คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #203 : [AkaFuri (B)] Goei
Title : Goei
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Akashi (Masaomi) x Furihata (Kyon)
Notes : สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าจ้า!!!
.....................................................................................
goei
“คุ้มกันคน?” เสียงทวนที่เต็มไปด้วยความงุนงงดังออกจากปากชายหนุ่มผมน้ำตาลคนหนึ่ง ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมมองเอกสารในมือสลับกับคนตรงหน้า
“ตามนั้น” ชายวัยกลางคนผมสีน้ำเงินพยักหน้ารับกับคำถามของชายหนุ่มเมื่อครู่
“ผมเนี่ยนะ?” ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ตัวเอง
“พูดกับแก ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะใครล่ะ?” ชายผมน้ำเงินตอบกลับอย่างกวนๆ
“...” ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปเล็กน้อย “...ขอโทษนะครับ...นี่ไดสึเกะไปหัวกระแทกอะไรมาหรือเปล่าครับ?”
“พูดแบบนี่อยากโดนตีหัวใช่ไหม? ไอ้เคียว!” ชายผมน้ำเงินหรือนายอาโอมิเนะ ไดสึเกะหัวหน้าของชายผมน้ำตาลขว้างหนังสือเล่มหนึ่งใส่
“เปล่าสักหน่อย” คนผมน้ำตาลที่ถูกเรียกว่าเคียวหลบหนังสือที่ถูกโยนมาได้อย่างชิวล์ๆ “แค่แปลกใจ ปกติคุณไมเคยให้ผมรับงานคุ้มครองใครเพราะกลัวทำชาวบ้านหัวใจวายตายนี่ครับ”
“ที่จริงฉันก็ไม่อยากส่งแกไปหรอก!” ไดสึเกะเอ่ย...ใช่ว่าเขาไม่กลัวรายนี่ทำชาวบ้านหัวใจวายตายที่ไหนล่ะ!? ยิ่งชอบก่อเรื่องอยู่! “แต่คนที่ต้องคุ้มกันคราวนี้สำคัญจริงๆ นี่หว่า ถ้าถูกลอบฆ่าแล้วตายขึ้นมาวุ่นวายจะตายชัก!”
“เหรอ?” เคียวหยิบรูปถ่ายของคนที่ตนต้องคุ้มกันขึ้นมาดู “ว่าแต่ตาแก่นี่ใครเนี่ย? ดังเหรอครับ?”
“ห๊า!? นี่แกไม่รู้จักผู้นำตะกูลอาคาชิเหรอ!?” ไดสึเกะถึงกับตาโตเท่าไข่ห่านด้วยความตกใจกับคำถามนี่
“ก็มันใครล่ะครับ?” เคียวถามกลับด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่รู้จริงๆ
“คนที่คุมเศษฐกิจแทบทั้งประเทศไว้ไง ไอ้เด็กบ้า!” ไดสึเกะแว๊ดลั่นห้องอย่างไม่เกรงใจใคร...ที่จริงต่อมห้โวยวายกว่านี้ก็ไม่มีใครสนใจหรอกเพราะต่างรู้ดีว่าพูดคุยกับนานเคียวนั้นบางทีชวนสติแตกกันขนาดไหน “ไปอยู่หลังเขาแถวไหนมาวะ!? หรือติดน้องจนไม่สนใจเหตุการณ์รอบข้างหรือไง!?”
“คงงั้นแหละครับ” เคียวยักไหล่น้อยๆ
“ยอมรับเฉยเลยนะ! ไอ้บ้า!” ไดสึเกะแยกเขี้ยวใส่คนตรงหน้า
“หว่าๆ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิครับ! เดี๋ยวหัวล้านหรอก!” เคียวเอ่ยด้วยสีหน้ากวนส้นเสียจนน่าถีบเสียสักทีเหลือหลาย
“หัวไม่ล้านหรอกแต่จะประสาทกินกับแกนี่แหละ!” ไดสึเกะมั่นใจเลยว่าไม่ทันที่ตนจะได้หัวล้านตามที่อีกฝ่ายบอกแน่ เพราะจะประสาทกินตายก่อนเนี่ย
“น่าๆ” เคียวยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีที่ได้แกล้งคน (?) “กลับเข้าเรื่องงานเถอะครับ...ตกลงไหงอยู่ถึงให้คุ้มกันคนคนนี้ล่ะครับ?”
“มีจดหมายขู่มาน่ะ” ไดสึเกะเมื่อกลับเข้าเรื่องงานก็ดึงสติกลับมาได้อย่างดีเยี่ยม พลางยื่นจดหมายขู่ที่ตนได้รับมาจากผู้เสียหายให้คนผมน้ำตาล
“ไหนๆ ดูสิ...แกทำชีวิตฉันพินาทอาคาชิ มาซาโอมิฉันจะฆ่าแก? คำขู่โบราณชะมัด” เคียวที่คลี่จดหมายออกมาอ่านเบ้หน้าน้อยๆ ก่อนที่จะคืนจดหมายให้ไดสึเกะและหยิบเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับงานตนขึ้นมาอ่านต่อ “ที่อยู่ของตาแก่อาคาชิอะไรนั้นก็ตามนี่สินะครับ?”
“ใช่...และแกก็เรียกคนอื่นดีๆ บ้างเถอะ!” ไดสึเกะแยกเขี้ยวใส่คนที่เรียกคนใหญ่คนโตซะเสียได้หน้าตาเฉย
“อย่าบ่นกันสิคร้าบบบบ” เคียวฉีกยิ้มร่าพลางถอยออกไปจนชิดหน้าต่างใกล้ๆ และ... “และ...ไปล่ะครับ!!!”
“เฮ้ย!!!” ...ทิ้งตัวลงไปจากหน้าต่างเสียดื้อๆ ทำให้นายไดสึเกะสะดุ้งโหยงแล้วรีบพุ่งไปที่หน้าต่าง...ซึ่งเมื่อมองลงไปก็พบว่าคนที่ทิ้งตัวลงจากหน้าต่างไปเมื่อครู่ยืนยิ้มร่าอยู่ที่พื้นเบื้องล่างในสภาพที่ครบสามสิบสองดี “ประตูมีดีๆ ทำไมไม่ออก จะออกไปทางหน้าต่างเพื่อารายยยย!? นี้มันชั้นห้านะเฟ้ย!”
“มันช้านี่ครับ!!!” เคียวตะโกนตอบกลับแล้วใส่เกียร์หมาเผ่นอย่างรวดเร็วก่อนที่จะโดนอะไรปาหัว
“ช้าแต่มันไม่ทำให้ใครรู้สึกเหมือนจะหัวใจวายตายเว้ย!!!! นี่กลับมาให้ตื้บสักทีเดี๋ยวนี้เลยนะ!!! ไอ้เคียว!!!!” ไดสึเกะที่รู้ว่ายังไงก็ตามไม่ทันรายนี้ได้เลยได้แต่โวยวายไปเท่านั้น ทางเหล่าเพื่อนร่วมอาชีพที่เห็นว่าตัวป่วน (?) ออกไปแล้วก็ลุกขึ้นมาตบบ่าปลอบคนที่โดนทำให้ปวดจิตด้วยความเห็นใจ
“แม่เจ้า...บ้านหรืออะไรวะเนี่ย?” เสียงที่บ่งบอกความอึ้งดังออกมาจากปากของชายหนุ่มผมสีน้ำตาล ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมจ้องบ้าน...ไม่สิ คฤหาสน์ตรงหน้าอย่างอึ้งๆ ด้วยความใหญ่โตที่กินพื้นที่ไปถึงสองถึงสามบล็อกซึ่งสร้างบ้านธรรมดาได้แปดเก้าหลังเลยด้วยซ้ำ เท่านั้นไม่พอที่หน้าประตูรั้วกับมียามเฝ้าอีกต่างหาก ช่างบ่งบอกความยิ่งใหญ่ของเจ้าของบ้านนี่ได้ดีเหลือหลาย “หรือเรามาผิดที่หรือเปล่าหว่า?”
...เอาเถอะ...ลองถามๆ ดูก่อนเผื่อมาผิดบ้าน...
นายตำรวจหนุ่มเกาหัวตัวเองนิดๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปหาคนที่เฝ้ายามอยู่...ถึงแม้ยามพวกนี้จะตัวใหญ่กว่าเขา แต่เขาคิดว่าหากพวกนี่เข้าผิดว่าเขาเป็นโจรหรืออะไรขึ้นมาเขาก็มั่นใจว่าหาทางเอาตัวรอดได้แล้วกัน “ขอโทษครับ...”
“มีอะไรเจ้าหนู?” ชายหนุ่มที่เฝ้าหน้าประตูถามเสียงดุ แต่นั้นหาได้ทำให้เคียวเกิดความหวาดกลัวแต่อย่างใด
“นี่ใช่บ้านอาคา...อาคาอะไรหว่า? เดี๋ยวนะครับ...” เคียวที่เกิดจำชื่อคนที่ต้องมาคุ้มครองไม่ได้เสียดื้อๆ หยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน “...ใช่บ้านของอาคาชิ มาซาโอมิหรือเปล่าครับ?”
“ใช่ มีอะไร?” คนเฝ้าประตูถามด้วยเสียงที่เข้มกว่าเดิม
“ผมฟุริฮาตะ เคียวเป็นตำรวจที่ถูกส่งมาคุ้มครองเจ้าของบ้านนี่น่ะครับ” เคียวฉีกยิ้มให้ยามหน้าโหดตรงหน้า
“ตำรวจ? เด็กอย่างนี่เนี่ยนะ?” สายตาของอีกฝ่ายแสดงถึงความไม่ไว้ใจอย่างชัดเจน “ไหน ขอตรวจสอบหน่อยสิ”
“เชิญครับ แต่อย่าทำขาดล่ะครับเดี๋ยวไปขอใหม่แล้วโดนไดสึเกะซังบ่นอีก” เคียวหยิบตราประจำตัวของอาชีพตนให้คนตรงหน้าไป...หวังว่าจะไม่ทำขาดจริงๆ นะ เขาขี้เกียจไปขออันใหม่นะ
“อื้อ ของจริง...” ยามเฝ้าประตูหน้าโหดยื่นสมุดประจำตัวตำรวจคืนให้เคียว “...พวกตำรวจคิดอะไรส่งเด็กแบบนี้มาคุ้มครองท่านผู้นั้นกันเนี่ย”
“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน” เคียวก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมตนต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย...เขาถนัดทำลายล้าง (?) มากกว่ามาทำอะไรแบบนี้เสียอีก
“แล้วนี่...” ยามหนุ่มแสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจก่อนที่จะ...ชักกระบอกเหล็กท่อนหนึ่งออกมาตวัดใส่คนผมน้ำตาล “...ไหนๆ ในเมื่อเป็นตำรวจที่ถูกส่งมาคุ้มครองท่านมาซาโอมิแล้ว...ต้องทดสอบกันหน่อยล่ะ!”
“โอ๊ะ?” เคียวที่หลบได้อย่างสบายๆ เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มออกมาและ... “อยากเล่นด้วยก็ไม่บอก...เดี๋ยวจัดให้!”
“เฮ้ย!!!!” ...เกิดนึกสนุกดึงเสาไฟใกล้ๆ มือออกมาทั้งต้นเลย “นั้นเสาไฟนะเว้ย!!!! ยกขึ้นมาได้งายยยย!?”
“ก็ได้แบบนี้แหละ” เคียวหัวเราะหึๆ แบบให้สยองเล่น “เอ้า! รับน้าาาาา!”
“เหวอ!!!” ยามหนุ่มรีบหลบก่อนที่จะถูกเสาไฟฟาดตาย...และนั้นทำให้เกิดความวุ่นวายขนาดย่อมขึ้นมาโดยฝีมือนายฟุริฮาตะ เคียวนั้นเอง จนกระทั่ง...
“หยุดก่อน!” ...เสียงเข้มอันเต็มไปด้วยอำนาจดังขึ้นทำให้ความวุ่นวายสงบโดยพลัน ทุกสายตาค่อยๆ เบนไปทางต้นเสียงและพบกับชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ถึงแม้จะยังไม่ถึงวัยชราผมก็ออกสีขาวเป็นส่วนใหญ่จนมีผมสีแดงแซมเพียงนิดๆ แล้วยืนหน้าดุอยู่ “เกิดอะไรขึ้น?”
“ท...ท่าน...” เหล่าคนเฝ้าประตูต่างตัวแข็งทื่อคล้ายกับหวาดกลัวเมื่อชายวัยกลางคนคนนี้ออกมา
“โย่ ลุงคืออาคาชิ มาซาโอมิหรือเปล่า?” ต่างจากเคียวที่ถามกลับไปหน้าตาเฉย พลางปักเสาไฟคืนที่เดิม
“เฮ้ย! พูดแบบนั้นได้ไงไอ้เด็กบ้า!” ยามหนุ่มที่มีเรื่องกับเคียวเมื่อครู่แว๊ดลั่น
“ก็ได้แบบนี้แหละ” เคียวยักไหล่น้อยๆ
“เจ้าหนู มาทำอะไรที่บ้านฉัน” ชายวัยกลางคนเอ่ยเป็นเชิงว่าตนคืออาคาชิ มาซาโอมิถามอย่างมีอำนาจสมกับเป็นคนที่มีบ้านใหญ่โตขนาดนี้ได้...แต่ดูท่าอำนาจที่ว่านั้นจะไม่มีผลกับนายเคียวเมื่อ...
“ผมเป็นคนที่างกรมตำรวจส่งมาคุ้มครองลุงแหน่ะ” ...เคียวตอบกลับคนรุ่นราวคราวพ่อตัวเองอย่างไม่มีความเกรงใจสักนิด
“เด็กเนี่ยนะ?” มาซาโอมิเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ถึงเด็กแต่ก็แจ๋วนะขอบอก” เคียวเอ่ยอย่างกวนส้นสุดแสน
“รู้ ไม่งั้นคงไม่ส่งมาหรอก” มาซาโอมิไม่คิดว่าทางตำรวจจะส่งพวกไม่แน่จริงมาหรอก...ที่สำคัญคนที่กล้ารับงานเกี่ยวกับเขาคงมั่นใจในตัวเองสูงพอดู โดยหารู้ไม่ว่าความจริงที่เคียวกล้ารับงานนี้เพราะเจ้าตัวไม่รู้ถึงอำนาจหรืออะไรเกี่ยวกับตระกูลอาคาชิเลยรับงานนี้เพราะเห็นว่าเป็นงานธรรมดาเท่านั้น
...ตาลุงนี่ฉลาดแฮะ...
เคียวแอบคิดในใจพลางรู้สึกว่าโชคดีที่รายนี้อธิบายง่ายกว่าที่คิด ไม่งั้นเจ้าตัวคงต้องไปลากเพื่อนร่วมงานมายืนยันตัวตนสักคนสองคนแน่
“เจ้าหนูชื่ออะไร? และช่วยแสดงบัตรประจำตัวยืนยันตัวเองด้วย” มาซาโอมิเอ่ย
“ผมฟุริฮาตะ เคียว” เคียวแนะนำตัวพลางชูบัตรประจำตัวตำรวจให้อีกฝ่ายดู “ว่าแต่ลุงจะตรวจสอบแค่นี้จริงดิ?”
“ไม่มีคนร้ายโลกไหนมาก่อกวนแล้วยังอยู่แนะนำตัวหน้าด้านๆ แบบนี้หรอกน่า” มาซาโอมิกล้าพนันว่าคนที่ประสงค์ร้ายต่อตนคงไม่บ้าหน้าด้านขนาดนี้หรอก...อย่างน้อยก็คงไม่มีคนร้ายที่โง่ปลอมบัตรตำรวจทั้งที่รู้ว่าเขาดูแว่บเดียวก็ดูออกว่าของจริงของปลอมหรอก
“ไม่คิดว่าแกล้งทำ?” เคียวถามกลับ
“ฉันดูออกแล้วกัน” มาซาโอมิยังคงตอบกลับอย่างใจเย็น
“ถ้าดูออก...” เคียวยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะกระโดดพรวดเดียวไปถึงตัวมาซาโอมิแล้วดึงอีกฝ่ายออกจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่ “...ลุงก็ควรดูออกด้วยนะว่าตอนนี้อันตรายเกิดกว่าจะเดินออกมานอกบ้านตัวเองน่ะ”
“เฮ้ย!!!” หน่วยรักษาความปลอดภัยแต่ล่ะคนร้องลั่นเมื่อเห็นว่าที่พื้นที่เจ้านายตนยืนอยู่เมื่อครู่มีรอยกระสุนปรากฏขึ้นมาสามถึงสี่รอย “มีคนลอบยิงท่านมาซาโอมิ! รีบกระจายกำลังหาตัวเร็ว!”
“...” มาซาโอมิแม้เพิ่งเฉียดตายมา แต่ท่าทีก็ยังคงสุขุมดังเดิม “เก่งกว่าที่คิดนิ”
“ก็บอกแล้วไงว่าผมแจ๋ว” เคียวเอ่ยอย่างเริงร่าด้วยท่าทางที่...น่าถีบสักเปรี้ยงสองเปรี้ยงเหลือหลาย
“กวนโอ๊ย” มาซาโอมิสามารถนิยามท่าทางของอีกฝ่ายในยามนี้ได้แค่นี้จริงๆ
“หลายๆ คนก็ว่างั้นแหละลุง...แต่ส่วนใหญ่ว่าผมปวดจิตมากกว่า” เคียวพูดพลางหัวเราะร่า “เข้าไปด้านในเถอะลุง ถ้าเกิดทางนั้นเอาปืนกลมายิงผมขี้เกียจหาที่ซ่อนให้ลุงนะ”
“...” มาซาโอมิไม่ตอบอะไร เพียงเดินนำอีกฝ่ายเข้าไปในบ้านตนเทานั้น ทางเคียวเองก็เดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปหน้าตาเฉยราวเด็กตามผู้ปกครองเสียมากกว่าคนคุ้มกัน
“บ้านใหญ่ชิบ อยู่กันกี่คนเนี่ย?” เคียวมองบ้านที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราหากแต่ก็ดูเรียบง่ายในเวลาเดียวกันนี้อย่างตื่นเต้น...แค่นาฬิกาในบ้านนี่เขาต้องทำงานกี่ชาติฟะถึงจะได้มาสักเรือนเนี่ย?
“ถ้าไม่นับพวกการ์ดก็คนใช้ยี่สิบ และฉันอีกหนึ่ง” มาซาโอมิตอบ
“อยู่กันแค่นี้?” เคียวเลิกคิ้วน้อยๆ กับจำนวนคนที่น้อยเกินขนานบ้าน พลันนึกแปลกใจที่เจ้าตัวบอกว่าอยู่คนเดียวทั้งที่มีรูปครอบครัวแปะอยู่ “แล้วเมียแล้วลูกหายไปไหน?”
“ภรรยาฉันเสียแล้ว ส่วนลูกเลือกไปเรียนไกลๆ เพื่อหนีหน้าฉันไปแล้ว” มาซาโอมิเอ่ยตอบ นัยน์ตาสีแดงฉายแววเศร้าออกมาวูบหนึ่งก่อนที่จะกลับมาเรียบเฉยดังเดิม
“แสดงว่าลุงจูจี้น่าดู พากันหนีหมดเนี่ย” เคียวลากเสียวยาวอย่างกวนโอ๊ยสุดแสน...ใช่ว่าเขาไม่เห็นแววตาเมื่อกี้ของตาลุงนี่นะ แต่เขาไม่ชอบบรรกาศเศร้าๆ เพราะงั้นของเปลี่ยนบรรยากาศหน่อยแล้วกัน
“มีใครบอกไหมเนี่ยว่าเธอปากเสียมาก” มาซาโอมิค้อนใส่ชายอายุรุ่นราวคราวลูกอย่างอดไม่ได้
“มีบ่อยไป” เคียวยักไหล่น้อยๆ
“เธอหัดพูดสุภาพกับผู้หลักผู้ใหญ่บ้างเถอะ โตๆ แล้วอย่าทำเป็นเด็กไม่รู้ความอย่างนี้” มาซาโอมิเอ่ยดุ...นี่ถ้าเป็นลูกเขาจะตีให้ก้นลายเลย กวนโอ๊ยแถมไม่รู้กาลเทศะขนาดนี้
“ผมพูดสุภาพเฉพาะกับคนที่ควรเท่านั้นแหละ” เคียวลากเสียงยาว
“แล้วฉันไม่ควรพูดสุภาพตรงไหน?” มาซาโอมิถามกลับด้วยอาการคิ้วกระตุกนิดๆ ...นี่เขาควรเรียกคนลากรายนี้ออกไปไหมเนี่ย? แต่คิดอีกทีไม่ดีกว่า คนที่ดึงเสาไฟขึ้นมาเล่นได้หน้าตาเฉยคงลากออกไปไม่ได้ง่ายๆ แน่ แถมเวลาแบบนี้จะมาเสี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ไม่ได้ด้วยสิ
“ก็ตรงที่...” เคียวทำท่าครุ่นคิด “...ลุงไม่เปิดใจตัวเองสักนิดมั้ง?”
“เปิดใจ?” มาซาโอมิทวนเล็กน้อย
“จะว่าไงดีล่ะ...ผมเป็นพวกตรงๆ เลยไม่ชอบพวกที่ใส่หน้ากากแบบลุงเท่าไหร่ประมาณนี้แหละ” เคียวอธิบายเพิ่มเติม “ไอ้การพยายามทำให้เหมือนตัวเองเป็นพวกไร้ความรู้สึกเนี่ยผมขอบอกตามตรงเลยว่าโคตรน่ารำคาญอ่ะ”
“ดูออก?” มาซาโอมิถึงกับเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ...ปกติท่าทางที่เขาแสดงออกมานั้นไม่มีใครจับได้แม้แต่ความเดียวว่านั้นไม่ใช่ตัวตนของเขา แม้แต่ลูกชายของเขาเองก็ตาม...
...คนคนเดียวที่ดูเขาออกนั้นที่ผ่านมามีเพียงภรรยาเขาเท่านั้น...แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงดูออกกัน?
“แหละสิลุง ไม่ได้ตาบอดนิ” เคียวสวนกลับทันควัน
“ปากอย่างนี้รอดมาจนปานนี้ได้เนอะ” มาซาโอมิส่ายหน้าไปมาอย่างขำๆ
“แน่ล่ะ เจ๋งซะอย่าง” เคียวเอ่ย
“เธอนี่นาสนใจดีนะ” มาซาโอมิหลุดขำออกมาน้อยๆ ...อย่างที่เขาไม่เคยทำมานานนับตั้งแต่วันที่ภรรยาตนเสียไป...
...ดูท่าตำรวจที่มาคุ้มกันเขาคนนี้จะมีอะไรให้ดูมากกว่าที่คิดแล้วสิ....
“คงงั้น” เคียวยักไหล่น้อยๆ
“ว่าแต่ฟุริฮาตะคุง...” มาซาโอมิเหล่มองคนผมน้ำตาลข้างๆ “...เธอ...อายุเท่าไหร่?”
“ราวๆ ยี่สิบสองมั้ง จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน” เคียวเกาหัวนิดๆ ...เพราะมัวแต่ทำงานเลยไม่ได้ใส่ใจอายุตัวเองเท่าไหร่เลยเริ่มลืมๆ แล้วเหมือนกัน
“...ทำอีท่าไหนมาเป็นตำรวจได้เนี่ย?” มาซาโอมิถึงแม้รู้สึกตงิกๆ ที่รายนี้หน้าเด็กขนาดนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่พวกหน้าเด็กหากแต่เป็นเด็ก (เมื่อเทียบอายุกับเขานะ) จริงๆ นิ...
...อายุเท่านี้น่าจะเพิ่งเรียนจบด้วยซ้ำ...
“ก็อีท่านี่แหละ” เคียวที่ไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาที่ได้รับนักเพราะคนส่วนใหญ่มักเป็นแบบนี้เมื่อรู้อายุตนอยู่แล้วยักไหล่น้อยๆ
“ทำงานมากี่ปีแล้ว?” มาซาโอมิถามต่อ
“ห้าหกปีแล้วลุง” เคียวตอบกลับหน้าตาเฉย
“...” คราวนี้มาซาโอมิถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นตำรวจตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ...และถ้าไม่ติดว่าเขาดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกเขาคงไม่มีทางเชื่อแน่...
...บางทีคนคุ้มกันเขาคงไม่ปกติเกินในระดับธรรมดาไปแล้วแฮะ...
เวลาผ่านไป นับตั้งแต่นายฟุริฮาตะ เคียวได้รับหน้าที่มาคุ้มครองนายอาคาชิ มาซาโอมิได้ผ่านมาเกือบเดือน พ่อนักธุรกิจใหญ่ก็โดนลอบทำร้ายตามจดหมายขู่แบบไม่เว้นวันแต่สิ่งที่ทำให้มาซาโอมิหนักใจมากที่สุดหาใช่การโดนลอบทำร้ายหรือปัญหาทางธุรกืจแต่อย่างใด แต่เป็น...นายตำรวจที่ถูกส่งมาคุ้มครองตนกับสารพัดวิธีจัดการคนของรายนี้ต่างหาก เล่นซะคนที่เคยคิดว่าอะไรในโลกก็ทำให้สะท้นสะท้านไม่ได้อย่างมาซาโอมิเหวอไปหลายรอบ เท่านั้นยังไม่พอยังสร้างเรื่องปวดจิตลามไปถึงตับแบบไม่เว้นวันอีก...
...ทำให้อาคาชิ มาซาโอมิเข้าใจคำว่าสติแตกอย่างแจ่มแจ้งก็คราวนี้นี่แหละ...และนับวันเขายิ่งบ้าตามรายนี้แล้วด้วยสิ
“อย่าพังโคมไฟนะเว้ย!” เสียงแว๊ดลั่นจากเจ้าของบ้านที่ปกติมักสุขุมได้ตลอดเวลาราวหุ่นยนต์ดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มผมน้ำตาลที่เป็นคนคุ้มกันคนยามนี้...ไปโหนโคมไฟติดเพดานบ้านตนเสียแล้ว และมันคงไม่น่าปวดหัวเท่าไหร่ถ้าไม่ติดว่าโคมไฟนั้นอยู่สูงจากพื้นกว่าห้าเมตรซึ่งเป็นที่ที่คนปกติไม่น่าปีนขึ้นไปเล่นได้เลย
“แหม นิดๆ หน่อยๆ น่าลุง” ตัวต้นเรื่องหรือนายฟุริฮาตะ เคียวเอ่ยอย่างเริงร่าพลางโดดลงจากความสูงห้าเมตรได้อย่างสบายๆ มายืนข้างๆ คนที่หัวหงอกเพิ่มขึ้นมาหลายเส้น (?)
“เธอนี่มันจอมทำลายล้างจริงๆ” มาซาโอมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ดีนะคราวนี้ไม่มีอะไรพัง
“เพิ่งรู้หรือไงลุง” เคียวถามกลับ
“เพิ่งมั่นใจต่างหาก” มาซาโอมิรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ารายนี้มีพลังการทำลายล้างสูง...ทั้งกับสิ่งของภายนอกทั้งจิตเลยล่ะ “และอย่าคิดจะไปโหนในที่อันตรายๆ เล่นอีกเชียวนะ!”
“แค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอกน่า” เคียวทำปากจู่เมื่อโดนดักขณะที่ตนจะไปโหนราวบันไดชั้นสองต่อ
“แต่คนมองจะหัวใจวายตาย!” มาซาโอมิแยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่ม ซึ่งเป็นการกระทำที่เจ้าตัวไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็นเท่าไหร่นัก...แต่สำหรับรายนี้ยกเว้นเถอะ ปวดจิตเกินรับจริงๆ
“ไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า ยิ่งอยู่กับผม ลุงยิ่งหัวใจแข็งแรงนะ” เคียวเอ่ยด้วยความมั่นใจสุดแสนจนน่าถีบ
“เออ!” มาซาโอมิไม่เถียงว่าอยู่กับรายนี้มีเรื่องให้บริหารหัวใจจนแข็งแรงจริงๆ เพราะเจอเรื่องให้ปวดจิตปวดใจมันทุกวัน! แถมหัวใจจะวายมันทุกวัน! ไม่แข็งแรงให้รู้ไปเถอะ!
“ว่าแต่...วันนี้ลุงต้องออกไปข้างนอกไหมเนี่ย?” เคียวที่ทำไม่รู้ไม่ชี้กับสีหน้าเหมือนกินยาขมของอีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้น
“ต้อง” มาซาโอมิตอบสั้นๆ
“งั้นคราวนี้ต้องเพิ่มความระวังเป็นพิเศษหน่อยล่ะ” เคียวฉีกยิ้มร่า
“ทำไม?” มาซาโอมิถามกลับ
“ก็...” เคียวเอียงคอน้อยๆ ในขณะที่กระจกหน้าต่างแตกออกแล้วมีวัตถุกลมๆ พุ่งเข้ามา...ซึ่งชายหนุ่มก็รับสิ่งนั้นแล้วโยนออกไปด้วยความเร็วแสง จากนั้นไม่นานเสียงระเบิดดังสนั่นก็ดังขึ้นมา “...คราวนี้ดูท่าพวกที่จะเล่นงานลุงขี้เกียจเล่นไล่จับแล้วล่ะ”
“...เข้าใจล่ะ” มาซาโอมิพยักหน้ารับพลางมองหน้าต่างที่แตก...สงสัยเขาต้องเปลี่ยนเป็นกระจกกันกระสุนแทนแล้วสิ “คราวนี้พวกนั้นเยอะจนเธอจัดการไม่ได้หรือ?”
“เปล่า ผมกลัวว่าตัวเองจะนึกสนุกลงมือจนเผลอแจกลูกหลงไปทั่วต่างหาก” เคียวยักไหล่น้อยๆ
“...” ...หาคำว่าปกติไม่ได้เหมือนเคย
“อ๋อ และลุง...วันนี้ลุงตามผมไปที่หนึ่งหน่อยสิ” เคียวที่ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออกถามขึ้น
“ได้ ที่ไหนล่ะ?” มาซาโอมินึกแปลกใจนิดๆ เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยแบบนี้เพราะปกติมักป่วนเขามากกว่าบอกว่าอยากไปที่อื่น
“บ้านผม จะไปเอาเสื้อผ้าเพิ่ม” เคียวตอบง่ายๆ สั้นๆ
“เอาของที่นี่ใส่ก็ได้นิ?” สำหรับมาซาโอมิแล้วแค่เสื้อผ้านั้นสามารถหาให้รายนี้ใหม่ได้ตามต้องการเลยด้วยซ้ำ
“ไม่เอาล่ะ แพง...ถ้าขาดขึ้นมาผมจะใช้กี่ชาติหมดล่ะ” เคียวส่ายหน้าแบบไม่เอาเด็ดๆ
“ไอ้โคมไฟที่เธอไปเล่นเมื่อกี้แพงกว่าอีกนะ...” มาซาโอมิบ่นออกมาเบาๆ
“ผมมีเพื่อนที่ซ่อมโคมไฟเป็น เพราะงั้นต่อให้พังก็ไม่มีปัญหา” เคียวเถียงกลับ
“...” มาซาโอมิกรอดตาไปมาอย่างพูดไม่ออกจริงๆ งานนี้
“งั้นตกลงตามนี้นะลุง” เคียวเอ่ย
“อื้ม” มาซาโอมิที่ขี้เกียจเถียงอะไรมากมายขานรับไปส่งๆ
“อ๊ะ แล้วก็นะ...” เคียวที่ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออกอีกครั้งเอ่ยขึ้นมา “...ช่วงนี้เรามาจับคนร้ายกันเล่นดีไหมลุง?”
“หื้อ? คิดจะจับคนร้ายแล้วเหรอ? เบื่อเล่นแล้วหรือไง?” มาซาโอมิถาม...เขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เก่งขนาดสามารถจับคนร้ายได้ง่ายๆ แต่ที่ไม่ทำเนี่ยเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...
...อาจแค่อยากเล่นหรือกลัวทำคนปวดจิตจนถึงขั้นช็อตตายก็ได้ ใครจะรู้
“เปล่าหรอกลุง แต่...” เคียวทำหน้าครุ่นคิดเหมือนไม่แน่ใจว่าจะบอกดีไหม “...ผมได้รับรายงานจากไอ้เซย์...เพื่อนที่สถานีน่ะมาบอกว่าลูกน้องของคนร้ายที่จับได้คราวก่อนมันยอมสารภาพมาว่าถ้าในสัปดาห์นี้จัดการลุงไม่ได้จะเล่นงานลูกชายลุงแทนน่ะ”
“ว่าไงนะ!?” มาซาโอมิถึงกับร้องลั่น...นี่มันคิดจะเล่นงานลูกเขาแทนเหรอ!?
“ก็อย่างที่บอกไป” เคียวตอยกลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ไม่ต้องห่วง...ผมฝากให้อาเจ๊ไปแอบดูแลลูกลุงแล้ว...ดีที่รายนั้นบังเอิญหน้าเด็กเนี่ย เพราะงั้นต่อให้พวกมันเปลี่ยนแผนกระทันหันก็ไม่เป็นไรหรอก”
“...แน่ใจว่าไม่เป็นไร?” มาซาโอมิถามอย่างไม่แน่ใจ...การคุ้มกันคนไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะ แถมจากคำว่าเจ๊นี่น่าจะเป็นผู้หญิงด้วยสิ
“แน่นอน รายนั่นอาจารย์สอนต่อสู้ผม...แถมผมยังไม่เคยชนะรายนั้นแม้จะเอาจริงแค่ไหนเลยด้วย” เคียวยิ้มร่าอย่างมั่นใจ “เจ๊แกเทพกว่าผมอีก แค่คนสักทัพสองทัพไม่คณามือหรอก”
“โอเค เข้าใจล่ะ” มาซาโอมิพยักหน้ารับเชิงเข้าใจ...ถ้าลูกศิษย์ยังเก่งโคตรขนาดนี้ อาจารย์ก็คงไม่นาห่วงสักเท่าไหร่...
...ว่าแต่ชักอยากเห็นหน้าอาจารย์หมอนี่แฮะ และอยากรู้ด้วยอาจารย์มันอดทนสอนมันจนจบได้ไง กวนขนาดนี่เนี่ย...
“งั้นไปกันเถอะ!” เมื่อคุยกันเสร็จเรียบร้อยกันแล้ว นายตำรวจหนุ่มก็จัดการ ‘ลาก’ นายมาซาโอมิออกจากบ้านไปแบบไม่เกรงใจว่าอีกฝ่ายนั้นรุ่นราวคราวพ่อตนก็ตามและ...พอออกมาข้างนอกแล้วการกระทำของเคียวแต่ล่ะอย่างในวันนี้ทำให้าซาโอมิรู้สึกว่าตนคิดผิดเหลือเกินที่ออกนอกบ้านในวันนี้ เพราะตลอดทางมีแต่คนร้ายดักเล่นงานจนต้องเคียวจัดการแบบชวนปวดจิตทุกรอบ ตอนไปบ้านเคียวก็มีคนดักเล่นงานอีก จนกลับมาก็ยังไม่วายมีมือปืนลอบยิงซึ่งเคียวก็ดันสามารถจัดการมือปืนด้วยกิ๊ปติดผมอันเดียวได้ไงไม่รู้...
...สรุปง่ายๆ คือวันนี้นายอาคาชิ มาซาโอมิเรียกได้ว่ากรอบไปทั้งตัวด้วยความเหนื่อยล้าทั้งทางกายและทางใจซึ่งมาจากนายฟุริฮาตะ เคียวล้วนๆ
“...วันนี้รู้สึกไปเองหรือเธอป่วนกว่าปกติเนี่ย?” หลังจากที่จัดการเรื่องงานและทานมื้อเย็นเรียบร้อยแล้วมาซาโอมิก็ทิ้งตัวลงบนเตียงแบบไม่อายใครอย่างหมดมาดนักธุรกิจผู้สุขุมไปเลย...วันนี้เหนื่อยกว่าทำงานแบบไม่หลับไม่นอนห้าวันติดอีก! (เออ ห้าวันไม่นอนนี่ยังคนหรือเปล่าตัวเธอ? // s , ฉันแค่เปรียบเทียบ... // มาซาโอมิ)
“รู้สึกไปเองมั้งลุง ผมก็ปกติดีนิ” ส่วนทางตัวต้นเหตุนั้นยังยิ้มรื้นเริงอยู่แบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่น้อย
“ถ้าเธอปกติ ทั้งโลกคงไม่มีคำว่าปกติแล้วล่ะ” มาซาโอมิบ่นออกมาเบาๆ
“ว่าไงนะลุง?” เคียวที่ไม่ทันฟังที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่ถาม
“เปล่า” มาซาโอมิปฏิเสธหน้าตาย “แล้ววันนี้ไม่ไปตรวจตราหรือกลับห้องตัวเองหรือไง?”
“ไม่ล่ะลุง วันนี้ต้องเฝ้าเป็นพิเศษหน่อยน่ะ” เคียวเอ่ยพลางโดดขึ้นเตียงชาวบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเตียงเลย
“แล้ว?” มาซาโอมิที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เคียวกระทำในตอนนี้เท่าไหร่นักถาม...ถึงปกติเขาจะเดาท่าทางและความคิดคนอื่นได้บ้าง แต่สำหรับรายนี้เดาไม่ออกจริงๆ คิดจะทำอะไรก็ทำเนี่ย
“ผมเลยจะนอนกับลุงเนี่ย” เคียวตอบหน้าตาเฉย
“แค่ก!” พอได้รับคำตอบมาซาโอมิก็ถึงกับสำลักลมหายใจตัวเอง “เมื่อกี้ว่าไงนะ!?”
“ผมจะนอนกับลุงวันนี้...ก็พวกนั้นเล่นจ้องเล่นงานตลอดเวลาแบบนี้ต้องตัวติดๆ กันไว้สิ” เคียวตอบราวเป็นเรื่องปกติธรรมดา
“นี่เธอบ้าหรือบื้อเนี่ย...มีอย่างที่ไหนมาขอร่วมเตียงคนอื่นหน้าด้านๆ ห๊า!?” มาซาโอมิอยากบ้าตายกับชายหนุ่มคนนี้จริงๆ นี่เขาควรออกเงินค่าคอสเสริมการดำรงชีวิตในสังคมให้รายนี้หรือออกค่าตรวจเช็คสมองให้ดีไหมเนี่ย?! จะได้มีสามัญสำนึกแบบคนปกติธรรมดาบ้าง!
“ก็อย่างนี่แหละ” เคียวยักไหล่น้ยๆ
“ให้ตายเถอะ ตอนเธอคุ้มครองคนอื่นก็แบบนี้หรือไง?” มาซาโอมิถาม...ซึ่งไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่มาซาโอมิรู้สึกว่าเสียงตนนั้นดูเหี้ยมๆ ชอบกล
“เปล่า” เคียวที่ไม่ทันนึกสนใจในน้ำเสียงอีกฝ่ายเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังมีอารมณ์เหมือนพ่ออยากสั่งสอนลูกอยู่ส่ายหน้าวืด “ผมเพิ่งเคยรับงานคุ้มครองคนก็ลุงรายแรกเลย”
“ห๊า?” คราวนี้มาซาโอมิเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ...คนเก่งขนาดนี้เพิ่งเคยได้รับงานคุ้มครองคนครั้งแรก ทั้งๆ ที่น่าจะเคยคุ้มครองพยานหรืออะไรแบบนี้มาก่อนแท้ๆ
“ก็ปกติชาวบ้านกลัวว่าผมจะทำให้ปวดจิตตายเข้าน่ะเลยให้ผมทำงานพวกไล่จับคนร้ายหรืออะไรแบบนี้มากกว่า แต่งานนี้เห็นว่างานใหญ่จริงๆ เลยส่งผมมาเนี่ย” เคียวอธิบาย
“...” ...โอเค เข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่าทำไมชาวบ้านถึงกลัวว่ารายนี่จะทำให้คนอื่นปวดจิต...ดูจากวีรกรรมแต่ล่ะอย่างถ้าไม่ติดว่าเป็นเขาที่ค่อนข้างใจแข็งอยู่บ้างคงได้ซ็อกตายไปจริงๆ สักวันแน่ๆ
“ก็ตามนี่ล่ะนะ” เคียวกระดึบๆ กับซุกในผ้าห่มหน้าตาเฉย “ราตรีสวัสดิ์ลุง”
“เฮ้ย! นี่ฉันอนุญาตตอนไหนเนี่ย!?” มาซาโอมิโวยใส่คนที่มาร่วมเตียงตนหน้าตาเฉย “นี่! ฟุริฮาตะ เคียว!”
“คร่อก...” หากแต่สิ่งที่นักธุรกิจหนุ่มได้กลับมาคือเสียงกรนจากคนอายุน้อยกว่า
“หลับเร็วไปแล้วนะ!” มาซาโอมิชักอยากเอาหัวโขกหมอนตาย...เพิ่งเคยเจอคนหัวถึงหมอนไม่ถึงห้าวิแล้วหลับนี่คร้งแรกเลยสิ “ให้ตายเถอะ! นี่รอดมาจนปานนี้ได้ไงกัน!?”
...เอาไงต่อดีวะ!?...
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นักธุรกิจหนุ่มอย่างอาคาชิ มาซาโอมิรู้จักคำว่าไปไม่เป็นเมื่อมีคนรุ่นราวคราวลูกมานอนหลับข้างๆ หน้าด้านๆ แบบนี้...จะเอาไงต่อดีวะ...
...นอนโดยไม่สนใจ? ...ทำไม่ได้อีก เขาไม่ด้านขนาดนั้น...
...ถีบตกเตียง? ...ก็ทำใจร้ายขนาดนั้นไม่ได้อีกแหละ...
...ลักหลับ...จะบ้าหรือไง!? ใครจะไปทำวะ!?...
มาซาโอมิแทบกัดลิ้นตัวเองตายเมื่อความคิดพิสดารดันพุดขึ้นมาในหัวตนเสียได้...และถ้าเขาเผลอทำจริงขึ้นมาเขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแน่ที่ทำตัวเป็นคนโรคจิตเนี่ย!
“นี่มันเกิดบ้าอะไรกับฉันเนี่ย?” มาซาโอมิบ่นกับตัวเองเบาพลางเอานิ้วไปจิ้มๆ แก้มคนที่หลับอยู่...อื้ม แก้มนิ่มกว่าที่คิดแฮะ
“งื้อ~~ โคกิพี่จะนอน~~~” เคียวพลิกตัวหนีก่อนที่จะมุดลงไปในกองผ้าห่ม
“ขี้เซา” มาซาโอมิหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดูอีกฝ่ายอย่างน่าประหลาด...ทั้งที่ความรู้สึกนี่ไม่น่าเกิดกับใครได้นอกจากคนในครอบครัวเขาแท้ๆ “...นี่นายทำอะไรกับฉันกันแน่เนี่ย?”
...แล้วคืนนี้เขาจะหลับลงไหมเนี่ย?...
จิ้บ...จิ้บ...
เสียงนกร้องเจี้ยวจ้าวเสียงจนน่าจับนกมาย่างกิน (?) ค่อยๆ ปลุกให้ร่างของชายหนุ่มผมน้ำตาลที่นอนหลับบนเตียงตื่นขึ้นมาจากนิทราอย่างเกียจคร้าน ร่างสูงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมานั่งด้วยความงวยเงีย
“หาว...” นายตำรวจหาวหวอกๆ พลางขยี้ตาตัวเองเบาๆ
“ตื่นแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มผู้มีดีกรีเป็นนักธุรกิจใหญ่เอ่ยถามเบาๆ กับคนที่เพิ่งตื่น
“อรุณสวัสดิ์ลุง ตื่นเช้าจังนะ” เคียวเอ่ยทักทายคนอายุมากกว่าทีนั่งข้างๆ ตน
“...” มาซาโอมิไม่ตอบอะไรเพียงพยักหน้ารับคำทักทายเมื่อครู่ ในขณะที่ในใจนั่น...
...ตื่นเช้าบ้าสิ เขาไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ!...
“วันนี้อากาศดีเหมาะแก่การเล่นไล่จับเนอะ” เคียวที่เริ่มดึงสติเข้าร่างได้แล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อย
“ครึมฟ้าครึ้มฝนแบบนี้เนี่ยนะ?” มาซาโอมิมองนอกหน้าต่างที่มีแต่เมฆดำเต็มท้องฟ้า...มองยังไงก็คงไม่เด็กที่ไหนคิดว่าอากาศแบบนี้เหมาะแก่การไปเล่นไล่จับนอกบ้านแน่
“ช่ายยยยย” เคียวลากเสียงยาวก่อนที่จะยกมือรับบางสิ่งที่พุ่งทะลุกระจกเข้ามา “เพราะพวกนั้นก็มาต้อนรับแต่เช้าเลยล่ะ”
“...ปฏิกิริยาเธอก็ยังไวจนน่าตะลึงเหมือนเดิมเลยนะ” มาซาโอมิถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางมองเคียวที่รับ ‘ขวาน’ ที่ถูกเขวี้ยงเข้ามาได้ด้วยมือเปล่าอย่างน่าเหลือ พอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบคนไม่น่าไว้ใจจำนวนหนึ่งยืนดักอยู่
“ก็นะ” เคียวยิ้มร่า “ขอออกไปลุยแป๊บนะลุง อย่าเพิ่งให้ใครเข้าใกล้ระหว่างที่ผมไปจัดการล่ะ และ...บางทีคนใกล้ตัวก็อันตรายกว่าที่คิดนะลุง”
“อื้ม” มาซาโอมิพยักหน้ารับ และคำตอบนั้นทำให้นายฟุริฮาตะ เคียวรีบโดดออกไปตะลุมบอนกับชาวบ้านทันทีราวกับกลัวว่าถ้าช้า พวกนี่จะหนีไปเสียก่อน...และภาพนี้ทำเอามาซาโอมิรู้สึกขำกึ่งปลงเสียไม่ได้ พร้อมกันนั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น “อะไร?”
“ท่ามาซาโอมิ! รีบหนีเถอะครับ! คนร้ายมันเข้ามาเต็มไปหมดแล้ว!” เสียงของคนที่มาซาโอมิจำได้ว่าเป็นหนึ่งในการ์ดของตนดังขึ้น
“...” มาซาโอมินิ่งเงียบ ไม่สนใจคำพูดของคนที่อยู่นอกห้องเท่าไหร่นัก
“ท่านมาซาโอมิ!” เสียงเรียกดังขึ้นมาอีกที
“ฉันจะอยู่นี่แหละ...” ...อยู่ดูไอ้เด็กบ๊องบางคนซัดคนปลิวราวในหนังเนี่ย
“ท่านมาซาโอมิ!!!” คราวนี้ไม่ได้มาแค่เสียง คนที่อยู่นอกห้องเมื่อครู่ยังพังประตูห้องเข้ามาเสียอีก “รีบหนีเถอะครับ!”
“ไม่” มาซาโอมิถอยห่างคนที่เข้ามาในห้องเล็กน้อย ดวงตาสีแดงสดหรี่ลงจนดูน่ากลัว...เขารู้ว่าบอดี้การ์ดของเขาแต่ล่ะคนรู้ดีว่าคำสั่งเขาถือเป็นเด็ดขาด ต่อให้ห่วงเขาขนาดไหนก็ไม่มีทางพังประตูเข้ามาทั้งๆ ที่เขาห้ามไว้แน่ถ้าไม่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง “และไม่ต้องแสดงละครแล้วยามะ...ไม่ต้องเตรียมมีดมาจ้วงใส่ฉันด้วย”
...คนใกล้ตัวอันตรายกว่าที่คิด...ความจริงรู้ตัวว่าคนร้ายคือบอดี้การ์ดประจำตัวเขาเองอยู่แล้วสินะ ฟุริฮาตะ เคียว...
“พ...พูดอะไรกันครับ” ชายที่ถูกเรียกยามะถามเสียงสั่นๆ
“อย่าคิดว่าฉันดูไม่ออก” มาซาโอมิทำเสียงเข้ม “ถึงถ้าเป็นปกติจะไม่ค่อยสังเกตก็เถอะ เพราะไม่คิดว่าขนาดเช็คประวัติจนละเอียดแล้วจะมีคนคิดไม่ดีแฝงมาทำร้ายฉันได้ แต่พอดีเพราะคำเตือนของฟุริฮาตะคุงนั้นทำให้ฉันเอ๊ะใจพอดีน่ะ”
“หน็อย!” ยามะกัดฟันกร็อดพร้อมชักมีดออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่มาซาโอมิ “อย่าคิดว่าไอ้ตำรวจเพี้ยนนั้นจะมาช่วยทันเลย! ตายซะ!”
“เฮ้ๆ ว่าใครเพี้ยนมิทราบ?” เสียงกวนๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับร่างของเคียวโผล่มาปัดมีดออกมือคนร้ายอย่างง่ายดายและ...เอารองเท้าของใครไม่รู้ปาใส่หัวยามะอย่างแรงจนล้มลงไปชักกระแด็วๆ ไปในเวลาต่อมา “และบอกแล้วไม่ใช่เหรอลุงว่าอย่าเพิ่งให้ใครเข้าใกล้น่ะ?”
“มันพังประตูเข้ามาเอง ฉันไม่เกี่ยว” มาซาโอมิยักไหล่น้อยๆ พลางเหล่มองด้านนอกที่...เละสนิก และดูท่าเขาต้องจ้างคนมาจัดการสวนใหม่ทั้งหมดเลยมั้งเนี่ย “เธอรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าคนร้ายคือยามะ?”
“ตั้งแต่แรก” เคียวตอบ...เขารู้ว่ารายนี้เป็นคนร้ายตั้งแต่ลุงแกพาไปแนะนำกับทุกคนภายในบ้านเพื่อกันคนอื่นเข้าใจผิดว่าเขาเป็นโจรแล้วล่ะ เล่นปล่อยรังสีอาฆาตเสียจนชัดเจนขนาดนั้น
“แล้วยังปล่อยไว้?” มาซาโอมิถามต่อ
“กลัวลุงไม่เชื่อนิ เขาว่าคนแก่หัวแข็งกันนะ” เคียวตอบแบบ...น่าถีบสักทีเหลือหลาย
“...ปากกวนส้นได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ” มาซาโอมิแยกเขี้ยวใส่
“ผมนับว่าเป็นคำชมนะ” เคียวหัวเราะหึๆ ก่อนที่จะหยิบมือถือเนียกเพื่อนร่วมงานตนมาเก็บซาก เอ้ย! มาจับคนร้ายไปสอบสวนต่อไป...และนั้นทำให้เวลาเพียงไม่นานรถตำรวจบวกรถพยาบาลจำนวนมากมาอยู่ในบริเวณบ้านของอาคาชิ มาซาโอมิแล้วพาคนร้ายไปสอบสวน
จากนั้นราวๆ สามวันคนร้ายทั้งหลายก็สารภาพว่าถูกจ้างโดยนายยามะให้ทำร้ายมาซาโอมิ ทางยามะเองก็ยอมสารภาพว่าที่ทำไปทั้งหมดเนื่องจากก่อนหน้านี้มาซาโอมิได้ไปเปิดร้านขายของซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจในเครือของอาคาชิขึ้นและบังเอิญว่ามันไปตั้งใกล้ๆ บ้านยามะที่เป็นร้านขายของประเภทเดียวกับพอดีจนทำให้ร้านของทางยามะขาดทุนจนต้องปิดตัวไปในที่สุด และเพราะความแค้นเรื่องนี้ทำยามะตัดสินใจแก้แค้น...ซึ่งคำสารภาพเหล่านี้เป็นตัวช่วยในการปิดคดีนี้ลงได้ในที่สุด
“เรียบร้อยแล้ว ผมกลับก่อนล่ะลุง ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวมาหลายวันเด้อ” เคียวที่เก็บกระเป๋าเพื่อกลับบ้านตัวเองเอ่ยอย่างเริงร่าตามประสา
“และควรขอบคุณที่ฉันไม่คิดค่าเสียหายที่เธอทำไว้ด้วย” มาซาโอมิเอ่ยอย่างติดตลกเล็กน้อยกับนายเคียวที่ดูท่ารื่นเริงจนน่าถีบ
“อย่าว่างั้นดิลุง” เคียวยิ้มร่าก่อนที่จะโดดข้ามรั้วบ้านสูงกว่าสามเมตรไปหน้าตาเฉยราวกับกลัวว่าจะโดนเรียกเอาค่าเสียหายจริงๆ โดยไม่ลืมโบกมือลาคนอายุมากกว่า “ไปล่ะ!”
“เฮ้อ...” มาซาโอมิถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ เมื่อนายตำรวจสุดป่วนไปพ้นเขตบ้านตน...ในที่สุดชีวิตเขาก็กลับคืนสู่ความสงบแล้วสินะ...
...แต่ทำไม...ทั้งที่ควรดีใจเขากลับรู้สึกใจหายล่ะ?
...น่าเบื่อจริง...
ความคิดที่อันเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายเกิดขึ้นไม่หยุดภายในหัวของนักธุรกิจใหญ่อย่างอาคาชิ มาซาโอมิ เจ้าตัวมองกองเอกสารตรงหน้าพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ตลอดมาเขาไม่เคยนึกเบื่องานตัวเองได้ขนาดนี้เลยนะ แต่ทำช่วงนี้เขาถึงเบื่อนักกัน...
...ไม่สิ พูดให้ถูกคือเขาเริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิตขนาดนี้ตั้งแต่นายตำรวจที่ทำการคุ้มกันเขากลับบ้านตัวเองไปนั้นแหละ...และคาดว่าสาเหตุหลักๆ ของความเบื่อคือมาจากการที่รายนี้ไม่อยู่ข้างกายแน่นอน
...ดูท่าเขาจะหลงไอ้เด็กจอมกวนนั้นจริงๆ แล้วสิ...
มาซาโอมิได้เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ถึงเขาไม่อยากยอมรับ แต่เขามีความรู้สึกดีๆ เหมือนตอนที่เขาหลงรักภรรยาเขากับนายตำรวจคนนั้น และความจริงถึงอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่เขาสนที่ไหนกันล่ะ...
...ปัญหาคือลูกชายเขานี่สิ...ถ้าหาแม่ใหม่ให้จะยอมไหมเนี่ย? แถมแม่เป็นผู้ชายอีก ถึงปกติเขาจะไม่ค่อยสนิกกับลูกชายเพราะจำเป็นต้องสอนลูกชายตามสูตรประจำตะกูลเขา (?) ไม่งั้นโดนพวกพ่อแม่เขาเขกหัวตายแหง (?) แต่เขาก็ไม่คิดว่าลูกชายตัวดีของตนจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆ หรอก
“ตอนนี้ทำอะไรอยู่นะ...” มาซาโอมิบ่นขึ้นมาลอยๆ พลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน...
...คิดถึงจังแฮะ ไปหาดีไหมเนี่ย? แล้วถ้าจะไปหาใช้ข้ออ้างอะไรดีหว่า?...
ก๊อกๆ ...
“เชิญ” มาซาโอมิที่กำลังเบื่ออยู่นั้นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูก็เด้งตัวนั่งตรงพร้อมเก๊กทำเป็นเคร่งเครียดตามปกติ (?) ก่อนเอ่ยอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา จากนั้นชายในชุดบอดี้การ์ดคนหนึ่งก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง “มีอะไร?”
“นายน้อยมาหาครับ!” บอดี้การ์ดหนุ่มตอบ
“เดี๋ยวไป” มาซาโอมิพยักหน้ารับเชิงเข้าใจก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปหาลูกชายตน...ถึงแม้จะแปลกใจที่คราวนี้ลูกชายตนเป็นคนมาหาเอง ทั้งที่ปกติถ้าเขาไม่เรียกก็ไม่เคยโผล่หน้ามาหาด้วยซ้ำ...
...แต่เรื่องนั้นก็คงโทษใครไม่ได้ นอกจากตัวเขาที่เข้มงวดเกินไปล่ะนะ...
มาซาโอมิเดินไปตามทางเพื่อเดินไปยังห้องรับแขก...ที่ทุกครั้งที่ลูกชายตนมาหามักใช้คุยกัน และเมื่อไปถึงนักธุรกิจหนุ่มก็พบว่าคนที่นั่งอยู่ไม่ได้มีเพียงลูกชายตนเพียงคนเดียวเท่านั้น
“สวัสดีครับ คุณพ่อ” เด็กหนุ่มผมแดงเอ่ยทักมาซาโอมิอย่างมีมารยาท หากแต่ก็ดูห่างเหินกันเกินคำว่าพ่อลูกด้วยเช่นกัน
“อื้อ แล้วข้างๆ นั้น?” มาซาโอมิขานรับก่อนที่จะเบนสายตาไปยังเด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่นั่งอยู่ข้างๆ ลูกชายตนซึ่งหน้าตาอีกฝ่ายนั้น...ดูคล้ายกับใครบางคนที่มาซาโอมิรู้จัก และคงดูคล้ายมากกว่านี้หากเด็กหนุ่มไม่สั่นปานลูกสัตว์เล็กๆ ตั้งแต่ตนเดินเข้ามาภายในห้อง
“นี่ฟุริฮาตะ โคกิ...คนรักของผมเอง...” อาคาชิ เซย์จูโร่ทายาทเพียงคนเดียวของตะกูลอาคาชิเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “...และผมพาโคกิมาแนะนำกับคุณพ่อครับ คุณพ่อโปรดอนุญาตไม่ต้องให้ผมไปดูตัวในเดือนหน้าด้วยครับ”
“...” มาซาโอมิอึ้งเล็กน้อยที่ลูกชายตัวดีที่ดันเกิดบ้า กล้าพาคนรักมาแนะนำตัวกับที่บ้านก่อนที่จะถูกส่งไปดูตัวตามที่เขาบอก หากนั้นยังไม่น่าตกใจเท่ากับการที่แฟนลูกชายดันบังเอิญคล้ายใครบางคนเขา “ฟุริฮาตะ โคกิ?”
...ถ้าจำไม่ผิดฟุริฮาตะคุงเคยละเมอถึงน้องตัวเองที่ชื่อโคกิเหมือนกัน...หรือว่านี่คือน้องรายนั้น!? ถ้าใช่พูดได้เลยว่านอกจากหน้าคล้ายแล้วที่เหลือไม่เหมือนกันสักนิ!...
“ค...ครับ” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลขานรับ
“เธอมีพี่ชายชื่อฟุริฮาตะ เคียวหรือเปล่า?” มาซาโอมิถามต่อ
“ครับ” โคกิ (ฟิคนี้ขอใช้ชื่อจริงกันแทนเพื่อกันการสับสนเด้อ // s) ขานรับอีกรอบ
“พี่ชายเธอเป็นตำรวจใช่ไหม? แถมแรงช้างสาร อึดถึกเกินคนบวกกวนประสาทด้วยสินะ?” มาซาโอมิถามต่อเพื่อความมั่นใจ
“ครับ” โคกิขานรับอีกระรอบ
“อื้ม...” มาซาโอมิทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย...ไม่คิดเลยว่าน้องของฟุริฮาตะ เคียวจะเป็นเด็กดีขนาดนี้ ทั้งที่คนพี่ออกบ้าๆ บอๆ แท้ๆ ...
...หรือว่าความบ้าไปตกที่พี่หมด คนน้องเลยเป็นเด็กดีหว่า?
“คุณพ่อ...” เซย์จูโร่ทำท่าหง่อยๆ คล้ายกลัวว่าผู้เป็นพ่อจะไม่อนุญาตให้ตนคบกับคนรักต่อไป...เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาต้องหาแผนสองแล้วล่ะ
“พ่อจะอนุญาตให้ลูกไม่ต้องไปดูตัวก็ได้” มาซาโอมิที่พอเดาสีหน้าลูกชายตัวเองออกเอ่ยพลางนึกขำในใจ...นึกเขาเขาใจร้ายถึงขนาดไม่ยอมเรื่องแบบนี้หรือไง?
“จริงเหรอครับ!?” เซย์จูโร่ถามอย่างดีใจ
“แต่มีข้อแม้นะ” มาซาโอมิฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์...รู้สึกว่าเขาจะเริ่มหาข้ออ้างไปหาฟุริฮาตะ เคียวได้แล้ว แถมคราวนี้ปัญาต่างๆ เขาก็จะตัดออกไปได้แล้วด้วยสิ
“คืออะไรครับ?” เซย์จูโร่ยามนี้จะให้ไปบุกน้ำลุยไฟอะไรก็ยอมหมดแหละ
“สำหรับเซย์จูโร่...” มาซาโอมิเหล่มองยังเด็กหนุ่มผมแดง “...ลูกต้องอนุญาตให้พ่อหาแม่ใหม่ให้ลูกนะ”
“...” เซย์จูโร่ชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคนี้ แต่เมื่อนึกเทียบความคุมค่ากับการที่ตนสามารถคบกับฟุริฮาตะ โคกิต่อไปได้แล้ว เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะพยักหน้ารับ “...ครับ”
“ส่วนทางฟุริฮาตะคุง...” พอได้รับคำตอบจากลูกชายตัวดีแล้ว มาซาโอมิก็เหล่มองเด็กหนุ่มผมน้ำตาลต่อ
“ค...ครับ...” โคกิขานรับอย่างกล้าๆ กลัวว่าอีกฝ่ายจะให้ตนทำอะไร
“เธอนั้น...” มาซาโอมิจงใจพูดเว้นช่วงให้อีกฝ่ายตื่นเต้นเล่น “...ต้องยอมให้ฉันจีบพี่ชายเธอ ตกลงไหม?”
“ครับ...ห๊า!?” โคกิที่เผลอขานรับไปตามสัญชาตญาณเมื่อได้สติก็หลุดร้องออกมาลั่น เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มผมแดงที่อ้าปากค้างอย่างหมดมาด ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมจับจ้องไปยังผู้เป็นบิดาตนด้วยความที่ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ก็อย่างที่บอก ฉันจะจีบพี่ชายเธอ” มาซาโอมิเมินท่าทีตกใจของเด็กหนุ่มทั้งสองพลางคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ...
...คราวนี้ฉันจะไม่ปล่อยเธอให้ห่างหายไปอีกแน่ ฟุริฮาตะคุง...
END
ความคิดเห็น