ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic BTS] Sungnumja Game (KookV)

    ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 17 : คิมแทฮยอง (150921)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.36K
      54
      3 พ.ย. 59

    Chapter 17

    คิมแทฮยอง


    แค่เห็นชื่อตอนก็รู้แล้วว่าไร้สาระ - ปาร์คจีหมู

    คนกำลังดราม่า ไปเล่นตรงอื่นไป๊ - แทแทคนซึน


    ………………………………………… 



    ถ้าหากถามผมว่าเรื่องดราม่าที่กำลังพัดเข้าหาชีวิตผมกับไอ้เด็กจองกุกคนเลวมันเริ่มขึ้นจากตรงไหน เอาตรงๆนะ ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน



    อาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่ผมรู้จักมันเป็นครั้งแรก เด็กหน้าตาน่ารักฟันกระต่ายตัวขาวใสซื่อ อาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นที่มันทำให้ผมชอบตั้งแต่แรกเห็น



    พูดแล้วจะหาว่าผมน้ำเน่า รักแรกพบอะไรไม่มีหรอกครับ แค่เป็นความรู้สึกถูกใจน่ะ ทุกคนคงเคยเป็นใช่มั้ย



    พอนานวันเข้า จากที่ได้ใกล้ชิด อยู่ด้วยกัน ก็ยิ่งรู้ว่ามักเน่ไม่ได้น่ารักเลยสักนิด ออกจะดื้อ พูดอะไรก็ไม่ฟัง (ฟังแค่เฮียชูก้า) ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเองแบบสุดๆ จนผมคิดว่าตัวเองต้องเป็นพวกมาโซคิสม์ชอบความเจ็บปวดแน่ๆที่ไปชอบคนอย่างไอ้เด็กนั่น



    แต่ถึงจองกุกจะเอาแต่ใจตัวเองแค่ไหน ปากคอเราะร้าย ชอบเล่นแรงๆ แต่เขาก็ดูแลเอาใจใส่ผมดี นิสัยของเราก็ไปกันได้ ทั้งหนัง แนวเพลงที่ชอบ ทำให้ผมสนิทกับมักเน่อย่างรวดเร็ว 



    และนั่นก็เป็นก้าวแรกของเรื่องบ้าๆนี่ สาบานได้เลยว่ามันเป็นอะไรที่เสียท่ามากที่สุดในชีวิตของคิมแทฮยอง



    จนถึงจุดที่ผมระเบิดอารมณ์



    “ทั้งหมดก็เพราะพี่รักนายแค่คนเดียว จอนจองกุก”



    เงียบ เงียบ แล้วก็เงียบ ทั้งห้องครัวเงียบกริบจนผมรู้สึกเหมือนว่าแม้แต่ตู้เย็นก็พังไปแล้วเพราะบรรยากาศอึมครึมของเราสองคน



    ก็คงจะเหมือนกับสติของจองกุกที่เจอคำสารภาพแบบไม่ทันตั้งตัว พอผมมาย้อนคิดดู มันเป็นการสารภาพรักที่ทุเรศทุรังที่สุดในสามโลก ไม่มีความโรแมนติกใดๆทั้งสิ้น



    ยอมรับว่าเผลอหลุดปากออกไปเพราะความโมโหที่จองกุกมันพูดเหมือนกับผมใจง่าย ทั้งๆที่มันเป็นคนแรกของผม 



    เออ ยอมรับก็ได้ว่าผมก็อยาก มันเป็นความต้องการของร่างกายอย่างที่มันพูด ถึงจะเป็นฝ่ายรับแต่ผมก็เป็นผู้ชาย เรื่องอย่างนี้มันเป็นปกติอยู่แล้ว



    แต่เพราะผมรักเด็กเลวอย่างมันไง ถึงยอมขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะอยากอย่างเดียว เลยเผลอวีนแตกขึ้นมาเพราะมันหาว่าเราเป็นแค่เซ็กเฟรนด์



    หนึ่งนาทีผ่านไป จองกุกก็ยังจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น นาน...จนความโกรธเริ่มหายไปทีละน้อย ปกติผมก็เป็นพวกโกรธใครไม่ได้นานอยู่แล้ว



    จากความโกรธ ความสติแตกก็เข้ามาแทนที่เมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป



    ผมเผลอ 



    สา-ร-ภาพ-รัก-ไอ้-เด็ก-กุก



    กระพริบตาเร็วๆสองสามครั้งเพื่อเรียกสติ (อันน้อยนิด) ของตัวเองกลับคืนมา และก่อนที่จองกุกจะได้เอ่ยปากพูดอะไรซึ่งคงเป็นคำปฏิเสธแน่นอนอยู่แล้ว



    คิมแทฮยองคนแมนคนนี้ก็กระทำการที่สมองอันชาญฉลาดสั่งการด้วยการ...



    วิ่งหนีแม่มเลย



    บอกทีครับว่าทุเรศกว่านี้มีอีกมั้ย ด่าเสร็จ สารภาพรัก ตบท้ายด้วยวิ่งหนี ฉายาเอเลี่ยนไม่ได้มาง่ายๆเลยนะ ฮือๆๆๆๆ



    จนกระทั่งผมวิ่งไปคว้ามือของไอ้จีมินที่มีไก่อยู่เต็มปากเข้าไปในห้องนอนพร้อมล็อกประตูเสร็จสรรพ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มันฟังทุกฉากทุกบรรทัด 



    จีมินนี่อึ้งถึงขั้นไก่ร่วงออกจากปาก



    และตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งนึกได้ว่า นอกจากความสัมพันธ์ของเราที่ติดลบแล้ว ตอนนี้แม้แต่ความเป็นพี่น้องก็คงจะพังเละเทะไม่เป็นท่า บอกรักฮาร์ดคอร์ขนาดนั้นใครจะกล้ากลับไปเป็นพี่น้อง



    และนั่นก็เป็นมหากาพย์การหลบหน้าไอ้เด็กกุก



    ซึ่งผมทำได้พริ้วไหวมากด้วย จากการที่ตารางงานของเรายุ่งมากเพราะต้องซ้อมเต้นเพลง Danger คัมแบคอัลบั้มใหม่ ทำให้เราเหนื่อยมากจนไม่มีเวลาคุยกัน ทุกครั้งที่พัก เวลาที่จองกุกเข้ามาอยู่ในระยะสายตา ผมก็หนีหน้ามันทันที



    ตอนนี้แม้แต่หน้ามันผมยังไม่มองเลยครับ



    จนกระทั่งยุนกิฮยองเข้ามาบอกผมว่า น้องมันคิดว่าผมโกรธมากๆจนแม้แต่หน้ายังไม่อยากมอง เอ่อ มันไม่ใช่เลยนะ แต่ช่างเหอะ 



    ยุนกิฮยองทิ้งท้ายบอกให้ไปปรับความเข้าใจกับจองกุก เพราะมักเน่ดูจะเคร่งขรึมกว่าเดิมจนพวกพี่ๆเป็นห่วง แถมยังซ้อมหนักอย่างเอาเป็นเอาตาย



    ถามจริง ทำไมผมต้องไปด้วย มันเป็นคนทำแบบนี้เองนะ ถึงผมจะเป็นห่วงมันจนต้องบังคับให้จีมินไปดูจองกุกเวลาซ้อมดึก ซื้อของไปให้บ้าง (เงินผมทั้งนั้น) แต่ผมก็ยังไม่อยากคุยกับไอ้เด็กนั่น



    จริงๆแล้วผมก็โกรธมันหน่อยๆ แต่ความอายมันมีมากกว่า



    ทุกครั้งที่พวกฮยองทำท่าจะปล่อยเราไว้สองคน ผมก็หลีกหนีมาได้สำเร็จทุกครั้ง จนพวกฮยองอ่อนใจไปตามๆกัน เป็นอย่างนี้ถึงสองอาทิตย์จนถึงวันที่เราต้องย้ายหอ



    ห้องนอนมีทั้งหมดสามห้อง แบ่งเป็นสอง สอง สาม คนแก่ที่ต้องการการพักผ่อน จินฮยองกับยุนกิฮยองชิงนอนด้วยกัน เหลือพวกเราอีก 5 คนที่ยังตัดสินกันไม่ได้ เพราะพวกพี่เค้าพยายามเสือกไสให้ผมไปนอนกับจองกุกซะเหลือเกิน



    “ทำไมผมต้องไป”



    คิมแทฮยองโหมดดื้อทำเอาทั้งวงส่ายหัวไปตามๆกัน แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่สบตามักเน่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่ใครจะไปสน ถ้านอนห้องเดียวกับจองกุกแล้วที่ผ่านมาสองอาทิตย์มันจะมีความหมายอะไร



    คิมวีจะทำไปเพื่อใคร



    “แทฮยอง อย่าดื้อได้มั้ย มักเน่สองคนนอนด้วยกันก็ถูกแล้ว นายมีปัญหาอะไรตรงไหน”



    ก็มีปัญหาตรงที่รูมเมตเป็นจองกุกน่ะสิเฮีย ถามมาได้



    ผมส่งสายตาเว้าวอนใส่เฮียนัมจุนแต่ลีดเดอร์ดันทำเป็นไม่เห็นซะงั้น ผมจะทำไงได้ล่ะ นอกจากสะบัดหน้าหนีไปหาจีมินที่กำลังนั่งเล่นอยู่กับยุนกิฮยองที่ห้อง



    “น้า น้า น้า จีมินนี่ เปลี่ยนเตียงกับแทเหอะ แทยังไม่พร้อม”



    เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงแล้วที่ผมเฝ้าพะเน้าพะนอออดอ้อนไอ้หมูจีให้ไปนอนกับไอ้เด็กกุกแทนผม ทั้งบังคับก็แล้วทำท่าน่ารักก็แล้วมันยังไม่สนใจเลยสักนิด 



    “อย่างี่เง่าน่าแทแท หลบหน้าน้องมันมาสองอาทิตย์แล้วนะ แม้แต่หน้าไอ้กุกแกยังไม่มอง ไม่เห็นมั่งรึไงว่าน้องมันดูแย่แค่ไหน”



    ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็น จองกุกไม่ยิ้มและดูผอมลงไปมากจริงๆ แต่ผมคิดว่าผมยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับจองกุกตอนนี้



    แต่ก็ถือกระเป๋าเข้ามาในห้องของมักเน่แล้ว



    จะทำไงได้ก็มันไม่เหลือทางเลือกให้แทแท พวกฮยองก็ผลักไสให้ผมไปหาไอ้กุกกันเหลือเกินเพราะอยากให้เราปรับความเข้าใจกัน แต่ผมไม่อยากพูดกับมันนี่นา 



    เฮ้อ ถ้าพูดตรงๆคือผมไม่อยากฟังคำปฏิเสธของจองกุก ผมไม่อยากเจอกับบรรยากาศตึงเครียดนั่นอีกแล้ว ผมก็แค่ต้องการเวลาที่จะตัดใจ แต่เพราะเรากำลังจะคัมแบค มันคงดูไม่ดีแน่ถ้าผมกับมักเน่ยังมึนตึงใส่กัน พวกฮยองเลยพยายามผลักไสให้ผมกับจองกุกคุยกัน



    ผมสูดลมหายใจลึกๆก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอน แต่ก็พบกับความว่างเปล่า 



    จองกุกไม่ได้อยู่ในห้อง มีแค่ของกระจัดกระจายอยู่บนเตียง ผมจัดการลากกระเป๋าไปที่เตียงอีกเตียงนึงทันที ห้องนี้เป็นห้องขนาดกลางที่นอนได้สองคน เตียงจึงค่อนข้างจะชิดกันแต่ก็ใหญ่พอดีกับที่จะนอนสองคนได้สบาย



    คิดอะไรเนี่ยคิมแท ในสถานการณ์แบบนี้อย่าว่าแต่จะนอนเตียงเดียวกัน แค่พูดคุยกันยังไม่รู้จะเริ่มยังไง



    แต่ก่อนที่ผมจะทันได้มโนถึงประโยคในสถานการณ์สมมติระหว่างผมกับมัน 



    แกร๊ก



    ประตูห้องนอนก็เปิดออก พร้อมกับร่างของจอนจองกุกที่เปลือยท่อนบน มีเพียงแค่ผ้าขนหนูผืนใหญ่พันอยู่รอบเอว หยาดน้ำเม็ดเล็กยังคงเกาะบนแผงอกล่ำ จองกุกใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเช็ดผมด้วยท่าทางเซ็กซี่ 



    ช่วยไม่ได้ที่สายตาผมจะมองต่ำลงจากอกกว้างไปที่หน้าท้องที่เต็มไปด้วยซิกแพคก่อนจะหยุดสายตาไว้เหนือผ้าเช็ดตัวที่ผูกต่ำซะจนลงมาถึงสะโพก



    ดวงตาคู่คมจับจ้องท้าทายมาที่ผมที่กำลังยืนช็อกค้างกลางห้อง



    “ถ้าเกลียดการมองหน้าผม แต่ชอบจ้องไปที่ส่วนอื่นมากขนาดนั้น.....”



    จองกุกสาวเท้าเข้ามาใกล้ ส่วนผมก็ได้แต่ถอยหลังไปเรื่อยๆจนติดกำแพง มารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ถูกกักไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง จอนจองกุกยื่นหน้าเข้ามาใกล้ 



    “เรามีเรื่องต้องคุยกัน และครั้งนี้อย่าหวังว่าพี่จะหนีไปไหนได้อีกเลย!”



    .



    .



    .



    เหอะ คิดเหรอว่าแค่เอาแขนมากันแค่นี้จะหยุดน้องวีคนแมนมาก(?)ได้



    ผมใช้ฝ่ามือดันไปที่อกกว้างอย่างแรงกะให้ไอ้เด็กกุกล้มหงายหลังไปกองกับพื้นจะได้มีโอกาสหนีไป 



    ปึ้ก!



    ตื่อดึ้ง



    คาดว่าจอนจองกุกน่าจะกินซุปงาของคิมซอกจินมา หรือไม่ก็เป็นญาติกะท่อนซุง ผมผลักสุดแรงเกิดแต่มันไม่ขยับไปจากจุดเดิมเลยสักนิด ไม่สิ ดูดีๆก็ขยับนะ...



    ขยับประมาณ 2 เซ็นต์ =[]=



    แต่ถ้ายอมแพ้แค่นี้ก็ไม่ใช่แทฮยอง



    ผลักไม่ได้ผล งั้นก็เตะแม่ง



    ยกเท้าขึ้นเตรียมจะถีบมันออกไป แต่อีเด็กปีศาจก็เหมือนรู้ทัน มือใหญ่เอื้อมมาจับต้นขาผมเอาไว้ ไม่สนใจผมที่พยายามกระเสือกกระสนดิ้นรน ทั้งพยายามถีบพยายามทุบตีจนอกขาวๆเต็มไปด้วยรอยแดง



    แต่แค่นี้ยังไม่ได้ครึ่งที่มันทำกับผม อย่านึกว่าจะยอมให้มันเอาเปรียบง่ายๆ



    “ปล่อย! นายไม่มีสิทธิ์มาทำกับพี่แบบนี้นะ!!!”



    ผมโวยวายด่าทอมัน โดยที่ไม่มองหน้าเนี่ยแหละ โมโหอ่ะ โมโหมากๆทำไมผมต้องแพ้มันทุกอย่างด้วย ขนาดจะหนีออกไปยังทำไม่ได้



    จอนจองกุกถึงได้ใจอยู่แบบนี้



    ขนาดตอนด่าผมยังเอาแต่มองพื้นเลย คิมแทฮยองน่าสงสารโคตร



    จองกุกหยุดชะงักทันที ถึงจะไม่เห็นแต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่าน้องมันก็เริ่มไม่พอใจผมเหมือนกัน เพราะมือที่จับต้นขาผมเกร็งขึ้นจนรู้สึกเจ็บนิดๆ



    และก่อนที่ผมจะทันตั้งตัว มือของเขาที่ข้างหนึ่งจับข้อมือของผมอีกข้างจับต้นขาก็ละออกไป



    สองมือใหญ่ขยำไปที่บั้นท้ายนิ่มอย่างแรง ยกสะโพกผมจนทั้งตัวลอยขึ้นจากพื้นไปติดกำแพง ตกใจจนเผลอเอาขาเกี่ยวเอวของมักเน่เอาไว้



    แล้วก็ค้นพบว่าตัวเองโง่โคตรๆที่หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว



    กางเกงนอนขาสั้นร่นขึ้นมาเสียดสีกับช่วงเอวเปลือยเปล่าของจองกุกจนรู้สึกประหม่า และเด็กเอาแต่ใจที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวกั้นระหว่างเราก็เบียดร่างกายเข้ามาแนบชิด กลิ่นแชมพูกับครีมอาบน้ำของเขายิ่งทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก



    มือข้างหนึ่งของเขาเลื่อนมาประคองเอว อีกข้างก็เชยคางผมให้มาสบสายตา



    ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้น นิ้วที่หยาบนิดๆเกลี่ยไปมาบนแก้มผมที่ตอนนี้มันร้อนจนมั่นใจได้เลยว่ามันต้องแดงก่ำ ผมเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อลดอาการประหม่า 



    ระยะห่างระหว่างเราลดน้อยลงทุกที และก่อนที่ริมฝีปากร้อนของเขาจะทาบทับลงมา ผมก็เบือนหน้าหนีจนจมูกโด่งพลาดกดลงไปบนพวงแก้มของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ถอยออกไป ตรงกันข้ามกลับเก็บเกี่ยวความหอมจากผิวนิ่มๆจนเต็มปอด



    ผมหลับตาแน่นเมื่อรู้ตัวว่าหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว จนกว่าจองกุกจะได้ทุกอย่างตามใจตัวเอง



    ริมฝีปากคู่นั้นเลื่อนลงซุกไซร้ซอกคอก่อนจะวกกลับมากระซิบข้างหู



    “ทำไมผมจะไม่มีสิทธิ์ แทฮยองเป็นของผม....”



    เลื่อนลงขบเม้มผิวเนียนละเอียดจนกลายเป็นรอยแดง ผมได้แต่มองจองกุกที่ยิ้มออกมาอย่างพอใจตอนมองไปที่รอยนั้น



    ทั้งน้อยใจที่เขาทำแบบนี้ ทั้งดีใจที่ได้ใกล้ชิดจนความรู้สึกตีกันมั่วไปหมด



    จองกุกมองหน้าผมที่ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ เขาถอนหายใจ ก่อนจะยกมือของผมขึ้นมา แนบริมฝีปากจุมพิตลงบนหลังมือ



    “มาคุยกันดีๆเถอะ ผมขอร้อง....นะครับ แทฮยอง”



    แล้วผมก็ใจง่ายเป็นบ้า ที่ได้แค่พยักหน้าตอบตกลง



    “ข...เข้าใจแล้ว ถอยออกไปก่อนสิ”



    ผมพยายามดันอกล่ำๆของมักเน่ที่ยังคงขังผมเอาไว้ในอ้อมกอด หลายนาทีผ่านไปที่จองกุกไม่มีท่าทีว่าจะขยับออกไปเลยสักนิด เขาเอาแต่จ้องหน้าผมโดยที่ไม่พูดอะไร



    มันคิดจะคุยทั้งที่ยังติดอยู่กับกำแพงแบบนี้รึไง



    “ม...ไม่หนักเหรอ”



    มาอีกแล้วครับ ความพยายามในการเริ่มบทสนทนาของคิมแทฮยองที่โคตรจะสิ้นคิด 



    “หืม ไม่นะครับ ให้ผมอยู่แบบนี้ทั้งคืนก็ยังได้ ^^”



    เด็กปีศาจพูดพร้อมกับส่งยิ้มใสซื่อมาให้ จนใบหน้าหล่อเหลาเย็นชากลับกลายมาเป็นใบหน้าน่ารักของมักเน่น้อยที่ยิ้มจนตาปิด ดูไร้เดียงสาจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกับที่จูบผมอย่างร้อนแรงในโรงแรมเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน



    บรรยากาศรอบตัวเราสองคนดูผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อจองกุกเห็นว่าผมตกลงจะคุยด้วยกันดีๆ



    ผมไล่สายตาจากใบหน้าคมลงมามองที่แผ่นอกล่ำกับหน้าท้องที่มีซิกแพคนิดๆของจองกุก คิดไปถึงตอนนั้นที่ฝ่ามือของผมลูบไล้ไปตามผิวขาวของมักเน่ กับแขนแข็งแรงที่กอดรัดผมแน่นตอนที่เรา....



    อ๊า!!! นี่ผมคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!!!!



    แทนที่จะโกรธน้องดันมาคิดหื่นกามน้ำลายไหลยืดเพราะรูปร่างหน้าตาของจองกุก โธ่ชีวิตน้องแท



    “คิดอะไรอยู่น่ะ หน้าแดงหมดแล้ว”

    พูดดีๆก็ได้ ทำไมต้องเอามือมาลูบแก้ม พอมันทำแบบนั้นผมก็ยิ่งรู้สึกร้อนมากกว่าเดิม ยังไม่คืนดีกันก็คิดจะข้ามไปฉากอย่างนั้นอีกแล้ว อีกสักพักคงมีแฮซแท็กคิมแทฮยองคนหื่น



    “คิดอะไรก็เรื่องของพี่! ไหนว่าจะคุยไง ก็พูดมาสิ”



    อยู่แบบนี้นานๆมันน่าอาย...



    ผมกลืนคำพูดลงคอไป ถึงเราจะมีอะไรกันแล้ว แต่ผมก็ไม่ชินอยู่ดีที่เห็นมันนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวมาแนบชิดจนอะไรๆ(?)มาดันที่ก้นผมแบบนี้



    น้องวีเป็นผู้ชายที่มีความรู้สึกนะ ฮือๆๆๆๆ



    และก่อนที่จะรู้ตัวก็โดนเด็กปีศาจอุ้มออกมา จองกุกทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงพร้อมกับดึงผมเข้าไปนั่งตัก 



    ผมถอนหายใจ มองแขนล่ำที่กอดรัดเอวตัวเองอย่างปลงตก คอยดูนะ ถ้าจองกุกเผลอเมื่อไหร่ ผมจะเตะมันแล้ววิ่งหนีไปนอนกับพี่จิน!!



    “ขนาดนี้แล้วพี่ยังคิดจะทำร้ายร่างกายผมอีกเหรอ”



    อยู่ดีๆจอนจองกุกก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ พร้อมกับจมูกโด่งที่กดแนบลงบนเรือนผมสีน้ำตาลและอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้น เหมือนกับว่ากลัวผมจะหนีหายไป



    “คิดถึงนะ คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว” 



    เสียงทุ้มหวานพูดออดอ้อนกระซิบข้างหู



    อยู่ดีๆก็มาพูดแบบนี้



    จองกุกผละออกมาพร้อมกับมองสบตาผม ผมไม่ชอบเลยสักนิดตอนที่ดวงตาคมจ้องมองมาเหมือนกับว่าเขาต้องการจะรู้ทุกความรู้สึกของผม



    คิดถึงเหมือนกัน



    คำพูดนั้นติดอยู่ในลำคอ 



    ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลเข้ามาในช่วงเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไร ผมเองก็พยายามทำงานอย่างหนัก ทั้งซ้อมเต้นทั้งร้องเพลงเพื่อจะได้ไม่สนใจสายตาที่มองมา



    มันแปลกไป เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดตอนที่ไม่มีจองกุกอยู่ใกล้ๆ



    ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ไม่เคยเลยสักครั้งที่เราจะห่างกัน จริงอยู่ที่จีมินเป็นเพื่อนสนิทของผม แต่จองกุกเป็นน้องชายคนพิเศษที่ผมคอยดูแลให้คำปรึกษามาโดยตลอด แม้ว่าช่วงหลังๆเขาจะดูโตขึ้นจนเหมือนว่าไม่ต้องการผมอีกต่อไป เราก็ยังอยู่ด้วยกัน



    และแล้วก็มีเกมส์ซังนัมจา



    จากน้องชายกลายมาเป็นความสัมพันธ์ที่ยิ่งกว่านั้น ความสัมพันธ์ที่ทำให้ผมยากจะข่มตาหลับแทบทุกคืน เพราะคิดถึงอ้อมกอดอุ่นกับสัมผัสแผ่วเบาจากริมฝีปากร้อนที่คอยปลอบประโลมก่อนนอน



    อาหารก็ไม่อร่อย แม้แต่เกมส์ที่เล่นหรือรายการที่ชอบดูก็ไม่สนุกเหมือนทุกครั้งที่มีจองกุกอยู่ข้างๆ



    “แทแท คิดถึงผมบ้างรึเปล่า”



    “ม...”



    ไม่



    คำโกหกที่คิดจะพูดก็พูดไม่ออก เมื่อเผลอไปสบกับดวงตาคม ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ ทำไมถึงกลายเป็นผมที่รู้สึกผิดเพราะทิ้งจองกุกให้อยู่คนเดียว



    ทั้งที่เป็นเขาไม่ใช่เหรอที่ไม่ต้องการผม



    ความรู้สึกดีที่ได้ใกล้ชิด ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มันเปลี่ยนเป็นขมขื่นกับความรักข้างเดียว



    “นายจะสนทำไม....” น้ำเสียงของผมสั่นไหว “ช่วงนี้นายเครียดมากจนคิดถึงที่ระบายรึไง”



    บทสนทนาเมื่อสองอาทิตย์ก่อนย้อนเข้ามาอีกครั้งจนใจผมเจ็บไปหมด ทุกคำพูดของเขาผมยังจำได้ดี ที่เขาบอกว่าไม่รู้สึกอะไร ระหว่างเราเป็นแค่เรื่องความต้องการทางร่างกาย ผมจำได้ทั้งหมด



    ที่เขาบอกว่าคิดถึง ก็คงเพราะแค่อยากจะหาที่ระบายอารมณ์ก็แค่นั้น



    ถึงแม้จะพยายามบอกกับตัวเอง แต่หัวใจที่เต้นแรงจนรู้สึกเจ็บแค่เพราะคำพูดอ่อนหวานของจองกุกกลับทรยศกับสิ่งที่สมองบอกจนผมได้แต่เจ็บใจในความโง่ของตัวเอง



    “ไม่ใช่” จองกุกส่ายหน้าจนเรือนผมสีดำสนิทสั่นไหว “ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยสักนิด”



    “ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เชื่อ ถึงปากนายจะพูดแต่การกระทำมันชวนให้คิด”



    ทั้งที่อยากจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่เสียงของผมกลับสั่นไหว ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกคาดหวังกับคำตอบแบบไหน



    “ผมรู้ว่าแทไม่อยากฟัง”



    มือใหญ่เลื่อนมากุมมือผมพร้อมกับแนบจูบลงบนหลังมือ อ่อนโยนจนผมอยากจะร้องไห้ แต่ว่าพอแล้ว ผมเสียน้ำตามามากเกินพอ



    “แต่ผมอยากให้แทรู้ ว่าผมขอโทษ ผมขอโทษที่ทำแบบนั้น แทฮยองอาจจะคิดว่าผมไม่จริงจัง แต่แทก็รู้จักผมดีกว่าใครไม่ใช่เหรอ ผมขอโทษ”



    ขอโทษ



    จองกุกพร่ำบอกคำนั้นซ้ำๆ ผมได้แต่หลับตาแน่นซึมซับคำขอโทษ เพราะผมรู้จักจอนจองกุกดีกว่าใคร



    เด็กผู้ชายวัยรุ่นหัวดื้อที่ไม่เคยยอมใคร ทั้งเอาแต่ใจและออกจะแข็งกระด้างไม่รับรู้ความรู้สึกของคนอื่น แต่เพราะแบบนั้น เวลาที่เขาขอโทษ เวลาที่เขาพูดซ้ำๆด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดแบบนี้ 



    จอนจองกุกกำลังเสียใจ และหมายความตามที่พูดจริงๆ



    “ผมไม่เคยคิดว่าแทเป็นแค่ที่ระบาย ผมแค่อยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่สิ มันคงเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว แต่ผมก็อยากให้เราเป็นพี่น้องกัน หรือถ้ามันมากกว่านั้น ผมอาจจะขอมากไป แต่ที่แทบอกว่าชอบผม ผมก็กำลังคิดเรื่องนั้น ที่ไม่ตอบไม่ใช่ว่าผมไม่คิด ไม่สิ ผมไม่รู้ อ่า......”



    จองกุกละมือออกจากเอวของผม เปลี่ยนเป็นทึ้งหัวตัวเองพร้อมกับใบหน้าสับสน อย่าว่าแต่มักเน่เลย ผมก็งงเหมือนกันที่จองกุกพูดอะไรวนไปวนมา



    ได้แต่กะพริบตาปริบๆมองจองกุกที่มองมาทางผมด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจก่อนที่เขาจะถอนหายใจอีกครั้ง



    “ที่แทฮยองบอกว่าชอบผมน่ะจริงรึเปล่า”



    อยู่ดีๆน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังจนผมได้แต่พยักหน้ารับ



    “ตั้งแต่ตอนไหน”



    คำถามที่ทำให้ต้องหยุดคิด ไม่รู้ตัวว่าเหม่อลอยเพราะคำถามนั้นไปนานเท่าไหร่แต่สัมผัสอุ่นจากมือใหญ่ที่กุมอยู่ข้างแก้มกับสายตาอบอุ่นของจองกุกที่ทอดมองมา ทำให้ต้องหลุดพูดคำนั้นออกไปอย่างง่ายดาย



    “ตั้งแต่แรก.....” ลมหายใจผมหยุดชะงัก ช้อนสายตาขึ้นสบอีกฝ่าย “ตั้งแต่ที่ได้รู้จัก แทฮยองรักจองกุกมาตั้งแต่แรกแล้ว”



    ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด ตอนที่รู้ว่าต้องจากบ้านเกิดที่แดกูมาอยู่ในโซลเพื่อมาเทรนเป็นเด็กฝึกของค่ายเพลงเล็กๆ เตรียมพร้อมจะเดบิวท์ก็รู้สึกเป็นกังวลนิดๆ แต่เพราะมีฮยองทั้งสามคนที่ฟอร์มวงมาตั้งแต่แรกคอยแนะนำ แม้การฝึกจะผ่านไปด้วยดี แต่เพราะช่วงอายุที่ห่างจากทั้งนัมจุนยุนกิและโฮซอก ทำให้อดไม่ได้ที่จะเหงาเล็กๆ



    และตอนนั้นนั่นเองที่จอนจองกุกก้าวเข้ามา



    แทฮยองยังคงจำได้ดีถึงความรู้สึกที่เหมือนกับมีพายุลูกเล็กๆพัดเข้ามาในชีวิต



    เด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักที่ห่างจากแทฮยองสองปี 



    จอนจองกุกที่พูดน้อยและขี้อาย ยิ่งกับพวกฮยองที่อายุห่างกันมากถึง 3-4 ปี อาทิตย์แรกที่ต้องอยู่ด้วยกันก็รู้สึกขัดเขินบ้างเล็กน้อย



    แต่แทฮยองก็พยายามจะชวนคุยชวนเล่น ความรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นน้องชายตัวน้อยที่น่าปกป้อง



    แทฮยองชอบจองกุกมาตั้งแต่แรก รอยยิ้มน่ารักกับฟันกระต่าย ความใสซื่อ ความเขินอายของมักเน่ทำให้ใจละลาย ไม่ยากเลยที่จะหลงเสน่ห์จอนจองกุก ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายช่างดูแลเอาใจใส่ ทั้งยังเข้ากันได้ดีมากขนาดนี้



    จองกุกที่เก่งไปซะทุกเรื่องทำให้แทฮยองแอบชื่นชมมักเน่อยู่ลึกๆ และเพราะความเผลอไผลจนปล่อยใจไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกครั้งแทฮยองก็ตกหลุมรักเด็กน้อยที่ตัวเองคอยดูแล



    เพราะเป็นคนสมองช้าในเรื่องความรู้สึกจึงคิดเพียงแค่ว่ามันเป็นความเอ็นดูตามแบบพี่ชายน้องชายจึงทำให้อยากอยู่ใกล้ๆ แทฮยองเป็นคนรักเด็ก ยิ่งเป็นเด็กน่ารักแบบจองกุก ไม่แปลกไม่ใช่เหรอที่จะเข้าไปคลอเคลียเพราะรู้สึกดี



    แต่แล้วจองกุกที่เคยน่ารักก็โตขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับความรู้สึกของแทฮยองที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน



    ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มักเน่ตัวใหญ่ขึ้นจนสูงเท่ากัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่แขนเรียวเล็กเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อของชายหนุ่ม ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ใบหน้าน่ารักกับแก้มยุ้ยๆเปลี่ยนเป็นใบหน้าหล่อเหลากับสันกรามคม ดวงตาที่เคยทอประกายใสซื่อกลับกลายเป็นดวงตาที่ทอดมองอย่างร้อนแรงราวกับจะกลืนกินเรือนร่างบอบบาง



    จองกุกอาจจะไม่รู้ตัวแต่แทฮยองตัวสั่นแทบทุกครั้งที่ถูกมอง มันชัดเจนจนทุกคนในวงรู้สึกได้ และเมื่อแทฮยองที่ความรู้สึกช้าเริ่มรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมากขนาดไหน



    แน่นอนว่า คิมแทฮยองที่มีความคิดแปลกประหลาดคนนี้จะรู้สึกอะไรได้ นอกจากความสับสน ตามมาด้วยอาการสติแตกแบบที่ปาร์คจีมินบอกว่าคือโรคกลัวความเปลี่ยนแปลงของมักเน่



    จองกุกที่เปลี่ยนจากเด็กน้อยใสซื่อที่เคยรู้จักกลายเป็นเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์เอาแต่ใจทำให้แทฮยองตั้งรับไม่ทัน เขาไม่เขินอายกับสัมผัสที่แทฮยองมอบให้อีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามกลับเป็นฝ่ายกระทำ



    อ้อมกอดกับสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากจากการหยอกเย้า ตามมาด้วยเสียงหัวเราะสะใจเมื่อเห็นพี่ชายร่วมวงทำหน้าเอ๋อที่โดนขโมยจูบดื้อๆ 



    การเล่นสนุกของจองกุกทำให้แทฮยองแทบเป็นบ้า



    รู้สึกเข้าใจความรู้สึกของมักเน่ขึ้นมาทันทีที่เมื่อก่อนแทฮยองชอบเข้าไปขโมยหอมแก้มยุ้ยๆน่าฟัดพร้อมกับจองกุกที่หน้าแดงก่ำ



    เป็นการเอาคืนที่แทฮยองไม่รู้สึกสนุกด้วยเลยสักนิด แต่เพราะเป็นจองกุกก็เลยโกรธไม่ลง ได้แต่ปล่อยให้มักเน่แกล้งจับตรงนั้นจูบตรงนี้ ด้วยความคิดที่ว่ายังไงก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน



    แต่ลึกๆแล้วแทฮยองรู้ดีว่าตัวเองปฏิเสธไม่ได้ ไม่เคยห้ามหัวใจตัวเองที่สั่นไหวอย่างบ้าคลั่งได้เลย



    ผมพูดออกไปทั้งหมด



    ทุกความรู้สึกที่มีให้จองกุกตั้งแต่ก่อนเดบิ้วท์ ตั้งแต่เริ่มเกมส์ซังนัมจา ตั้งแต่ที่เรารู้จักกัน มันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ถึงแม้ในท้ายสุดผมจะโดนปฏิเสธ หรือจะเป็นแค่รักข้างเดียว ผมก็ไม่เสียใจ



    จองกุกเพียงแค่นั่งฟังเงียบๆไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังสารภาพรักออกไปด้วยสีหน้าแบบไหน ทุกอย่างเหมือนกับหลุดเข้าไปในความฝัน หลายปีที่ผ่านมาผมเอาแต่หนีความรู้สึกของตัวเองมาตลอด ทำเป็นไม่รับรู้ไม่เข้าใจ ทั้งที่มันไม่ได้เป็นเรื่องยากเลยสักนิด



    อาจจะเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าเรื่องมันจะเป็นเหมือนอย่างตอนนี้



    ไม่กล้ามองหน้าเพราะกลัวว่าน้องจะรับไม่ได้ จองกุกจะรังเกียจรึเปล่าที่ผมมีความคิดแบบนี้



    แต่แล้วอ้อมกอดอุ่นที่โอบรัดรอบตัวก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับจะร้องไห้ ยิ่งเขาเงียบมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าจองกุกรับความรู้สึกของผมไม่ได้



    “จองกุก......”



    ผมสูดลมหายใจเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า



    “ที่ผ่านมา....”



    .



    .



    .



    “เคยมีสักครั้งที่คิดจะรักพี่บ้างรึเปล่า”



    .



    .



    .



    “ถ้านายไม่เคยรู้สึกอะไรเลยสักนิด....”



    .



    .



    .



    “พี่ว่าเราอย่าเจอกันสักพักเลยจะดีกว่า”



    “พูดจบรึยัง” 



    น้ำเสียงเย็นชาของจองกุกทำให้ผมชะงัก ดวงตาคมที่มองมาแฝงประกายความโกรธจนผมตัวสั่นด้วยความกลัว เพิ่งเคยเห็นจองกุกโกรธขนาดนี้เป็นครั้งแรก มันทำให้ผมอยากจะหนีแต่อ้อมแขนของเขากลับกักผมเอาไว้ในอ้อมกอดแน่นจนหนีไปไหนไม่ได้



    “พี่ก็เป็นแบบนี้” น้ำเสียงคุกคามของเขาทำให้ผมได้แต่ก้มหน้า



    “เอาแต่พูดตามใจตัวเอง พี่บอกว่าผมเอาแต่ใจ แต่พี่วีต่างหากที่ใจร้าย พี่เอาแต่พูดโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของผมเลยสักนิด”



    “อยากจะรู้มากใช่มั้ยว่าที่ผ่านมาผมคิดยังไง”



    จองกุกกดผมลงไปกับเตียงนอน มือใหญ่กดข้อมือทั้งสองข้างของผมเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว



    “พี่สารภาพมาซะขนาดนี้ มันคงไม่ยุติธรรมถ้าผมไม่พูดอะไรออกไป”



    ฝ่ามือร้อนอีกข้างเลื่อนเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวใหญ่ ลูบไล้หน้าท้องของผมอย่างหยอกเย้า น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าแฝงแววอันตรายจนผมใจเสีย



    “ถ้ายังคิดจะหนีจากผมไปอีกละก็.....” รอยยิ้มร้ายปรากฏบนมุมปากของจอนจองกุก



    “เราได้เห็นดีกันแน่คิมแทฮยอง”





    #กุกวีซังนัมจา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×