเมฆหนาออกมาในที่สุด
                          “ไง  นอนไม่หลับเหรอ”  เสียงปริศนาถามชายหนุ่ม  เพียงได้ยินเสียงนั้นพลสินธุ์ก็นึกฉุนขึ้นมาทันที  ตะกอนอารมณ์ที่พอจะสงบลงบ้างแล้วพลันถูกกวนจนขุ่นข้น  พร้อมจะระเบิดใส่อะไรก็ตามที่ขวางหน้า
                       
“ไม่ต้องมายุ่ง !” ชายหนุ่มตะคอก
                            “จุ๊ ๆ ๆ  ไม่เอาน่า  Ne  fache pas
”  เสียงปริศนาพูดกับเขาเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า ‘อย่าโกรธน่า’ ราวกับรู้ดีว่าเขาเคยเรียนมันมาตอนมัธยมปลาย  พลสินธุ์ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยหากยังนิ่งเฉยไม่ตอบโต้รุนแรงเหมือนเมื่อครู่  “ฉันแค่ถามด้วยความห่วงใย  ไม่ได้มีเจตนาร้ายอย่างที่นายคิดหรอกนะ”
                            “งั้นเหรอ  เดี๋ยวแกก็ช่วยเหลือปลอบโยน  เดี๋ยวแกก็ยั่วยุยั่วโมโห เนี่ยนะ  บอกมาดีกว่าว่าแกต้องการอะไรกันแน่”
                            “วันนี้อากาศดีนะออกไปกินกาแฟข้างนอกกันไหม”  จู่ ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง  ทำเอาชายหนุ่มตามแทบไม่ทัน  เขารู้ดีว่าเสียงนั่นพยายามเลี่ยงไม่ตอบเขามาหลายครั้งแล้วเขาจึงไม่พอใจ  ทว่าได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดเท่านั้น  น่าแปลกที่ขาสองข้างมันพาเดินออกจากห้องพักตามคำพูดนั้นราวกับถูกชักใย
เป็นตุ๊กตาที่มิอาจขัดขืน
              แดดยามเช้าส่องผ่านมู่ลี่ของกระจกร้านกาแฟเข้ามาเป็นลำเล็ก ๆ กระทบแก้วที่มีน้ำหวานภายในสะท้อนลงโต๊ะสีขาวสะอาดเกิดเป็นลวดลายและสีสันสวยงามแปลกตา  ภายในร้านที่ติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำนี้มีลูกค้านั่งอยู่ไม่มากนัก  ทั้งกลุ่มสาว ม.ปลาย  หนุ่มใหญ่นักธุรกิจต่างชาติ  หรือครอบครัวพ่อแม่ลูกถัดไปอีก 3 โต๊ะ  น่าเสียดายที่พลสินธุ์ไม่อาจสัมผัสบรรยากาศเหล่านี้ทางการมองเห็นได้
                            “สินธุ์  กาแฟนายเย็นชืดหมดแล้วนะ”  เสียงนั่นทัก
                          “ช่างมันสิ”
                          “เป็นอะไรไป  นี่ ถ้านายไม่อยากกินกาแฟละก็  ไปเดินเล่นกันไหม”
                          “ไม่”
                          “เอาเหอะน่า
แค่ไปเดินตลาดฝั่งตรงข้ามถนนนี่ก็ได้”
                       
“ก็บอกว่าไม่ ! ”  น้ำเสียงเขาแข็งกร้าวขึ้น  พลันอ่อนลงเหมือนนึกได้ “ฉัน
ก็มองไม่เห็นอยู่ดี
จะเดินตลาดไปทำไม”
              ใช้เหตุผลปฏิเสธไปเช่นนั้นทว่าลึก ๆ แล้วเพราะสังหรณ์ใจ  ไม่อยากไปไหนต่อไหนตามคำแนะนำของเสียงปริศนานั่นอีกแล้ว  ด้วยกลัวเหลือเกิน
กลัวจะต้องพบคนรอบตัวเกิดเรื่องร้ายอยู่ตรงหน้าโดยไม่สามารถช่วยเหลือได้
       
                            “ถือซะว่าเปลี่ยนบรรยากาศไง  ไปเถอะ  แค่ข้ามถนนหน้าร้านไปนิดเดียวเอง”
                           
“ไม่ !”
                              “นาย
ไม่เชื่อฉันแล้วเหรอ”  เสียงลึกลับกระซิบยั่ว  ดังจะเร่งระเบิดเวลาในใจพลสินธุ์ให้เร็วขึ้นเป็นหลักวินาที  “แน่ใจนะ  ว่าจะไม่ทำตามที่ฉันบอก”
                           
“เออซิวะ ! ฉันจะไม่เชื่อแกอีกแล้วได้ยินไหม  ฉันไม่อยากไป  ไม่อยากเจอเรื่องร้าย ๆ ไม่อะไรทั้งนั้น  ไม่  ไม่  ไม่ !!!”
              สิ้นเสียงระเบิดอารมณ์ก็มีเสียงแหลมเล็กอีกเสียงดังแหวกอากาศเข้ามาในโสตประสาทของเขา  เป็นเสียงที่เขารู้จักดีและจะไม่มีวันลืมเลือนแน่  เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้เขาไม่อาจมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าได้
             
เสียงรถเบรก !
              พลสินธุ์ได้แต่แข็งทื่ออยู่ตรงนั้น  ภายในร้านเริ่มจอแจ  ผู้คนเข้าออกเพื่อไปมุงดูเหตุการณ์แล้วกลับมาพูดคุยบอกต่อ ๆ กัน
มีอุบัติเหตุ
รถชนเด็ก
บาดเจ็บสาหัส
เด็กไม่หายใจแล้ว
เรียกรถพยาบาล
เรียกตำรวจ
รอบกายมีแต่เสียงที่ฟังดูตื่นตระหนก  บรรยากาศตึงเครียดขึ้นทุกที
                            “เห็นไหมล่ะ  เพราะนายไม่เชื่อฉัน  ถ้านายออกไปตั้งแต่เมื่อกี๊รถคันนั้นก็คงจะชนนายแทน  แล้วเด็กคนนั้นก็คงไม่ต้องมาถูกรถชนตายไปแบบนี้หรอก
ไม่น่าเลยนะสินธุ์
”  เสียงปริศนากระซิบด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ที่เยือกเย็นจับขั้วหัวใจ
                            “พอที
”
                            “เด็กคนนั้นต้องตาย
เพราะนายแท้ ๆ
”
                            “พอแล้ว
หยุด
”
                            “ทั้งต้น  ทั้งริมธาร  พวกเขาต้องมาตายก็เพราะนายคนเดียว  ทุกอย่าง
เพราะนาย  พลสินธุ์
เพราะนาย
เพราะนาย !”
                           
“บอกให้หยุด ! หยุดพูดซะที !” 
              ในหัวของพลสินธุ์ราวกับมีเชือกป่านนับร้อยเส้นบิดเป็นเกลียวแน่นรัดทุกส่วนของสมองจนมันเต้นตุบ ๆ ถี่รัว 
เพราะเขา  เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาคนเดียว  ต้นโดนระเบิดตายเขาก็ช่วยไว้ไม่ได้  ริมธาร
ผู้หญิงที่เขารักที่สุดจมน้ำตายเขาก็ยังช่วยไม่ได้อีก  ส่วนเด็กคนนั้น
ถ้าเขาออกไปเด็กคนนั้นก็คงไม่ตาย  ทั้งหมดเป็นเพราะขา  เพราะเขาตาบอดทำให้ช่วยใครไม่ได้  คนที่ช่วยใครไม่ได้ก็คือคนไม่มีค่า
ไม่มีค่า
              ชายหนุ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป  เขารับไม่ได้กับการที่ต้องกลายเป็นคนไม่มีค่าแบบนี้  พลสินธุ์วิ่งออกไปทางทิศที่ประตูเข้าร้านเปิดอ้าอยู่  เขาชนโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดหากยังคงพยายามวิ่งออกไปนอกร้าน
               
เหลือเราอยู่ตัวคนเดียว
ถึงตายไปก็คงไม่มีใครรับรู้  ไม่มีใครเสียใจ
              เขาวิ่งถลาไปอย่างรวดเร็ว  มุ่งตรงไปเบื้องหน้าและพุ่งตัวออกไปยังถนนใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยรถราที่วิ่งด้วยความเร็วสูง  หวังให้ร่างที่ไร้ค่าถูกรถสักคันชนและนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นถนน
             
วินาทีนั้นเอง  กลับมีมือแข็งแรงมารั้งตัวเขาไว้ได้ทันควัน  รถกระบะคันหนึ่งวิ่งผ่านหน้าไป
                           
“ปล่อยฉัน ! อย่ามาห้าม ! ฉันอยากตาย  ปล่อยสิ !”     
                              “ไอ้สินธุ์  แกจะมาฆ่าตัวตายทิ้งเพื่อนรักอย่างฉันไปง่าย ๆ ยังงี้เหรอ”
                           
“ไอ้ต้น !” พลสินธุ์ตกตะลึง  ที่แท้เจ้าของมือแข็งแรงนั่นก็คือเพื่อนรักของเขาเองงั้นหรือ มันจะเป็นไปได้อย่างไร  ก็
“แก
แกไม่ได้
”
                              “เออ
ฉันยังอยู่รอดปลอดภัย  ยังไม่ตายหรอกโว้ย”
                คนที่ยังถูกรั้งตัวอยู่ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น  เพื่อนของเขายังไม่ตายหรือนี่  ถ้างั้น
                              “ธารก็ยังไม่ตายนะสินธุ์  ยังอยู่ข้าง ๆ สินธุ์นี่ไงล่ะ”
                              “ธาร
”  พลสินธุ์โผเข้ากอดเจ้าของเสียงแน่น  คนที่เขาเคยคิดว่าจะไม่มีวันได้กอดเช่นนี้อีกแล้ว  “ผมนึกว่าจะช่วยธารไม่ได้เสียแล้ว
”
                              “สินธุ์กำลังคิดอะไรอยู่  ทำไมถึงจะฆ่าตัวตาย  ทำแบบนี้ธารเสียใจนะรู้ไหม”  เสียงหวานตัดพ้อต่อว่า
                              “ผมขอโทษ  ผมไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปทำไมถ้าผมช่วยใครไม่ได้  ถ้าผม
ไม่มีค่า”
                กลิ่นหอมรวยรินจากเรือนผมของหญิงสาวทำให้เขาผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด
                              “สินธุ์  ทุกคนล้วนแต่มีค่ากันทั้งนั้น  เพราะฉะนั้นไม่ว่าสินธุ์จะตาบอดหรือจะเป็นอะไรสินธุ์ก็ยังมีค่านะ  โดยเฉพาะกับคนที่รักสินธุ์”
                              “ใช่  เพราะฉะนั้นสัญญานะว่าแกจะไม่ทำร้ายตัวเองหรือคิดฆ่าตัวตายอีก”
                              “อืม
ฉันสัญญา”
                              “ดีมาก  ทีนี้สินธุ์ไปกับธารได้แล้วนะ”
                              “เอ๋  ไปไหนเหรอธาร”
                              “เดี๋ยวก็รู้จ้ะ”
              ลึกเข้าไปที่โต๊ะด้านในสุดของร้านกาแฟแห่งนี้มีลูกค้าเพียงคนเดียวนั่งอยู่  เขากางหนังสือพิมพ์อ่านราวกับจะกั้นตัวเองจากโลกภายนอกที่สับสนวุ่นวาย  แยมโรลวานิลาถูกทิ้งให้เป็นม่ายเช่นเดียวกับกาแฟดำเย็นชืด  คงเพราะเจ้าตัวกำลังตั้งอกตั้งใจอ่านข่าวกรอบเล็กในหน้านั้นอยู่นั่นเอง
               
นักข่าวหนุ่มตาบอด  เครียดจัด  กรีดข้อมือตายคาโรงพยาบาล 
เมื่อวานนี้เวลา  11.10 น. ตำรวจในท้องที่ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งว่ามีคนไข้กรีดข้อมือฆ่าตัวตาย  เมื่อรีบรุดไปที่เกิดเหตุจึงพบว่าผู้ตายเสียชีวิตได้ประมาณ 1 2 ชั่วโมงแล้ว  ทราบชื่อภายหลังว่าผู้ตายคือ  นายพลสินธุ์  คมอนันต์  นักข่าวของหนังสือพิมพ์
   
น่าเสียดายที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเขาจึงจำต้องปิดหนังสือพิมพ์ลงเสียก่อนทั้งที่ยังอ่านไม่จบ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น