✦ อนธการจิ้งจอก ✦ BL, YAOI [END]
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ นิยายวาย ผู้แต่ง : LLwuda.
My.iD :
https://my.dek-d.com/senkou/writer/
ตอนที่ 44 : ระฆังแรก
บทที่ 40
ระฆังแรก
ฤดูกาลแปรเปลี่ยนในข้ามคืน รุ่งขึ้นอากาศหนาวก็พัดมา อันเป็นสัญญาณเริ่มต้น
บ่าวรับใช้ต่างได้รับแจกเครื่องนุ่มห่มกันคนละชุดอย่างใจกว้าง แต่ในจวนของคุณชายจางฮุ่ยเฟิงแห่งนี้ นอกเหนือจากบ่าวรับใช้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ อากาศหนาวสามัญธรรมดามิสามารถส่งผลต่อร่างกายได้
…ถึงกระนั้นเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ยังมีบุรุษผู้หนึ่งบ่นว่าหนาวยิ่ง
ไฉนท่านแม่ทัพที่เพิ่งดำรงตำแหน่งวาโยล่องหงส์คนใหม่ผู้นี้ ถึงได้รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาได้? นอกจากนี้ลักษณะนิสัยชอบซุกหาความอบอุ่นสมควรเป็นจิ้งจอกอย่างเขามิใช่หรือ กลับกลายเป็นว่าเมื่อคืนถูกหมาป่าที่สวมหนังแกะตัวนี้อ้างว่าหนาว กระทำการฉกฉวยจนอากาศหนาวในห้องร้อนขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง
แน่นอนว่าจิ้งจอกในร่างมนุษย์ที่ต้องการนอนหลับอย่างเป็นสุข จึงยอมตามใจตัดความรำคาญ พลิกตัวหันกลับไปซุกตนเองลงหาไออุ่น ก่อนจะกระซิบเบาๆข่มขู่มิให้รบกวนอีก
จากนั้นฝ่ายที่นอนไม่หลับในคราแรกก็กลับด้านกัน…
เช้าวันรุ่งขึ้นจางฮุ่ยเฟิงจึงเข้าวังไปจัดการตำแหน่งหน้าที่วาโยล่องหงส์ ด้วยสีหน้าที่มิค่อยดีเท่าไหร่นัก ดวงตาเฉกเช่นคนอดนอน ทว่าใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มมารยาทดั่งปกติ
หลังจากส่งเจ้าของจวนออกไป บรรดาบ่าวไพร่จึงค่อยแยกย้าย ทุกคนต่างมีสีหน้าเบิกบานเมื่อได้รับเครื่องนุ่งห่ม จวนของคุณชายจางฮุ่ยเฟิงแห่งนี้ในสายตาบ่าวไพร่แล้วนับเป็นสถานที่อันดีอย่างมาก ชนชั้นบ่าวรับใช้เดิมทีสมควรมีชีวิตอันน่าอดสู ได้นายดีจึงเรียกว่าดีกับตัว ที่นี่ไม่มีสตรีอันดุร้าย บุรุษอันกักขฬะให้ตนต้องเจ็บตัวหรือลำบากใจ
จางฮุ่ยเฟิงเป็นบุรุษที่มีนิสัยอันเฉียบขาดอย่างนักรบผู้หนึ่ง ท่านดีต่อเขา เขาก็ดีตอบ ท่านร้ายต่อเขา…แม้ภายนอกเขาจะพูดดีกับท่าน แต่ลับหลังกลับกำลังลอบซัดมีดใส่ท่านอยู่
บ่าวรับใช้พวกนี้ถูกถิงถิงอบรมตระเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างจวน ส่วนบ่าวรับใช้เก่าๆทั้งหมดถูกทิ้งไว้ที่จิงหย่วน
จินมองบรรดาบ่าวรับใช้ที่บ้างก็แก่ชรา บ้างก็เป็นเพียงเด็กน้อยหน้าดำ รีบสาวเท้าก้มหน้าก้มตาจนแทบจะติดพื้น เดินผ่านไปอย่างเร่งรีบ ผู้คนในจวนแห่งนี้ล้วนหวาดกลัวเขายิ่ง
คนอย่างจางฮุ่ยเฟิง จากนิสัยแล้วเป็นประเภทที่น่ากลัวกว่าเสียอีก… ชนชั้นอันเปิดเผย ไหนเลยน่าจะหวาดหวั่นเท่าผู้ที่ซ่อนตัวภายใต้แสงตะวัน
เบื้องลึกภายในใจที่กักเก็บไว้นั้น เห็นจะมีเพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้… เช่นกองกำลังลับทั้งหมดเบื้องหน้านี้ สวมชุดดำสนิทภายใต้หน้ากากจิ้งจอก คนทั้งหมดกำลังออกแรงหมุนกลไกคันโยก ผู้ที่นอนอยู่ตรงกลางนั้นร้องโหยหวนเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด จนกระทั่งเสียงแหบแห้ง มีลิ่มเลือดพุ่งกระฉูดออกมา สารรูปมิอาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์อีก
เครื่องแยกส่วนนี้นับเป็นเครื่องทรมาณอันโหดเหี้ยม ฝังลึกอยู่ภายใต้คุกของจวน ตรึงร่างกายของผู้รับโทษสี่ทิศด้วยโซ่เหล็กหนา เพียงหมุนกลไกพันโซ่เก็บไปเรื่อยๆ ร่างกายก็จะถูกแยกเป็นส่วนๆอวัยวะภายในกระจัดกระจายหมดสิ้น น่าสยดสยอง นับเป็นความอำมหิตอย่างหนึ่ง
กองกำลังลับทั้งหมดถูกมู่ฟงเรียกมาดูทัณฑ์ทรมาณในครานี้ ถือเป็นการฝึกฝนทางจิตใจ ทว่าจิตใจของพวกมันกลับลอบหวั่นขึ้นมา มิใช่เพราะการทรมาณเป็นที่รำคาญหูสำหรับพวกมันเช่นนี้ … ทว่าเป็นเพราะบุรุษรูปงามดั่งหยกละเอียดที่มักสวมชุดสีขาวเป็นประจำกลับห้อยพู่สีดำเดินเข้ามาด้วยในครานี้
พู่สีดำอันนี้ถือเป็นตำแหน่งสูงที่สุดของกองกำลัง ทุกคำที่เอ่ยล้วนเป็นประกาศิตสำคัญ พวกมันถูกฝึกมาอย่างเคร่งครัดให้ทำตามคำสั่ง หากถูกสั่งให้กระโดดหนาผาย่อมมิมีความลังเล… แต่พวกมันมิใช่ดั่งหุ่นฟางรอคนชักจูง พวกมันสามารถตั้งคำถามได้ เกิดความสงสัยได้
จินยืนอยู่ด้านข้างมู่ฟง พิงลูกกรงด้วยท่าทีมิทุกข์ร้อน ดวงตาเรียบเฉยมองไปยังภาพตรงหน้าราวกับพบเห็นเป็นเรื่องปกติ จวบจนจบสิ้นบรรดาผู้คุมจึงจัดการเก็บกวาดซากศพที่เหลือ ส่วนศีรษะถูกนำบรรจุใส่กล่องอย่างดี ผูกริบบิ้นสวยงามราวกับเป็นของขวัญล้ำค่า เพียงเท่านี้ก็สามารถคาดเดาได้ว่าส่วนศีรษะไร้ร่างนี้จะถูกส่งไปที่ใด
บรรดาหน่วยลับทั้งหมดกลับขึ้นไปด้านบน พวกเขาทำตามตารางการฝึกซ้อมเป็นประจำเมื่อมิได้ถูกเรียกใช้ จวนหนึ่งหลังที่แท้ภายในเป็นไส้เปล่า ซุกซ่อนไว้ซึ่งห้องฝึกฝนฝีมือ หาได้ไว้ใช้หลับนอนอย่างที่บ่าวไพร่เข้าใจ
มู่ฟงเรียกทั้งหมดมารวมกันก่อนแยกย้าย เพื่อแนะนำหัวหน้าที่ไร้ตัวตนมานาน จนพวกมันล้วนหลงนึกว่าคุณชายจางดำรงตำแหน่งหัวหน้าด้วยตนเองแล้ว
จินกวาดตาดูคนทั้งหมดมีทั้งบุรุษและสตรีปะปนกัน รูปร่างล้วนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ในชีวิตช่วงหนึ่งเขาก็เคยยืนเข้าแถวตรวจทหารเช่นนี้ มิคาดว่าครานี้ได้มายืนตำแหน่งหน้าแถวด้วยตนเอง… เอกสารที่จางฮุ่ยเฟิงให้มาเพียงผ่านตาหนึ่งหนก็สามารถจดจำได้หมดสิ้น ดังนั้นยามนี้กวาดตาดูเพียงครู่หนึ่งเขาก็พอจะแยกแยะลักษณะเด่นออก
หลังจากการแนะนำเสร็จ ทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปฝึกฝนต่อ บ้างก็ไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย
โดยปกติแล้วหน่วยลับหนึ่งกลุ่มจะได้รับมอบหมายให้ติดตามงานอย่างหนึ่งเป็นประจำทุกวัน นับเป็นการเฝ้าจับตาอันร้ายกาจ ยังมีผู้คนเบื้องนอกบ้างก็เปิดร้านค้า บ้างก็เป็นขอทานเร่ร่อน ถูกซื้อตัวมาหมดสิ้น ภายในระยะเวลาอันสั้น หลังจางฮุ่ยเฟิงมีอิสระภาพจากตระกูล บุรุษผู้นี้สามารถสร้างฐานอำนาจของตนเองได้ในเวลารวดเร็ว
สัตว์ร้ายก็ย่อมเป็นสัตว์ร้าย… กรงอาจกักขังมันได้ แต่มิอาจกักขังได้ตลอดไป
บางทีสำหรับจางฮุ่ยเฟิงแล้ว จินอาจเรียกได้ว่าเป็นกรงอันสุดท้าย ก่อนที่เขาจะมิรู้จักการยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนชีวิตจะดำมืดจนอาจเรียกได้ว่ามิหลงเหลือแสงสว่างภายในช่วงชีวิตอีกเลย
มิใช่ว่าจินไม่ทราบ เขาผ่านคนมากี่ประเภท เรื่องจิตใจทางด้านความชั่วนับเป็นทางที่สามารถเข้าใจได้มากที่สุด… นึกย้อนถึงความรันทดของบุรุษที่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนรักของตนเองแล้วก็ต้องลอบถอนหายใจ หากจางฮุ่ยเฟิงมิชาญฉลาด ไหนเลยจะสามารถเอาตัวรอดจากตระกูลจางโดยไม่ตกตายมาได้
เท่านี้ก็มีเหตุผลเพียงพอที่เขาจะไม่ขัดขวาง ทั้งยังส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวตระกูลใหญ่ อันเน่าเฟะถูกล้มล้างไปอีกด้วย นอกจากจะเป็นคนใจแคบเขายังเจ้าคิดเจ้าแค้น ดั่งนั้นจินจึงสนับสนุนการกระทำอันหมดจด วิชาชีพติดตัวได้สั่งสอนว่า…หากจะกระทำการใด ต้องมิให้เหลือปลาหรือแม้แต่เศษฝุ่นเล็กน้อยเล็ดรอด
หากเปลี่ยนเป็นจางฮุ่ยเฟิง การลงมือก็ต้องทำให้เหมือนบริสุทธิ์ใสสะอาด ไร้มลทินเปื้อนกาย สามารถรักษาภาพลักษณ์แม่ทัพผู้ห้าวหาญ มีรอยยิ้มเฉิดฉายต่อไป
“เจ้ายังต้องการทราบอันใดอีกหรือไม่? ตอนนี้กองกำลังลับอาจเรียกได้ว่าเป็นของเจ้าด้วย ดังนั้นหากต้องการทำสิ่งใดสามารถกระทำ”
ขอเพียงเรื่องความสุขสบาย ใช้สอยนายน้อยเพียงแค่คนเดียวพอแล้ว… มู่ฟงลอบคิด ภายในใจหวาดหวั่นว่าวันใดกองกำลังลับอาจถูกสั่งให้ไปตามล่าขนมจากร้านดังจากแคว้นอื่น
จินกำหนดข้อตกลงกับมู่ฟงฝากไปชี้แจงคร่าวๆ เช่นว่าสามารถมาขอประมือด้วยได้ แต่ตนเองจะไม่ชี้แนะ สอนวิทยายุทธหรือรับผู้ใดเป็นศิษย์อีก ชั่วชีวิตนี้เขาอาจนับได้ว่ามีทาส…หรือศิษย์สองคน ผู้หนึ่งก็เติบโตมาได้น่าหวาดหวั่นจนหากให้โขกหัวขอโทษบรรพบุรุษตระกูลหลิว ย่อมต้องมากกว่าสองคืน
อีกผู้หนึ่งก็กลายเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์… สุดท้ายยังปีนเกลียวจับผู้เป็นเจ้านายกินอีกด้วย
หากมีศิษย์คนที่สามไหนเลยจะมีเส้นทางอันดีงามได้? ปัญหามันอยู่ที่ใดกันแน่? นับว่าชีวิตใหม่นี้จินมิได้คาดหวังอันใดอีก มิมีเป้าหมายหรือความกระตือรือร้น คล้ายเป็นคนแก่เกษียณวัย ต้องการเพียงความสุขสบายเท่านั้น จึงได้ตามใจจางฮุ่ยเฟิงหรือเสี่ยวผานมากมายโดยมิได้กล่าวอะไร
“นี่เป็นแผนที่ เจ้าช่วยจดจำด้วย พวกเรามีกฏห้ามมิให้พกพาหลักฐานใดๆ”
จินชื่นชมในความรอบคอบ จากนั้นก็กวาดตามองแผนที่เพียงครู่เดียว ก็ป่นมันเป็นผงๆด้วยการแผ่ลมปราณพุ่งออกจากฝ่ามือ จนมู่ฟงถึงกับตาค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนปรับท่าทีเป็นปกติ
“ข้าไปล่ะ”
“หากนายน้อยกลับมาจะให้ข้าบอกว่าเจ้าไปที่ใด?”
“ข้าไปสะสางธุระทางครอบครัว…” พอนึกได้ว่าจางฮุ่ยเฟิงอาจเข้าใจผิด คิดว่ากลับไปหาฝูงจิ้งจอก จึงเอ่ยเพิ่มเติม “ภายในเมืองหลวง คงใช้เวลาไม่นานนัก”
จินเดินกลับเข้าไปในจวนหลัก หยิบหมวกฟางใบเดิมสวม ก่อนเดินออกจากด้านไปตามทางแผนที่ ชาวยุทธ์ที่ปิดบังใบหน้าล้วนพบเห็นได้ทั่วไปในเมืองหลวง จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด
จุดหมายคือโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ใช้เวลาเพียงไม่นานนักจินก็มาหยุดยืนอยู่ด้านหน้า เสี่ยวเอ้อพอเห็นแต่งกายท่าทางดูดียิ่ง ถูมือรีบออกมาต้อนรับ ใบหน้าฉีกยิ้มกว้าง
“ท่านผู้นี้ต้องการโต๊ะแบบใดเป็นพิเศษหรือไม่?”
จินปรายตามอง ส่ายหัวน้อยๆก้าวเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม เลือกที่นั่งชั้นล่างติดริมหน้าต่าง… พอทิ้งกายลงนั่ง เสี่ยวเอ้อคนเดิมก็มายืนรอทันที ดวงตากลมโตมิหลบตาชาวยุทธดังเช่นเสี่ยวเอ้อคนอื่นๆ
มือเรียวถอดหมวกวางลงบนโต๊ะ พริบตาคล้ายเสี่ยวเอ้อนิ่งตะลึงงันไป เหล่าอิสตรีในร้านต่างพากันจ้องมองมาด้วยดวงตาเบิกกว้าง นี่เป็นจอมยุทธสูงศักดิ์จากที่ใด? ชื่อเสียงต้องมิใช่ธรรมดาเป็นแน่?… คิดได้ดั่งนั้นเสี่ยวเอ้อพลันเหงื่อออกพลั่ก หุบยิ้มแคบลงมิให้เป็นที่ขัดหูขัดตามากเกินไปนัก
จินยกมือขึ้นวางบนโต๊ะ สายตามองออกไปไกลเหมือนการกลายเป็นจุดสนใจ มิได้รบกวนอันใดมากไปกว่าคุณชายจางที่สำออยเรียกร้องความสนใจเมื่อคืน
“เลือกกับข้าวที่อร่อยที่สุดในร้านมาหนึ่งอย่าง ชาร้อนและ…เป็ดตุ๋นน้ำแดงใส่หน่อไม้”
สิ้นคำเสี่ยวเอ้อพลันมีประกายแวบผ่านในตา จดเมนูด้วยท่าทีเช่นเดิม เอ่ยขึ้น “โปรดรอสักครู่หนึ่ง”
คล้อยหลังเสี่ยวเอ้อเดินจากไป เนื่องจากคุณชายรูปงามสภาพพบได้มากมายในเมืองหลวง ดั่งนั้นผู้คนจึงตื่นตะลึงเพียงครู่เดียว บรรยากาศก็กลับเป็นเช่นดังเดิม
โรงเตี๊ยมแห่งนี้คับคั่งไปด้วยชาวยุทธภพมากกว่าคนสามัญธรรมดา มีท่านหญิงท่านชายจากตระกูลสูงอยู่บ้างประปราย ผู้ที่มานั่งเพียงคนเดียวเพียงไม่นานก็จะได้เพื่อนร่วมโต๊ะ ทว่าครานี้ใบหน้าของจินยิ่งเพ่งมองก็ละลานตา ดวงตาแปลกประหลาดจากคนทั่วไป มีกลิ่นอายสูงสง่าบางอย่างที่ชวนให้มิอาจเข้าใกล้
บุรุษรูปงามในชุดสีขาวจึงได้นั่งเงียบๆคนเดียวอย่างสงบสุข
…แต่หูอันดี ยังสามารถได้ยินบทสนทนาไม่ปะติดปะต่อน่าสนใจอยู่มาก จากโต๊ะด้านข้าง บุรุษสองคนสนทนากันด้วยเสียงอันเบา ใช้พลังลมปราณหน่วงเอาไว้ สวมชุดสีน้ำเงินเข้มที่เหมือนกัน
“ตำแหน่งวาโยล่องหงส์ปีนี้เป็นจางฮุ่ยเฟิง บุตรลำดับที่ห้าอันเลื่องชื่อของตระกูลจางในงานสัตว์วิเศษวันนั้นไงเล่า”
“วาโยล่องหงส์คนใหม่ต่างอันใดกับคนเก่า?” บุรุษผู้กล่าวหัวร่อหึหึในลำคอ “มิต่างไปทางเซกัลซินจูเท่าไหร่นัก ดูท่าตระกูลใหญ่ก็นับยังมีบุตรหลานนอกคอกอยู่บ้าง”
“ล้วนเป็นคนโปรดของจักรพรรดิตี้เหินทั้งคู่ ความนอกคอกอาจเป็นที่ต้องตาก็ได้กระมั้ง?”
“นับเป็นโชคร้ายแล้ว ผู้ใดข้องเกี่ยวกับบัลลังก์มากไป ล้วนมีจุดจบมิดีทั้งสิ้น”
พอให้รับคำตอบเช่นนี้ ผู้ถามก็หัวร่อเบาๆ “ช่างเถิด เรื่องตามหาที่ว่าพรรคตัดสุริยันไปถึงไหนแล้ว?”
“ยังไม่เจอ ช่วงนี้คนของเรากระจายไปทั่ว จะหยุดเรื่องวุ่นวายต่างๆที่พรรคตัดสุริยันก่อ คนก็มิพอ ทำได้เพียงตามหาให้พบก่อนพวกมันเท่านั้น”
“อยู่ที่เราหนึ่ง ส่วนอีกหนึ่ง…ตราบใดที่จางฮุ่ยเฟิงยังปลอดภัยดี แสดงว่าพวกมันยังตามอีกสองไม่เจอ”
เรื่องพวกนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?…จินต้องการจะฟังต่อ แต่บุรุษทั้งคู่ที่สนทนากันมีคนเข้ามาขัดจังหวะอย่างรีบร้อนเสียก่อน ถกเถียงกันพักหนึ่งพวกเขาก็พากันออกไป ได้แต่ทอดถอนหายใจอย่างเสียดาย
จินหยิบสมุดพกประจำตัวขึ้นมา บันทึกข้อความที่ได้ยินเก็บเอาไว้
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ เสี่ยวเอ้อคนเดิมก็ยกอาหารที่สั่งมาวางเต็มโต๊ะ อาหารหนึ่งอย่างที่ทางร้านเลือกมานี้คืออาหารทะเลที่หาทานได้ยากยิ่ง จินโยนเงินให้เสี่ยวเอ้อไป จับตะเกียบขึ้นมาลองคีบใส่ปาก… จากนั้นก็วางตะเกียบลง ยกชาที่มีไอร้อนกรุ่นขึ้นจิบ พริบตานิ้วมือฉวยหยิบสิ่งแปลกปลอมที่ซ่อนอยู่ด้านใต้แก้วชากับถาดรองอย่างแนบเนียน
กริ๊ง –
แก้วกระเบื้องกระทบกับถาดรองเสียงเบา จิ้งจอกผู้เห็นแก่อาหารเลิศรสคีบกับข้าวใส่ปากอีกสองสามคำจึงคลี่แผ่นกระดาษที่หยิบฉวยออกมา ‘ขึ้นชั้นสองเลยไปทางห้องสุขา มีทางลับซ่อนอยู่ในค่ายกลไผ่’
ใช่แล้ว…โรงเตี๊ยมแห่งนี้มิใช่โรงเตี๊ยมธรรมดา แต่กลับเป็นคนของคุณชายจาง
คำว่าเลือกกับข้าวที่อร่อยที่สุดในร้านมาหนึ่งอย่าง…คือการบอกระดับในกองกำลัง ชาร้อนกับชาเย็น…บอกว่าข่าวที่ท่านต้องการด่วนหรือไม่ ส่วนเป็ดตุ๋นน้ำแดงใส่หน่อไม้เป็นอาหารที่จินชอบทาน ยามนี้กลับกลายเป็นรหัสลับปิดท้ายไปเสีย
จางฮุ่ยเฟิงผู้นี้มิทราบจะด่าทอว่ามักง่ายไร้หัวคิด หรือใส่ใจจนแทบล้นมากกว่ากันดี?
จินทานต่ออีกสักพักก็โบกมือเรียกเสี่ยวเอ้อมาให้เก็บโต๊ะ ก้าวขาท่วงท่าการเดินปกติปลอดโปร่งขึ้นไปชั้นสองคล้ายต้องการไปเข้าสุขาธรรมดา ตลอดผนังยาวไปห้องสุขาถูกกั้นตกแต่งโดยสวนไผ่ขนาดใหญ่ตลอดสองข้างทาง นับเป็นความสวยงามอันไร้ที่ติอย่างหนึ่ง
เพียงแค่เดินผ่านดวงตาสีสว่างก็สามารถมองออกว่าทางออกของค่ายกลนี้อยู่ที่ใด จินอาศัยตอนทางปลอดคนก้าวตรงเข้าไปในดงไผ่ทึบ แต่กลับมิได้ชนลำต้นไผ่ ทะลุผ่านเข้าไปราวกับล่องหน
ลัดเลาะตามทางมาเรื่อยๆ มาสิ้นสุดที่ห้องหนึ่ง
เปิดประตูเข้าไปจินก็พบชายวัยกลางคนที่น่าจะเป็นเถ้าแก่ยืนรออยู่แล้ว พอเห็นแขกระดับหนึ่งห้อยพู่สีดำมาเยือนโรงเตี๊ยม มันถึงกลับลนลานชั่วขณะ รีบก้มหัวผงกๆต้อนรับ พอตั้งสติได้จึงกระแอมหนึ่งครา
“เชิญท่านบอกธุระในวันนี้เลย”
จินนั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกเชื้อเชิญ กล่าวตอบ “ข้าต้องการข่าวตระกูลลี่ย้อนหลังประมาณยี่สิบห้าปีก่อนและแผนที่ภายในด้วย มีหรือไม่?”
“โอ้ ท่านรอครู่หนึ่ง ข่าวคราวเรื่องนี้เคยมีคนมาขอไปแล้วรอบหนึ่ง ท่านจะคัดลอกหรือไม่?”
“ไม่”
จินตอบปฏิเสธและนั่งรอ สายตากวาดรอบห้องมีแต่เครื่องประดับสิ่งของราคาแพง โรงเตี๊ยมธรรมดาเพียงอย่างเดียวไหนเลยจะสามารถซื้อเป็นเจ้าของได้? เถ้าแก่เดินหายไปหยิบม้วนกระดาษที่ว่าเพียงครู่หนึ่งก็กลับมา
“ท่านสามารถนั่งอ่านในที่นี้ในตามสบาย ข้าขอตัวออกไปหน้าร้านก่อน”
คล้อยหลังเถ้าแก่ออกไปจินก็เปิดเอกสารอ่าน ดวงตาสั่นไหวไล่ไปตามบรรทัดตัวอักษร คิ้วเรียวขมวดกันยุ่ง
‘ตระกูลลี่เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อนมีข่าวฉาวอยู่เรื่องหนึ่ง ลี่ชิวหงนางงามอันดับหนึ่งของตระกูลลี่ อีกหนึ่งวันกำลังจะถวายตัวเข้ารับใช้จักรพรรดิกลับถูกจับได้ว่าลอบมีความสัมพันธ์กับบ่าวรับใช้ส่วนตัว
เมื่อไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องอีกต่อไปตระกูลลี่จึงต้องยกเลิกการส่งตัว ผู้นำตระกูลลี่เย่วเอ๋อร์โกรธเป็นอย่างมาก นับเป็นการตบหน้าตระกูลลี่หนึ่งฉาดครั้งใหญ่ ลี่ชิวหงคล้ายถูกจองจำกักขังไว้ในตระกูล บ่าวรับใช้ผู้นั้นมิทราบเป็นตายร้ายดี นางงามอันดับหนึ่งที่เคยมีเสน่ห์มากมายเหลือล้นกลับกลายเป็นตุ๊กตาไร้จิตวิญญาณไป
เหตุการณ์ข้างต้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตระกูลลี่ บ่าวรับใช้บุรุษล้วนต้องแต่งกายเป็นหญิง มิให้ไปต้องตานางงามคนใดของตระกูลลี่อีก
ตระกูลลี่ล้วนแปลกประหลาด หากใครมีบุตรธิดาย่อมถูกเลี้ยงดูอย่างดี แต่หากเป็นบุรุษมิตกตายก่อนวัยอันควรก็ถูกส่งไปทำงานรวมกับคนรับใช้ทั่วไป ดูแลเรื่องต่างๆที่เหลือในตระกูล’
ข้อมูลข้างต้นมิผิดแผกไปจากเรื่องที่เขารู้อยู่แล้ว ดูท่าหนทางเดียวคือต้องไปสอบถามทางลี่ชิวหงโดยตรง หากในความฝันที่เห็นหัวกระโหลกก่อนตื่นขึ้นมาในแคว้นนี้เป็นจริง ลี่ชิวหงที่เสี่ยวผานกับจางฮุ่ยเฟิงยืนยันว่ามีใบหน้าคล้ายกันอย่างยิ่ง อาจเป็นมารดาของเด็กทารกร่างมนุษย์นี้ก็เป็นได้
จินอ่านข้อมูลอื่นๆอีกเพิ่มเติม จดจำตำแหน่งแผนผังภายในตระกูล
หลังจากจดจำได้จดหมด มือเรียววางม้วนกระดาษไว้บนโต๊ะ เดินออกทางลับไปทางด้านหลังของร้าน กลมกลืนหายเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน หมวกใบเดิมถูกสวมปิดบังใบหน้าเอาไว้
ย่างเท้าเดินไปทางจวนตระกูลลี่…ผ่านไปหนึ่งเค่อก็เริ่มปรากฏจวนสู่สายตา แม้เพียงด้านหน้าก็มีดอกไม้บานสะพรั่งงดงาม กลิ่นอายหอมรัญจวน ดั่งคำว่าบุบผางามของแว่นแคว้น จินเดินเลาะไปตามกำแพง จากม้วนสารของเถ้าแก่ เขียนทางเข้าที่พวกเราใช้กันประจำไว้ ทั้งยังเขียนเวรยามเอาไว้ด้วย
จิ้งจอกในร่างมนุษย์ผลุบโผล่คล้ายผีสาง เข้ามาอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
จินกระโดดปีนป่ายเข้าไปทางหลังคาของจวนชั้นที่ต้องการ ไต่ข้ามราวต่อของไม้มากมาย เขาก็มาหยุดยืนอยู่บนไม้กระดานที่ปิดกั้นเพดานห้องต่างๆ แต่ละท่อนเชื่อมต่อกันหมดบนชั้น
แม้กระทั่งก้มลงคลานบนไม้ไปตามทางก็ยังเงียบกริบไร้ซุ้มเสียง หากตรงไปตามทางที่แผนที่เขียนเอาไว้ เส้นทางนี้จะไปบรรจบลงบนห้องของลี่ชิวหง เวรยามมีเพียงสองคน
จินคลานบนเพดานไม้ผ่านห้องไปห้าห้อง ก็มาถึงบริเวณห้องของลี่ชิวหง ไฟส่องสว่างลอดขึ้นมาตามรอยต่อของไม้ แว่วเสียงคนพูดคุยกันดังขึ้น ด้านหน้าประตูทางเข้าห้อง
ใบหน้างามก้มลงต่ำมองลอดตามแสงไฟลงไป ปรากฏผู้คนอยู่สี่คน สองในสี่เป็นสตรีทหารด้านหน้าห้อง อีกสองเป็นอิสตรีรูปงามยืนสนทนากันด้วยใบหน้าดุร้าย…ทว่ากลับยังน่ามองอย่างยิ่ง พวกนางกระซิบกันแผ่วเบา
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?”
“ข้าแน่ใจ เมื่อกล่าวถึงนางมิเห็นมีพิรุธอันใด”
อิสตรีผู้แต่งกายสูงศักดิ์กว่าขมวดคิ้ว ใบหน้าเคร่งเครียด “บางทีนางอาจจะลอบมีความสัมพันธ์กับคนอื่นอีกได้? หรือจะเป็นเพียงคนหน้าเหมือนจริงๆ…”
ต่อให้ยืนคิดอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังคิดมิตก อิสตรีทั้งสองมองหน้ากันอย่างจนใจ เดินจากไปในที่สุด ยังมิลืมกำชับให้เพิ่มเวรยามทหารเป็นพิเศษในช่วงนี้
คล้อยหลังคนทั้งคู่เดินจากไปได้สักพักใหญ่ จินค่อยๆขยับตัวเคลื่อนไหวต่อ คลานไปจนถึงแสงไฟอีกด้าน บริเวณห้องของลี่ชิวหงในที่สุด มือขาวซีดดึงมีดเล่มเล็กในชุดออกมาเล่มหนึ่ง จัดการตัดไม้เป็นช่องรอยตัดเรียบเนียนเป็นหน้าเดียว เนื่องจากมิอาจทำไม้พังเป็นรูใหญ่จนเกิดเสียงได้ มือจึงเคลื่อนไหวเจาะช่องแต่พอดี
…จนพอสำหรับการที่จิ้งจอกตัวเล็กตัวหนึ่งจะสามารถหลุดรอดเข้าไปในห้อง
จินลงมาเหยียบพื้นอย่างเบากริบ ดวงตาสะท้อนผ่านลี่ชิวหงผู้งามล้ำเหนือสตรีใดๆ นั่งหันหลังให้ แม้กระทั่งด้านหลังยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวน ใบหน้าทอดมองออกไปทางหน้าต่าง…คล้ายมองท้องฟ้าแต่ก็มิได้มองท้องฟ้า ในห้องมีเพียงแสงรำไรจากเทียนไขหนึ่งเล่มเท่านั้น
จิ้งจอกสีดำกลมกลืนไปกับความมือค่อยๆแปรเปลี่ยนรูปร่าง
บุรุษรูปงามในอาภรณ์สีขาว หน้าตางามล้ำเหนือผู้คนใดๆเช่นเดียวกัน ค่อยก้าวเดินอย่างเงียบกริบไปทางด้านหลังลี่ชิวหง จินหยุดยืนอยู่ในระยะที่มิห่างกันมากนั่ง ดวงตาสัตว์ร้ายหลุบมองอย่างราบเรียบจนมิอาจคาดเดา
“อย่าส่งเสียง”
ลี่ชิวหงสะดุ้งเฮือก หันหน้ากลับมาด้านหลังทันที ดวงตาคู่งามเบิกกว้างเท่าที่จะสามารถกระทำได้ มือไม้พันกันอลวนไปหมด ปากอ้าขึ้นหุบลงแล้วก็อ้าขึ้นต้องการเปล่งเสียงร้องดังลั่น… แต่นางมิสามารถกระทำ มือขาวซีดคู่หนึ่งเคลื่อนไหวได้ไวยิ่ง พลันเอื้อมมาปิดปากนางไว้
…จินปิดปากไว้อย่างนั้นจนลี่ชิวหงค่อยๆสงบลง
“ข้าเพียงแค่มาคุย หากต้องการสังหารเจ้า...เจ้าย่อมตายไปนานแล้ว พอข้าเปิดปากก็อย่าได้ส่งเสียง เดินไปจุดไฟให้สว่างกว่านี้ ข้ามีเรื่องจะสอบถาม”
จินปล่อยมือให้ลี่ชิวหงมีอิสระ นางใช้ดวงตากลมมองฝ่าความมืดราวกับต้องการสำรวจ ก่อนร่างระหงจะค่อยๆลุกขึ้นก้าวเดินไปจุดแสงสว่างเพิ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวแตะจมูกแผ่ฟุ้งกระจาย
หลังจากที่ในห้องมีแสงสว่างเพียงพอ ลี่ชิวหงก็หันควับมองใบหน้าของผู้ที่มาเยือนอีกคราด้วยสายตามาดร้าย คล้ายต้องการต่อว่า บุรุษสามารถก้าวเท้าเข้ามาในตระกูลลี่ได้อย่างไร?
“เจ้า…”
พลันเห็นใบหน้าเต็มสองตา นางถึงกับผงะตกใจเดินถอยหลังไปสองก้าว แข้งขาไร้เรี่ยวแรงค่อยๆลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ดวงตาสั่นระริก กลายเป็นหญิงงามแสนเวทนาอาดูรผู้หนึ่งพบคนรักที่พรากจากกันมานาน
“นี่ข้าฝันไปหรือโอ้…”
ชั่วขณะใบหน้างามล้ำเบิกตากว้าง น้ำเสียงสั่นเครือราวกับมิอาจเชื่อภาพตรงหน้า
…แล้วน้ำตาของสตรีผู้งามล้ำก็ร่วงหยดลง
“ท่านรู้จักข้า?” จินหยิบฉวยเก้าอี้ในห้องอย่างถือวิสาสะ นั่งลงสนทนากับลี่ชิวหง
ลี่ชิวหงยามที่พบเจอในงานเทศกาลดอกไม้ช่างสูงส่ง นางมองสิ่งรอบกายคล้ายเป็นเพียงเถ้าถ่าน มิมีสิ่งใดสามารถดึงดูดสายตาได้ สภาพเช่นนี้ราวกับคนละคนหากเล่าไปภายนอกสมควรเป็นเพียงเรื่องขบขันที่แต่งขึ้น
“เจ้าเหมือนเขาถึงเพียงนี้…ข้าหายใจเข้าออกก็ล้วนแต่คิดถึงเรื่องในอดีต จดจำเจ้ามิได้ดวงตานับว่าสมควรมืดบอดไปเสีย”
จินลอบถอนหายใจให้กับภาพตรงหน้า เขายืนประคองนางลุกขึ้นนั่งให้เรียบร้อย ยอมให้อีกฝ่ายยกมือลูบใบหน้าหนึ่งครา ก่อนจะค่อยๆซักถามประวัติร่างมนุษย์ของตนเอง หน้าตาดีระดับเทพสวรรค์เช่นนี้ หากบอกว่าลี่ชิวหงเป็นมารดา นางก็คงเป็นมารดาจริงๆ…
จางฮุ่ยเฟิงยืนรออยู่ด้านหน้าประตูจวน ใบหน้ามิสบอารมณ์เท่าไหร่นัก กอดอกเคาะนิ้วเป็นจังหวะ ทางพ่อบ้านถึงแม้จะโดนแย่งหน้าที่ก็มิอาจกลับไปพักผ่อนได้ ยืนรอตัวสั่นจากอากาศหนาวเย็นด้านข้างคุณชาย
จางฮุ่ยเฟิงรู้ดีว่าจินย่อมปลอดภัยดี แต่ครั้นจะให้ไปหลับนอนก่อนก็มิสามารถกระทำได้ เพียงหลับตาก็รู้สึกขาดหายบางอย่าง แต่เยาว์วัยจนอายุป่านนี้เขาผูกพันกับอีกฝ่ายอย่างยิ่ง เมื่อข่มตานอนไม่ลงชายหนุ่มจึงมายืนรอหน้าประตูด้วยความกระวนกระวายใจแทนเสีย
“ฮุ่ยเฟิง”
เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง คุณชายจางหันไปพบคนที่ตนเองกำลังรอ อีกฝ่ายขมวดคิ้วมองมาอย่างฉงน จางฮุ่ยเฟิงพบว่าผิดท่า จินมิได้กลับมาทางประตูหน้า แต่คาดว่าคงหลบหลีกค่ายกลทางด้านหลังเข้ามา
ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นทันที จางฮุ่ยเฟิงเดินตรงไปหาจิน จับเอามือขาวซีดขึ้นมา ดึงกลับไปทางห้องนอน… ทางพ่อบ้านประจำจวนยินดียิ่ง จนงานก็รีบปิดประตูลงกลอนกลับห้องตนเองทันที
“เจ้ากลับมาก็ดีแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”
จินลอบถอนหายใจ กล่าวตอบ “นางเป็นมารดาข้าจริงๆ”
“เจ้าเกิดมานับเป็นจิ้งจอกหรือมนุษย์กันแน่…มีมารดาที่เป็นจิ้งจอกหรือไม่? เรื่องลี้ลับของสัตว์วิเศษเช่นนี้ชวนให้งุนงงนัก”
จินเดินตามจางฮุ่ยเฟิงเข้าไปในห้องนอน ทิ้งร่างลงบนความนุ่ม “เรื่องนี้ซับซ้อนนัก แท้จริงแล้วข้าล้วนไม่ทราบอันใดทั้งสิ้น รู้สึกตัวก็เป็นเช่นนี้แล้ว”
มีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?... จางฮุ่ยเฟิงลอบสงสัยในใจ
หลังจากนั้นชีวิตประจำวันก็เป็นดั่งเช่นปกติ เจ้าจิ้งจอกสีดำถูกจับอาบน้ำ เช็ดขนจนแห้งจึงค่อยกลับร่างเป็นชายหนุ่มรูปงามยามหลับนอน
จางฮุ่ยเฟิงรวบตัวคนรักที่ตัวแห้งเรียบร้อยเข้าสู้อ้อมแขน ฟัดกับเจ้าจิ้งจอกจนพอใจ ก่อนไล่ซักถามให้อีกฝ่ายยอมเล่าเรื่องทั้งหมด…ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถคาดเดาเรื่องได้สามในสี่แล้วก็ตาม
ราตรีนี้ผู้คนในจวนสามารถหลับนอนอย่างสงบสุขได้อีกหนึ่งคืน ส่วนจวนที่ได้รับของขวัญผูกริบบิ้นไปนั้นคาดว่าคงมิอาจนอนหลับได้ ในใจคงพลุ่งพล่านด้วยความโกรธา
…มีเรื่องหนึ่งที่ทุกคนต่างหลงลืมไป เดิมทีสมควรเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่พอล่วงเลยเข้าสู้วันที่สองก็นับว่าเริ่มผิดปกติแล้ว
คืนนี้เป็นคืนสองที่… เสี่ยวผานมิได้กลับมา
#TALK with LLwuda
ก่อนอื่นสวัสดีค่ะ ทอล์คฉบับดีๆมาแล้ว55 ตอนนี้…สารภาพมานะคะว่าใครลืมเสี่ยวผานไปแล้ว! เสี่ยวผานหายไปสองคืนนอกจากจินจะคิดว่าเขาหายตัวไปตามประสาสำนักโอสถปกติ นักอ่านยังลืมอีกด้วย ฮา (โถ พ่อหมอที่น่าสงสาร)
เรื่องนี้มาไกลมากจริงๆค่ะ ไกลจนตอนนี้เขียนแล้วชอบคิดว่ามันจะดีเหมือนตอนแรกๆไหมนะ (แต่ก็เขียนอยู่ดีคิดไปไย) ทางเราแอบเห็นปกแล้วค่ะ อิอิ คุณชายหล่อจนน่าหมั่นไส้มาก คันไม้คันมือ
แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ ^ ^
พี่คำผาน เฮ้ยย!! เสี่ยวผาน กลับมาาาา
เสี่ยวผานนน ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยยย ไม่นะๆ
โถ เด็กน้อยของป้า ป้าขอโทดมัวแต่ไปฟินกับตาเฟิงตาจินเค้า 555
นางหายไปหนใด ไปคิดใคร หรืออัลลัยย
เป็นห่วงนะเนี้ย!!!