คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : ปะทะหยั่งเชิง
“อินทรีเหิน
แกถอยไปซะ!! ฉันจะสั่งสอนไอ้เด็กใหม่หน้าโง่นี่สักที”
ศัสตราเทพเตือนเป็นครั้งสุดท้าย
แม้จะถูกรุมล้อมในถิ่นของศัตรูทว่าคนทั้งสามไม่ได้แสดงความกลัวออกมาแต่อย่างใด เพียงศัสตราเทพก็มีเลเวลสูงถึง 39 แล้ว ส่วนสมุนสองคนก็มีเลเวลอยู่ที่ 34 ไม่ด้อยกว่ากันเท่าไรนัก
เรื่องนี้อินทรีเหินทราบดี
พอได้ยินยี่ฟงกวนตีนกลับเมื่อครู่นี้แล้วมันก็เผลอตัวขมวดคิ้วกุมขมับเลยทีเดียว หากยี่ฟงหุบปากเงียบและอยู่เฉย ๆ
อินทรีเหินมันยังพอสะสางให้ได้
แต่มาถึงขั้นนี้แล้วก็ยากที่มันจะห้ามปรามอะไรได้อีก
“อย่าต้องให้ถึงตายล่ะ ก็แค่คนไม่รู้ความเท่านั้น”
อินทรีเหินช่วยได้เท่านี้ก่อนจะหลีกทางให้แต่โดยดี สมุนโดยรอบของมันก็พากันเก็บอาวุธและนั่งชมอยู่เฉย
ๆ
“ดี!
ดูสิแกยังจะปากดีได้อีกหรือเปล่า
จัดการมัน!”
ศัสตราเทพสั่งการลูกสมุนทั้งสอง
ยี่ฟงปล่อยให้อีกฝ่ายพุ่งเข้าหาอย่างไม่ใส่ใจ ตอนนี้เขามีลมปราณโคจรอยู่ทั่วร่าง แม้เลเวล 32 ก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเลเวล 34 อยู่หลายช่วงตัว
ยิ่งมีความเร็วจากท่าเท้าเมฆาซ่อนมังกรหนุนเสริมด้วยแล้วชายหนุ่มยิ่งไม่มีทางเสียเปรียบ
ทว่าศัตรูทั้งสองประเมินยี่ฟงแวบเดียวก็ตัดสินว่าเขากากแล้ว เพราะเสื้อผ้าที่ยี่ฟงสวมใส่อยู่ดูไม่ต่างอะไรจากชุดเริ่มต้นนัก เพียงมีปลอกแขนและปลอกขาประหลาดปกป้องไว้เท่านั้น
พวกมันจึงเลือกที่จะไม่ชักอาวุธออกมาและใช้หมัดเท้าเปล่า
ๆ คล้ายเป็นการดูถูกเพื่ออัดเด็กใหม่ให้อับอายขายขี้หน้าแทน กระทั่งคนทั้งสองลดระยะเกือบจะเข้าประชิดแล้วก็ยังไม่เห็นยี่ฟงชักอาวุธออกมาเช่นกัน จึงคาดเดากันไปเองว่าชายหนุ่มคงกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
“มาสำนึกผิดตอนนี้ก็สายไปแล้วไอ้โง่”
หนึ่งในสองกล่าวข่มขวัญ
ชายคนแรกเมื่อบรรลุถึงก็ฟาดฝ่ามือหวังกระแทกหัวไหล่ซ้ายของยี่ฟงทันที แต่ยี่ฟงรวดเร็วมาก พริบตาเขาก็เข้ารวบแขนอีกฝ่ายพร้อมหมุนร่างตัวเองเพื่อใช้หลังกระแทกค้ำไว้ ยี่ฟงอาศัยแรงที่มันพุ่งเข้ามาบิดร่างตัวเองโค้งลงและกระชากมันหวังทุ่มกับพื้น ก่อนหน้านี้เขาถีบฝ่าเท้าที่เป็นฐานยืนจนอีกฝ่ายเสียหลักไปแล้วส่งให้ร่างของมันลอยข้ามไปโดยง่ายก่อนกระแทกลงกับพื้นดังอั้ก
พอเหลือบเห็นชายอีกคนชะงักงัน ยี่ฟงก็ชิงเหวี่ยงหมัดซ้ำไปที่ใบหน้าของชายคนแรกต่อเนื่องไม่มียั้ง
“เร็วมาก!”
อินทรีเหินอุทาน
“มันไม่ใช่เด็กใหม่ธรรมดา!”
ศัสตราเทพขมวดคิ้วกล่าวขึ้น
ระหว่างนั้นยี่ฟงก็อัดใบหน้าของชายคนแรกจนเละเทะอย่างอำมหิต ชายที่ชะงักอยู่ไม่ไกลถึงกับกลืนน้ำลายฝืดคอ แต่มันก็ไม่มีทางเลือกจึงรีบทะยานร่างเข้าขัดขวาง ยี่ฟงหยุดมือและรีบกระโดดหมุนตัวเตะสวนสกัดชายอีกคนเอาไว้ก่อน พอกลับลงมาเหยียบพื้นอีกครั้งยี่ฟงก็ใช้ฝ่าเท้างัดร่างชายคนแรกจนลอยขึ้นมาเบื้องหน้า จากนั้นผลักฝ่ามือปะทะส่งร่างมันกระเด็นย้อนกลับไปกองอยู่แทบเท้าชายอีกคน
การต่อสู้เพิ่งดำเนินไปได้ไม่ถึงนาทีผลลัพธ์ก็ปรากฏแล้ว
อินทรีเหินรู้สึกเหมือนคนโง่ที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ส่วนศัสตราเทพกล่าวโทษตัวเองที่ประเมินยี่ฟงต่ำเกินไป
“แบกเพื่อนของแกไปรักษาซะ เดี๋ยวฉันจะสั่งสอนมันเอง”
ศัสตราเทพสั่งการเสียงเข้ม
“นายอยากจะขายขี้หน้าอีกคนหรือ”
ยี่ฟงกล่าวแทรกขึ้นด้วยรอยยิ้มไม่ยี่หระ
“มีปัญญาทำได้ก็ลองดู!”
ศัสตราเทพท้าทาย มันพุ่งทะยานเข้าหาด้วยความเร็วที่มากกว่าสมุนทั้งสองอยู่เท่าตัว
ในขณะที่ยี่ฟงประเมินแล้วจึงทราบว่าอีกฝ่ายไม่ง่ายอย่างที่คิด การยืนรับมืออยู่เฉย ๆ อาจทำให้เสียเปรียบได้ เขาจึงถีบเท้าทะยานเข้าปะทะตรง ๆ เพื่อหยั่งวัดพลังกายของศัสตราเทพเป็นลำดำแรก
“คิดจะวัดกำลังกับฉันคนนี้หรือ อวดดีนัก!!”
ศัสตราเทพคำราม
จวบกระทั่งหมัดกระแทกหมัดดังตูม บังเกิดคลื่นลมพลิ้วกระจายออกเป็นวงรอบตัวคนทั้งสอง ยี่ฟงที่อ่อนกว่าถูกอัดกระเด็นถอยหลังไปอย่างไม่อาจต่อต้าน แต่มันก็ช่วยให้เขาทราบถึงความต่างของพลังได้ชัดเจนมากขึ้น กลับกัน
ศัสตราเทพถึงกับถอยหลังไปสามก้าวอย่างไม่คาดคิด ผู้ชมโดยรอบยังต้องประหลาดใจจนบางคนเผลอสะดุ้งตัวลุกขึ้นยืน
ผลลัพธ์เช่นนี้เกิดจากน้ำหนักของแรงหมัดที่ปะทะกัน
ศัสตราเทพโชคดีที่เลเวลสูงกว่าแต่มันยังออกหมัดได้ไม่แรงพอ
ผิดกับยี่ฟงซึ่งบิดตัวตั้งแต่เอวจนไปถึงหัวไหล่เพื่อเสริมแรงก่อนกระแทกหมัดออกไป
ความต่างเพียงเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้เหมือนกัน ศัสตราเทพที่คิดว่าจะบดขยี้แขนของยี่ฟงให้หักในครั้งเดียวจำต้องรู้สึกเสียหน้าอย่างช่วยไม่ได้
“นายมีดีแค่เลเวลสูงกว่าหรือไง”
ยี่ฟงเอ่ยยั่วโทสะ
“แกมันพวกนักสู้!”
ศัสตราเทพกล่าวขึ้น
พวกนักสู้ที่ว่าก็คือกลุ่มคนซึ่งร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวจากโลกจริงมา แต่สำหรับยี่ฟงแล้วเขาเพียงได้ฝึกเทคนิคมาไม่กี่อย่างเท่านั้น หากให้เปรียบเทียบกับพวกนักสู้ของจริงยี่ฟงก็ยังห่างชั้นอยู่มากนัก
“ฉันจะไปเที่ยวชมเมืองต่อแล้ว พวกนายก็เลิกวุ่นวายสักที”
ยี่ฟงพยายามจบเรื่อง
“นี่มันเป็นเกมโว้ยไม่ใช่โลกจริง!”
ศัสตราเทพตะโกนและพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง
“ฝ่ามือสะบั้นเหล็ก!”
หลังเรียกใช้วิชายุทธ์ ฝ่ามือข้างขวาของศัสตราเทพก็เปล่งแสง ยี่ฟงหรี่ตาขมวดคิ้วเคร่งเครียด เขารีบใช้ความเร็วที่มีเพื่อหลบหลีกไม่ต้านรับโดยสัญชาตญาณ แม้ไม่ต้องปะทะตรง ๆ ก็ทราบได้ทันทีว่าฝ่ามือนั้นอันตรายมาก ตูม! ศัสตราเทพโจมตีพลาด พื้นหินที่ฝ่ามือของมันกวาดไปโดนถึงกับยุบเป็นรอยแตกลึก ทว่ายังคงไม่ได้สัมผัสยี่ฟงสักครั้งเดียว ผู้ชมล้วนจ้องตาไม่กะพริบ การเคลื่อนไหวของยี่ฟงรวดเร็วกว่าศัสตราเทพอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งอินทรีเหินยังอ้าปากค้าง
“ชายคนนั้นได้ร่ำเรียนวิชาตัวเบามาด้วยงั้นหรือ!?”
หนึ่งในผู้ชมกล่าวขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หากกล่าวว่าคัมภีร์วิชายุทธ์ทั่วไปหายากแล้ววิชาตัวเบากลับหายากยิ่งกว่า!
ขณะเดียวกันการต่อสู้ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ไล่โจมตีอย่างบ้าคลั่งกับอีกฝ่ายที่หลบหลีกเพียงอย่างเดียวก็สิ้นสุดลง ยี่ฟงดีดเท้าทะยานถอยหลังออกห่างไปไกล จากนั้นกระโดดเหยียบเสาคานโรงเตี๊ยมพุ่งขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคา ศัสตราเทพได้แต่เงยหน้ามองตามและกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ
“แกจะหนีหรือ
ลงมาสู้กันสิวะ”
ศัสตราเทพตะโกนราวเสียสติ
“ไม่ล่ะ
พลังกายฉันอ่อนกว่าส่วนนายก็กากในด้านความเร็ว ถือซะว่าเสมอกันไปก่อนเป็นไง!?”
ยี่ฟงตอบและถามกลับหน้านิ่ง
“เสมอ!?
ฉันเนี่ยนะเสมอกับเด็กใหม่
อย่ามาสรุปเอาเองนะโว้ย”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉัน ลาก่อน”
ยี่ฟงไม่สนใจ พอกล่าวจบเขาก็ทะยานร่างไปตามหลังคา ศัสตราเทพเห็นดังนั้นก็รีบกระโดดขึ้นไปบนหลังคาโรงเตี๊ยมและตั้งท่าจะไล่ตามไป แต่พอได้เห็นความเร็วของยี่ฟงแล้วมันก็ได้แต่ชกลมอย่างท้อแท้
“เจอกันอีกครั้งเมื่อไร ฉันจะอัดแกให้ได้”
เนื่องจากเมืองดาบมังกรค่อนข้างกว้างใหญ่
จุดที่เกิดการปะทะกันเมื่อครู่นี้ก็เป็นเพียงมุมหนึ่งภายในเมืองเท่านั้น ยี่ฟงจึงเลือกพุ่งหนีไปอีกทางโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ก่อนกระโดดกลับลงไปเดินบนถนนเพื่อไม่ให้สะดุดตาใครเข้าอีก
บริเวณที่ยี่ฟงอยู่ปัจจุบันพลุกพล่านไปด้วยเหล่าเพลเยอร์ยอดฝีมือ จากสายตาแล้วคนพวกนี้กำลังเตรียมตัวเพื่อเดินทางกลับไปยังเขตจงหยาง
“เร่เข้ามา!
ทางเราต้องการมือดีช่วยในการคุ้มกันขบวนรถขนสินค้า ผู้ใดกำลังจะเดินทางไปเมืองจิตมังกรสามารถหารายได้พิเศษโดยการคุ้มกันพวกเราไปส่งที่เมืองจิตมังกรด้วยก็ได้ขอรับ!”
เสียงประกาศโหวกเหวกคล้ายเป็นจุดเด่นท่ามกลางความวุ่นวาย ยี่ฟงเพียงเข้าไปอ่านรายละเอียดแต่ไม่ได้สนใจจะร่วมขบวนไปด้วยแต่อย่างใด จากข้อมูลแล้วมันมีความยากง่ายให้เลือกด้วย หากคุ้มกันขบวนสินค้าไปส่งยังเมืองจิตมังกรก็จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน
3000 ตำลึงทอง อยู่ในเกณฑ์ง่าย ส่วนในระดับยากนั้นเพลเยอร์ต้องคุ้มกันขบวนรถสินค้าไปส่งยังเมืองเศียรมังกรในเส้นทางทิศเหนือที่ไม่มีจุดเซฟโซนใด
ๆ ทั้งสิ้น แต่หากคุ้มกันสำเร็จโดยไม่มีสินค้าเสียหายจะได้รับเงินมากถึง
10,000 ตำลึงทองเลยทีเดียว!
“นายสนใจจะร่วมขบวนไปด้วยกันไหม”
ชายคนหนึ่งท่าทางมีประสบการณ์เดินมาถามยี่ฟง
“ไม่ล่ะ ฉันเพิ่งจะมาถึงเมืองนี้เอง”
ยี่ฟงตอบไปตามมารยาท
“อ้อ!
ถ้าสนใจเมื่อไรมาติดต่อฉันได้นะ
ฉันชื่อฉี่ไกลพันลี้ แต่กลุ่มเพื่อนจะเรียกกันสั้น
ๆ ว่า ชีกอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ชายหนุ่มอารมณ์ดีแนะนำตัวเอง
“ชื่อนี้คิดนานไหม…ชีกอ”
ยี่ฟงถามกลับยิ้ม
ๆ
“นายก็น่าจะรู้นี่ ชื่อที่คิดมาดี ๆ ดันมีคนตัดหน้าใช้ไปหมดแล้ว”
ฉี่ไกลพันลี้ตอบตามตรงพลางหัวเราะขำตัวเอง
พินิจอีกฝ่ายแล้วยี่ฟงก็รู้สึกว่าชายคนนี้น่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับเขา จึงแนะนำตัวเองกลับไปบ้าง
“ฉันยี่ฟง”
“ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อน!”
ฉี่ไกลพันลี้ดูเป็นคนง่าย
ๆ ครู่เดียวก็มีท่าทางสนิทสนมอย่างออกนอกหน้า แต่ยี่ฟงก็ไม่ได้เกลียดอะไรคนประเภทนี้
พอแอดเฟรนด์ลิสกันไว้แล้วยี่ฟงก็เดินแยกไปยังอาคารนักผจญภัยประจำเมืองดาบมังกร สภาพทุกอย่างไม่มีใดต่างจากที่เมืองจงหยางแม้แต่น้อย ตั้งแต่ประตูทางเข้าตลอดจนการตกแต่งภายใน ทว่าคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์กลับเป็นหญิงสาวรูปร่างเซ็กซี่ ไฟหน้าใหญ่โตแทบจะทิ่มตา ใบหน้าเรียวผิวเข้ม จะมีอย่างเดียวที่คล้ายกับตาลุงมู่เฟิงที่จงหยางก็แค่ดวงตาแข็งกล้าดุดันเท่านั้น
“เจ้าเพิ่งเดินทางมาจากจงหยางสินะ”
หญิงสาวกล่าวทักทายขึ้น
ยี่ฟงเดินเข้าใกล้พลางพยักหน้าตอบรับก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ยกสูง
“คิดว่าจะเป็นตาลุงหน้าโหดเครายาวรุงรังคล้ายมู่เฟิงเสียอีก”
“มู่เฟิง!? โฮ่ บิดาข้าแนะนำตัวกับเจ้าด้วยหรือ”
หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจ
“ใช่
ว่าแต่เจ้าเป็นลูกของตาลุงนั่นจริงหรือ
ดูไม่มีส่วนไหนคล้าย…อ้อ ไม่สิ
ดวงตาของพวกเจ้าเหมือนกันมาก”
ยี่ฟงตอบและสบจ้องพินิจดวงตาของหญิงสาว
นางเมินคำถามของยี่ฟงแต่เลือกจะกล่าวขึ้นแทนว่า
“เช่นนั้นเจ้าก็มีคุณสมบัติที่จะได้ครอบครองข้าภายใต้ฐานะสามีภรรยาแล้ว”
“วอทดาฟัก…!?”
ความคิดเห็น