คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #123 : หมู่มารอาละวาด หัวโจวหวนไห้ (3)
เป็นเวลานานพอดูที่ยุทธภพถูกปกคลุมไว้ด้วยไอหมอกและพายุฝน อากาศเหน็บหนาวพร่างพรายชอนไชเนื้อหนังสร้างความลำบากให้แก่ทุกชีวิต ซึ่งหลังอัปเดตแพตช์เสริมเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศเข้ามา เหล่าเพลเยอร์ก็จำต้องปรับตัวให้คุ้นชินตามไปด้วยอย่างไม่มีทางเลือก จนเมื่อค่ำคืนแรกมาเยือนภายใต้ฤดูฝนปลายเดือนกรกฎาคม ความโหดร้ายแท้จริงพลันแสดงออกมาในยามนี้ สายฝนเทกระหน่ำต่อเนื่องไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกระทั่งอุณหภูมิลดต่ำลงมากยิ่งกว่าช่วงกลางวัน เพียงกระแสลมเอื่อยพัดผ่านผิวกาย ผู้คนยังอดรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ราวกับถูกคมมีดนับพันเล่มกรีดแทงเข้าสู่จิตวิญญาณโดยตรง แม้ภายนอกไม่ปรากฏบาดแผลแต่ภายในบอบช้ำเจ็บปวดแสนสาหัส
ถึงอย่างนั้น สำหรับเหล่าจอมยุทธ์แล้วสภาพอากาศเยี่ยงนี้ช่างเหมาะแก่การเข้าฌานฝึกตนฝึกจิตใจยิ่ง
เพียงแต่ในตอนนี้ ณ
ลานกว้างตะวันตกของเมืองหังโจว น่านฟ้ากระจ่างใสประดับไปด้วยหมู่ดาวอย่างผิดแผก เมฆฝนดำทะมึนหอบใหญ่เพิ่งถูกเคล็ดกระบี่เหินหาวท่องเทวโลกปัดเป่าหายไป ทั้งยังแทนที่ด้วยอุณหภูมิสูงจนอากาศโดยรอบกลายเป็นร้อนรุ่มระอุเดือด สายฝนนอกอาณาเขตลานกว้างตะวันตกถึงกับส่งเสียงดังชี่ระเหยเป็นไอหมอกไม่หยุดยั้ง ซึ่งทุกสายตาเพ่งพินิจเลยผ่านสามมารเฒ่าไป ภาพดวงไฟที่ลอยขึ้นมาเหนือศีรษะชายหนุ่มดึงดูดความสนใจยิ่ง ก่อนมันจะแตกกระจายขยายออกเป็นปีกขนาดใหญ่ที่ก่อร่างมาจากเปลวเพลิง ตามด้วยเสียงคำรามหวีดแหลมของวิหคอัคคีสะท้อนก้องออกไปไกล สะกดข่มทุกจิตวิญญาณไว้แทบเท้าในพริบตา
สามมารเฒ่าสะดุ้งเฮือกกระโดดขึ้นหน้าถอยห่าง แต่เมื่อตวัดสายตามองกลับไปเห็นเป็นฝ่ายตนที่แสดงพลังอำนาจก็รู้สึกผ่อนคลายลงไปได้บ้าง ส่วนมังกรเฒ่ายังสามารถนิ่งเฉยอยู่ได้เพราะกระบวนท่าทะลวงขีดจำกัดด้านเลเวลของยี่ฟง เขาประสบมาแล้วหลายครั้งจึงไม่ตื่นเต้นหรือตระหนกตกใจซ้ำซากอีก
“ฮ่า
ฮ่า เอ็งดูสิวะ ทำเป็นกระต่ายตื่นตูมไปได้” มังกรเฒ่าเอ่ยปนหัวเราะพลางชี้นิ้วไปที่สามมารเฒ่า
“หน็อย ชักจะเอาใหญ่แล้วนะไอ้นี่” ภูผาเพลิงโต้กลับตามนิสัย ขณะคนอื่นไม่คิดเก็บมาใส่ใจ
“วิชาคลาส
S สินะ
เอ็งมันมาพร้อมกับดวงซะจริง” เฒ่าทารกกล่าว เขาที่ได้ฟังเรื่องราวของยี่ฟงมาบ้างจากปากมังกรเฒ่า จึงค่อนข้างรู้สึกทึ่ง
ไม่คิดไม่ฝันว่าเขตจงหยางจะยังมีพลังวิชาระดับนี้เหลือซุกซ่อนไว้อยู่อีกทั้งที่เกมเปิดให้บริการมานานสี่ปีกว่าแล้ว
มีปริศนาการทดสอบทั้งเก่าและใหม่ให้บุกเบิกไม่สิ้นสุดจริง
ๆ
“ลงมือเถอะ ว่าแต่แผนของพวกเราคือจะฝ่าออกไปจากเมืองหังโจวสินะ?” ยี่ฟงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสนทนาเรื่อยเปื่อย รีบดึงทุกคนกลับเข้าประเด็นหลักพลางถามยืนยันให้แน่ใจ
“หึ ชาวหังโจวแทบทั้งหมดถึงกับเร่งรีบเพื่อมาจัดพิธีเลี้ยงส่งให้ขนาดนี้ ก็ต้องสนองตอบให้หนำใจก่อนสิวะไอ้หนุ่ม” มารตะกละตอบโดยมีเพื่อนวัยชราอีกสองคนพยักหน้าสนับสนุน
“เฮ้ย
ๆ
พวกเอ็งคงไม่คิดจะปักหลักชนกับอีกฝ่ายจนตายกันไปข้างอยู่ตรงนี้หรอกใช่ไหม” มังกรเฒ่าไม่ค่อยเห็นด้วยนัก มีแต่คนโง่หรือบ้าเท่านั้นแหละที่จะตัดสินกันด้วยกำลังอย่างเดียว
“งานเลี้ยงเริ่มแล้ว!
พวกเรามาปูพรมแดงตรงไปให้ถึงประตูเมืองกันเถอะ” เฒ่าทารกเอ่ยเตือนพลางกล่าวในสิ่งที่มีแค่สามมารเฒ่าจึงจะเข้าใจความหมาย ส่วนมังกรเฒ่ากับยี่ฟงไม่มีเวลาให้ไปตีความอะไรมากเพราะการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งรวดเร็วกว่าที่คาด
ช่วงที่กลุ่มมารร้ายในสายตาของชาวเมืองหังโจวมัวแต่ก้มหน้าสนทนา ฝ่ายพวกเขาก็จัดทัพปิดล้อมจนกระทั่งส่งหน่วยแรกตัวแทนของแต่ละสำนักเปิดฉากเข้าโจมตีอย่างไม่รีรอ เกรงว่ากลุ่มมารร้ายจะถือโอกาสนี้วางแผนตีฝ่าพวกเขาออกไปได้สำเร็จ จึงชิงลงมือกะทันหันแม้ยังระดมพลได้ไม่ครบถ้วนตามเป้า
ด้วยจำนวนคนมากมายถึงเพียงนี้
ชาวเมืองหังโจวไม่มีคำว่าพ่ายแพ้อยู่ในหัวเลยสักนิด!
ขณะทางกลุ่มยี่ฟง มีมังกรเฒ่าคนเดียวที่ค่อนข้างกดดันสุด ชายชรารู้ตัวเองดีว่ายังไม่เก่งพอจะเข้าร่วมสงครามในรูปแบบที่ฝ่ายตนจำนวนน้อยกว่า…น้อยถึงขนาดอายที่จะนำมาเทียบ
“ไอ้กร คอยหาโอกาสเข้าตี สนับสนุนทุกคนเท่าที่จะทำได้” ภูผาเพลิงสั่งการขึ้นมาอย่างเข้าใจดียิ่งกว่า
ส่วนเฒ่าทารกกับมารตะกละเวลานี้พุ่งทะยานนำออกไปก่อนตั้งแต่เอ่ยปากเตือนแล้ว
หน่วยแรกของฝ่ายศัตรูรวมกันแล้วจำนวนเกินครึ่งร้อย ใช้แผนง่าย ๆ เช่นระดมปล่อยวิชาโจมตีระยะไกลเพื่อลดพลังชีวิตและตามด้วยกลุ่มจู่โจมประชิดผลัดกันเข้าปะทะเป็นระลอกคลื่น นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้โดนลูกหลงทำร้ายกันเอง ถึงแม้พวกเขาจะมีจำนวนมากกว่าหลายเท่าก็ยังต้องรู้จักทำสงครามอย่างมีแบบแผน จะลุยมั่วซั่ววุ่นวายไม่ได้เพราะเกมนี้ไม่มีระบบปาร์ตี้ ทุกการโจมตีอันก่อให้เกิดค่าความเสียหายล้วนอันตรายต่อทุกฝ่ายโดยเท่าเทียม
จุดปะทะ มารตะกละง้างขวานสองคมสะบัดผ่าลงเบื้องหน้า ซึ่งขนาดใหญ่โตของศัสตราเล่มนี้บ่งบอกเป็นนัยแล้วว่ามันไม่ธรรมดา ทั้งยังแฝงมาพร้อมพลังวิชาที่รุนแรง :
ปฐพีพลิกตลบ
เมื่อคมขวานกระแทกพื้น เสียงหนัก ๆ ก็ดังลั่นสะท้านกาย ผู้ที่ยืนอยู่ไกลสัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนจากใต้ฝ่าเท้า ขณะกลุ่มกองกำลังหน่วยแรกที่อยู่ประชิดในรัศมีพลังพลันตัวลอยขึ้นฟ้า แผ่นดินส่วนหนึ่งถูกคมขวานพลิกตลบจนแตกหักเอียงตามขึ้นไป มารตะกละก็ไม่ใจดี รีบฉกฉวยโอกาสที่ศัตรูทางฝั่งตนเสียสมดุลด้วยการเข้าโจมตีต่อเนื่อง ร่างอ้วนท้วมลงพุงได้ย่อขากระโดดหมุนตัวควงสว่านเข้าใส่ศัตรูกลางอากาศ ขวานสองคมถูกยื่นเหยียดออกไปสุดแขนจนมองเห็นคล้ายเป็นเครื่องจักรสังหารเมื่อมันถูกหมุนควงเป็นวงด้วยความเร็วสูงไปพร้อมเจ้าของ
เกลียวคลื่นมังกรคู่
กองกำลังพันธมิตรหังโจวหน่วยแรกไม่ทันได้ป้องกันอะไรทั้งสิ้น พวกเขาส่วนหนึ่งถูกอาวุธหนักเหวี่ยงกระแทกอย่างไร้หนทางตอบโต้ นี่เรียกได้ว่าเป็นเทคนิคการจู่โจมแบบคอมโบต่อเนื่องโดยอาศัยความเข้าใจในพลังวิชาที่มีในครอบครอง มารตะกละยกศัตรูขึ้นฟ้าจนเสียสมดุลด้วยวิชาแรก จากนั้นเข้ากระทำสร้างค่าความเสียหายต่อทันที ไม่มีเสียเวลาหยุดคิด กระทั่งศัตรูกลุ่มหนึ่งดวงซวยร่างปลิวกระเด็นเข้าไปสู่เส้นทางทำลายล้างของฝั่งเฒ่าทารกพอดิบพอดี
ระหว่างที่มารตะกละซัดกระบวนท่าแรกออกไป นั่นเป็นเวลาเดียวกันกับที่เฒ่าทารกเพิ่งใช้เคล็ดวิชาดาบพิชิตภัยกระบวนท่าที่หนึ่ง ดาบในมือของตาเฒ่าเปล่งประกายคมวาว เมื่อฟันใส่มวลอากาศเบื้องหน้าด้วยการจับสองมือ เสียงแหวกอากาศก็ดังสนั่นแสดงถึงพละกำลังที่ทุ่มลงไป แน่นอนว่าปลายคมดาบที่ชี้ลงสู่พื้นพลันปลดปล่อยคลื่นพลังปราณเจาะทะลวง พื้นหินจึงระเบิดแตกหักเป็นร่องลึกลากยาวออกไปเป็นเส้นตรงถึงห้าสายคล้ายฝ่ามือที่กางออก ตัดการเชื่อมโยงของศัตรูกลุ่มใหญ่แยกออกจากกันให้ชุลมุนวุ่นวาย คนที่โชคร้ายไม่ทันสังเกตให้ดีเมื่อหลบไปด้านข้างก็เผลอก้าวล้ำเข้าสู่รัศมีพลังของมารตะกละโดยไม่ตั้งใจจนร่างถูกกระแทกลอยขึ้นฟ้าตาม
ๆ กัน
ราวกับตาเฒ่ามารทั้งสองนัดแนะกันไว้ก่อน การจู่โจมถึงได้เกื้อหนุนเสริมส่งกันเองเช่นนี้!
กล่าวถึงเคล็ดดาบพิชิตภัย มันคือวิชายุทธ์คลาส S
อย่างไม่ต้องสงสัย และเคล็ดวิชานี้แบ่งเป็นสามกระบวนท่าใหญ่ แต่ในปัจจุบันเฒ่าทารกครอบครองอยู่แค่สองกระบวนท่าเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วถือว่าเป็นที่น่ายกย่องอย่างที่สุด คนส่วนใหญ่ค้นหามาร่ำเรียนได้แค่กระบวนท่าที่หนึ่งของเคล็ดวิชา จากนั้นก็ไม่เคยใส่ใจกับวิชานี้อีก นั่นเพราะแนวทางของเคล็ดดาบพิชิตภัยเพียงเป็นวิชาสายสนับสนุน เพลเยอร์ร้อยละเก้าสิบไม่ต้องการวิชาประเภทนี้ถึงแม้มันจะเป็นคลาส
S อันไร้เทียมทานในสายตาสำหรับพวกเขา
ถึงอยากจะครอบครองก็ใช่ว่าจะค้นหาร่องรอยของเคล็ดวิชาพบง่าย
ๆ
เพียงกระบวนท่าแรก :
แยกจากไร้บรรจบ ที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นวิชาสายโจมตี คนถึงได้หยุดที่กระบวนท่านี้ แต่เฒ่าทารกยังคงไม่สนใจและเลือกที่จะค้นหาร่องรอยของเคล็ดวิชาต่อ กระทั่งพบเจอกับกระบวนท่าที่สองตามที่วาดหวังไว้ในที่สุด แลกมาด้วยเวลาและความพยายามอันมหาศาล กระนั้นมันก็ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทาง ยังหลงเหลืออีกหนึ่งกระบวนท่า เคล็ดดาบพิชิตภัยจึงจะบรรลุสมบูรณ์
หลังจากเฒ่าทารกกดดันศัตรูจนกระจัดกระจายไปทั่วไม่เป็นกระบวน บางส่วนยังพลาดไปโดนการโจมตีของมารตะกละอีกต่างหาก จนกระทั่งพวกเขาถูกเกลียวคลื่นมังกรคู่อัดกระแทกปลิวย้อนกลับมา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมาก และเฒ่าทารกก็ได้จัดการต้อนรับรอไว้อยู่ก่อนเรียบร้อยแล้ว เคล็ดดาบพิชิตภัยกระบวนท่าที่สองจึงสำแดงเดชเป็นคอมโบเชื่อมต่อไม่มีเว้นจังหวะช่องว่างให้ศัตรูได้ฉกฉวยหนีรอดไปง่าย
ๆ
พื้นที่โดยรอบกายของเฒ่าทารก ปรากกฎศัสตรานับสิบนับร้อยเล่มร่วงหล่นทิ่มแทงปักลงกับพื้นล้อมเป็นวง ศัตรูที่กลิ้งตกเข้าสู่อาณาเขตพลันเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด พลังป้องกันของเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์สวมใส่ถูกหักลบน้อยลงตามระยะเวลาที่ยืนอยู่ท่ามกลางดงศัสตรา ขณะเดียวกัน ภูผาเพลิงก็เหมือนกับรอคอยจังหวะนี้มาตลอดถึงเพิ่งจะออกทะยานเข้าไปร่วมวง
“กางสุสานนักรบได้เยี่ยม!” ภูผาเพลิงตะโกนชมเชยเมื่อตามมาทันถึงจุดปะทะ
มองดูการต่อสู้ของสามมารเฒ่าในช่วงเวลาสั้น
ๆ แล้ว ยี่ฟงรู้สึกพึงพอใจมาก พวกเขาสู้กันอย่างเข้าขารู้ใจ เชื่อว่าคนทั้งสามนี้ไม่ได้นัดแนะตกลงอะไรกันมาก่อนล่วงหน้า แต่อาศัยประสบการณ์และสัญชาตญาณล้วน ๆ ไม่น่าแปลกใจหากพวกเขาจะสามารถต้านทานทัพศัตรูได้นับร้อยพัน แม้ไม่ถึงกับเก่งฉกาจเทียบเท่านักสู้ แต่ในระดับคนธรรมดาทั่ว ๆ ไปแล้วถือได้ว่าเป็นกลุ่มคนอันตรายน่าหวาดหวั่นในระดับสูงแล้ว
“มาไม่เสียเที่ยวจริง ๆ แบบนี้ฉันก็คงต้องแสดงศักยภาพให้เห็นบ้างแล้ว” ยี่ฟงพึมพำกับตัวเอง สายตาแหลมคมจดจ้องภาพตรงหน้า ประมวลผลหาช่องว่างเพื่อสอดแทรกตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมเวิร์กอย่างไม่รีบร้อน
ความคิดเห็น