ท้องฟ้าสีดำ - ท้องฟ้าสีดำ นิยาย ท้องฟ้าสีดำ : Dek-D.com - Writer

    ท้องฟ้าสีดำ

    เรื่องสั้นที่จะต้องแต่งส่งพี่ประธานชมรม - -

    ผู้เข้าชมรวม

    359

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    359

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 ธ.ค. 53 / 18:13 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                        อันเนื่องด้วยเหตุที่ว่า โรงเรียนของไรเตอร์นั่นได้มี ชมรม แต่งนิยายเกิดขึ้น(ที่โรงเรียน นักเรียนที่คนจะต้องเข้าชมรม และทำกิจกรรม) ซึ่งด้วยเหตุนี้ไรเตอร์จึงเขาชมรมนัก อยาก จะเขียน ของพี่ ม.ปลาย สวยโหดพิฆาตนามพี่จิตตี้ =  = (เค้าชื่อ พี่จิ!) และนี้เองจึงเป็นเหตุผลของเรื่องสั้นที่ไรเตอร์จะแต่ง จบ !

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       ยมทูตในคืนท้องฟ้าสีดำ
                      
      ท้องฟ้าสีดำ...ท้องฟ้าสีดำที่แสนว่างเปล่า บรรยากาศของท้องฟ้าที่ดูเศร้าหมองราวกับคนที่กำลังร่ำไห้ พระจันทร์ที่แดงฉานราวกับอัญมณีสีเลือดที่กำลังสาดแสงลงบน ทุ่งหญ้ากว้างที่แม้จะมีหญ้าขึ้นแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศของความว่างเปล่าลดลงเลยแม้แต่น้อย ในทุ่งหญ้านั่นไม่มีแม้แต่ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีร่างของเด็กหญิงน้อยคนหนึ่ง สายลมเย็นพัดเบาทำให้ผมสีขาวบริสุทธิ์สยายไปตามแรงลม ดวงตาสีขี้เถ้าที่ดูไร้อารมณ์กำลังมองไปบนท้องฟ้าอย่างว่างเปล่าแต่หากสายตานั้นกลับแฝงไปด้วยความเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
                                      นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เธอต้องมายืนมองท้องฟ้า ด้วยความรู้สึกแบบนี้
                                      นานเท่าไหร่แล้วนะ กับการที่เธอต้องมีชีวิตที่ไม่รู้จุดจบ
                                      นานเท่าไหร่แล้วนะที่เธอไม่เคยมีน้ำตา
                                      นานเท่าไหร่แล้วนะที่เธอต้องมายืนมองท้องฟ้าแล้วก็คิดแต่เรื่องเดิมๆ ถามตัวเองแต่เรื่องเดิมๆ
                                      คำตอบก็คือ ไม่รู้ ไม่รู้ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบหรอกนะ แต่จำไม่ได้ต่างหากว่ามันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะมันนานมาก นานพอๆกับที่จะทำให้คนๆหนึ่งลืมไปแล้วว่าตนเองเป็นใครแล้วมาทำอะไรที่นี้ นี่เหรอคือความรู้สึกของคนที่มองท้องฟ้า จู่ๆทุ่งหญ้าที่เคยมีลมพัดเบาๆแต่ตอนนี้ลมที่ค่อยพัดเบาๆค่อยแรงขึ้นเรื่อยๆ บนท้องฟ้าร่างใหญ่ของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่กำลังกระพือปีกคู่ใหญ่อยู่บนท้องฟ้า มันค่อยๆบินเข้ามาใกล้เรื่อยๆก่อนจะร่อนลงอย่างนิ่มนวลตรงหน้าเด็กหญิงน้อยคนนั้น หากแต่ว่าใบหน้าหวานไร้อารมณ์ของเธอก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งมีชีวิตร่างใหญ่นั่นมีขนาดสูงประมาณ 3 เมตรเลยทีเดียว เขาคู่งามที่ดูทรงพลัง เกล็ดสีดำเงางามตัดกับนัยน์ตาสีไพลินได้เป็นอย่างดี สิ่งมีชีวิตที่ใครๆก็ไม่คิดว่ามันมีอยู่จริงใช่แล้ว มันคือ มังกร สัตว์ที่มนุษย์ขนานามว่า ทรงพลังอำนาจมากที่สุดในโลก
                                      เด็กสาวค่อยๆเดินเข้าไปหาเจ้ามังกรของเธอย่างช้า ก่อนจะเปล่งเสียงอันแหลมเล็กแต่ดูไร้อารมณ์ออกมาว่า ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ มาเอล เด็กสาวค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอามือลูบเกล็ดตรงบริเวณของผู้ถูกทักอย่างช้าๆ
      “ขอรับ ท่านหญิงทีอาร่า “ เจ้ามังกรตอบก่อนจะโน้มศีรษะมาหาท่านหญิงเพื่อให้ท่านหญิงลูบ
      แล้วคราวนี้จะไปที่ไหนอีกหรือปล่า ขอรับ อีกฝ่ายถามอย่างรู้ทัน เพราะถ้าไม่เคยมีเรื่องจะเดินทางไปไหน ท่านหญิงก็ไม่ค่อยเรียกเขาอยู่แล้ว ท่านหญิงมักจะชอบอยู่คนเดียวเสมอ
      ไปโลกมนุษย์ ท่านหญิงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะค่อยๆกระโดดขึ้นไปขี่หลัง    มา- เอลอย่างชำนาญ มาเอลค่อยๆกระพือปีกขึ้นอย่างช้าๆก่อนจะดีดตัวขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว ปีกคู่อันทรงพลังๆค่อยบินโฉบเข้าโพรงสีดำขนาดใหญ่ที่หมู่เมฆแหวกออกเป็นทางจากนั้นมาเอลก็ค่อยๆลดระดับความเร็วลงสุดปลายทางของโพรงก็คือ
                      ท้องฟ้าสีครามอันสดใสแสงแดดอ่อนๆของยามเช้า เสียงของนกน้อยที่กำลังขับขานบทเพลงอันไพเราะ  มาเอลค่อยไปบินไปอย่างช้าๆ สายลมอ่อนๆปะทะกับเส้นผมสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะของท่านหญิงสยายไปตามแรงลม
      "จะไปที่นั่นอีกหรือเปล่าขอรับ ท่านหญิง " เสียงของมาเอลที่เอ่ยขึ้นมาถามเด็กน้อยเจ้านายของตนด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
      "ไปสิมาเอล เราอยากไปดูหน้าของเขาเป็นครั้งสุดท้าย " เสียงของท่านหญิงที่ตอบกลับมาอย่างไร้อารมณ์ แต่มังกรอย่างเขารู้ดี ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคนนั่นท่านหญิงของเขา ก็ไม่ต้องมาทุกข์ทรมานแบบนี้หรอก แต่มาเอลก็ตัดสินใจทำตามคำสั่ง เค้าค่อยๆบินโฉบลงไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในย่านที่มีคนพลุกพล่านพอสมควร แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีใครเห็นเขา เขาค่อยๆบินเลาะไปเรื่อยก่อนจะปล่อยท่านหญิงลงที่สวนของโรงพยาบาล ท่านหญิงโดดลงจากหลังของมาเอลและแตะลงพื้นอย่างนิ่มนวล เธอค่อยๆเดินไปตามทางเดินมุ่งสู่ตึกผู้ป่วยในของโรงพยาบาล เธอเดินเข้าในตึก ข้างในเต็มไปด้วยคนไข้ ผู้ป่วยมากมาย ประชาสัมพันธ์ที่กำลังง่วนอยู่กับการรับลูกค้าที่มาใช้บริการ ท่าหญิงไม่สนใจที่จะแวะประชาสัมพันธ์เลยแม้แต้น้อย เธอสาวเท้าเดินเข้าไปตามทางเดิน ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าลิฟท์
      ติ๊ง เสียงของประตูลิฟท์ที่เปิดออก มีผู้คนเดินออกมาจากลิฟท์ประมาณ2-3คน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกนางพยาบาลและหมอที่มาตรวจคนไข้ที่ตึกซะเป็นส่วนใหญ่ ท่านหญิงค่อยเดินเข้าไปในลิฟท์ก่อนจะกดลิฟท์ไปที่ชั้น 12 อย่างคุ้นเคย เธอมาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แล้วทุกครั้งที่มาก็จะเป็นแบบนี้ตลอด เหมือนเทปที่โดนกอกลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง
      ติ๊ง อีกครั้งที่ประตูลิฟท์เปิดออก ชั้น 12 ชั้นที่สำหรับผู้ป่วยที่ต้องอยู่ใกล้แพทย์เป็นพิเศษ หรือ เรียกง่ายๆก็คือผู้ป่วยอาการหนัก ชั้นๆนี้ไม่มีอะไรมากก็แค่มีพยาบาลนั่งประจำอยู่ประมาณ 3-4 คนไว้คอยปริการคนไข้ที่ไม่มีญาติมาเฝ้า นอกนั่นก็เป็นห้องทั่วไปที่ทุกโรงพยาบาลต้องมี คือ ห้องเก็บเอกสารทั่วไป เคาน์เตอร์สำหรับนางพยาบาล(คล้ายๆกับประชามสัมพันธ์) ของโรงพยาบาล ห้องเก็บอุปกรณ์ ห้องน้ำ   นอกนั่นก็จะเป็นห้องผู้ป่วย ท่านหญิงค่อยสาวเท้าเดินไปทางปีกซ้ายของชั้นก่อนจะเดินไปที่ห้องผู้ป่วย ห้อง 596 ท่านหญิงหยุดยืนอยู่หน้าห้องสักพัก ก่อนจะค่อยเปิดประตูเข้าไป
      ห้องของโรงพยาบาลที่ถูกติดด้วย วอลเปเปอร์สีเขียวอ่อน เตียงของคนไข้ที่ตอนนี้ปรากฏร่างของเด็กชายอายุอย่างมาก็แค่ 13 ผมสีดำ ที่ตอนนี้กำลังนอนหลับตาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์อย่างไม่รู้สึกตัว สายระโยงรยางค์ของเครื่องมือแพทย์ที่ดูแล้วลายตาเต็มไปหมดและทุกสายล้วนโยงไปที่ตัวของเด็กคนนั้น หากแต้ตรงหน้าต่างกลับปรากฏร่างรางๆที่โปร่งแสงเพราะแสงจากพระอาทิตย์ส่องทะลุตัวเขาออกมาได้ แต่เขาไม่ใช่เด็กชายที่นอนอยู่บนเตียง
      ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มวัยกลางคน เส้นผมสีทองที่ยาวสยายไปถึงกลางหลัง เขาค่อยหมุนตัวหันมาต้อนรับผู้มาเยือน อย่างไม่เป็นทางการ  เส้นผมสีทองในยามนี้ดูเป็นประกายมากขึ้นรับกับใบหน้าเรียวหวาน ชนิดที่เรียกว่าผู้หญิงบางคนยังอาย นัยน์ตาสีเขียวที่ดูเหมือนมรกตชวนหลอมละลาย แต่ผู้มาเยือนอย่างท่านหญิงกลับเดินเข้ามาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แม้คิ้วของท่านหญิงจะขมวดเข้าหากันเพียงเล็กน้อยก็ตาม

      "ไม่ได้เจอกันนาน เลยนะขอรับ ท่านหญิง อัลเบลน่า เรอาวิส เดอ พาคีเทีย " ชายหนุ่มกล่าวคำพูดด้วยวาจาอันสุภาพ ไพเราะก่อนจะโค้งตัวทำความเคารพอย่างสวยงาม

      "ไม่ต้องทำมารยาทดี ลูคัส  ราโอเวล"ท่านหญิงตอบกลับสั้นๆแต่ได้ใจความ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ คนอย่างลูคัสก็เชื่อใจไม่ได้

      "แหม่ๆ อย่าพูดแบบนั้นสิครับท่านหญิงน้อย ผมน่ะคิดถึงท่านนะ "ชายหนุ่มพูดก่อนจะค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ และยื่นมือมาลูบหัวท่านหญิงด้วยความเคยชิน เฉกเช่นทุกครั้งที่เขาเจอเธอ แต่...
                      
                    ผัวะ ! เสียงของฝ่ามือเรียวบางของท่านหญิงยื่นมาปัดมือของลูคัสออกก่อนจะเอ่ยวาจาอันแสนปวดร้าวออกมาว่า

      "อย่าเอามือสกปรกๆของนายมาแตะตัวฉัน" เธอเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าอันแสนนิ่งสงบและไร้อารมณ์ หากแต่ภายในกลับ รัวเป็นกลอง

                    เธอจะไม่เชื่อเขาอีกเป็นครั้งที่2 เด็ดขาด! ท่านหญิงบอกกลับตัวเอง ก็เพราะแบบนี้ไม่ใช่เหรอที่ทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้ เพราะเขา กับผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่พรากทุกอย่างไปจากเธอ ! ท่านหญิงกำมือแน่นพยายามกั้นความโกรธเอาไว้ ความโกรธที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยหายไป

      "งั้นเหรอขอรับ นั่นสินะ ขอรับไม่ว่ายังไงท่านหญิงก็ไม่เคยลืมเลยสินะ เหตุการณ์ในวันนั้น วันที่กระผมกรีดเลือดสาปแช่งท่าน" ลูคัสเอ่ยขึ้นอย่างนิ่มนวล หากแต่วาจานั่นมันกับกรีดใจท่านหญิงไม้น้อย
                
                     ไม่จะไม่น่าปวดใจไปมากกว่านี้หากผู้หญิงคนนั่นไม่ใช่พี่สาวของเธอ ท่านหญิง อัลเบลล่า เรอาวิส เดอ พาคีเทีย เธอไม่เคยเกลียดพี่สาวของเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้เรียกว่าสนิท ชิดเชื้อกันอย่างที่ทุกคนเข้าใจ ' ท่านหญิงเบลล่าทำอะไรก็ไม่เคยผิด ' นี่คือความคิดที่อยู่ในหัวสมองของเธอมาตั้งแต่จำความได้ เพราะไม่ว่าท่านหญิงเบลล่า จะทำผิดอะไรก็ไม่เคยมีใครว่า พี่สาวที่ทำอะไรก็ไม่เคยได้เรื่องสักอย่าง แต่กลับเป็นคนที่ผู้ชายที่เธอรักมากที่สุด รักมากจนถึงขนาดว่ายอมเสียสละชีวิตให้

                    เธอเกลียดหล่อน! ความเกลียดชังนี้มันไม่เคยจางหายไปเลยแม้แต่วินาทีสุดท้ายของชีวิต เธอจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี

      'เบลน่า อยาเกลียดพี่เลยนะ ' เสียงของเด็กสาววัยไม่เกิน 15 ที่ตอนนี้กำลังนอนจมกองเลือด ประโยคสุดท้าย ประโยคที่บาดใจท่านหญิงเบลน่ามากที่สุด แต่ภาพในเหตุการณ์วันนั้น ท่านหญิงเบลน่ากลับง้าง ปืนสีขาวขึ้นมากระบอกหนึ่ง

                    ปัง! เสียงปืนลั่นไกล ตัดขั้วหัวใจของคนที่ได้ชื่อ ว่าเป็นพี่สาวคนเดียวของเธอ ตัวของท่านหญิงในตอนนั้นยังคงสั่นไม่หยุด ปืนที่อยู่ในมือของท่านหญิงหลุดออกจากฝ่ามือเรียวบาง กระทบกับผืนกระเบื้อง ประจวบเหมาะกับที่ชายคนนั้นเข้ามาในห้อง พอดี

       'เบลล่า ! ' หัวใจของชายหนุ่มคนนั้นแตกสลายเป็นผุยผงทันที ที่เห็นหญิงคนที่เธอรัก นอนจมกองเลือดอยู่ต่อหน้า เขารีบถลาเขาไปก่อนจะกอดร่างอันไร้วิญญาณของเธอไว้ในอ้อมแขน

      ' เธอทำเหรอ เบลน่า ' เขาค่อยๆกัดฟันถามเธอ แต่เบลน่าก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมายังคงมีแต่ความเงียบปกคลุมห้อง เขาก้มหน้าลงไปมองที่พื้นห้องก่อนจะทำลายความเงียบ

      ' ข้าแต่ผู้ควบคุมมนตรากาลเวลา แห่ง ราโอเวล ' เขาค่อยๆพึมพำอย่างช้าๆ ก่อนจะท่องต่อไปอีกว่า

      'ความมืดจะกลืนกิน ยามที่จันทราจักเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ความทรงจำ จะมิอาจลบเลือน บาปของมัน ผู้ทีพรากหญิงคนรัก ไปจากข้า ข้าขอสาปแช่งมันด้วยเลือดของข้า ! ' พูดจบๆเขาก็ค่อยกรีดแขนของตัวเอง

                                  เลือดค่อยๆไหลไปอย่างช้าๆ ก่อนจะไหลเป็นสัญลักษณ์วงเวทย์ สีแดงฉาน มันค่อยๆเปล่งประกายราวกับอัญมณี ล้อมรอบตัวท่านหญิงน้อย ทั้งๆที่เธอรู้ว่ามันเป็นคำสาป แต่เธอก็ไม่ได้หนีไปจากตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย เธอค่อยๆปล่อยให้คำสาปมันกัดกิน กัดกินจนเข้าไปยังส่วนที่เรียกว่าหัวใจ ร่างของชายคนที่เธอรักมาที่สุดกำลังแสยะยิ้ม มองหน้าเธอด้วยสีหน้าเย้ยหยัน ราวกับพอใจในผลงานของเขา ก่อนจะล้มลงไปและตายในที่สุด

                          จากนั้นท่านหญิงก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย จนกระทั่งเธอมาฟื้นที่ทุ่งหญ้า รอบๆตัวเธอเต็มไปด้วยบรรยากาศอันเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ท่านหญิงค่อยๆยันการลุกขึ้นนั่ง สายลมอ่อนๆปะทะกับเส้นผมสีขี้เถ้าสยายไปตามแรงลม 
       
                          ' ที่นี่ ที่ไหน' นี่คือความคิดแรกของท่านหญิง เธอพยายามมองไปรอบๆเผื่อว่าจะมีใคร แต่มันก้ไม่เป็นผลที่นี่ยังคงมีแค่เธอเท่านั้น ทุ่งหญ้าเงียบสงัดมาก ถึงขนาดว่าเสียงลมพัดยังได้ยินชัดเจน จนกระทั่ง...

                          ' ที่นี่ คือโลกหลังความตายไงหละครับ ' เสียงๆหนึ่งตอบขึ้นมา ทำเอาท่านหญิงสะดุ้งและหันไปมองอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของท่านหญิงคือ

                        
         เด็กชายตัวน้อยวัยไม่เกิน 8 ปี เส้นผมสีมรกตเข้มยาวสยายไปจนถึงกลางหลังถูกมัดรวบเรียบร้อย ใบหน้าหวานน่ารักจิ้มลิ้มตามแบบฉบับเด็กน้อย รับกับนัยน์ตาสีเขียวอมน้ำเงินได้เป็นอย่างดี แต่เสื้อผ้าที่เขาแต่งออกจะดูแปลกตาไปซักหน่อย เพราะเขาใส่แค่ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงสแล็คสีเทาหม่น เพราะพื้นดินในตอนนี้มีหญ้าขึ้นน้อยมากจึงทำให้เห็นว่าเท้าของเด็กน้อยนั่นไม่ได้สวมรองเท้า แต่ที่ข้อเท้าของเขามีสายสร้อยกระดิ่งสีทองสวมไว้อยู่ และมันก็ส่งเสียงกังวาลไพเราะทุกครั้งที่เด็กหนุ่มขยับ

                           'เธอเป็นใคร' ท่านหญิงยิงคำถามใส่ทันที ที่เห็นเด็กน้อย เขาทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้เธอ ท่านหญิงถึงกับก้าวถอยหลังไปไม่รู้ตัว

                           เด็กคนนี้มีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ นี่คือความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวของท่านหญิง

                           ' ผมคือ จิตวิญญาณแห่งมังกรความตาย ครับ ท่านหญิงยมทูต' เด็กน้อยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่มันไม่ได้เข้ากับบรรยากาศเลยแม้แต่นิดเดียว 

                           'ท่านหญิงยมทูต?' เธอไม่เข้าใจคำพูดของเด็กน้อยเอาเสียเลย ทำไมเขาถึงมาเรียกเธอว่าท่านหญิงยมทูตหละ?

                          'ท่านมีคำสาปติดตัวมา ก่อนตาย และคำสาปนั่นได้ส่งผลให้ทางโลกความตายไม่สามารถพิจารณาความผิดของท่านได้เพราะฉะนั้น ท่านจะไม่มีสิทธิไปเกิดใหม่ ท่านจะต้องทำหน้าที่คอยเก็บวิญญาณของ มนุษย์ที่หมดอายุขัย ตามลิสต์รายชื่อของ โลกความตาย ' เด็กน้อยยังคงสาธยายต่อไป

                          'แล้วทำไมฉันต้องทำตามที่เธอบอกด้วยหละ'
          
                          'เพราะผลของการกระทำตอนที่คุณยังมีชีวิตอยู่ยังไงหละขอรับท่านหญิง' นี่คือคำตอบของเด็กน้อย

                           เพราะคำตอบนั่นทำให้ท่านหญิงต้องตอบรับคำตอบนั่นอย่างจำใจอย่างเสียไม่ได้ นับตั้งแต่นั่นมาเธอก็ทำหน้าที่นี้มาตลอด คอยเก็บเกี่ยววิญญาณของมนุษย์  เธอได้เจอกับวิญญาณมนุษย์มากมายหลายรูปแบบ  ทำให้เธอได้รู้ว่า ไม่ช้าหรือเร็วมนุษย์ก็ต้องตาย พอตายแล้วก็ไปรับคำพิพากษาที่ยมโลก ถ้าเป็นคนดีก็มีให้เลือก 2 ทาง คือ ไปเกิดใหม่ กับขึ้นสวรรค์ แต่สำหรับคนเลว เห็นจะมีก็แต่นรกนั่นแหละที่เหมาะที่สุด
             และเพราะการทำหน้าที่ให้ยมโลกนี่แหละที่ทำให้เธอได้เจอกับเขาคนนั้นอีก ในหลายๆครั้ง ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ครั้งเมื่อเขาตายและลงไปที่นรก เขาก็จะจำชาติของเธอได้เสมอ และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะเจอเขา เพราะทางยมโลกมีคำสั่งให้เธอมารับดวงวิญญาณของเขา และเธอก็ได้ขออนุญาตกับทางยมโลกแล้วว่าเธอจะทำลายดวงวิญญาณของเขาทิ้งซะ เพราะถ้ายิ่งเขาไปเกิดใหม่มากเท่าไหร่ เวลาตายดวงวิญญาณของเขาก็จะมีฤทธิ์มาก ยากต่อการนำตัวไปนรก และก็เดือดร้อนเธอทุกทีที่จะต้องมา เป็นคนมาเก็บวิญญาณด้วยตัวเอง

                           "เป็นอะไร ไปเหรอครับกำลังรำลึกถึงความหลังอยู่เหรอครับ" เขาพูดทำลายความเงียบ
                    
                           "...." ท่านหญิงยังคงเงียบไม่ได้ตอบอะไรแต่ ท่านหญิงก็แบมือ เรียกเคียวยมทูตสีเลือดอันใหญ่ออกมาก่อนจะพูดว่า

                          " ลาก่อน ลูคัส ราโอเวล" พูดจบเคียวของท่านหญิงก็ฟัน ฉับลงไปที่ร่างโปร่งแสง เหมือนลูคัสจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แต่เขาก็ไม่หลบเคียวของท่านหญิงเลยแม้แต่น้อย

                         " นั่นสินะครับ ลาก่อน ขอรับท่านหญิง สุขสันต์วันพระจันทร์สีเลือดขอรับ " เขาพูดก่อนจะยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย และสลายไปกลายเป็นผุยผง ปลิวออกไปนอกหน้าต่าง

                         " ฉันเกลียดนาย ลูคัส " ท่านหญิงพึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะเดินมาที่ระเบียงและ เรียก มาเอล ไม่ช้าไม่นาน มาเอลก็บินมาหยุดอยู่ตรงหน้าท่านหญิง 

                         " เรียบร้อยดีไหมขอรับ" มาเอลถาม ขณะที่ท่านหญิงกระโดดขึ้นมาอยู่บนหลังของเขาเรียบร้อยแล้ว

                        " อืม กลับกันเถอะ " ท่านหญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ก่อนจะสั่งต่ออีกว่า "รายงานยมโลกด้วย"

                        "ขอรับ" มาเอลตอบกลับอย่างสุภาพ ก็ดีเจ้านายของเขาจะได้ไม่ต้องลำบากอีก เห็นแบบนี้ทีไรเขาเองก็อดสงสารไม่ได้ไม่รู้ว่าเบื้องบนคิดยังไง ถึงได้ให้เจ้านายของเขาทำงานแบบนี้  มาเอลถอนหานใจออกมาอย่างปลงๆก่อนจะบินกลับเข้าโพรงอากาศตามทางเดิม 

                      เมื่อถึงวันที่ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท ยามที่จันทราจะแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือด เมื่อนั้น ตำนานยมทูตท้องฟ้าสีดำจะกลับคืนมาอีกครั้ง.... 

                      ความเศร้าโศกที่มิอาจจางหาย
                   
         เวลาที่ไม่อาจหวนคืน 
                     
         ความริษยาจะแผดเผาดวงใจดุจเพลิงผลาญ
        
          ความแค้นนี่จะคงอยู่เป็นนิจนิรันด์
       
           คำสาปสีเลือดจะคงอยู่มิเสื่อมคลาย
       
            ตราบสิ้นจนกัลปาวสาน......
       
            ความตาย ความโศกเศร้า   2 สิ่งนี้คงเป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กันกระมัง ในแง่มุมมองของมนุษย์ พวกเขามักจะโศกเศร้า เสียใจและร้องไห้ พวกเขามักจะโทษพระเจ้าว่าทำไม ถึงพรากผู้เป็นที่รักไปจากพวกเขา แต่วัฏจักร ก็คือ วัฏจักร ไม่อาจมีผู้ใดฝ่าฝืนใด นี่คือ กฎของธรรมชาติ  



                                              
         


       
        
       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×