คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #125 : หมู่มารอาละวาด หังโจวหวนไห้ (5)
เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงชั่วกะพริบตา กว่าฝูงชนจะตระหนักรับรู้ ยี่ฟงก็ถูกเปลวเพลิงกักขังไว้เรียบร้อยไปแล้ว เห็นความได้เปรียบเสียเปรียบของคนทั้งสองเบื้องบนท้องฟ้า ฝ่ายพันธมิตรหังโจวพลันโห่ร้องตะโกนกึกก้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ตึงเครียดที่ก่อตัวมาตั้งแต่แรกเริ่มปะทะ ครั้งนี้พวกเขาสามารถคร่ากุมตัดกำลังคนของทางฝ่ายมารเอาไว้ได้ขึ้นมาจริง
ๆ แบบไม่คาดฝัน จึงทำให้ความมั่นใจหวนคืนหลั่งไหลกลับมาจนแสดงออกทางสีหน้าไปตาม
ๆ กัน
กลับกลายเป็นฝ่ายสามมารเฒ่าที่ต้องคิดหนัก กระทั่งคนสนิทอย่างมังกรเฒ่าเองยังเผยร่องรอยตื่นตระหนกให้ได้เห็น การตอบสนองเหล่านี้ยิ่งถูกอกถูกใจฝ่ายพันธมิตรหังโจวเข้าไปใหญ่
“ยืนเฉยอยู่ทำไมวะ! พวกเอ็งรีบทำลายกรงไฟนั่นและช่วยไอ้ตัวแสบออกมาเร็วสิ” มังกรเฒ่าทำได้เพียงตะโกนใส่แก๊งวัยชรา เขารู้สึกหงุดหงิดที่ไม่สามารถลงมือด้วยตัวเองได้ในทันที
ทว่าสามมารเฒ่าก็ยังไม่ตอบสนอง ทำได้แค่แหงนเงยมองขึ้นไปอย่างอับจนหนทางอยู่กับที่โดยไม่เคลื่อนไหว ซึ่งมังกรเฒ่าก็ไม่ได้โวยวายขึ้นมาอีก เขาทราบดีว่าเพื่อน ๆ ต้องมีเหตุผลที่ยังไม่สามารถลงมือช่วยเหลือยี่ฟงได้ ไม่เช่นนั้นมีหรือสามมารเฒ่าที่ถูกโจษจันไปทั่วยุทธภพจะยินยอมให้ฝ่ายตนต้องเสียเปรียบไปเรื่อย
ๆ อยู่แบบนี้?
ฉะนั้นปัญหาอยู่ที่ใด…มังกรเฒ่าแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด
“กระบวนท่านี้ของมัน อันตรายมากเลยงั้นหรือ” ในที่สุดมังกรเฒ่าก็เอ่ยถามออกไปเสียงเครียด
“แน่สิ เคล็ดกระบี่สุริยเทพกักขัง เป็นหนึ่งในวิชาสายผนึกชั้นสูง ไม่สามารถทำลายจากด้านนอก บีบให้ผู้ตกเป็นเป้าหมายที่ถูกกักขังต้องทะลวงออกมาด้วยตัวเองจากภายในเท่านั้น” ภูผาเพลิงอธิบายตามข้อมูลที่เขาเชี่ยวชาญศึกษามา
กระบวนท่าวิชาเพลิงที่กำลังแผลงฤทธิ์เดช จะเผาผลาญพลังชีวิตของเป้าหมายลงเรื่อย ๆ จนเหลือต่ำกว่า
20% ถึงค่อยคลายพันธนาการออกด้วยตัวมันเอง คิดจะบุกฝ่าออกมาก็จำต้องสูญพละกำลังไปไม่น้อย ถือเป็นวิชาที่อันตรายมากอย่างแท้จริงวิชาหนึ่ง
มังกรเฒ่าฟังเพื่อนวัยชราบอกเล่ามาถึงตรงนี้พลันต้องสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาตวัดมองขึ้นไปยังกรงสุริยเทพกักขังด้วยความสิ้นหวังที่จะช่วยเหลือยี่ฟงออกมา ไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายก็ซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ไม่น้อยเหมือนกัน นี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ การมั่นใจในตัวเองนับว่าดี แต่ไม่ควรดูแคลนศัตรูจนพลั้งเผลอไร้การป้องกัน บนโลกแห่งการต่อสู้แย่งชิง คุณไม่อาจทราบได้เลยว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้าแฝงเร้นอันตรายอะไรไว้บ้างจนกว่าจะเผชิญพบกับมันด้วยตัวเองจริง
ๆ
“ฮ่า
ฮ่า ฮ่า เป็นไงล่ะมารเฒ่า พวกแกก็พลาดกันได้ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ
สักเท่าไรสินะ” เทพจำแลงเลิกให้ความสนใจยี่ฟงไปแล้ว
เขาเปลี่ยนมาจับจ้องเหล่ามารเฒ่าไม่วางตาพร้อมพูดข่มอย่างเหิมเกริม ทว่าจู่ ๆ หนึ่งในสามมารเฒ่า ภูผาเพลิงก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียงเย็น
“หมดเวลาเล่นสนุกแล้วเพื่อนเอ๋ย”
“เหอะ!
คงต้องไปสั่งสอนไอ้เด็กอวดดีนั่นทีหลัง” เฒ่าทารกเสริมขึ้นมาอย่างรู้กัน ส่วนมารตะกละเพียงสงบนิ่งและแผ่พุ่งสภาวะอันตรายรูปแบบหนึ่งออกมาแทน
เหล่าเพลเยอร์ที่เลเวลสูงพลันตระหนักได้รวดเร็วก่อนใคร เทพจำแลงถึงกับเย็นวาบไปทั้งหน้า กระทั่งสามมารเฒ่าระเบิดพลังยุทธเต็มกำลัง สร้างผลกระทบเช่นคลื่นลมกระโชกโหมรุนแรงไปรอบด้าน เสื้อผ้าหน้าผมของผู้คนและประตูร้านบริเวณใกล้เคียงพลิ้วสะบัดดังอื้ออึง หลังจากนั้นก่อเกิดรัศมีพลังไม่ธรรมดาสามขุมพากันทะยานเข้าสะกดข่มศัตรูอย่างคลุ้มคลั่ง
“นะ…นี่!
ผลกระทบที่เกิดจากเพลเยอร์เลเวล 75” เทพจำแลงที่ยกฝ่ามือขึ้นป้องดวงตาอุทานออกมาเสียงหลง
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแยกแยะระดับพลังยุทธเพราะทุกคนสามารถพบเห็นเรื่องเหล่านี้ได้ง่าย
ๆ ผ่านรายการการแข่งขันประจำปี ซึ่งทุกครั้งจะมีพิธีกรคอยอธิบายให้ข้อมูลความรู้เป็นช่วง
ๆ เช่นเดียวกันกับเทพจำแลง เพลเยอร์โดยรอบเองก็รับรู้ได้ไปพร้อม ๆ กันจนสถานการณ์กลับสู่ความโกลาหลอีกครั้ง เพลเยอร์ที่มีเลเวลต่ำกว่า 55
แทบจะไม่ใช่คู่มือของสามมารเฒ่าอีกต่อไป
ในเวลาเดียวกัน บนท้องฟ้าเหนือลานกว้างตะวันตก
กรงขังที่ก่อรูปขึ้นมาจากเปลวเพลิงลอยค้างอยู่ที่เดิมไม่มีการขยับเคลื่อน เส้นสายร้อนระอุสีแดงเพลิงม้วนตลบไปมาอย่างดุดันไม่มีการโอนอ่อนแก่ผู้ใด โดยเฉพาะกับเป้าหมายที่มันกำลังกักขังอยู่ภายใน แต่ทว่า
สำหรับยี่ฟงแล้วถือเป็นข้อยกเว้น
นับตั้งแต่ถูกกักขังมาจนบัดนี้ พลังชีวิตของชายหนุ่มแทบไม่ต่างจากเดิมเท่าไรนัก
ด้วยความสามารถของร่างอมตะที่ช่วยลดทอนความเจ็บปวดลง และพลังความสามารถของดวงจิตพิสุทธิ์แห่งโลกา –
ธาตุอัคคี
ผลลัพธ์คือม่านเพลิงที่ครอบคลุมอยู่นี้คล้ายเหมือนแสงแดดยามเช้าอันอบอุ่นที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายไร้กังวลใด แม้พลังชีวิตยังคงถูกเผาผลาญแต่ก็ไม่เร็วไปกว่าความเร็วในการฟื้นฟูของยี่ฟง
เหตุผลที่ชายหนุ่มรั้งรออยู่ภายใน เพียงต้องการเก็บงำปกปิดความสามารถสุดโกงนี้ไว้ หากทำลายกระบวนท่าของศัตรูรวดเร็วเกินไป เกรงว่าจะไม่เป็นผลดี
แน่นอนว่านอกจากจะไม่ได้รับค่าความเสียหายอันตรายใด
ยี่ฟงยังสามารถทุบทำลายกรงขังสุริยเทพนี้ได้ง่ายดุจพลิกฝ่ามืออีกด้วย เมื่อครั้งชายหนุ่มทดลองยื่นเหยียดฝ่ามือออกไปสัมผัสกับม่านเพลิง ดูคล้ายมันกำลังหลบเลี่ยงเปิดทางออกให้แก่เขาแต่โดยดีด้วยซ้ำ ยี่ฟงสันนิษฐานว่า ธาตุอัคคีทั้งหมดล้วนถูกสยบลงให้อ่อนน้อมต่อเขา ไม่ว่าจะมาจากเคล็ดกระบวนท่าวิชาใดก็ตาม ถึงแม้จะยังได้รับค่าความเสียหายอยู่ตามที่ควรจะเป็นโดยทั่วไป ก็ไม่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างที่ใครคิด
แต่เพียงเพิ่งผ่านไปไม่นาน
ยี่ฟงก็สัมผัสได้ถึงกลุ่มก้อนพลังสะท้านฟ้าทิ่มแทงไปทั่วทุกอณู ประสาทรับรู้ของเขาดีเยี่ยม พริบตาก็ตระหนักว่าพลังขุมนี้ถูกปลดปล่อยมาจากสามมารเฒ่าเอง ความแข็งแกร่งที่ปรากฏมากมายเกินกว่าที่ชายหนุ่มจินตนาการและตั้งความหวังไว้สูงทีเดียว
เมื่อรวบรวมสติกลับมาได้
ยี่ฟงย่อมทราบทันทีเช่นกันว่าคงไม่มีใครให้ความสนใจต่อเขาแล้ว ฉะนั้นลงมือแหวกฝ่ากรงขังสุริยเทพออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อจะชมดูภาพการอาละวาดของสามมารเฒ่าหังโจวให้ชัด
ๆ ซึ่งเพียงแค่ยี่ฟงก้าวขา ม่านเพลิงร้อนแรงเบื้องหน้าก็คลี่คลายเปิดออกเป็นช่องว่างให้อย่างดิบดี กระทั่งเขาหลุดพ้นออกมาจากพันธนาการทั้งตัว ร่างจึงค่อยร่วงหล่นกลับสู่พื้นเพราะไม่เหลือพลังสายใดคอยรั้งอุ้มชูไว้อีก แต่ยังไม่ทันไร
ยี่ฟงก็ใช้วิชาตัวเบาเหยียบอากาศเพื่อส่งร่างตัวเองเหินทะยานไปปักหลักอยู่บนหลังคาตึกใกล้
ๆ แทน
ซึ่งเป็นจริงดังที่คาด เวลานี้ทุกสายตาล้วนจับจ้องมองดูอย่างวิตกกังวลไปที่สามมารเฒ่าแทบจะเป็นตาเดียว โดยไม่มีใครทันสังเกตว่ายี่ฟงได้เป็นอิสระแล้วสักคน
ภาพที่ทุกคนเห็นคือเส้นสายพลังปราณอันดำมืดกำลังพวยพุ่งทะลุฟ้า กลิ่นอายชั่วร้ายไม่เป็นมิตรสร้างบรรยากาศอึดอัดกลืนกินไปแทบจะครึ่งเมือง
“แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลย…” ยี่ฟงพึมพำด้วยสีหน้าอึ้ง
บัดนี้ย่อมไม่หลงเหลือผู้ใดที่กังขาต่อพลังของสามมารเฒ่าอีกต่อไป ในใจของพวกเขาต่างร่ำร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่แหละพลังระดับเทพยุทธ์
ชั่วแวบหนึ่งข้างในจิตใจ ชาวเมืองหังโจวพลันรู้สึกเสียดายขึ้นมา ที่หังโจวมีชื่อเสียงและยังถูกกล่าวถึงมาโดยตลอดก็เป็นเพราะตัวตนของสามมารเฒ่า
ไม่ว่าจะกำเนิดเมืองใหญ่ที่คึกคักและเข้มแข็งใหม่ ๆ ขึ้นมากี่เมืองต่อกี่เมืองก็ตามแต่ หังโจวก็ยังคงถูกนำไปเปรียบเทียบอยู่เสมอ แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป เมื่อสามมารเฒ่าลาจาก
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงและไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมได้อีกดั่งวันวานเป็นแน่แท้
นี่ สามารถนับเป็นการสูญเสียได้หรือเปล่านะ? ชาวเมืองหังโจวต่างพากันตั้งคำถามกับตัวเองในใจด้วยอารมณ์ความรู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่า
“ฮ่า
ฮ่า ฮ่า
ได้เป็นสักขีพยานในพลังของหมู่มาร
ก็ถึงกับจ๋อยกันเลยหรือไอ้พวกเด็กเหลือขอ”
จู่ ๆ น้ำเสียงขี้เล่นเป็นเอกลักษณ์ของเฒ่าทารกก็ดังกระหึ่มสะท้านไปทั่ว ช่วยเรียกคืนสติให้กับฝ่ายพันธมิตรหังโจวอย่างถูกจังหวะ หลายคนที่เผลอก้มหน้างุดเป็นหมาหงอยพลันปรับอารมณ์ไม่ทัน กลายเป็นถมความรู้สึกโมโหโกรธเคืองเข้ามาแทน
“หน็อยตาแก่! อย่าหวังจะจากไปได้ง่าย ๆ นัก”
“พวกฉันก็จะแสดงพลังที่แท้จริงเหมือนกัน ตายกันไปข้างเถอะโว้ยวันนี้!”
“หมดยุคของสามมารเฒ่าแล้วน่า! หังโจวจะต้องเดินหน้าต่อ”
“เข้ามาเลย!
พวกฉันจะจัดให้หนักจนต้องร้องขอชีวิต”
เสียงกระแทกกระทั้นแดกดันโหมกระหน่ำออกมาจากฝั่งชาวเมืองหังโจว นี่จึงจะสมกับเป็นบรรยากาศของสงครามที่มีการแตกหักขั้นรุนแรงจนยากจะสมานร่องรอยบาดแผล
ซึ่งจู่ ๆ สถานการณ์ก็ถูกเร่งให้ดำเนินมาถึงจุดสุดท้ายกะทันหัน
กระทั่งแม่ทัพใหญ่เช่นเทพจำแลงยังไม่อาจแทรกแซงเข้ามาวุ่นวายได้ แต่เขาก็ไม่คิดจะขัดขวางสักนิด
ในเมื่อตัวเบี้ยมากมายพร้อมที่จะบุกเข้าไปตายกันเองย่อมส่งผลดีต่อเขาอยู่แล้ว พลังแท้จริงของสามมารเฒ่าก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะรับมือได้ง่าย
ๆ ณ ที่นี่เวลานี้ เทพจำแลงจึงฉวยโอกาสแอบถอยร่นไปเบื้องหลังอย่างเงียบเชียบพร้อมกับพรรคพวกของตัวมันเอง รอคอยช่วงชิงจังหวะที่ทุกฝ่ายอ่อนแรงลงแล้วค่อยตัดสินชัยชนะมาให้ฝ่ายตนก็ยังไม่สาย
ระหว่างถอยร่น เทพจำแลงย่อมไม่ลืมเคล็ดกระบี่สุริยเทพกักขัง สายตาของมันตวัดมองขึ้นไปอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ทว่าความว่างเปล่าบริเวณนั้นทำให้เทพจำแลงร่างหยุดชะงักกึก สมองของเขาคำนวณเวลาเร็วจี๋ ทำให้ตระหนักว่ายี่ฟงเพิ่งถูกพันธนาการไว้ไม่นาน พลังชีวิตไม่มีทางถูกเผาผลาญจนลดเหลือต่ำกว่า 20%
ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้แน่
หรือจะหมายความว่ามารน้อยตนนี้ทำลายกระบวนท่าของมันออกมาได้ด้วยตัวเอง
“เป็นไปไม่ได้ มันหลุดออกมาเร็วเกินไป!” เทพจำแลงอุทานอย่างตื่นตระหนก สายตาเริ่มสอดส่ายมองหาเป้าหมาย
เป็นเวลาเดียวกันกับที่สามมารเฒ่าถีบเท้าพุ่งทะยานเข้าเปิดฉากโรมรันกับฝ่ายพันธมิตรหังโจว ความชุลมุนวุ่นวายแผ่ขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ และไม่นานจากนั้น
ขุมพลังที่ไม่น้อยหน้าสามมารเฒ่าอีกหนึ่งสายก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของกลุ่มเทพจำแลง แสงสว่างเรืองรองสีทองเข้มพลันสาดส่องไปไกลท่ามกลางราตรีกาลอันมืดมิด ซึ่งเทพจำแลงมันทำได้เพียงแหงนเงยมองขึ้นไปเท่านั้น ไม่หลงเหลือเวลาใดให้ตอบสนองป้องกันจนสองตาพร่าเลือน
“ขอเอาคืนเน้น
ๆ สักดอกเถอะไอ้เวรตะไล!” เจ้าของกลุ่มแสงดุจเทพย่อมเป็นยี่ฟงเอง กระบวนท่าวิชาสิบฝ่ามือกำหนดฟ้าถูกเรียกใช้ออกสุดกำลัง
: กระบวนท่าที่เจ็ด พิโรธคลั่ง
ความคิดเห็น