คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #126 : หมู่มารอาละวาด หังโจวหวนไห้ (6)
ใจกลางสนามรบอันดุเดือดถูกทำให้เกิดทะเลเลือดเป็นทางยาว หลังจากสามมารเฒ่าปลดปล่อยพลังยุทธ์แท้จริงออกมา ก็ไม่มีใครที่จะสามารถหยุดยั้งคนทั้งสามเอาไว้ได้ง่าย
ๆ อีก กลับกลายเป็นว่ากลุ่มก้อนฝ่ายพันธมิตร หังโจวกำลังถูกทิ่มแทงเจาะทะลวงอย่างไม่อาจต่อต้าน เสียงร้องโหยหวนดังประสานไปพร้อมกับเสียงวิชายุทธ์ แอ่งโลหิตเจือปนไปด้วยสายฝนยามค่ำคืนจนแผ่ขยายกว้างออกไปรวดเร็วเป็นเท่าตัว ร้านค้ารอบข้างได้รับความเสียหายไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ พริบตาหังโจวก็ค่อย ๆ คืบคลานไปสู่สภาพย่อยยับเสื่อมโทรม
ชั่วขณะนี้เอง พลังอันคลุ้มคลั่งที่รวมรั้งอยู่บนฝ่ามือขวาของยี่ฟงได้หวดกระแทกใส่กลุ่มเทพจำแลง ก่อให้เกิดเสียงระเบิดกัมปนาทและแผ่นดินสั่นสะเทือนคล้ายมีบางอย่างพังทลายลง ฝ่ายพันธมิตรหังโจวที่ดวงกุดจำนวนมากเพราะอยู่ใกล้รัศมีทำลายล้างย่อมไม่อาจหนีรอด คนที่อยู่ห่างออกไปถึงกับสะดุ้งโหยงร่างส่ายไปตามแรงสั่นไหวของพื้นดิน เสียงดังกระหึ่มที่จู่ ๆ ก็ปะทุขึ้นมาครั้งนี้สร้างผลกระทบต่อประสาทการรับเสียงของผู้คนไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว
“ฝีมือใครวะ!” ภูผาเพลิงอุทานอย่างลืมตัว
สามมารเฒ่าเองก็จำต้องชะลอการปะทะลง สายตาตวัดมองไปยังจุดเกิดเหตุไม่ต่างอะไรกับฝ่ายพันธมิตรหังโจว ไอความร้อนจากแรงระเบิดและควันไฟค่อย ๆ
ถูกสายฝนกลบกลืนชะล้าง จนกระทั่งภาพของหล่มเหวลึกปรากฏแก่สายตาผู้คน ทั้งที่ไม่กี่วินาทีก่อนหน้า บริเวณนี้ยังเต็มไปด้วยเพลเยอร์และตึกมากมาย
บัดนี้หลงเหลือเพียงชายหนุ่มคนเดียวที่หยัดยืนอยู่ได้ ซึ่งบ่งบอกว่าหายนะที่เกิดขึ้นมันเป็นฝีมือเขา
“ไอ้หนูนั่น? มันเป็นอิสระตั้งแต่เมื่อไรกันวะ” มารตะกละเผยสีหน้าฉงนสงสัยเต็มที่
“ว่าแต่มันครอบครองวิชายุทธ์ร้ายแรงอะไรไว้กันแน่ ความเสียหายระดับนี้ไม่ธรรมดาแล้ว” เฒ่าทารกไม่หลงเหลือแววขี้เล่นสักนิด ก่อนจะหันไปใช้สายตาถามไถ่เอาจากมังกรเฒ่าที่ติดตามกระชั้นชิดมาไม่ห่าง
“เหอะ
ๆ ข้าเองก็แค่เคยเห็นมาครั้งหนึ่ง
ดูเหมือนจะเป็นรางวัลที่ไอ้ตัวแสบมันได้มาจากนครฉางอาน” มังกรเฒ่าตอบเท่าที่ตัวเองรับรู้มา
“แค่นี้พวกเอ็งก็ตกใจแล้วหรือไง เป็นถึงจ้าวสมาพันธ์ มันก็ต้องไม่กากอยู่แล้ว ลุยกันต่อเถอะน่า” ภูผาเพลิงแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งเพื่อน ๆ วัยชราไม่คัดค้านอะไร
พวกเขารู้ได้ทันทีว่าภูผาเพลิงให้การยอมรับแก่ยี่ฟงจริง ๆ แล้ว ย่อมไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะต้องให้เด็กรุ่นหลานขึ้นมานำทัพเช่นในตอนแรกอีก
กลับกัน ฝ่ายพันธมิตรหังโจวที่เมื่อครู่ยังฮึกเหิมพร้อมปะทะ พอสังเกตเห็นและจดจำยี่ฟงขึ้นมาได้ก็ต่างพากันแตกตื่นตระหนกขวัญกระเจิง ไม่ใช่ว่าชายคนนี้เพิ่งถูกวิชาสายผนึกชั้นสูงพันธนาการเอาไว้หรอกหรือ?
แล้วยังพลังทำลายล้างที่รุนแรงถึงขั้นกระชากวิญญาณผู้คนไปได้เกือบครึ่งร้อยนั่นอีกเล่า
“ประมุขพรรคพญายักษาล่ะ เขาหายไปไหน!”
“ท่านประมุขเทพจำแลงต้องมีคำตอบให้พวกเราแน่ รีบตามหาเขาเร็วเข้า”
ฝ่ายพันธมิตรหังโจวกระวนกระวายหาที่พึ่งกันยกใหญ่ แต่ทว่า
ภาพที่แทบจะเป็นการทุบทำลายความหวังของพวกเขาลงจนไม่เหลือชิ้นดีนั้น อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ยี่ฟงยืนอยู่สักเท่าไร
“นะ…นั่นมัน!
ฉันตาฝาดไปเองหรือเปล่าวะเนี่ย”
สิ้นคำของเพลเยอร์คนหนึ่ง ความเงียบก็เข้าปกคลุมไปทั่ว
นั่นแสดงว่าภาพที่พวกเขาเห็นไม่ใช่เป็นการคิดไปเอง ข้าง ๆ ปากเหวที่เกิดจากพลังทำลายระดับเทพยุทธ์ของยี่ฟง
คือร่างสะบักสะบอมของเทพจำแลงที่ทุกคนกำลังตามหา โลหิตแดงฉานพรั่งพรูทะลักราวเขื่อนแตก แขนทั้งสองข้างของประมุขพรรคขาดหายไปไหนมิอาจทราบ เสื้อผ้าหรูหราก่อนหน้านี้ขาดแหว่งเปรอะเปื้อนจนไร้สง่าราศีดังเดิม ขาข้างหนึ่งแตกหักบิดเบี้ยว สภาพโดยรวมที่ผ่านความเป็นความตายมา
หากเป็นไปได้เทพจำแลงมันคงขอตายระดับเลเวลลดแต่แรกไปเลยจะดีกว่า!
ฝ่ายพันธมิตรหังโจวส่วนหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศเงียบสงัดวังเวง จิตต่อสู้ค่อย ๆ หายไปเองอย่างช้า ๆ
แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคน ทางฝั่งสามมารเฒ่าที่ยังปะทะกันไม่เลิกราย่อมไม่รู้เรื่องราวใด และพวกเขาก็หลงลืมตัวตนของเทพจำแลงไปแล้วด้วยซ้ำ จิตต่อสู้ที่ปลุกขึ้นมาในยามนี้ ก็เป็นเพราะการคงอยู่ของสามมารเฒ่าล้วน ๆ
สงครามครั้งนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่าที่ใครคิดไว้มาก ก่อนจะลาจาก
อย่างน้อยก็ขอให้เรื่องราวภายในเมืองหังโจวยังคงถูกหยิบยกไปพูดถึงอีกสักครา ให้เป็นที่โจษจันไปทั่วยุทธภพอย่างไม่เคยมีมาก่อนจึงจะสมเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่คงอยู่มายาวนาน
ก่อนที่เมืองเมืองนี้จะกลับไปเป็นปกติดังเช่นเมืองอื่น
ๆ ทั่วไป
ขณะเดียวกันยี่ฟงก็เพียงหยุดพักฟื้นฟูร่างกายครู่หนึ่งเท่านั้น ผลกระทบจากกระบวนท่าพิโรธคลั่งไม่ได้รุนแรงเท่าตอนที่ฝืนใช้ออกครั้งแรก
เมื่อเขาพร้อมอีกครั้งก็ทะยานร่างเข้าไปเสริมกำลังให้กับสามมารเฒ่าทันที
โดยที่ชายหนุ่มไม่คิดจะให้ความสนใจเหล่าคนที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ตายซากสักนิด การลงมือทำร้ายคนที่ไม่มีใจจะสู้ย่อมไม่ใช่หนทางของลูกผู้ชาย
อีกด้านหนึ่ง มังกรเฒ่ายืนทอดสายตามองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ณ เวลานี้เส้นทางตรงไปสู่ประตูทางออกของเมืองหังโจว กำลังถูกย้อมไปด้วยแอ่งโลหิตแดงฉาน เสมือนกับเป็นพรมแดงอย่างที่สามมารเฒ่าตั้งใจจะให้เกิดขึ้นมาแล้วจริง
ๆ
“ทำกันขนาดนี้ จะไม่ให้ชาวบ้านเขาตราหน้าเป็นมารร้ายได้ยังไงล่ะวะ เหอะ ๆ” มังกรเฒ่าได้แต่รำพึงรำพันกับตัวเอง ก่อนจะต้องรีบติดตามคนทั้งสี่ไปไม่ให้ห่าง
บนหลังคาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งภายในเมืองหังโจว ชายกลางคนสวมใส่ผ้าคลุมและหมวกสานปีกกว้างกำลังใช้งานระบบบันทึกวิดีโอ สงครามหังโจวถูกเขาถ่ายเก็บไว้ได้แทบจะสมบูรณ์ ผิดพลาดไปนิดเดียวก็แค่ช่วงจังหวะที่ชายสวมหน้ากากเป็นอิสระจากเคล็ดกระบี่สุริยเทพกักขังเท่านั้น เพราะเขามัวแต่เบนไปจับภาพการปลดปล่อยพลังยุทธ์ของสามมารเฒ่าเบื้องล่าง รู้ตัวอีกทีชายคนนั้นก็ทำลายกระบวนท่าของเทพจำแลงแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าอีกฝ่ายใช้วิธีใดจนสามารถหลุดจากพันธนาการมาได้รวดเร็วถึงขนาดไม่มีใครทันสังเกตเห็น
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่บุคคลลึกลับเก่งกาจอะไร เป็นเพียงหนึ่งในนักข่าวภาคสนามที่กระจายตัวกันอยู่ตามเมืองต่าง
ๆ เท่านั้น เมืองไหนที่มีประวัติของเพลเยอร์น่าสนใจและถูกพูดถึงบ่อย
ๆ บนเว็บบอร์ดเกม ย่อมต้องปรากฏนักข่าวเหล่านี้สิงสถิตอยู่เป็นเงาตามตัว
สามมารเฒ่าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ซึ่งในที่สุดนักข่าววัยกลางคนผู้นี้ก็สมดังใจอยากเสียที!
“ข่าวใหญ่แน่ ฉันสัมผัสได้เลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มที่หังโจวปั่นป่วนโกลาหล แต่เมื่อสามมารเฒ่าและบุรุษปริศนาผู้ปิดบังตัวตนด้วยการสวมหน้ากากทะลวงฝ่าพ้นออกไปจากเมืองแล้ว ความสงบเรียบร้อยจึงค่อย ๆ กลับคืนมาทีละนิด แน่นอนว่าความเสียหายจากไฟสงครามยังคงไม่จางหายไปไหน พรมแดงที่ประกอบขึ้นมาจากทะเลเลือดซึมซ่านกระจายไปตามสายฝนจนบางเบาลงไปตามระยะเวลา เศษซากปรักหักพังกระจายเกลื่อนกล่นอยู่ตามพื้นถนน ร่างของเพลเยอร์หรือชาวเมืองหังโจวที่ยังรอดชีวิตอยู่จนถึงท้ายที่สุด ต่างทรุดนั่งลงด้วยสภาพเหนื่อยล้า บางคนเข้าฌานเพื่อฟื้นฟูพลังปราณทันทีโดยไม่สนใจสถานที่
หมู่มารอาละวาดจนสาแก่ใจ พังทลายหลายสิ่งหลายอย่างภายในเมืองมาตลอดเส้นทางจนย่อยยับ ขณะที่เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็ยังคงปกคลุมไปด้วยเมฆฝนและความมืดยามราตรี ยิ่งเสริมส่งให้บรรยากาศหลังสิ้นสุดสงครามมีแต่ความเงียบเหงา เสียงเดียวที่ยังบรรเลงอยู่ได้คือเสียงของเม็ดฝนร่วงหล่นกระทบพื้น ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความพ่ายแพ้ให้แก่ทุกคนอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส…
ห่างจากตัวเมืองหังโจวมาเกือบหนึ่งกิโลเมตร
“เป็นการอำลาที่น่าจดจำซะจริง
ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ภูผาเพลิงกล่าวเสียงดังพร้อมรอยยิ้ม
“เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะ พวกเรามาว่ากันต่อถึงอนาคตจะดีกว่า” เฒ่าทารกขัดขึ้นเสียงเข้ม
กระนั้นภูผาเพลิงก็ไม่ติดใจอะไร เพียงพยักหน้าตามน้ำไปเท่านั้น
“ส่งคำเชิญมาสิวะไอ้เด็กอวดดี” เฒ่าทารกหันไปกล่าวกับยี่ฟงกะทันหัน
“คำเชิญอะไรหรือลุง”
“เลิกทำเป็นหน้าซื่อตาใสสักทีเถอะ เดี๋ยวปั๊ดเตะสั่งสอนซะนี่” เฒ่าทารกไม่พูดเปล่าแต่ยกขาขึ้นมาข่มขู่ไปด้วย
“เส้นทางหลังจากนี้โหดบรรลัยเลยนะ คงไม่คิดจะไปงอแงกันทีหลังหรอกใช่ไหม” ยี่ฟงยิงคำถามกวนตีนกลับไปตามนิสัย เล่นเอาตาเฒ่าทั้งหลายขมวดคิ้วควันออกหูไปตาม ๆ
กัน
“อย่ากวนประสาทน่าไอ้ตัวแสบ เดี๋ยวพวกมันเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาแล้วจะยุ่ง” มังกรเฒ่าเอ่ยปรามเล็กน้อย ยี่ฟงจึงผงกศีรษะเป็นเชิงรับรู้
เมื่อไม่เห็นตาเฒ่ามารคนไหนปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยง แสดงให้เห็นถึงจิตใจอันมุ่งมั่นไม่หวั่นเกรง ยี่ฟงถึงค่อยเผยรอยยิ้มจริงใจ ฝ่ามือขวายกขึ้นปัดป่ายใส่หน้าต่างระบบครู่หนึ่ง คำเชิญเข้าร่วมสมาพันธ์มังกรซ่อนแห่งฉางอานจึงถูกส่งออกไปพร้อมกันสามครั้งอย่างรวดเร็ว
“เพลเยอร์เฒ่าทารก ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมสมาพันธ์ของคุณแล้ว ยินดีด้วยค่ะ”
“เพลเยอร์มารตะกละ ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมสมาพันธ์ของคุณแล้ว ยินดีด้วยค่ะ”
“เพลเยอร์ภูผาเพลิง ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมสมาพันธ์ของคุณแล้ว ยินดีด้วยค่ะ”
“เอาล่ะ ไหนว่ามาสิตอนนี้เอ็งมีแผนอะไร” เฒ่าทารกไม่รอช้า ดึงเข้าประเด็นหลักอย่างจริงจัง
“กลับไปรวมพลกันก่อน” ยี่ฟงตอบพลางหันหน้าไปทางทิศที่ตั้งของเมืองดาบมังกร
“แค่นี้?” มารตะกละขัดขึ้นมา
“จากนั้นเราจะฝึกฝนเก็บประสบการณ์เพื่อเพิ่มพลังฝีมือกันระยะหนึ่ง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเตรียมตัวรับมือกับภารกิจยึดครองหนึ่งในเสาหลักทั้งห้า หรือก็คือ
วิหารว่างเปล่า ไงล่ะ”
“เอ็งมีความมั่นใจแค่ไหน อีกสัปดาห์เดียว การแข่งขันรายการแรกก็จะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าว่าภารกิจครั้งนี้มันเกินกำลังไปว่ะ” ภูผาเพลิงกล่าวตามความเป็นจริง เขาคิดว่าเวลาที่เหลืออยู่นี้น้อยเกินไป
“ก็ขึ้นอยู่กับว่า ข้างในสถานที่พิเศษนั้นเป็นไปอย่างที่ฉันคาดการณ์ไว้หรือเปล่าน่ะลุง เอาเถอะ
เรื่องนี้เอาไว้ก่อน รีบออกเดินทางจะดีกว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่า ว่างั้นไหม
อิอิ”
เหล่าตาเฒ่าทั้งสี่คนได้แต่ส่ายศีรษะจนปัญญา
ดูเหมือนไอ้ตัวแสบมันจะพกเอาความมั่นใจมาเยอะกว่าที่จินตนาการไว้มากทีเดียว
ณ
สถานที่ลับพิเศษภายในโลกแห่งลำนำจ้าวยุทธจักร
ท้องฟ้าภายในนี้มืดครึ้มตลอดกาล สายลมเย็นเยียบพลิ้วไปตามความว่างเปล่าอันไพศาล ที่จุดปลอดภัยจุดหนึ่งปรากฏกลุ่มเพลเยอร์กำลังตั้งรกราก ผู้นำของพวกเขาคือชายผู้มีใบหน้ากร้านโลก ร่างกายใหญ่โตสวมทับไว้ด้วยเกราะหนักดูทรงพลังสมกับเป็นนักรบ
สายตาหยาบเถื่อนจับจ้องไปยังจุดหมายปลายทางที่ขอบฟ้าไกล
ที่นั่นแสดงให้เห็นเงาของสิ่งปลูกสร้างสูงตระหง่านเสียดฟ้า
มองจากจุดนี้มันช่างดูโดดเดี่ยวว่างเปล่าอย่างที่สุด คล้ายกำลังรอคอยผู้ที่เหมาะสมจะครอบครองไปพิชิต
“รายงานครับ ฐานที่มั่นของพวกเราก่อตั้งสำเร็จเรียบร้อยแล้ว” ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามากล่าวเป็นการเป็นงาน
“ดี! ไปบอกพิชิตหล้าให้เตรียมประชุมในอีกห้านาที ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เมื่อทุกอย่างพร้อม เราจะบุกไปเยือน วิหารว่างเปล่า
เต็มกำลัง”
“ตามที่ท่านต้องการครับ ท่านจักรพรรดิมังกร!”
ความคิดเห็น