คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : ชิงเคลื่อนไหว
ก่อนหน้านี้หลายชั่วโมง
ค่ำคืนที่สงบเงียบจำเจถูกทำลายลงด้วยเสียงประกาศของระบบ พอดีกับที่เพลเยอร์ส่วนหนึ่งมากองอยู่ระหว่างเขตจงหยางและเมืองดาบมังกร เมื่อพบเป้าหมายใหม่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลทั้งยังเป็นที่ชัดเจนกว่าเพราะระบบเกมไม่มีทางหลอกลวง พวกเขาจึงตาลีตาเหลือกพากันเปลี่ยนทิศทางหวังจะเป็นกลุ่มแรกที่ไปถึงดันเจี้ยนใหม่เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ให้ได้มากเข้าไว้
เป็นเรื่องที่เกมเมอร์ทุกคนทราบดี สถานที่ซึ่งยังไม่มีใครบุกเบิกย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยทรัพยากรล้ำค่ายากประเมินราคา
แม้ท้องฟ้าจะมืดเข้าสู่ช่วงเวลาพักผ่อนแล้วก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเพลเยอร์สายฮาร์ดคอร์ทั้งหลาย ในความคิดของพวกเขาขณะนี้แค่ให้บรรลุถึงเป้าหมายและได้ทดสอบระดับความโหดภายในพื้นที่ใหม่ก่อนใครก็พึงพอใจกันแล้ว หากโชคดีไม่เกินความสามารถก็จะมีโอกาสได้รับผลประโยชน์มากกว่าอีกด้วย ทว่าเมื่อพวกเขาย้อนกลับไปเริ่มต้นที่เมืองดาบมังกรกลับต้องพบเจอเจ้าถิ่นขัดขวางไว้ไม่ให้ไปต่อ
“มาขวางทำไมวะ”
“ข้าจำเอ็งได้! หนวดพยัคฆ์ประมุขพรรคประตูนรก”
“เธอคนนั้นเองก็เป็นถึงประมุขพรรคเหมือนกันนี่ จางเหมยแห่งพรรควิถีเซียนกระบี่”
“ส่วนชายสองคนนั้นก็ไม่ต่างกัน อินทรีเหินและศัสตราเทพ พวกนายมีปัญหาอะไรถึงได้ยกพลมาขวางเส้นทางไว้เช่นนี้!?”
ชาวยุทธ์มากมายตะโกนถามอย่างไม่พอใจ หนวดพยัคฆ์จึงยกฝ่ามือห้ามปรามแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปกว่านี้ และท่าทางชายหนุ่มคล้ายมีบางสิ่งจะบอกกล่าว ชาวยุทธ์ทั้งหลายจึงหุบปากรอฟังคำชี้แจงอย่างอดทน ตอนนี้ทุกฝ่ายต่างก็ไม่อยากปะทะกันเองให้ต้องเจ็บตัวเสียเปล่า
“ฉันอยากจะขอความร่วมมือจากทุกคน ช่วยรับฟังข้อเสนอของพวกเราก่อน”
หนวดพยัคฆ์เกริ่นนำ
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี มีอะไรก็รีบว่ามาสิโว้ย!”
ชาวยุทธ์คนหนึ่งตะโกนสวน คนอื่น ๆ เองก็เห็นชอบด้วย
“เอาล่ะ เอาล่ะ
ฉันเข้าใจแล้ว”
หนวดพยัคฆ์ที่เป็นตัวแทนยิ้มแห้งก่อนจะรีบกล่าวต่อว่า
“ทุกคนต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันถูกต้องไหม ถ้าแบบนั้นทำไมพวกเราไม่จับมือเป็นพันธมิตรชั่วคราวล่ะ การแตกแยกตัวใครตัวมันย่อมไม่เป็นผลดี สุดท้ายก็จะถูกไอ้พวกกิลด์ใหญ่กอบโกยไปฝ่ายเดียวอย่างทุกทีอีกงั้นหรือ!?”
หนวดพยัคฆ์เป็นคนเก่ง พอเริ่มสังเกตเห็นชาวยุทธ์มีสีหน้าคล้อยตามจึงรีบกล่าวชักนำทันที “หากพวกเราร่วมมือกัน การจะฝ่าเข้าไปยังตัวมหานครฉางอานก่อนที่ไอ้พวกกิลด์ใหญ่จะมาถึงย่อมมีความเป็นไปได้สูง เมื่อสำเร็จแล้วพวกเราจะแยกย้ายทางใครทางมันก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร หรือจะรอให้สายไปแล้วได้แต่เก็บเกี่ยวของเหลือที่ไอ้พวกกิลด์ใหญ่มันไม่เอาล่ะ พวกนายลองคิดและตัดสินใจกันดู”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จางเหมยที่หุบปากเงียบมาตลอดพลันก้าวขึ้นหน้าตะโกนหนุนเสริมอีกแรงว่า
“ใครไม่พอใจหรืออยากจะแยกไปเป็นกลุ่มของตัวเองก็จงไสหัวไปซะเดี๋ยวนี้!”
คนของพรรคประตูนรกและพรรควิถีเซียนกระบี่ต่างพากันแยกออกเป็นสองฝั่ง เปิดทางให้เหล่าคนที่ไม่เห็นดีด้วยได้แยกไป ซึ่งก็เป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่ขอเลือกทางลำบากไปกับกลุ่มเล็ก
ๆ ของพวกเขาเอง ส่วนกลุ่มใหญ่ก็ได้หนวดพยัคฆ์ จางเหมย
อินทรีเหิน และศัสตราเทพเป็นผู้นำชั่วคราว
“ด้วยจำนวนคนมากขนาดนี้พวกเราจะไปถึงเป้าหมายก่อนแน่
ๆ”
หนวดพยัคฆ์เอ่ยอย่างมั่นใจ
“ถ้างั้นก็ออกเดินทางกันเลยเถอะ!”
จางเหมยกล่าวพร้อมให้สัญญาณสมาชิกในกิลด์ตัวเอง
คนทั้งหมดเคลื่อนพลตรงไปยังประตูเมืองทิศตะวันตก ก่อนจะก้าวออกไปพวกเขาก็ถูกสั่งให้จัดขบวนตามแผนจนคล้ายรูปสี่เหลี่ยม แน่นอนว่ากลุ่มที่มาด้วยกันจะต้องรับโซโล่เพลเยอร์ประมาณสามหรือสี่คนเข้าไปด้วยเพื่อจะได้ไม่ต้องกระจายคำสั่งหลายครั้งให้เสียเวลา แม้จะวุ่นวายอยู่บ้างในช่วงแรกแต่เพลเยอร์ในเกมนี้ล้วนโต
ๆ กันแล้วจึงจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก
เนื่องจากเป็นช่วงกลางคืน มอนสเตอร์ประเภทนักล่าจึงค่อนข้างเป็นอุปสรรค แต่ด้วยขบวนทัพที่เอื้อต่อสมาชิกทุกคนทำให้การรับมือง่ายขึ้นอย่างมาก ขอเพียงพวกเขาไม่แตกแถวและคอยรับมือกับมอนสเตอร์เฉพาะในตำแหน่งของตัวเองไปเรื่อย ๆ การเดินทางสู่มหานครฉางอานก็จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม
แม้จะมีหลายคนไม่เห็นด้วยที่ผู้นำกลุ่มอาศัยเนียนอยู่ใจกลางขบวน แต่เมื่อผลลัพธ์ออกมาดีกว่าที่คิดและได้เห็นหน้าที่ของผู้นำทั้งสี่ซึ่งต้องคอยสั่งการอยู่ตลอดเวลาแล้วจึงไม่มีใครรู้สึกขัดใจอีก
ความจริงหนวดพยัคฆ์กับจางเหมยทราบถึงการมีอยู่ของเมืองโบราณมาก่อนหน้านี้สักพักแล้ว เพียงแต่คนทั้งสองยังไม่มีโอกาสลงมือ เมื่อแผนที่วางไว้ผิดพลาดเพราะมีไอ้เวรตัวไหนไม่รู้ชุบมือเปิบไป พวกเขาจึงรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง แต่มาถึงขั้นนี้หนวดพยัคฆ์กับจางเหมยก็ไม่มีทางเลือกนอกจากตัดสินใจพึ่งพาเพลเยอร์จำนวนมากโดยมีเป้าหมายอยู่ที่การบรรลุถึงเมืองโบราณให้รวดเร็วที่สุดภายใต้เวลาอันจำกัด เพราะหากช้าไปกว่านี้เกรงว่ากิลด์ใหญ่คงมากวาดทรัพยากรจนเหี้ยนไปเสียก่อนเป็นแน่
จวบกระทั่งเกือบเที่ยงคืน
ขบวนทัพพันธมิตรชั่วคราวก็เดินทางเข้าสู่อาณาเขตชั้นนอกของมหานครฉางอานได้ในที่สุด สิ่งแรกที่พวกเขาสัมผัสได้ก็คือบรรยากาศเย็นยะเยือกวังเวง ยังมีเสียงคำรามชวนสยองดังมาให้ได้ยินจากทุกทิศทาง เส้นทางสัญจรหลักที่ยี่ฟงเคยใช้ผ่านตรงสู่ตัวเมืองง่าย ๆ บัดนี้ปรากฏกลไกกำแพงสูงโผล่ขึ้นมากั้นขวางไว้ ต้นไม้บางส่วนหักโค่นทับถมกันมั่วไปหมด ยิ่งเป็นอุปสรรคในการเลือกเส้นทางไปต่อและยังทำให้ยากจะคาดเดาว่ามอนสเตอร์จะจู่โจมมาจากทางไหนบ้าง หรือบางทีหลังจากนี้พวกเขาอาจจะหัวร้อนเพราะเจอทางตันได้เลยด้วยซ้ำ
“แยกออกเป็นกลุ่มย่อยเล็ก ๆ
และตั้งขบวนเป็นวงกลมไว้ กลุ่มไหนถูกโจมตีให้กลุ่มที่อยู่ใกล้คอยสนับสนุนด้วย”
หนวดพยัคฆ์เอ่ยปากสั่งการ
จากนั้นไม่นานขบวนทัพพันธมิตรก็ออกเดินทางต่อ การแยกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ทำให้การเดินหน้าเข้าไปในป่าที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัดสะดวกขึ้น
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
“เฮ้ย! หัวคน”
“กรี๊ด! ที่นี่มัน…สุสานงั้นหรือ”
เหล่าหนุ่มสาวพากันหัวใจเต้นถี่รัว พวกเขาเผชิญหน้ากับสุสานที่มีการเสียบศีรษะประจานทั้งยังสังเกตเห็นพื้นดินยุบตัวเป็นหลุมนับไม่ถ้วนคล้ายเป็นการบอกใบ้ให้ทราบว่าพวกเขาจะต้องปะทะกับอะไร
“จะวี้ดว้ายกันทำไมวะ อยู่กันตั้งเยอะขนาดนี้”
“นั่นสิ ต่อให้ต้องสู้กับผีดิบหรือซอมบี้ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ฉันว่าไอ้พวกมนุษย์หินยังน่ากลัวกว่าอีก”
แน่นอนว่ามีคนกลัวก็ต้องมีคนที่ขวัญกล้าไม่กลัวอะไรเช่นกัน แต่ความสงบคงอยู่ได้ไม่นานนักก็บังเกิดเสียงฝีเท้าไล่กวดใกล้เข้ามาพร้อมเสียงคำรามโหยหวนราวภูตผีปีศาจ เพลเยอร์ส่วนหนึ่งขวัญกระเจิงไปก่อนแล้วทั้งที่ยังไม่เห็นเงาของตัวอะไรเลย กระทั่งห่างออกไปสิบเมตรท่ามกลางความมืดยามราตรีพลันปรากฏดวงตาคู่แดงเถือก เมื่อแสงจันทร์อาบไล้ช่วยแสดงตัวตนศัตรูทำให้เหล่าเพลเยอร์พากันหน้าซีด กลุ่มชายหญิงบางส่วนถึงกับเผลอตัวอุทานถ้อยคำสบถอย่างแตกตื่นตระหนก
‘ผีลืมหลุม เลเวล 35 โจมตี’
เสียงระบบแจ้งถี่รัวยากจะนับคำนวณ
เหล่าผีลืมหลุมแท้จริงคือประชาชนแห่งฉางอาน ณ เวลานี้กลับกลายเป็นผีตายซากเปื่อยยุ่ย เสื้อผ้าที่สวมอยู่เก่าทึบและปรากฏร่องรอยคมอาวุธสังหาร สิ่งที่ขับเคลื่อนพวกมันก็คือความคั่งแค้น ไม่ว่าอะไรที่ล่วงล้ำอาณาเขตเข้ามาในช่วงกลางคืนพวกมันจะทราบถึงตำแหน่งของสิ่งนั้นได้ในทันที…
ซึ่งนั่นนับเป็นหายนะของเพลเยอร์
ผีลืมหลุมนับร้อยตัวในอาณาเขตชั้นนอกจะยกทัพเข้าโจมตีอย่างพร้อมเพรียง! และแน่นอนว่าพวกมันทั้งหมดมีความสามารถเดียวกันกับทหารองครักษ์แห่งฉางอาน เพลเยอร์คนไหนที่เลเวลต่ำกว่า 35 จะถูกบดขยี้ด้วยพลังกายล้วน ๆ ในพริบตาเดียวหากพวกเขาเผลอเข้ารับการปะทะตรง ๆ
“นี่มันบ้าไปแล้ว!!”
“พวกมันแห่กันเข้ามาไม่หยุดเลย!”
การปะทะแรกเริ่มขึ้น เหล่าเพลเยอร์ที่เลเวลต่ำกว่า 35 ล้วนถูกบดขยี้จนกระดูกหัก ร่างปลิวกระเด็นจนเสียขบวน เสียงร้องเจ็บปวดดังวุ่นวายไปทั่วบริเวณ ขณะเดียวกันระบบก็ยังคงแจ้งสถานะของมอนสเตอร์ที่เข้าโจมตีกระหน่ำราวกับห่าฝน
หากพวกเขาทราบเสียก่อนว่าการบุกรุกเข้ามาในยามวิกาลจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็คงไม่ต้องพบกับการสูญเสียเช่นนี้
“ถอย! ถอย!”
หนวดพยัคฆ์ตะโกนสั่งการสุดเสียง
“แบบนี้ใครจะฝ่าเข้าไปได้กันวะ!”
“ฉันจะไปร้องเรียนเอาเรื่องกับจีเอ็มแน่!”
“ดันเจี้ยนใหม่มันบั๊กหรือเปล่าเนี่ย เวรเอ๊ย!”
ขบวนทัพพันธมิตรตะเกียกตะกายหลบหนีออกจากอาณาเขตชั้นนอกของมหานครฉางอานอย่างหมดท่า เสียงโอดโอยคร่ำครวญไม่ยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังไปทั่วทุกมุม พริบตาพวกเขาก็สูญเสียไปนับร้อย ยังมีเพลเยอร์ที่ติดอยู่ข้างในอีกครึ่งร้อยด้วยซ้ำไป เหล่าผู้นำทั้งสี่กลับกลายเป็นใบ้ พวกเขาไม่ทราบจะเอ่ยวาจาอย่างไรดีในเวลานี้
เช้าวันใหม่ภายใต้ดันเจี้ยนลับใต้ดินของมหานครฉางอาน
ยี่ฟงกว่าจะรู้สึกตัวก็ล่วงเลยเข้าไปเก้าโมงกว่าแล้ว เขาลุกขึ้นนั่งกินอาหารเช้าเป็นลำดับแรก หลังนอนพักจนเต็มอิ่มชายหนุ่มจึงรู้สึกสดชื่นกว่าเมื่อคืนมากนัก เมื่อจัดการกับกิจวัตรประจำวันในทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาภายในเกมเรียบร้อยแล้วยี่ฟงก็เริ่มต้นปลุกทหารองครักษ์ขึ้นมาบ้างเพื่อทำการฟาร์มเลเวลต่อเนื่อง
ดูเหมือนเมื่อเวลาผ่านไปมอนสเตอร์พวกนี้จะพากันมาเกิดใหม่ในโลงศพเช่นเดิม ยี่ฟงจึงไม่ต้องถลำลึกเข้าไปเสี่ยงอันตรายแต่อย่างใด
ชีวิตวนลูปของยี่ฟงดำเนินต่อไปเช่นนี้โดยที่ไม่มีทางทราบได้เลยว่าเบื้องบนเกิดอะไรวุ่นวายขึ้นบ้าง
สี่วันต่อมา
‘เพลเยอร์ยี่ฟงสำเร็จในการเลื่อนเลเวลขึ้นเป็น 39’
‘เพลเยอร์ยี่ฟงรวบรวมชิ้นส่วนย่อยคัมภีร์ร่างอมตะครบ
50/50 ส่วนแล้ว’
ความคิดเห็น