คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #138 : ปัญหาจากอดีต
ยี่ฟงเปลี่ยนไปให้ความสนใจพื้นดินแตกระแหงแทน สายตากวาดมองไปทั่วอย่างละเอียดอีกรอบคล้ายกำลังค้นหาบางสิ่ง
“เอ็งมองหาอะไรอยู่วะ” มังกรเฒ่าสังเกตเห็นพอดีเลยถามขึ้น จะได้ช่วยหาให้อีกแรง
“วัตถุดิบสำหรับปรุงยาเซียนน่ะลุง” ยี่ฟงตอบโดยไม่หันไปมอง
ก่อนหน้านี้ภายในอาคารนักพเนจร ระหว่างรอคอยเก้ากับสองนั้น ยี่ฟงได้นำเอาตำรามารอสรพิษสามสีขึ้นมาศึกษาดูผ่าน
ๆ จึงพบว่ามันถูกจัดเรียงหน้ากระดาษใหม่ตามตัวอักษรแล้ว ทำให้ง่ายที่จะหาข้อมูล ซึ่งยี่ฟงก็ไม่พลาดที่จะลองหาเกี่ยวกับวัตถุดิบเซียนดูก่อน เริ่มจากของที่เขาต้องใช้ในการปรุงยาโลหิตเทพวิบัติ กระทั่งพบข้อมูลอันมีค่ามหาศาล หนึ่งคือดอกลั่วเสินฮวา (เทพยดาร่วงโรย) และอีกหนึ่งก็พุทธชาดนววิบัติ
(บุปผาก่อเกิดเก้าวิบัติ)
ที่คาดคิดไม่ถึงมาก่อนก็คือสถานที่ลับแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมแก่การเติบโตของดอกลั่วเสินฮวาตามที่ข้อมูลในตำราอธิบายไว้ ยี่ฟงถึงได้กลอกตามองหาไปทั่วมาตั้งแต่แรก
“พื้นที่แห้งแล้งแบบนี้จะไปมีวัตถุดิบอะไรได้วะ ต้นหญ้าสักต้นยังไม่มีด้วยซ้ำ” มังกรเฒ่ากล่าวในสิ่งที่ตาเห็น
“มันเป็นวัตถุดิบชั้นสูง จะพบเจอบนพื้นที่ธรรมดาทั่วไปได้ไงล่ะลุง” ยี่ฟงหัวเราะขำ
“แล้วที่นายมองหาอยู่คืออะไร พอจะบอกคร่าว ๆ ได้ไหม” เก้าเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง
ยี่ฟงพยักหน้ายิ้ม
ๆ โดยไม่คิดปฏิเสธ
มีคนช่วยตรวจสอบย่อมดีกว่าอยู่แล้ว “ฉันกำลังหาดอกลั่วเสินฮวา จากที่รู้มันจะเติบโตบนพื้นดินแห้งแล้ง มีจุดสังเกตใหญ่ ๆ คือแอ่งน้ำเล็ก ๆ ที่ยังไม่เหือดแห้งหายไป พวกเราจะหาเจอได้จากบริเวณนั้น ฉันคิดว่านะ…” ประโยคท้ายยี่ฟงเผยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
“วัตถุดิบบ้าอะไร ทำไมมันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่หายากขนาดนั้นวะ” มังกรเฒ่าโวยเมื่อตระหนักได้ถึงความยากแท้จริงของข้อจำกัดที่ว่านี้
“พื้นที่แห้งแล้งจะไปมีแอ่งน้ำเหลืออยู่อีกหรือ มันไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทรเลยนะ” เก้าเองก็คิดไม่ตกเช่นกัน
จนปัญญาที่จะช่วยเหลือ
ยี่ฟงหัวเราะพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องคิดมากหรอก
ฉันมาที่นี่เพื่อพิชิตวิหารว่างเปล่า ส่วนเรื่องอื่นยังไม่สำคัญในตอนนี้”
ความจริงยี่ฟงเองก็จนปัญญาเช่นเดียวกัน เขาคิดว่าต่อให้มันยังคงเหลือแอ่งน้ำบนพื้นดินแห้งแล้งจริง ทว่าในช่วงเวลาอันสั้นแอ่งน้ำจะต้องระเหยแห้งจนสิ้นซากไปก่อนที่จะพบเจอแน่
ๆ
ทันใดนั้น ชาวบ้านเริ่มจะกลับเป็นปกติกันแล้ว ความหวาดกลัวลดทอนเบาลงตามเวลาที่ผ่านไป กระทั่งหลายคนเดินเข้ามาใกล้กลุ่มของยี่ฟงและขอความช่วยเหลือในเรื่องต่าง
ๆ ตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนเรื่องใหญ่โต ซึ่งพวกยี่ฟงล้วนไม่ปฏิเสธงานใด ๆ ทั้งสิ้น สุดท้ายต้องช่วยกันทำภารกิจที่ได้รับเพื่อไม่ให้เสียเวลามากจนเกินไป โดยที่เก้าอาสาไปจัดการมอนสเตอร์ตามเส้นทางที่เชื่อมไปสู่หมู่บ้าน ขณะมังกรเฒ่ารับหน้าที่คุ้มกันชาวบ้านไล่ตามเก้าไปทีหลัง และยี่ฟงจำต้องเร่งรุดไปอีกทิศทางหนึ่งเพื่อค้นหาผู้คนที่ตกหล่นระหว่างทางตามคำบอกเล่าของชาวบ้าน เขาไม่ลืมที่จะฉวยโอกาสนี้ตรวจสอบหาพื้นที่แหล่งน้ำไปด้วยพร้อม
ๆ กัน
สาเหตุที่ชาวบ้านกลุ่มนี้ออกมาข้างนอก เพราะต้องการค้นหาแหล่งน้ำกับอาหาร แต่จนท้ายที่สุดก็ไม่พบอะไรบนแผ่นดินรกร้างทั้งนั้นแถมยังพลัดหลงกันอีกต่างหาก ตอกย้ำให้ทุกคนรู้สึกสิ้นหวังลงเรื่อย ๆ
ทางกลุ่มเหนือฟ้าและกลุ่มของสามมารเฒ่า บัดนี้ก็กำลังทำภารกิจที่ได้รับมาจากชาวบ้านอยู่เช่นกัน เวลานี้จึงวุ่นวายไม่น้อยเพราะทางเหนือฟ้าต้องปกป้องหมู่บ้านจากมอนสเตอร์กลุ่มใหญ่ที่ดุร้ายหิวกระหาย ส่วนทางสามมารเฒ่ารับหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกันพอดีคือการบุกเข้าไปหารังสัตว์ร้ายและทำลายทิ้งกำจัดต้นตอปัญหา
เคลียร์ภารกิจช่วยเหลือหมู่บ้านหนึ่งจบ ก็ได้รับคำขอให้ไปช่วยเหลืออีกหมู่บ้านถัดไปทันที กว่าจะรู้ตัว คนทั้งสามกลุ่มก็วนครบรอบจนมาบรรจบกัน ณ หมู่บ้านสุดท้ายแล้ว วันเวลาก็เดินผ่านไปรวดเร็วไม่แพ้กัน กระทั่งเหลืออีกเพียงครึ่งวันโลกจริงเท่านั้นก่อนงานแข่งขันประจำปีจะเริ่มขึ้นในวันรุ่งยามบ่ายแก่
“เวลาน้อยลงเรื่อย ๆ แล้วนะไอ้ตัวแสบ แต่พวกเรายังไม่ได้เริ่มสำรวจวิหารนั่นเลยด้วยซ้ำ” มังกรเฒ่าเตือนเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่ทราบ กระนั้นยี่ฟงก็นิ่งสงบได้อย่างเหลือเชื่อ
“เอาน่า รอเหนือฟ้ากับเก้ากลับมาก่อน บางทีภารกิจครั้งนี้อาจจะเชื่อมโยงกลับไปยังเสาหลักให้เลยก็ได้”
เพื่อน ๆ ต่างส่ายหน้าอ่อนใจ ผิดกับยี่ฟงที่ยังนิ่งเฉยอยู่ได้ เนื่องจากการกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง ทำให้ข้อมูลที่สืบหามาได้ทั้งหมดถูกบอกเล่าต่อยี่ฟงอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น ถึงมีก็คงไม่สำคัญเท่าไรนัก ยี่งจึงค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะต้องเกิดประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
โดยสรุปแล้ว อาณาจักรแห่งนี้มีนามว่าเทียนหลง (อาณาจักรมังกรฟ้า) ทุกหมู่บ้านต่างเล่าตรงกันว่าแผ่นดินนี้ถูกกลุ่มคนจากทวีปลึกลับผลาญทำลายสิ้น สิ่งที่ยังเหลือรอดมาจากยุคอดีตได้ก็มีเพียงแค่วิหารใจกลางอาณาจักรที่ล่มสลายเท่านั้น กาลเวลายิ่งผ่านไปเท่าไรแผ่นดินแห่งนี้ยิ่งเสื่อมถอยแห้งแล้งลงราวกับโดนคำสาป ไม่ว่าจะเพาะปลูกพืชหรือพันธุ์ไม้อย่างไรก็ไม่เป็นผล ที่นี่ถูกกำหนดไว้ให้ต้องล่มสลายโดยไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างสิ้นเชิง แต่ทว่า
มีบางสิ่งที่ทำให้ยี่ฟงไม่เข้าใจหลังจากได้ฟังข้อมูลทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่อาณาจักรก็พินาศย่อยยับไปแล้ว รวมถึงแผ่นดินเองก็กำลังตายลงไปเรื่อย ๆ ไร้ซึ่งหนทางเยียวยารักษา ฉะนั้นสิ่งที่เหล่าชาวบ้านควรกระทำก็คือการอพยพออกไปไม่ใช่หรอกหรือ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือพวกเขาทุกหมู่บ้านกลับยังคงปักหลักกัดฟันสู้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินที่ไร้ความหวังแทนเสียอย่างนั้น…
ยี่ฟงยังคิดไม่ตก ทางเหนือฟ้ากับเก้าก็นำพาชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาหาทุกคนก่อนแล้ว
“ตัวแทนชาวบ้านคนนี้มีบางเรื่องต้องการจะบอกพวกเราครับ” เหนือฟ้าอธิบาย
“ท่านมีเรื่องสำคัญอะไร ลองว่ามาก่อนสิ หากช่วยได้มีหรือพวกข้าจะปฏิเสธ” ยี่ฟงกล่าวเชิงจิตวิทยา วิธีนี้มีโอกาสทำให้อีกฝ่ายเปิดใจมากขึ้นเพราะเห็นว่ายี่ฟงให้ความสำคัญถึงกับออกปากด้วยตัวเอง อีกทั้งยังกล่าวยืนยันพร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างตรงไปตรงมา สำคัญอย่างที่สุดก็คือการให้เกียรติ จะเห็นได้ว่ายี่ฟงเรียกแทนตัวชายชราคนนี้ว่าท่าน
กลับกัน คนในกลุ่มของยี่ฟงต่างคิดในใจว่ามีแต่จะเป็นการสร้างภาระเพิ่มสิไม่ว่า
“ทะ…พวกท่านคงจะสงสัยอยู่สินะขอรับ ว่าเหตุใดเหล่าชาวบ้านถึงไม่อพยพออกไป” ตัวแทนชาวบ้านเกริ่นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจกว่าเดิม
“ถูกต้องแล้ว
ข้ากำลังทบทวนถึงเรื่องนี้อยู่พอดี เช่นนั้นท่านช่วยอธิบายหน่อยได้หรือไม่” ยี่ฟงไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ชิงถามขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนคนอื่น ๆ เพิ่งจะนึกได้เดี๋ยวนี้เอง
ตัวแทนชาวบ้านผงกศีรษะตอบรับเล็กน้อยค่อยบอกเล่าออกมาว่า
“เป็นเพราะเมื่อในอดีต บรรพชนของพวกข้าเห็นแก่ตัว ก่อความผิดบาปและหันหลังให้พระจักรพรรดิ บีบบังคับให้พระองค์ต้องสละจิตวิญญาณตัวเองเพื่อสร้างค่ายกลหมู่ดาราแห่งชีวิตปกป้องประชาชนที่หลบหนีมาอยู่ใต้ชายคาวิหารเพียงลำพัง ครานั้นไม่มีผู้ใดเลยที่จะยินยอมแบ่งจิตสละวิญญาณอายุขัยเพื่อสนับสนุนพระจักรพรรดิ อ้อไม่สิ
ยังมีท่านแม่ทัพเทพมังกรที่ยินดีสละทุกอย่างเพียงเพื่อจะยื้อชีวิตพระจักรพรรดิเอาไว้ให้ได้นานที่สุด กระทั่งยามวาระสุดท้ายของการสิ้นพระชนม์มาถึง ท่านแม่ทัพเทพมังกรจึงต้องสืบทอดค่ายกลหมู่ดาราแห่งชีวิตต่อไป โดยไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าศัตรูได้ล่าถอยกลับทวีปของพวกมันไปแล้ว กลายเป็นว่าท่านจำต้องมีชีวิตอยู่ภายในวิหารไปชั่วนิรันดร์ ไม่สามารถก้าวออกไปได้จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของอายุขัย”
ฟังมาถึงตรงนี้ยี่ฟงค่อนข้างจะเดาเรื่องราวออกหลายส่วนแล้ว
“หลังจากหนึ่งปีผ่านไป เหล่าชาวบ้านเริ่มล้มตายเพราะอดอยากหิวโหย สุดท้ายทานทนต่อไปไม่ไหวอีก ยอมเสี่ยงพุ่งออกมาจากวิหารและนั่นทำให้ตระหนักว่าศัตรูได้เลิกราไปแล้ว ทว่าท่านแม่ทัพเทพมังกรพิโรธโกรธายิ่ง ท่านไม่ประสงค์ให้ใครก้าวออกไปนอกตัววิหาร จึงได้ลงมือสลักจิตวิญญาณของตนแฝงใส่ชาวบ้านทุกชีวิต สะกดข่มจิตวิญญาณบาปทุกดวงเอาไว้ราวกับคำสาป ไม่ว่าผู้ใดที่ก้าวล้ำออกไปนอกเขตแดนอาณาจักรเทียนหลง ร่างกายจะระเบิดกระจุยไม่เหลือซากศพสมบูรณ์ให้กลบฝัง
แน่นอนว่าพวกข้าที่เป็นรุ่นต่อมาก็ยังคงติดคำสาปไม่จบสิ้น ไม่มีโอกาสได้อพยพหนีความแห้งแล้งและต้องทนใช้ชีวิตอยู่บนอาณาจักรที่ล่มสลายมาจนบัดนี้ พยายามทุกวิถีทางเพื่อฟื้นฟูรักษา
แต่แผ่นดินนี้ไม่มีลมหายใจแห่งชีวิตอีกต่อไปแล้ว”
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ยี่ฟงสงสัยมาตลอด ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องราวที่หนักหนาถึงเพียงนี้
“มีวิธีใดบ้างที่พวกข้าจะสามารถปลดปล่อยชาวบ้านทุกคนออกจากคำสาป” ยี่ฟงถาม
“พวกเจ้าที่เป็นรุ่นลูกรุ่นหลานไม่สมควรรับเคราะห์กรรมไปด้วยเลยจริง
ๆ” มังกรเฒ่าเห็นใจทุกฝ่าย
ตัวแทนชาวบ้านรู้สึกซาบซึ้งจนทรุดลงคุกเข่ากับพื้น ก้มลงโขกศีรษะพลางกล่าวขอร้องอ้อนวอนว่า “ท่านแม่ทัพเทพมังกรยังคงประทับอยู่ภายในวิหาร หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะให้พวกท่านลองพยายามไปเปลี่ยนความคิดอันตั้งมั่นของท่านแม่ทัพเทพมังกรดูสักครั้ง จะสำเร็จหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ขอเพียงพวกท่านได้ลองดูก่อนอย่างเต็มที่สักครั้ง พวกข้าชาวบ้านล้วนไร้ข้อกังขาและรู้สึกขอบพระคุณอย่างสูงแล้ว”
ยี่ฟงผู้รั้งตำแหน่งจ้าวสมาพันธ์ เวลานี้พลันได้รับภารกิจสุดท้ายเชื่อมโยงไปสู่ตัววิหารว่างเปล่าตามที่คาดหวังไว้เสียที! พวกเพื่อน ๆ ที่สังเกตเห็นดังนั้นต่างเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีขึ้นมา
“พอใจเอ็งแล้วสินะไอ้เด็กแสบ” เฒ่าทารกเอ่ยประชดด้วยรอยยิ้ม
“กลุ่มอื่น ๆ ก็เคยเดินมาถึงจุดนี้เหมือนกัน คงต้องไปตัดสินผลกันที่วิหารเท่านั้นแล้ว” ภูผาเพลิงก็มีท่าทางผ่อนคลายลงบ้าง อย่างน้อยก็สำเร็จไปแล้วขั้นตอนหนึ่ง
ทางด้านยี่ฟงแสดงสีหน้ามั่นใจเต็มที่ ส่งยิ้มไปให้ตัวแทนชาวบ้านพลางกล่าวอำลาเพื่อจะเดินทางไปเยือนวิหารตามคำขอของอีกฝ่าย ซึ่งใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง กลุ่มของยี่ฟงก็เข้าใกล้ตัววิหารกันแล้ว ในระยะห่างเพียงไม่ถึงยี่สิบเมตรนี้ทุกคนแทบจะรู้สึกเหมือนกำลังถูกสิ่งก่อสร้างตรงหน้าล้มทับใส่ได้อยู่ตลอดเวลา บรรยากาศก็อึดอัดกดดันแผ่ขยายกลืนกินไปทุกอณู และทันใดนั้น
ยี่ฟงที่มีประสาทสัมผัสดีเยี่ยมกว่าทุกคนในกลุ่มพลันหูผึ่ง
“เสียงการต่อสู้!” ยี่ฟงอุทานเสียงดัง เตรียมตัวจะเร่งความเร็วตามเข้าไปภายในวิหารว่างเปล่า
“มั่วเปล่าไอ้ตัวแสบ ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลย” มังกรเฒ่ายกฝ่ามือป้องใบหู ซึ่งก็มีแต่ความเงียบสงัด
“ยี่ฟง! นั่นมันแหล่งน้ำ” ขณะเดียวกัน เก้าที่ตรวจสอบพื้นที่อยู่ก็ร้องขัดจังหวะออกมาน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี
“แหล่งน้ำมันทำไมวะ? ว่าแต่เสียงต่อสู้ที่เอ็งได้ยินมันดังมาจากไหนกันไอ้เด็กแสบ” เฒ่าทารกเริ่มจะสับสน
“ทุกคนตามฉันมา เราจะไปตรวจสอบแหล่งน้ำกันก่อน” ยี่ฟงสั่งการและเหินทะยานนำออกไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ในทันที โดยไม่สนใจสักนิดว่าจะมีใครฟังหรือไม่ ตอนนี้เขากังวลว่าแหล่งน้ำมันจะซึมซ่านหายไปหมดเสียก่อนหากไม่รีบลงมือคว้าโอกาสไว้
ความคิดเห็น