✦ อนธการจิ้งจอก ✦ BL, YAOI [END]
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ นิยายวาย ผู้แต่ง : LLwuda.
My.iD :
https://my.dek-d.com/senkou/writer/
ตอนที่ 20 : ข้ารู้แล้วว่าพวกเจ้าเป็นใคร
บทที่ 19
ข้ารู้แล้วว่าพวกเจ้าเป็นใคร
“ไป!!”
สิ้นเสียงตะโกนของจางฮุ่ยเฟิง คนทั้งหมดก็กระโดดทิ้งตัวลงจากหลังม้า พวกเขาไม่เหลือบแลชายตาไปทางด้านหลังแม้แต่น้อย มือหยิบจับอาวุธตรึงกำลังต่อต้านกองทหารม้าด้านหน้า ทิ้งความไว้ใจทั้งหมดและทางรอดชีวิตให้คนด้านหลัง
กว่ากองทหารม้าทั้งหมดจะเคลื่อนขบวนมาหยุดอยู่ด้านหน้า พวกเสี่ยวผานก็ข้ามแม่น้ำกันไปได้ไกลพอสมควรแล้ว คนทั้งหมดต่างจ้องมองหน้ากันท่ามกลางบรรยากาศการเข่นฆ่า
ทหารราบสี่คนสู้กันกองทหารม้าขนาดเล็กหนึ่งกอง…?
สำหรับจินแล้ว ตามความเห็นอย่างนายทหารเช่นเขา หนทางรอดไปได้เรียกได้ว่ามีไม่ถึงหนึ่งในสาม แต่ครั้นจะให้หาหนทางอื่นเขาก็จนปัญญาเช่นกัน จินเป็นทหารที่ผ่านการเข้าร่วมสงครามก็จริง ทว่าเขาไม่ใช่พวกหัวหน้าหน่วย…หัวหน้าภารกิจ อย่างมากก็เป็นเพียงหัวหน้าทีมเท่านั้น การวางแผนเช่นนี้จึงไม่ใช่หน้าที่ การเอาชีวิตรอดท่ามกลางสมรภูมิต่างหากคือหน้าที่ของเขา
จิ้งจอกก้าวเท้าออกมาด้านหน้า ทำเพียงแค่ยืนตัวตรงถือกระบี่เฉยๆก็สร้างความหวาดหวั่นให้กองทหารม้ามิใช่น้อย พวกมันล้วนคุ้นเคยกับนายน้อยลำดับห้าและผู้ติดตามดี คนผู้นี้ต่างหากที่พวกมันมิเคยพบเห็น มือขาวซีดถือกระบี่สวยงามเล่มหนึ่งแต่กับมีกลิ่นอายสังหารรุนแรงยิ่ง สายตาวาวโรจน์ที่จับจ้องพวกมันอย่างไม่กระพริบตาทำให้ร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะ
เซี่ยจวิ่นเหลือบมองด้านข้าง เห็นจินยืนอย่างสงบนิ่งก็อดแปลกใจไม่ได้ ธรรมดาคนที่ไม่เคยสัมผัสการสงครามนั้น ยามยืนอยู่เบื้องหน้ากองทหารม้า…แม้จะจำนวนไม่มากแต่ก็กลัวจนขาสั่นแล้ว คุณชายรูปงามผู้นี้กลับดูคล้ายคุ้นเคยกับสนามรบเป็นอย่างยิ่ง ทุกท่วงท่าทุกการเคลื่อนไหวมีความหมายราวกับทหารผู้เจนจัดในสงคราม
เซี่ยจวิ่นนึกถึงคราที่จินสังหารบั่นคอผู้คนโดยไม่กระพริบตาแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว
คนเรานี่ไม่สามารถดูแต่รูปโฉมภายนอกได้เลยจริงๆ…
“คุณชายฮุ่ยเฟิง” กองทหารม้าที่เข้าโอบล้อมเปิดฉากสนทนาขึ้น
“เจ้ายังกล้าเรียกข้าว่าคุณชายอีกหรือ?” จางฮุ่ยเฟิงยกยิ้ม ถามด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ
“ฮ่าฮ่า คุณชายมีอารมณ์ขันนัก กล่าวตามตรงพวกเราไม่ต้องการทำเช่นนี้หรอก แต่นี่เป็นเพราะคำสั่งจากทางด้านบนต่างหาก”
“เจ้าหมายถึงท่านพี่ชิงฟง?”
“คุณชายอายุยังน้อยแต่ปราดเปรื่องยิ่ง” หัวหน้าของกองทหารม้าคล้ายยิ้มเยาะเย้ย มือแสร้งทำเป็นยกยอคารวะ แต่ในใจกลับดูถูกนายน้อยผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
“จะมัวเห่าหอนอยู่ทำไม” เซี่ยจวิ่นขัดคอขึ้นมา มือเขาชี้กระบี่ใส่หน้าคู่สนทนา
“มีท่านเซี่ยจวิ่นอยู่เช่นนี้ผู้ใดจะกล้าบุ่มบ่ามเล่า?” คนผู้นี้เรียกเซี่ยจวิ่นด้วยน้ำเสียงเคารพในฝีมืออยู่หลายส่วน แต่ยามเรียกหาจางฮุ่ยเฟิงปากกล่าวเรียกคุณชาย ทว่าน้ำเสียงกลับไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย
“คุณชายอุตส่าห์ยอมสนทนากับข้าเพื่อถ่วงเวลาให้ด้านหลังแท้ๆ เซี่ยจวิ่นท่านกลับไม่เข้าใจเสียนี่…”
กล่าวจบก็ยิ้มยียวนยกมือขึ้น ปรากฏลูกธนูราวๆสิบดอกพุ่งตรงไปยังแม่น้ำ
โดยที่สายตาของผู้คนมัวแต่จับจ้องลูกธนู พวกเขาไม่ได้สนใจว่ารอบข้างจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะมีคนผู้หนึ่งที่เคยยืนด้านหน้าหายไปก็ตาม พวกเขามองตามลูกธนูไปเพื่อที่จะรอฟังเสียงคมเหล็กบาดลึกเข้าผิวหนัง…รอดูเลือดมากมายไหลซึมออกมาจากบาดแผลตามที่คาดคิด
เคร้ง เคร้ง เคร้ง! ปรากฏเงาคนผู้หนึ่ง ยกกระบี่ขึ้นวาดเพียงคราเดียวกลับปัดลูกธนูเบี่ยงออกหมดสิ้น เสียงคมกระบี่ตัดผ่านอากาศบ่งบอกถึงพละกำลังอันรุนแรง
…จินโผล่ขึ้นมาคั่นระหว่างแม่น้ำราวกับหมอกควัน กระบี่ในมือส่องประกายระยิบระยับ
“มีเรี่ยวแรงเพียงเท่านี้ พวกเจ้าเลิกเป็นทหารลาออกไปเชือดไก่ไม่ดีกว่าหรือ?”
ร่างสูงโปร่งก้าวเดินไปด้านหน้า สีหน้าราวกับเทพมารมาทวงถามชีวิตก็มิปาน..
พวกมันล้วนได้แต่ตัวแข็งทื่อ คุณชายหน้าหยกผู้นี้ใบหน้างามล่มเมืองนัก มองแล้วคล้ายหล่อเหลาแต่ก็คล้ายสตรีโฉมงามเช่นกัน อีกฝ่ายมาปรากฏตัวตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด…ยกกระบี่ขึ้นคราไหน? พวกมันไม่อาจมองทันได้เลยแม้แต่น้อยเพียงแต่ นอกจากนี้ริมฝีปากได้รูปพอเอื้อนเอ่ยกลับปากคอเราะร้ายยิ่ง
“แม้แต่จิ้งจอกยังมีเรี่ยวแรงเยอะกว่า…หรือว่านอกจากทำสีหน้าดูถูกผู้คนโดยมิได้ดูสารรูปตนเองแล้วเจ้าก็ไม่มีความสามารถอันใดอีก?”
เสี่ยวผานที่รีบเร่งจูงม้าข้ามแม่น้ำกับอาเหลาและไซมิ้งได้ยินคำพูดของจินอย่างชัดเจน ทั้งหมดอดหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างจงใจให้ฝ่ายศัตรูได้ยินมิได้ ทั้งสามผสานเสียงหัวเราะกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ฟังดูต้องการทับถมซ้ำเติมผู้คนยามโดนด่าอย่างยิ่ง
มันที่โดนด่ามีสีหน้าแดงก่ำ บริเวณขมับปรากฏเส้นเลือดปูดโปนจนแทบกระอั่กเลือดเพราะความโกรธกริ้ว…มันโกรธมาก แต่จนใจที่อีกฝ่ายมีปากที่คมกริบมากกว่าจนมันนึกคำตอบโต้ไม่ทัน ได้แต่ถลึงตาใส่ แต่พอถูกมองกลับเท่านั้นก็คล้ายมีฟ้าผ่าจำต้องเบี่ยงสายตาหนีด้วยความหวาดหวั่น
นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่…?
ความหวาดกลัวในเรื่องใดไม่อาจทราบของมันมาจากที่ใด? คุณชายหน้าหยกงามผู้นี้ร่างกายไม่ได้กำยำเท่าเหล่าแม่ทัพนายกองด้วยซ้ำ แขนที่จับกระบี่บอบบางราวกับไร้เรี่ยวแรงเมื่อเทียบกับบุรุษด้วยกัน เหตุไฉนมันจึงได้หวาดกลัวถึงเพียงนี้? หรือนี่อาจเป็นเพราะดวงตาเช่นสัตว์ร้ายคู่นั้น
มันสลัดความกังวลทิ้ง จัดการอีกฝ่ายได้ความรู้สึกเช่นนี้คงหายไปเอง “พวกเราบุ......”
กล่าวยังไม่ทันจบคำดีมันที่อ้าปากค้างบนหลังม้าสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกตนเอง เห็นเลือดมากมายซึมออกมา บริเวณหน้าอกมีมีดเรียวเล่มเล็กปักอย่างแม่นยำ
“นายกอง!!”
“นายกอง!!ท่านถอยไปด้านหลังก่อน!”
คำกล่าวที่ว่าจัดการกองทัพให้จัดการหัวหน้าก่อนมีมาทุกยุคทุกสมัย ตัวโง่งมนี่เป็นหัวหน้าโดยแท้กลับป่าวประกาศยืนอยู่ด้านหน้าอย่างไม่ระมัดระวังตัวแม้แต่น้อย…หรือผู้คนในภพนี้จะนิยมชมชอบส่งแม่ทัพมาด้านหน้าแสดงตัวล่อเป้าเช่นนี้กัน? จิ้งจอกส่ายหัวมือยังโยนมีดเล่มเรียวในชุด12โจรที่นำมาจากถ้ำครรภ์ชนเผ่านางแอ่นเล่นราวกับเป็นบอลยาง
ท่ามกลางความวุ่นวายของเหล่ากองทหารม้าที่ไร้ระเบียบเพราะสูญเสียผู้นำ จินเหลือบตามองไปด้านหน้า…สบหน้ากับนายกองผู้ถูกมีดบินเสียบเข้าหน้าอกจนลึก ริมฝีปากขยับช้าๆ ดวงหน้าหล่อเหลาเรียบเฉย
“ตื้นไปหน่อย…คาดไม่ถึงเจ้าคงใส่เกราะหนาไว้ด้านใน”
เซี่ยจวิ่นยิ้มอย่างถูกใจ ปกติแล้วเขามักโดนมู่ฟ๋งกับนายน้อยปรามเรื่องลงมืออย่างใจร้อนเสมอ ยามนี้มีผู้กระทำการเช่นเดียวกันแล้วจึงอดชอบใจมิได้ มือจับกระบี่โผนทะยานไปด้านหน้าเข้าปะทะกับนายทหารที่เข้ามาคุ้มกันนายกองทันที
“ซีอิ่งเจ้าทำดียิ่ง! เข้ามา!ข้าจะให้พวกเจ้าทราบความสามารถเพลงกระบี่ตระกูลเซี่ย!”
มู่ฟ๋งส่ายหัวอย่างอ่อนใจ จางฮุ่ยเฟิงยกยิ้มแล้วถือกระบี่ตามเข้าไปในวงต่อสู้ด้วย สำหรับคุณชายตระกูลจางที่เชี่ยวชาญเรื่องวางหมากแล้ว ครานี้เป็นคราแรกที่เขาไม่ได้วางแผนคาดการณ์ถึงสิ่งใด มีหลายเรื่องที่เลยจากความคิดของเขามากเกินไป…มีเรื่องไม่อาจคาดเดาได้มากเกินไป ยามนี้จึงได้แต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
พลธนูมองเหตุการณ์ที่เริ่มชุลมุนวุ่นวาย สายตามองเห็นพวกเซี่ยจวิ่นที่ขโมยม้าได้ประมือกับนายทหาร ควบม้าวิ่งวนไปมาเพราะไม่อาจตั้งรับกับทหารจำนวนมากโดยตรง พลธนูน้าวสายธนูจนตึง…ทว่ายังไม่ทันปล่อยลูกธนูออกไปพวกมันก็ล้มลงทีละคนจนหมดสิ้น ไม่อาจเห็นแม้กระทั่งใบหน้าว่าภูติผีที่ไหนเป็นผู้สังหาร
จางฮุ่ยเฟิงมองจินด้วยความทึ่ง ข้อสงสัยตลอดมาตั้งแต่ยามเด็กบัดนี้ถูกคลี่คลายจนหมดแล้ว เดิมทีตอนยังเด็กเขาเคยสงสัยว่าจินสามารถหนีรอดจากนักฆ่ามาได้อย่างไร เห็นอีกฝ่ายที่ผลุบหายไปโผล่ตรงโน้นตรงนี้จับไม่ได้แม้แต่ชายเสื้อก็พลันเข้าใจขึ้นมา
ตรงข้ามกับมู่ฟ๋งและเซี่ยจวิ่นที่มองด้วยสายตาเป็นกระกาย พวกเขาถือเป็นผู้มีฝีมือผู้หนึ่ง ดังนั้นจึงชื่นชอบและมีความรอบรู้ด้านวิชาอย่างกว้างขวางมาก ยิ่งมาจากตระกูลไม่ได้อับจนฐานะด้วยแล้ว เรียกได้ว่าพวกเขาต่างไม่มีวิชาได้ไม่ทราบมาก่อน ยามนี้ตรงหน้าของตนปรากฏวิชาประหลาดขึ้นมา ซ้ำยังพิลึกพิลั่นแต่ทว่าเก่งกาจจนอดมองอย่างสนใจใคร่รู้มิได้
ต่อสู้โรมรันพันตูกันอยู่สักพัก ถึงแม้กองทหารม้าของจางชิงฟงจะมีฝีมืออ่อนด้อย แต่ทว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ไม่นานต่างก็เริ่มเหน็ดเหนื่อย… ผ่านจากป่าอสูรมาควบม้าหลายชั่วยาม ยังไม่ได้พักแม้แต่น้อย ความเหนื่อยล้าก็เริ่มสะสม จนเรี่ยวแรงและความรวดเร็วตกลง
ในที่สุดขบวนม้าก็บีบคนทั้งสี่ไว้ตรงกลาง นายทหารบนหลังม้าต่างยิ้มกระหย่อม มือเงื้อดาบใหญ่ หัวหน้านายกองที่โดนมีดบินของจินเสียบอกไปนั้นก็ตะโกนกล่าววาจาถากถาง กองทหารมาต่างพากันหัวเราะให้กับลูกไก่ในกำมือตอนนี้ พลันพวกเขาต่างหยุดนิ่งงันเมื่อมีเสียงตะโกนดังลั่นขึ้นจางอีกฝั่ง
“กระโดด!!!”
ได้ยินเพียงเท่านี้พวกจางฮุ่ยเฟิงต่างก็มิใช่ตัวโง่งม สะกิดปลายเท้าใช้วิชาตัวเบากระโดดทันที
ฟุ่บ ฟุ่บบ! ฉึก! ธนูสองดอกวิ่งฝ่าอากาศไปในแนวขนานอย่างแม่นยำ ปักแน่นลงในเนื้อไม้ ระหว่างธนูคล้องไว้ด้วยเอ็นที่ยืดหยุ่นแข็งแรงพอสมควร ม้าหลายตัวที่อยู่บริเวณนั้นต่างล้มลงโดยไร้สาเหตุ นายทหารบนหลังม้ากลิ้งหล่นมาแนบพื้นกระจัดกระจาย
“ไปเร็ว!” เซี่ยจวิ่นตะโกน รีบหันหลังทะยานข้ามแม่น้ำ
“อย่าปล่อยให้พวกมันหนีรอด!!” นายทหารที่สามารถหลุดรอดจากยาพิษที่เคลือบไว้ตรงเส้นเอ็นไปได้ ด้วยไม่อาจมองเห็นด้วยสายตาสามัญธรรมดาต่างพากันใช้ม้าเป็นฐานรับเคราะห์พาตนเองออกมาไล่ตามอย่างไม่ลดละ ทว่าพวกมันอย่างไรก็เป็นเพียงทหารชั้นเลว ดังนั้นจึงไม่มีวรยุทธ์สูงส่งมาก ไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาเช่นกระโดดในน้ำได้
จินสะกิดปลายเท้ากระโดดข้ามไปยังแม่น้ำให้ได้ไกลที่สุด ก่อนคนทั้งสี่จะทิ้งตัวลงไปในน้ำจังหวะก้าวแรก ทั้งหมดทะยานตัวขึ้นจากน้ำอีกครั้งเพื่อไปยังฝั่งในจังหวะก้าวที่สอง ฉับพลันจินคล้ายตนเองไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง…ร่างกายค่อยๆจมลงไปในน้ำ
แท้จริงแล้วเสี่ยวผานไม่สามารถยิงธนูสองดอกได้ภายในห้าวินาที…ดังนั้นจิ้งจอกที่อยู่ในไกลที่สุดจึงจังหวะไม่สมดุลกับเวลา เพียงแค่เล็กน้อยผิวหนังก็ไปกระทบถูกยาชาเข้า เนื่องจากมีพลังภายในมิใช่ธรรมดา ใช้เวลาพอสมควร ต้องรอจนเค้นกำลังภายในใช้ออกวิชาตัวเบากว่าจะออกฤทธิ์ อีกทั้งยาชาชนิดนี้ยังทำมาจากสมุนไพรหายากผสมกับพิษของสัตว์วิเศษในป่ามนตราอีกด้วย
“จิน!!”
เสี่ยวผานตะโกนลั่นอยู่บนชายฝั่ง เนื่องจากยามนั้นต่างพากันตกอกตกใจจึงไม่มีผู้ใดสนใจคำเรียกขานมากนัก เสี่ยวผานปลดย่ามลงตั้งใจจะกระโดดลงไปช่วยสหายรักพลันได้ยินคนด้านข้างทั้งหมดตะโกนขึ้นมาอย่างตกอกอกใจเสียก่อน เซี่ยจวิ่นกับมู่ฟ๋งแตกตื่นเป็นอย่างมาก
“นายน้อย!”
“คุณชายจาง!”
เป็นหลังไวๆของจางฮุ่ยเฟิงที่กระโดดไป ฝีมือของจางฮุ่ยเฟิงยามผ่านน้ำก็ไร้ซึ่งผิวกระทบ ฝีมือแสดงว่ามิใช่เลวทรามหรือธรรมดา…นับเป็นผู้เก่งกาจผู้หนึ่ง ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงในน้ำอย่างแม่นยำ มือช้อนเอาคนที่กำลังจมหายไปในน้ำขึ้นมา จางฮุ่ยเฟิงจับแขนด้านหนึ่งของจินให้พาดบ่าตนเอง ประคองเอวอีกฝ่ายที่บางกว่าที่คาดจนต้องขมวดคิ้วว่าเอาเรี่ยวแรงมากมายมาจากที่ใด
เหล่าทหารอีกฝั่งแม่น้ำที่หลบรอดยาชามาได้ ได้แต่ตะโกนด่าทอมองคนทั้งคู่ขึ้นจากน้ำอย่างปลอดภัย
“สามารถขยับได้หรือไม่” ขึ้นมาได้จางฮุ่ยเฟิงก็รีบร้อนถามคนด้านข้าง
“ยังไม่ได้ หากได้โคจรลมปราณขับพิษสักครู่ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
“หลบเข้าไปในป่าก่อนค่อยว่ากัน”
กล่าวจบก็ใช้เรี่ยวแรงโอบอุ้มอีกฝ่ายขึ้นหลังมาไปด้วยกัน จินเบิกตาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าตนเองถูกพามานั่งด้านหน้าของม้า แผนหลังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิและความเปียกชื้นตามเสื้อผ้าจากอีกฝ่าย
“มูยอง เยี่ยกง รบกวนนำทางด้วย! มู่ฟ๋งลากม้าไปอีกตัวประกบกับอาเหลาและไซมิ้ง เซี่ยจวิ่นเจ้าไปรั้งท้าย!”
เสี่ยวผานเป็นห่วงจิ้งจอกแต่ทว่าก็ไม่กล้าชักช้าจนเสียการ จินเป็นเช่นนี้เพราะเขายังบรรลุวิชาไม่มากพอไม่อาจสำเร็จได้ดั่งหวัง ในใจรู้สึกผิดมิใช่น้อยตั้งใจว่าจบงานครานี้จะต้องสำเร็จขั้นสูงสุดของวิชาธนูให้ได้ เด็กหนุ่มควบม้านำไปด้านหน้าตั้งใจนำทางไปยังที่ปลอดภัย ทั้งหมดต่างควบม้าตามมากันเป็นขบวน
เยี่ยกงที่ควบม้าตีคู่กับเสี่ยวผานตะโกนถาม “คุณชายจางท่านจะเข้าเมืองหรือไม่? ยามนี้เกรงว่าอาจไม่สามารถเข้าเมืองได้”
“ข้าทราบ…ศัตรูทราบว่าข้าอยู่ที่นี่ก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าข้าจะต้องเข้าเมือง หาเพียงแหล่งน้ำพักผ่อนกันก่อน อย่างไรต่อนั้นค่อยหารือ”
เยี่ยกงรับคำหันไปสนทนาต่อกับเสี่ยวผาน มือกางแผนที่ปรึกษากันเรื่องเส้นทางและบ่อน้ำที่จะหยุดพัก จินที่อยู่บนหลังม้าหลับตาลง โคจรลมปราณขับไล่พิษที่ทำให้ชา
ลอบมองใบหน้าด้านข้างเช่นนี้ อีกทั้งยังสามารถสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิกายของกันและกันทำให้จางฮุ่ยเฟิงรู้สึกไม่คุ้นเคย จมูกยังสามารถได้กลิ่นหอมจางๆ…
เด็กหนุ่มตระกูลจางไม่เคยได้รับความใกล้ชิดเช่นนี้จากผู้ใดมาก่อน…
เขาหวนนึกถึงใบหน้ายามที่พบเจอกันครั้งแรกแล้วรู้สึกสั่นไหว จางฮุ่ยเฟิงรู้จักที่จะไม่ไว้ใจผู้คน เรียนรู้ถึงการทรยศหักหลังมามากพอที่จะไม่ฝากความรู้สึกไว้ที่ใครอีก ยามนี้กลับรู้สึกเช่นนี้เพิ่มขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ…พอตระหนักถึงแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
คนในอ้อมแขนตรงด้านหน้านี้มีใบหน้างดงามก็จริง แต่ที่น่าหลงใหลคืออุปนิสัยตามธรรมชาติต่างหาก ใบหน้าที่แฝงความเย่อหยิ่งเอาแต่ใจอย่างชัดเชน ท่วงท่ากิริยาหลังตรงองอาจดูสง่างาม แสดงให้เห็นถึงความใจกล้าแน่วแน่ทรนง… ซ้ำยังกล้าเอ่ยปากด่าทอนายน้อยของตระกูลใหญ่
ไม่เคยมีผู้ใดนอกจากคนในตระกูลจางที่ด่าทอกล่าววาจาเสียดสีเขาโดยตรง แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดมอบความจริงใจดุด่าตำหนิติเตียนอย่างห่วงใยเช่นกัน
…จางฮุ่ยเฟิงคล้ายมีสายน้ำเย็นขุมนึงแล่นผ่านหัวใจให้รู้สึกอบอุ่น
“ขอบใจมาก” จินที่โคจรลมปราณทั่วรูขุมขน ขจัดพิษออกไปหมดแล้วก็ลืมตาขึ้น
“ทำให้คนเช่นเจ้าเป็นหนี้บุญคุณได้นับว่าคุ้มค่ายิ่ง”
จางฮุ่ยเฟิงยิ้มขบขันแต่ในใจกลับยึดถือจริงจัง เด็กหนุ่มมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ รอบรู้เรื่องกลศึก ค่ายกล ชอบวางหมากจนติดเป็นนิสัย ดังนั้นสิ่งใดหรือใครที่มาเพิ่มแขนขาให้ตนเองได้จางฮุ่ยเฟิงก็ไม่ลังเลก็จะกล่าวขึ้นมา หยิบจับสิ่งรอบตัวมาเป็นหมาก…เพียงแต่หมากตานี้ของเขาไม่ได้เดินเพื่อหวังผลให้อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ตัวกระจอกๆแน่นอน
จินพ่นลมหายใจบ่นพึมพำ “เจ้าเด็กแก่แดด…” แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าหนี้อย่างเจ้าสามารถตามตัวข้าไปตอบแทนบุญคุณได้ก็มาตาม”
จางฮุ่ยเฟิงสบตาที่มองมาอย่างท้าทายแล้วยิ้มบางๆ “…ย่อมได้”
พวกเขาควบม้ากันมาอีกสักพักก็เจอแหล่งน้ำ จึงตัดสินใจนอนพักกันก่อนที่นี่ จินที่ขับพิษยาชาออกหมดแล้วก็รีบกระโจนลงจากหลังม้า เดินไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ม้าทุกตัวต่างพากันดื่มกินน้ำในบ่ออย่างกระหาย ทุกคนต่างทรุดตัวลงกับพื้นหลังพิงต้นไม้ พักพิงอย่างเหนื่อยอ่อน โคจรลมปราณฟื้นฟูกำลังภายในเสียยกใหญ่
“ยานั่นแรงมาก เจ้าปรุงเองหรือ?” จู่ๆมู่ฟ๋งก็เปิดปากขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
“ใช่แล้ว” เสี่ยวผานลืมตาขึ้นมองคู่สนทนา
“ผู้ใดเป็นอาจารย์เจ้า”
เสี่ยวผานส่ายหัว “ข้าไม่มีอาจารย์ หากคำนับคงต้องคำนับบิดา”
“บิดาเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
เสี่ยวผานส่ายหัวยิ้มบางๆแทนคำตอบ
“น่าเสียดายอย่างยิ่ง! คงต้องขอคำนับวิญญาณบิดาเจ้าแล้ว เป็นเพราะเจ้าจึงพาเรารอดตายมาหลายหนในวันนี้ ถือว่าท่านผู้เฒ่าเลี้ยงดูเจ้ามาได้ดียิ่ง!” อาเหลาตะโกนเสียงดัง ใบหน้าของมันเคร่งขรึมอย่างจริงใจ
“บิดาของข้าเป็นคนดีอย่างยิ่ง”
ส่วนด้านที่ไม่ดีเสี่ยวผานคิดว่าตนเองได้รับมาจากผู้เลี้ยงดูอีกคน…หรืออาจเรียกอีกตัวหนึ่ง
ท่ามกลางบรรยากาศวงสนทนาที่กำลังเป็นทิศทางที่ดี จู่ๆไซมิ้งก็ทะลึ่งลุกตัวขึ้นพรวด เดินไปหยุดอยู่หน้าจางฮุ่ยเฟิงคุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น โขกหัวจนเลือดตกยางออกจนต้องพากันร้องตะโกนห้าม
“พอได้แล้ว ทำเช่นนี้ไม่ได้ช่วยอะไรมีสิ่งใดก็พูดมา” จางฮุ่ยเฟิงสามารถคาดการณ์ได้ทันที เด็กหนุ่มหรี่ตาลงใบหน้าเคร่งขรึมสร้างความหวาดหวั่นให้แก่ผู้กระทำผิดอย่างยิ่ง
“ข้าไซมิ้งขอยอมรับผิด! กระทำการน่าละอายเป็นไส้ศึกส่งข่าวคราวที่อยู่ของท่าน แต่ทว่าเพราะความจำเป็นน้องสาวของข้าถูกจับตัวไว้…คราแรกพวกมันเพียงแต่เสนอเงิน ข้านึกละอายใจทำได้เพียงครั้งเดียวก็ล้มเลิก คาดไม่ถึงพวกมันกลับส่งจดหมายมาข่มขู่”
โป๊ก! ไซมิ้งโขกหัวลงกับพื้นอีกที ดวงตาอาบไปด้วยน้ำตา “พวกมันให้ขโมยของที่คุณชายพกติดตัวในครานี้ ไซมิ้งสำนึกผิดแล้วคุณชายจางไม่ได้เป็นขยะไร้ค่าเช่นคำของผู้คน กลับชาญฉลาดปราดเปรื่องเหนือผู้ใด ได้โปรดช่วยเหลือน้องสาวของข้าเดียว ชั่วชีวิตนี้ข้าหลงเหลือนางเพียงคนเดียวเป็นครอบครัว!”
จางฮุ่ยเฟิงไม่รับคำในทันที เด็กหนุ่มเงียบอ่านไม่ออกว่าครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
“เซี่ยจวิ่น มู่ฟ๋ง” จางฮุ่ยเฟิงเรียกผู้ติดตามของตน ฉับพลันคนทั้งคู่ที่ถูกเรียกก็ลุกขึ้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กระบี่ทั้งสองเล่มถูกชักออกพาดไปบนลำคอของเยี่ยกงกับอาเหลาแล้ว
“ยังมีผู้ใดทรยศข้าอีกหรือไม่?” จางฮุ่ยเฟิงยามนี้ยิ้มบางๆ แต่ผู้ที่ยิ้มในเวลาเช่นนี้น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าทำหน้าตาโกรธเกรี้ยวเสียอีก คำถามคล้ายไม่ใส่ใจ…แต่จางฮุ่ยเฟิงไม่ได้ควบคุมตัวของจินกับเสี่ยวผาน เด็กหนุ่มมีความหวาดหวั่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
หากจินกับเสี่ยวผานยังทรยศอีกเช่นนั้น…
จางฮุ่ยเฟิงโดยไม่รู้ตัว ไม่อาจรับถึงคำตอบดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงทำเป็นไม่รับรู้เสีย คาดการณ์ไปเองว่าอย่างไรทั้งคู่คงไม่ทรยศตนเอง จากหลักเหตุผลที่ผ่านเหตุการณ์เป็นตายต่างๆด้วยกันมานั้นจางฮุ่ยเฟิงมีความมั่นใจสองในสามส่วนด้วยกัน
“หมดแล้ว มีเพียงล้อฮุนกับไซมิ้งเท่านั้น” จินตอบแทน ยามกลางคืนหรือทุกครั้งที่มีเวลาว่าง สองคนนี้ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งจะมีข้ออ้างปลีกตัวไปเสมอ พิรุธเช่นนี้เขาสามารถจับได้ตั้งแต่วันที่สอง เพียงแต่ว่ายังรีรอดูจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายต้องการเลยไม่ได้กล่าวเปิดโปงในทันที
ดังนั้นยามที่ล้อฮุนเข้าใกล้จางฮุ่ยเฟิง จินจึงขยับตัวเคลื่อนไหวเร็วกว่าใคร ไปถึงตัวคนทั้งคู่เป็นคนแรก น่าเสียดายที่ไม่อาจชิงจดหมายคืนมาได้ทัน จิ้งจอกไม่คาดคิดว่าจะมีกองทหารขนาดย่อมค่ายหนึ่งดักรออยู่เช่นนี้
“แล้วข้าเล่า…ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจหรือไม่?” เสี่ยวผานยิ้มขบขัน มือยกขึ้นมาอย่างแสดงท่าทางยอมแพ้
“ข้ารู้แล้วว่าพวกเจ้าเป็นใคร ดังนั้นไม่ต้อง”
จางฮุ่ยเฟิงกล่าวจบเสี่ยวผานก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย หันไปมองหน้าสหายรักที่มองมาด้วยสายตาเรียบเฉย ราวกับจะกล่าวว่า ‘ข้าบอกแล้วเขาไม่ใช่ตัวโง่งม’
เยี่ยกงกับอาเหลาต่างก็รีบสาบานกันปฏิเสธข้อกล่าวหา ไซมิ้งก็ยืนยันว่ายามที่ไปตามนัดมีเพียงตนกับล้อฮุนเท่านั้น เซี่ยจวิ่นกับมู่ฟ๋งถึงค่อยวางกระบี่ลง แต่จนแล้วจนรอดจางฮุ่ยเฟิงก็มิได้รับปากไซมิ้งอยู่ดี ปล่อยให้ผู้คุ้มกันคุกเข่าอยู่เช่นนั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากทักท้วง
“จดหมายก็โดนชิงไปแล้วจะทำเช่นไรต่อ?” เยี่ยกงเปิดประเด็นสนทนา
“อย่างไรก็เดินทางไปถึงค่ายแม่ทัพจางหลี่ก่อน ข้าจะเป็นคนรับโทษเอง” จางฮุ่ยเฟิงถอนหายใจ พิงต้นไม้ใหญ่อย่างสงบเงียบ มุมปากมีรอยยิ้มตามมารยาทประดับไว้
จดหมายที่โดนขโมยไปเป็นของปลอม… เนื่องจากสีหน้าของจางฮุ่ยเฟิงไม่สามารถตบตาจิ้งจอกได้ ประโยคที่กล่าวพบพิรุธหลายส่วน คาดการณ์จากนิสัยรอบคอบของจางฮุ่ยเฟิง…แม้มิได้สนิทชิดเชื้อกันมานานมากมาย แต่ก็นานพอให้จินรู้ว่าจะขโมยของจากคุณชายตระกูลจางผู้มากเล่ห์ผู้นี้ ไหนเลยจะง่ายดายถึงเพียงนั้น?
…เช่นนั้นของที่ถูกขโมยไปเป็นสิ่งใดกันเล่า?
ในเมื่ออีกฝ่ายยอมรับแล้วว่าจดจำเขากับเสี่ยวผานได้ ดังนั้นจินตั้งใจจะโยนมารยาทและความเกรงใจ(ที่มีให้เล็กน้อย)ทิ้งไป อย่างไรคืนนี้เขาก็จะไปคาดคั้นเจ้าเด็กแก่แดดผู้นี้ให้คายความลับออกมาให้ได้
ถือโอกาสข่วนหน้าทำตามความแค้นในอดีตที่บังอาจมาเรียกว่าแม่นางไปด้วย…
#TALK with LLwuda
รีบมาอัพให้ก่อนไปเรียนค่ะ ตั้งใจจะอัพกลางสัปดาห์ทีไรก็หมดแรงอัพทุกที U_U ตอนสอบก็ทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำเครื่องบินตกไปตั้งสองตัว…โฮ ทำเอากลับบ้านมานอนเฟลหมดแรงเลย (แต่เราไม่ใช่นักบินนะคะ)
ตอนนี้ก็มีฉากสวีทถามกลางสนามรบอีกแล้วค่ะ! สามารถจริงๆ น่าสงสารเจ้าจิ้งจอกนะคะครั้งนี้ อาบน้ำอย่างสบายก็ไม่ได้อาบ(?) ขนก็ไม่ได้แปรง…น่าสงสารกว่าคือจางฮุ่ยเฟิงที่จะโดนจิ้งจอกเจ้าคิดเจ้าแค้นตัวนี้เรียกต้นทุนคืนทบดอกเบี้ยให้คุ้มอย่างไรบ้าง (แนะนำว่าให้คุณชายจางไปซื้ออาหารและสิ่งของมากราบเท้าหมอบเป็นทาสจิ้งจอกอีกคน)
จางฮุ่ยเฟิงเข้าธรรมเนียมหัวใจถูกขโมยโดยไม่รู้ตัวจริงๆค่ะ555
แล้วพบกันตอนหน้าน้า <3 *โบกมือทักทายเหล่าทาสจิ้งจอก*
โอ้ยยยยย หนีตายกันขนาดนี้ ยังอุตส่าห์แอบมีโมเม้นนะคะคุณชาย
ตายแล้วคุณชาย โดนจิ้งจอกแม่นางน้อยหมายหัว 555555
นางแสบๆคันๆ เก่ง ฉลาด หน้าตาดี. อุปนิสัยชวนให้ดูหยิ่งผยองมันน่าสอยลงมานักจิ้งจอกเซเล็ปตัวนี้
5555 เค้าหวานกันในสนามรบ เออดีงาม ชอบ ทั้งรบทั้งรัก จ่ะ จัดมารัวๆ ฟินเบาๆแต่ฟินนานๆ 5555