ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    fanfic knb by shiko

    ลำดับตอนที่ #141 : [AoKi] Light

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.2K
      22
      26 ก.พ. 59

    Title : Light

    Fandom : Kuroko no Basket

    Paring :  Aomine x Kise

    Notes : คราวนี้มาแบบดราม่าน่อ...เหมือนผลสอบเราที่รู้วันนี้ = =

    ปล. อาจมั่วเยอะหน่อยนะคราวนี้...หลายคนคงรู้สภาพก่อนสอบและหลังสอบดีสินะ? (พอดีสอบวันนี้แล้วรู้ผลมันวันนี้เลย)

    ................................................................

    Light

     

    ตึง...ตึง...

    เสียงก้าวเดินเบาๆ ดังขึ้นบนทางเดินอันแสนเงียบงันของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งจากชายหนุ่มคนหนึ่งผู้มีสีผิวเข้มจนแทบจะกลืนไปกับความมืดในยามราตรีเช่นตอนนี้ เส้นผมสีน้ำเงินเป็นประกายสวยงามตัดสั้นเต่อขยับเล็กน้อยตามการก้าวเดินของเจ้าตัว ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมที่คมดุจสัตว์ป่าเบนมองไปที่ห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งก่อนที่จะหยุดเดินอยู่ที่หน้าห้องนั้น

    ชายหนุ่มมองประตูตรงหน้าคล้ายชั่งใจว่าจะเปิดบานประตูตรงหน้านี่ดีหรือไม่

    "...มายืนจ้องประตูแบบนี้ระวังโดนเข้าใจว่าเป็นคนไข้โรคจิตหรือไงก็เป็นโจรล่ะ อาโอมิเนะ" เสียงหนึ่งที่ทักขึ้นมาทำให้ชายหนุ่มที่ยืนหน้าห้องพักผู้ป่วยหันไปมองทางต้นเสียง และพบกับ...ชายหนุ่มผมเขียวคนหนึ่งที่มือหนึ่งกำลังดันแว่นตาบนใบหน้าตน ขณะที่อีกมือถือปืนฉีดน้ำ (?) เอาไว้ ดวงตาสีมรกตจ้องมองมาที่ตน "ถึงตอนนี้นายจะเป็นตำรวจก็เถอะ แต่การแอบมาเยี่ยมผู้ป่วยตอนกลางคืนแบบนี้มันก็เป็นเรื่องไม่สมควรนะ"

    "รู้แล้วล่ะน่ามิโดริมะ..." อาโอมิเนะทำเสียงเซ็งๆ "...แต่ตอนกลางวันมีแต่พวกแฟนคลับหรือไม่ก็พวกนักข่าวมาเพียบจนฉันมุดเข้ามาหาไม่ได้นี่หว่า แถมฉันดันโดนหัวหน้าจับตามองมันตลอดเวลาจนหนีมาเยี่ยมไม่ได้เลย"

    "ก็ใครใช้ให้นายหนีงานบ่อยๆ ล่ะ?" มิโดริมะกรอดตาไปมา "และที่ฉันมาหาเนี่ยไม่ใช่จะมาห้ามนายหรอก ฉันรู้อยู่ว่าห้ามนายไปนายก็ไม่ฟัง แต่ฉันจะมาถามต่างหากว่านายมาลีลาอะไรอยู่หน้าห้องพักให้ชาวบ้านเขาจับได้ห๊า? แค่จะเปิดประตูเข้าไปในห้องพัก 'แฟน' ตัวเองยากนักหรือไง?"

    "ไม่ยาก แต่ฉันกลัวทำคิเสะมันตื่นวะ..." อาโอมิเนะหลบตาอีกฝ่าย "...และฉันแค่ไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปหาคิเสะมันดีหรือเปล่าน่ะ"

    "ไม่แน่ใจหรือว่ากลัวกันแน่?" มิโดริมะสวนกลับ

    "นายก็น่าจะรู้นี่นา? ว่าเป็นข้อไหน?" อาโอมิเนะตอบเสียงเบาอย่างผิดวิสัยคนที่ได้ชื่อว่าบ้าเลือดบวกอาโฮ่สุดๆ

    "เฮ้อ...นายนี่มันอาโฮ่สมชื่อจริงๆ ให้ตายเถอะ..." มิโดริมะส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ "...นายก็น่าจะรู้ดีนะว่าคิเสะไม่มีทางโกธรนายด้วยเรื่องนั้นหรอก แต่จะงอนนายถ้านายไม่ยอมเข้าไปหามากกว่า"

    "แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม...มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ฉันเป็นต้นเหตุให้คิเสะเป็นอย่างนี่หรอกนะ" อาโอมิเนะตอบกลับไป

    "นายนี่มันโทษตัวเองมากไปแล้วนะ..." มิโดริมะเดินเข้ามาหาคนผมน้ำเงินและ...ทำการเปิดประตูห้องพัก ก่อนถีบคนตัวใหญ่กว่าเข้าไปด้านในทันที "...เลิกโทษตัวเองและคุยกันให้รู้เรื่องเลยเฟ้ย!"

    "เฮ้ย! มิโดริมะ! นี่แกถีบกันได้นะเฟ้ย!" อาโอมิเนะโวยขณะที่โดนคนผมเขียวปิดประตูใส่หน้า

    "นี่...อาโอมิเนจจิเหรอ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของคนผิวเข้มที่ทำท่าอยากจะไปขบหัวเขียวๆ ของเพื่อนที่ถีบตนเข้ามา ทำให้อาโอมิเนะชะงักและหันไปยังต้นเสียง...หรือก็คือชายหนุ่มผมสีเหลืองคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ ใบหน้าสวยราวผู้หญิงส่งยิ้มให้หากแต่ว่า...

    ...ดวงตาสีเหลืองใสนั้นกลับไร้ซึ่งประกายใดๆ สะท้อนออกมา

    "อ...อา ใช่..." อาโอมิเนะทักกลับไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ นิดๆ "...ฉันเอง"

    "แหม มาเยี่ยมอะไรกันปานนี้เหล่า! อาโอมิเนจจิก็! เล่นหายไปเดือนกว่าๆ แบบนี้ฉันคิดว่าอาโอมิเนจจิทิ้งฉันไปหาคนอื่นแล้วเสียอีก!" ชายหนุ่มผมเหลืองทำแก้มป่อง

    "จะเป็นอย่างนั้นได้ไงเล่าเจ้าบ้า..." อาโอมิเนะเดินเข้าไปหาร่างที่อยู่บนเตียง "...ว่าแต่...นายไม่โกธรฉันเหรอ? คิเสะ?"

    "โกรธ? โกรธเรื่องอะไรเหรอ?" คิเสะเอียงคอถามอย่างงุนงง

    "ก็เรื่องที่ฉันทำให้นาย...เป็นอย่างนี้..." อาโอมิเนะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ

    "..." คิเสะเงียบลงไปด้วยท่าทางอึ้งๆ "อาโอมิเนจจิ...หัวกระแทกอะไรมาหรือเปล่าเนี่ย!? อ...อาโอมิเนจจิคิดแบบคนปกติได้!"

    โป๊ก!

    เสียงมะเหงกหนักๆ ที่เคาะลงบนหัวสีเหลืองๆ อย่างเจาะจงจากมือสีเข้มทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยจบประโยค

    "พูดงี้หาเรื่องหรือไงห๊า!? คิเสะ!" อาโอมิเนะโวยกลับไปอย่างเคยชินจากคำพูดของอีกฝ่าย รวมทั้งนอารมณ์เครียดๆ เมื่อครู่เล่นซะมลายหายไปจนหมดเลยทีเดียว "ฉันก็คนนะเว้ย! ต้องมีคิดแบบนี้กันบ้างแหละ! ในเมื่อฉัน..."

    "เรื่องนี่อาโอมิเนจจิไม่ใช่ต้นเหตุหรอกนะ..." คิเสะเอ่ยขึ้นขัดก่อนที่คนผมสีน้ำเงินจะพูดจบประโยค "...เรื่องนี้ต้นเหตุมีเพียงคนเดียวและคนคนนั้นไม่ใช่นายหรอกนะ"

    "ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..." อาโอมิเนะกำมือแน่น

    "น่าๆ ใจเย็นๆ สิ..." คิเสะยังคงยิ้มให้อาโอมิเนะ "...ไม่เป็นไรหรอกนะ อย่าโทษตัวเองเลย"

    "นายนี่...เป็นแบบนี้เสมอเลยสิน้า" อาโอมิเนะสวมกอดคนผมเหลืองเบาๆ

    "ฮะๆ ก็นะ" คิเสะหัวเราะออกมาเบาๆ พลางกอดตอบคนที่กำลังสั่นเทา

    "นี่คิเสะ...ขอโทษนะ..." อาโอมิเนะเอ่ยออกมา "...ขอโทษนะ"

    "อื้อ...ไม่เป็นไรหรอกอาโอมิเนจจิ ไม่เป็นไรหรอก" คิเสะเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน โดยหวังว่าเสียงสะอื้นจะอีกฝ่ายอีกฝ่ายนี่จะหยุดลง...แม้เพียงเล็กน้อยก็ดี...

    ...เพราะเขาไม่ต้องให้คนที่เขารักจมอยู่ในความเศร้า...

    ...ดังนั้นอย่าร้องไห้เลยนะ...อาโอมิเนจจิ...

     

     

     

     

     

    "...สุดท้ายก็ร้องไห้จนหลับไปสินะ?" คนผมเขียวในคนหมอมองร่างที่นั่งหลับคร่อกๆ อยู่ข้างเตียงคนไข้ด้วยความรู้สึกอยากถีบร่างนั้นตกเก้าอี้เต็มแก่

    "ก็อย่างที่เห็นอะไรนะ..." ชายหนุ่มผมเหลืองส่งยิ่มให้คนเป็นหมอ "...แต่ถามหน่อยนะมิโดริมัจจิ...นายบอก 'เรื่องนั้น' กับอาโอมิเนจจิไปเหรอ? ถึงร้องไห้หนักขนาดนี้น่ะ?"

    "เปล่า ฉันยังไม่ได้บอกอะไรหมอนี่นอกจากถีบมันเข้ามาในห้องหรอก" มิโดริมะถอนหายใจออกมาเบาๆ "ตัวนายเองเถอะ...คิดจะปิดเรื่องนั้นกับนานแค่อาโอมิเนะไหน?"

    "ไม่รู้สิ รู้แค่ว่าคงบอกในเร็วๆ นี่ไม่ได้หรอก...นี่ขนาดยังไม่ได้บอกยังร้องไห้จนน้ำแทบหมดตัว ถ้าบอกเรื่องนั้นไปเพิ่มอีกล่ะก็มีหวังเครียดจนโดดตึกตายพอดี" คิเสะเอ่ยพลางลูบเส้นผมสีน้ำเงินของคนที่นั่งหลับข้างๆ ตน

    "ก็คงงั้น..." มิโดริมะไม่เถียงว่าอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ "...จะว่าไป...นายได้ข่าวหรือยังว่าไอ้บ้าที่ทำให้นายเป็นงี้โดนจับแล้วนะ"

    "เอ๊ะ? จริงดิ?" คิเสะทวนอย่างงุนงงนิดๆ

    "จริง...เดี๋ยวเปิดข่าวให้ดูเป็นการยืนยันแล้วกัน ตอนนี้เป็นเวลาข่าวภาคดึกพอดี" คุณหมอผมเขียวไม่รอคำตอบจากคนไข้ที่ทำหน้าเอ๋ออยู่แล้วคว้ารีโมตมากดเปิดช่องข่าวทันที...ซึ่งข่าวแรกที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทีวีเป็นข่าวที่ต้องการพอดีเป๊ะ ทำให้มิโดริมะกดเพิ่มเสียงเล็กน้อย

    'เมื่อวานเวลาสิบแปดนาฬิกาเจ้าหน้าที่ได้จับตัวคนร้ายที่นำเข็มฉีดยาซึ่งเต็มไปด้วยไวรัสชนิดใหม่ไปไล่แทงคนในบริเวณ××× จนทำให้มีผู้ติดเชื้อประหลาดถึงห้าคนได้สำเร็จ ทราบชื่อคนร้ายในภายหลังว่าชื่อนายคางากุ ฮันนิน (ชื่อคนร้ายนี่เราเอาง่ายๆ เลยคือเอาคำที่แปลว่าวิทยาศาตร์ + คนร้ายจ้า // s , มักง่ายอีกแล้วเธอ... // มิโดริมะ) เป็นพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวิทยาศาตร์สติเฟื่อง ทางคนร้ายยอมรับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุจริง ส่วนมูลเหตุจูงใจนั้นมาจากที่คนร้ายถูกดูถูกเรื่องการวิจัยที่ตนทำ ทำให้คนร้ายได้ลงมือแผย่ไวรัสชนิดต่างๆ ที่ตนคิดค้นขึ้นเพื่อที่จะใช้จัดการคนที่ดูถูกตน แต่ผิดแผนเพราะว่าดันมีคนเห็นเหตุการณ์ตอนลงมือเข้าเลยทำร้ายคนที่เห็นเหตุการณ์นั้นทั้งหมดจนเป็นเหตุให้มีจำนวนผู้เคราะห์ร้ายจากการติดเชื้อไวรัสประหลาดนี่เพิ่มขึ้นอีกสี่คน...สุดท้ายคนร้ายก็โดนขนมตุ๊บตั๊บไปตามระเบียบ...

    ...ทางด้านผู้เสียหายแต่ล่ะคน ทางการแพทย์ได้ออกมมระบุว่าผู้ติดเชื้อแต่ล่ะคนนั้นไม่ได้มีเชื้อไวร้สที่ติดต่อไปยังคนอื่นได้ แต่เชื้อไวรัสแต่ล่ะตัวที่ผู้ติดเชื้อโดนนั้นทำให้มีอาการที่หลากหลายและแปลกเสียจนทางการแพทย์ได้เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น

    ...ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ในคดีนี่ทางตำรวจยังไม่เปิดเผยของมูล'

    "...ถ้าให้เดา...คนที่ไปไล่จับคนร้ายคืออาโอมิเนจจิสินะ?" หลังจากฟังรายงานข่าวจบคิเสะก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ

    "แหงล่ะ นอกจากอาโอมิเนะยังจะมีใครอีกล่ะ?" มิโดริมะกดปิดทีวีเมื่อไม่ใช้งานมันแล้ว "เอาตามจริง...ตอนหมอนั่นสารภาพนั้นอาโอมิเนะบอกว่าหมอนั่นไม่มีสีหน้าสำนึกผิดเลย แถมยังยิ้มอย่างสะใจอีก จนอาโอมิเนะเกือบยั้งเท้าไม่ให้ตื้บหมอนั่นไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ"

    "และถ้าตื้บจริงจนต้องเอาซากมาให้มิโดริมัจจิรักษา มิโดริมัจจิก็จะใช้ยาแบบแสบบรรลัยสินะ?" คิเสะเดาชะตากรรมของคนเกือบโดนตื้บออกเลย

    "ถูก และถึงหมอนั่นใกล้ตายฉันก็ไม่ยอมให้ตายง่ายๆ แน่...เหมือนที่มันทำกับทาคาโอะ..." มิโดริมะกัดฟันพูดแบบคนแค้นสุดแสน "...ฉันไม่มีวันให้มันตายสบายๆ หรอก ทั้งๆ ที่มันพรากอนาคตดีๆ ของทาคาโอะไปแบบนั้น"

    "เออ...ใจเย็นๆ ก่อนเถอะมิโดริมัจจิ..." คิเสะที่ได้รับรังสีชวนอึดอัดจากคนผมเขียวเริ่มเหงื่อตก "...ว่าแต่ทาคาโอจจิเป็นไงบ้างอ่ะ"

    "เฮ้อ..." เมื่อเจอคำถามนี่มิโดริมะก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ "...ทาคาโอะถือว่าโชคดีที่สุดในหมู่คนที่ติดเชื้อเลยล่ะ เพราะได้สายตาดีๆ ของหมอนั่นช่วยไว้ก็เลยไม่โดนเชื้อบ้าบอนั้นไปเต็มๆ แบบคนอื่นๆ ...ถึงอย่างนั้นเชื้อที่ทาคาโอะโดนแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่มันทำให้ทาคาโอะต้องตัดแขนข้างหนึ่งทิ้งเพื่อไม่ให้เชื้อแผย่ไปส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ส่วนตอนนี้ทาคาโอะเท่าที่ตรวจดูก็สบายดี ไม่มีอาการอะไรแทรกซ้อนอะไร ต่างจากคนอื่นๆ ที่อาการต่างๆ ทะยอกแสดงออกมามากขึ้นเรื่อยๆ น่ะ"

    "หมายความว่าทาคาโอจจิใกล้ได้กลับบ้านแล้วดิ?" คิเสะถามอย่างสนใจ

    "ถ้าไม่มีอาการอะไรในช่วงนี้เลยก็ถือว่าได้อ่ะนะ แต่ฉันก็ยังไม่ว่างใจนักหรอกว่าจะไม่มีอาการแฝงในตัวทาคาโอะเลย" มิโดริมะขยับแว่นของตนอย่างเคยชิน "อย่ามามั่วสนใจเรื่องคนอื่นนักเลยคิเสะ ว่าแต่นายเถอะ...นายคงไม่คิดว่าจะปิดเรื่องอาการของนายกับอาโอมิเนะได้นานนักหรอกนะ?"

    "ก็ไม่คิด แต่ฉันก็ไม่อยากทำให้อาโอมิเนจจิกังวลเรื่องฉันนิ...แค่นี้อาโอมิเนจจิกโทษตัวเองมากพอแล้ว" คิเสะเอ่ย

    "ก็จริง..." มิโดริมะไม่เถียงเลยเรื่องนี่ "...แต่ในสักวันหมอนั่นคงรู้อยู่ดีแหละ ในเมื่ออาการของนายทรุดหนักแล้วนิ"

    "ฉันยังแข็งแรงดีน่า อย่ากังวลเกินไปสิ" คิเสะทำเสียงอ้อมแอ้ม

    "แข็งแรงแต่ภายนอกสิ ตอนนี้ระบบภายในร่างกายนายมีปัญหาแล้วนะเฟ้ย" มิโดริมะทำเสียงดุใส่ผู้ป่วยที่ดูลั้นลาจนน่าถีบ "ให้ตายสิ...นายยังทำตัวอารมณ์ดีแบบนี้อยู่ได้เนี่ยสุดยอดเลยแฮะ ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นคนอื่นจู่ๆ 'มองไม่เห็น' แถมร่างกายยัง 'เริ่มอ่อนแรงลง' เรื่อยๆ แบบนายคงใกล้คลั่งไปแล้วแหงแซะ"

    "น่าๆ ถือว่าดีไหมล่ะ?" คนมองไม่เห็นยิ้มร่าออกมา

    "ดี...ดีสิ เพราะสภาพจิตใจถือว่าสำคัญเหมือนกันใจการรักษา แต่ถึงอย่างนั้นนายก็อย่าฝืนอะไรมากไปล่ะ ถ้ามีอาการอะไรผิดปกติก็ให้รีบบอกอย่าเก็บไว้คนเดียวล่ะ" มิโดริมะเอ่ยย้ำเตือนอย่างรู้นิสัยของเพื่อนตนคนนี้ดี

    "เออ...ไม่ว่าอาการอะไรก็ต้องบอกหมดเลยเหรอ?" คิเสะยกมือถามปานเด็กๆ

    "ใช่ ต่อให้แค่สิวขึ้นก็ต้องบอก!" มิโดริมะเอ่ยย้ำเน้นๆ กับเพื่อนคนนี้ที่ชอบเก็บเรื่องไม่สบายใจไว้กับตัวจนเกิดเรื่องประจำ

    "งั้นของบอกเลยนะว่า..." คิเสะส่งยิ้มแห้งๆ ให้คนผมเขียว "...ฉันรู้สึกไม่ง่วงมาสามวันแล้วอ่ะ ทำยังไงก็นอนไม่หลับเลยด้วย"

    "...ทำไมไม่บอกเดือนหน้าเลยฟะ!? ให้ตายเถอะ!" มิโดริมะสบลออกมาอย่างหงุดหงิด "เดี๋ยวฉันไปเอายานอนหลับมาให้! นั่งเฉยๆ รอไม่เกินห้านาทีเดี๋ยวมา! ห้ามดึงผมอาโอมิเนะเล่นจนมันตื่นมาเขกหัวนายล่ะ!"

    "ครับๆ ...พูดยังกับแม่ที่ฝากให้ดูแลน้องเลย" คิเสะบ่นเบาๆ

    "ได้ยินนะเฟ้ย!" ...แต่คุณหมอหัวเขียวดันหูดีได้ยิน ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปเสียนิ

    "มิโดริมะหูดีชะมัด...ทั้งๆ ที่ตอนนี้ฉันเริ่มจะไม่ค่อยได้ยินแล้วแท้ๆ" คิเสะเอ่ยกับตัวเองเบาๆ เมื่อเสียงเดินตึงตังของมิโดริมะห่างออกไป "อา...ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ สงสัยจะแย่แฮะ ฉันถึงมองไม่เห็นแต่ฉันก็ยังอยากได้ยินเสียงอาโอมิเนจจินี่นา"

    ...แต่เอาเถอะ...แค่มีอาโอมิเนจจิอยู่ข้างๆ ก็พอล่ะนะ...

    ...เพราะอาโอมิเนจจิเป็นแสงสว่างสำหรับฉันยังไงล่ะ...

    ...ต่อให้จมอยู่ในความมืดแบบนี้ฉันก็ไม่กลัวหรอก...

    ...ขอแค่อย่าทิ้งฉันไปก็พอนะ...อาโอมิเนจจิ...

     

     

     

     

     

    "เฮ้อ...เจ้าคิเสะนี่มันบ้าโคตรๆ เลยสิน้า..." เสียงบ่นเบาๆ ดังขึ้นจากคนผมเขียวที่มองดูคนไข้ของตนที่กินยานอนหลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน...ซึ่งบัดนี้ลมหายใจของอีกฝ่ายเริ่มสม่ำเสมอบ่งบอกว่ากำลังหลับสนิกอยู่ด้วยอาการเหนื่อยอกเหนื่อยใจ "...แล้วนายก็เลิกแกล้งหลับได้แล้วอาโอมิเนะ ตอนนี้คิเสะหลับลึกจนไม่ตื่นมาฟังมาบ่นกลางคันหรอกนะ"

    "รู้ด้วยเหรอ?" ร่างคนผิวเข้มผมสีน้ำเงินที่นั่งฟุบอยู่ข้างๆ เตียงผู้ป่วยมานานสองนานค่อยๆ ดันกายให้ตั้งตรง

    "ฉันเป็นหมอนะ แถมยังจ้องนายอยู่นานสองนานคงไม่รู้หรอก" มิโดริมะกรอดตาไปมา "แล้วนี่ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?"

    "ตั้งแต่นายปิดทีวีน่ะ..." อาโอมิเนะตอบกลับไปพลางมองใบหน้าของคนผมเหลืองยามหลับ...มันดูช่างสงบ และงดงามราวเจ้าหญิงในเทพนิยายจริงๆ ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชายแท้ๆ "...และถ้าฉันไม่ตื่นพอดีคงไม่มีทางรู้เลยสินะว่าอาการคิเสะมันทรุดน่ะ?"

    "ใช่ เพราะคิเสะขอมาว่าห้ามฉันบอก..." มิโดริมะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่ง เนื่องจากยืนนานจนเริ่มเมื่อยแล้ว "...แต่ในเมื่อนายตื่นมาได้ยินเอง ถ้าฉันบอกอาการของคิเสะทั้งหมดก็ถือว่าฉันไม่ได้ผิดสัญญาล่ะนะ"

    "เจ้าเล่ห์นะนายเนี่ย" อาโอมิเนะหัวเราะออกมาเบาๆ

    "ก็มีบ้าง..." มิโดริมะขยับแว่นของตนตามปกติ "...เอาล่ะ ตอนนี้นายช่วยเตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมสติให้พร้อมด้วย"

    "...พูดแบบนี้แสดงว่าอาการของคิเสะหนักมากสินะ?" อาโอมิเนะเดาได้เลยงานนี้

    "ถูก..." มิโดริมะพยักหน้ารับพร้อมหยิบเตรียมปืนฉีดน้ำไว้ฉีดหน้าอีกฝ่าย (?) "...ในตอนนี้อาการคิดเสะก็อย่างที่นายได้ยินนั้นแหละว่าทรุดหนักมาก ระบบภายในร่างกายเริ่มหยุดทำงานลงไปทีละอย่าง เริ่มแรกก็การมองเห็น ต่อจากนั้นการได้ยินก็เริ่มลดลง แต่นั้นยังไม่สำคัญเท่ากับอาการใหม่ที่เพิ่งตรวจพบว่าอวัยวะภายในของคิเสะส่วนหนึ่งได้เน่าเปื่อยลง แถมบ้างส่วนยังมีเนื้องอกอีก อาการที่เกิดขึ้นพร้อมกันแบบนี้ขอบอกเลยว่าไม่รู้จะรักษายังไงจริงๆ ในฐานะหมอฉันพูดตามจริงเลยว่า...คิเสะอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินเดือนนี้"

    "นี่นาย...จะบอกว่าคิเสะกำลังจะตายเหรอ!?" อาโอมิเนะถึงกับลุกพรวกพรากขึ้นมา

    "ใช่...และนายก็ใจเย็นๆ ลงหน่อย ตอนนี้ถึงนายตื่นตูมไปมันก็ไม่ช่วยอะไรหรอก" มิโดริมะฉีดน้ำใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ "ตอนนี่ที่นายทำได้...มีแค่การอยู่ข้างๆ คิเสะเท่านั้นแหละ"

    "...ก็ได้...ถ้านั้นเป็นสิ่งที่ฉันทำได้เพื่อคิเสะล่ะก็" อาโอมิเนะที่โดนฉีดน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มฉ่ำ (?) ค่อยๆ หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง

    "วันนี้เข้าใจง่ายดีนะนายเนี่ย" มิโดริมะถอดหายในอย่างโล่งอกเล็กๆ กับเพื่อนหัวน้ำเงินของตน

    "ฉันไม่บ้าขนาดไม่เข้าใจว่านายทำสุดความสามารถแล้วนิ..." อาโอมิเนะรู้ดีว่าช่วงนี้มิโดริมะยอมอดหลับอดนอนเพื่อรักษาคนที่ติดเชื้อบ้าบอนี่มากขนาดไหน ถ้าเขาไม่เห็นใจอีกฝ่ายเลยก็ใจดำไปล่ะ แถมเขาเป็นพวกรู้นิสัยของอีกฝ่ายดีว่ามักจะทำอะไรสุดความสามารถเสมอนั้นแหละและถ้าไม่จนหนทางแล้วจริงๆ คงไม่มาพูดแบบนี้หรอก "...ว่าแต่...คนที่ติดเชื้อคนอื่นๆ เป็นไงบ้าง?"

    "ตายหนึ่ง ยังรอดสี่" มิโดริมะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยมนิดๆ "ผู้ติดเชื้อคนแรกหรือคนที่ไอ้บ้าที่เกิดเหตุเนี่ยตั้งใจจะทำร้ายจริงๆ เนี่ยเสียชีวิตเมื่อวานนี้ด้วยอาการเนื้อตายบวกกับติดเชื้อในกระแสเลือดน่ะ ส่วนคนที่สองหรือก็คือมายุสุมิซังนั้นอาการคือกลายเป็นเจ้าชายนิทราไป ปอดก็เกิดอาการติดเชื้อจนไม่สามารถหายใจได้เองตอนนี้ก็ทำได้เพียงยื้อชีวิตของมายุสุมิซังไปก็เท่านั้นแต่คาดว่าคงยื้อได้อย่างมากสุดก็ไม่เกินสองเดือนหรอก รายที่สามหรือก็คืออิมาโยชิซังตอนนี้อาการพ้นขีดอันตรายไปแล้ว อาจมีอาการของโรคหอบตามมาแทน แถมดูท่าอาจมีโรคภัยอีกหลายโรครุมเร้าได้ แต่อาการก็ทรงตัวมากจนแทบไม่เป็นไรแล้วจึงพอรับรองได้ว่าไม่ตายในเร็ววันนี้หรอก รายที่สี่...ทาคาโอะโดนตัดแขนข้างหนึ่งทิ้ง ส่วนอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ไม่มี ส่วนคิเสะก็อย่างที่นายรู้นั้นแหละ"

    "...ในวันนั้นฉันน่าจะอยู่ด้วยจริงๆ ไม่งั้นเรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นหรอก" อาโอมิเนะเอ่ยเสียงแผล่ว

    "ถึงนายอยู่ก็ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นสักหน่อย...เลิกโทษตัวเองซะทีเถอะ..." มิโดริมะเอาปืนฉีดน้ำฉีดน้ำใส่หน้าอีกฝ่ายอีกรอบ "...แถมเมื่อเทียบกันแล้วคนที่อยู่ในเหตุการณ์แต่ช่วยอะไรไม่ได้แบบฉันน่าสมเพชกว่าอีก"

    "แต่คนที่นัดไปรวมตัวที่นั้นแถมยังไปสายอีกก็คือฉันอยู่ดี" อาโอมิเนะแย้ง...ยังไงสถานที่นั้นเขาเป็นคนนัดเพื่อที่จะไปเล่นสตรีทบาสกันต่อ แต่ดันเห็นคนร้ายวิ่งราวแถวๆ นั้นเลยจับไปส่งตำรวจแถบนั้นก่อนที่จะไปยังจุดรวมตัว...

    ...และพอไปถึงยังจุดนัดหมายเขาก็เห็นเพียงรถตำรวจและรถพยาบาลอยู่เต็มบริมเวณนั้น ก่อนที่จะทราบข่าวจากคาซามัตสึซังที่ถูกชวนมาด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นเอง

    "..." มิโดริมะถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะปลอบยังไงให้เพื่อนตนเลิกโทษตัวเองเสียที แต่แล้ว...

    "อาโฮ่สมชื่อจริงๆ นะแก!!!" ...ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมร่างของชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งพุ่งเข้ามาเตะอาโอมิเนะจนตกเก้าอี้ "ก็แบบนี้แหละที่คิเสะมันถึงได้ชอบปิดเรื่องใหญ่ๆ ไม่ให้นายรู้เนี่ย! เจ้าบ้า!!!"

    "ค...คาซามัตสึซัง?" อาโอมิเนะมองคนที่ถีบตนด้วยอาการอึ้งเล็กน้อย "ท...ทำไมมาอยู่นี่ได้ครับ? ไม่ได้เฝ้าอิมาโยชิซังอยู่เหรอครับ?"

    "วันนี้ชูสะมาเฝ้าด้วยน่ะ เลยฝากดูแลอิมาโยชิมันน่ะ" คาซามัตสึตอบ "ส่วนที่มาเนี่ยแค่กำลังเดินไปหาอะไรกินชั้นล่างเท่านั้นแหละ และดันมาได้ยินคำพูดน่าฆ่าทิ้งของนายพอดีเนี่ย"

    "ถ้าจะฆ่าอย่าเพิ่งฆ่าตอนนี้เลยครีบ เดี๋ยวคิเสะมันหงอย" มิโดริมะเอ่ยห้ามก่อนที่จะมีการฆาตกรรมในโรงพยาบาลเข้า (?)

    "ก็จริง ถ้าไอ้นี่ไม่มาหาสงสัยคิเสะมันทำท่าปานหมารอเจ้าของแหง" คาซามัตสึพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

    "พูดซะเห็นภาพเลย" อาโอมิเนะบ่นขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่จะแทบร้องจ๊ากเมื่อฝ่ามือหนักๆ สับเข้ามาที่กลางหัวตนเองเต็มๆ "ตีหัวผมทำไมล่ะครับ!? คาซามัตสึซัง!"

    "หมั่นไส้นาย" คาซามัตสึค้อนใส่อีกฝ่าย "อย่าคิดว่าฉันจะเลิกบ่นเรื่องนายง่ายๆ เลย! นี่รู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าเห็นนายเอาแต่โทษตัวเองแบบนี้มันโคตรน่าถีบมากกว่าเดิมสิบเท่าเลยเฟ้ย! อีกทั้งยังน่าฆ่าหมกท่ออีก!"

    "อะจึ๋ย! อย่าพูดพร้อมทำไม้ทำมือเตรียมเชือดแบบนั้นสิครับ!" อาโอมิเนะแว่บไปหลบหลังคุณหมอผมเขียวที่นั่งแข็งโป๊กแบบไม่กล้าขยับ เพราะกลัวโดนลูกหลง

    "เฮ้ย! มาหลบอะไรนี่ล่ะเนี่ย!?" มิโดริมะดันหัวน้ำเงินๆ ของคนที่ตนเอาตนมาเป็นโล่หน้าตาเฉย "ถึงฉันหลบสับปะร (?) จากมิยาจิซังบ่อยก็ใช่ว่าฉันจะอึดจะถึกนะเว้ย!"

    "ก็ใช่ แต่ฉันมั่นใจว่าคาซามัตสึซังจะไม่ถีบนายแค่นั้นแหละ" อาโอมิเนะตอบกลับ

    "นายนี่โคตรแมนมากเลยนะ เอาเพื่อนมาเป็นโล่เนี่ย" คาซามัตสึกรอดตาไปมา "เห็นแบบนี้แล้ว...น่าจับเทศยิ่งกว่าเดิมจริงๆ!"

    "แว๊ด! อย่านะครับ!" อาโอมิเนะหลบคาซามัตสึที่วิ่งเข้ามาบล็อด (?) อย่างชำนาญพร้อมเอาลูกบอลสีเขียว (?) มากั้นไว้ตรงกลาง

    "อย่าหนีนะเฟ้ย!" คาซามัตสึพยายามปัดลูก (?) ออก

    "กรุณาอย่าเอาคนอื่นมาเป็นตัวกั้นเซ่!" เจ้าลูกบอลสีเขียว (?) หรือมิโดริมะโวยขึ้นมา แต่...อนิจาไม่มีใครสนใจเลย จนกระทั่ง...

    "...นี่ทำอะไรกันอ่ะ?" ...มีคนมาช่วยขัดทัพพอดี แถมมาถึงสามคนด้วย

    "อ่ะ!" คาซามัตสึหยุดไล่ล่าอาโอมิเนะ แล้วหันไปมองยังประตูทางเข้า "พวกนายมานี่ได้ไง? ชูสะ? แถมเอาอิมาโยชิมาด้วยเนี่ย!"

    "ก็สังหรณ์แปลกๆ น่ะ เลยเดินตามมาดู" อิมาโยชิที่บัดนี้นั่งอยู่บนวีแชร์ตอบด้วยเสียงลั้นลา

    "ส่วนฉัน...ไม่กล้าปล่อยหมอนี่เดินมาเองเลยจับมานั่งวีแชร์มาเอาเนี่ย" ชูสะเอ่ยด้วยอารมณ์ปลงกับเพื่อนของตนนิดๆ "ถ้าปล่อยมาเองมีหวังเป็นลมเป็นแล้งที่ไหนสักที่แหง"

    "ฉันไม่เป็นไรง่ายๆ หรอกน่า นายกับคาซามัตสึก็คิดมากไป" อิมาโยชิทำปากยื่นแบบเด็กโดนขัดใจ

    "แต่ก็ไม่ควรประมาณเฟ้ย!" คาซามัตสึเลิกสนใจอาโอมิเนะและหันไปแว๊ดอิมาโยชิแทน

    "แล้วนายไหงมานี่ได้ล่ะ? ทาคาโอะ?" มิโดริมะที่มองการเถียงกันรอบที่เท่าไห่ไม่รู้ตั้งแต่อาการของอิมาโยชิทรงตัวของสองคนนี่ ก่อนที่จะหันไปสนใจกับอีกบุคคลที่เดินเข้ามาในห้องนี่แทน

    "นั่งในห้องนานๆ มันเบื่ออ่ะ เลยออกมาเดินเล่นและเจอชูสะซังกับอิมาโยชิซังโดยบังเอิญน่ะ..." ทาคาโอะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม "...น่าๆ อย่าทำหน้าเครียดดิชินจัง"

    "นายไม่ควรออกมาเดินนอกห้องคนเดียวนะ" มิโดริมะทำหน้ามุ่ย

    "น่าๆ หยวนๆ หน่อยน่าชินจัง...คิดว่ามากเดี๋ยวแก่เร็วนะ" ทาคาโอะส่งยิ้มแห้งๆ ให้เป็นการขัดทัพ

    "ฟู่...รอดแล้วฉัน" อาโอมิเนะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคนที่จะบ่นตนแต่ล่ะคนนั้นหันไปบ่นแฟนของตัวเองกันหมดแล้ว

    "ถึงไม่รู้ว่านายโดนคาซามัตสึไล่ตื้บเรื่องอะไร แต่รอดก็ดีแล้ว...มั้ง?" ชูสะเอ่ยพลางมองเพื่อนของตนที่เป็นคนป่วยแท้ๆ แต่ไม่เจียมสังขารเถียงกับแฟนตัวเองอย่างออกรสออกชาดด้วยอาการเหนื่อยใจ

    "นั้นสิครับ...ว่าแต่คิดว่าพวกนี่จะเถียงนานไหมครับเนี่ย?" อาโอมิเนะถามคนอายุมากกว่าข้างๆ ตน

    "เอาตามความคิดฉัน...มิโดริมะกับทาคาโอะคงไม่นานนักหรอก แต่อิมาโยชิกับคาซามัตสึนี่ท่าจะยาว" ชูสะเอ่ยขึ้น และในขณะนั้นเอง...

    กริ้งงงงงง!!!

    ...เสียงโทรศัพท์ในชุดกาวร์ของคุณหมอผมเขียวก็ดังขึ้นทำให้เจ้าต้องหยุดเถียงกับคนรักตัวเองชั่วคราวแล้วหยิบโทรศัพท์ของตนออกมาและกดรับทันทีเมื่อเห็นว่าใครโทรมา "โมชิโมชิ?"

    'คุณหมอมิโดริมะ!!!' เสียงแว๊ดของผู้หญิงคนหนึ่งดังลอดออกมาจากโทรศัพท์อย่างชัดเจน ทำให้ชายหนุ่มทั้งห้องหันไปมองยังคนผมเขียว 'มายุสุมิซังที่อยู่ห้องไอซียูอาการทรุดค่ะ!!!'

    "ว่าไงนะ!?" มิโดริมะถึงกับเก็บอาการตกใจไว้ไม่อยู่ "โอเค! เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!!!"

    'รีบๆ มาด้วยนะค่ะ!' เสียงปลายสายดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถูกตัดไป

    "ให้ตายสิ!" มิโดริมะสบลขึ้นมาเบาๆ "ฉันต้องไปก่อนล่ะ! ทุกคนช่วยแยกย้ายกลับห้องใครห้องมันไปที! และทาคาโอะก็กลับห้องดีๆ ด้วย! คาซามัตสึซังก็ดูแลอิมาโยชิซังด้วยล่ะครับ! ส่วนอาโอมิเนะ...ฝากดูคิเสะมันหน่อยแล้วกัน!"

    "อื้ม!" ชายหนุ่มทั้งหลายขานรับ ก่อนที่ร่างของมิโดริมะจะวิ่งออกไปจากห้องอย่างเร่งรีบ

    "...หวังว่ามายุสุมิมันจะไม่เป็นอะไรนะ" เมื่อเสียงฝีเท้าของคนเป็นหมอนั้นห่างออกไปแล้วคาซามัตสึก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ

    "นั้นสินะ" อิมาโยชิพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้องนี้...

    ...แต่ความหวังของทุกคนก็ไม่เป็นจริง เมื่อยามเช้ามาถึงก็ได้รับข่าวร้ายว่า...มายุสุมิ จิฮิโระได้เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจล้มเหลว

     

     

     

     

     

    "ไม่คิดเลยว่าจะจากกันไปเร็วขนาดนี่..." เสียงบ่นขึ้นเบาๆ ดังออกมาจากปากของชายหนุ่มหน้าสวยผมดำ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกมองยังรูปถ่ายของคนคุ้นเคยที่เจอกันทุกๆ วัน...ซึ่งต่อจากนี้จะไม่มีวันได้พบกันอีกแล้ว "...มายุซัง...ทำไมต้องทิ้งกันไปด้วย"

    "ใจเย็นๆ ก่อนพี่เรโอะ...ถ้าเป็นลมเป็นแร้งไปมันจะยุ่งเอานะ" ชายหนุ่มผมสีคาราเมลข้างๆ กายคนผมดำตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

    "ใช่...อย่างที่โคทาโร่ว่านั้นแหละ มายุสุมิซังไม่ดีใจหรอกนะถ้าเกิดนายเป็นอะไรไปน่ะ" ชายหนุ่มร่างยักษ์ที่ขนาบอีกข้างหนึ่งเอ่ยเสริมขึ้นมา

    "..." คนโดนทักไม่ตอบอะไร เพียงพยักหน้ารับเท่านั้นและตอนนั้นเอง...

    "มิบุจิซัง..." ...เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา ทำให้ชายหนุ่มผมดำหันไปมองยังต้นเสียง

    "อาโอมิเนะ?" มิบุจิทวนชื่ออีกฝ่ายพร้อมส่งยิ้มเศร้าๆ ให้ "มาด้วยเหรอ? แล้วคิเสะล่ะ?"

    "อาการของคิเสะไม่ค่อยดีเลยโดนหมอที่โรงพยาบาลกักตัวไว้น่ะครับ" อาโอมิเนะตอบด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

    "งั้นเหรอ..." มิบุจิพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ "...ว่าแต่ไหงทำหน้าเมื่อคนท้องผูกแบบนั้นล่ะ? มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?"

    "มิบุจิซัง...คือว่า..." อาโอมิเนะกำมือแน่น "...ผมขอโทษครับ!"

    "เอ๊ะ?!" มิบุจิสะดุ้งโหยงเมื่ออีกฝ่ายอยู่ๆ ก้มหัวขอโทษเฉยเลย "ด...เดี๋ยวก่อน! อาโอมิเนะ! ขอโทษเรื่องอะไรเนี่ย!?"

    "ก็ผม..." อาโอมิเนะกำลังจะเอ่ยตอบให้แก่อีกฝ่าย แต่แล้วกลับถูกมือหลายมือสับเข้าที่กลางกะหม่อมเสียก่อน "โอ๊ย!!! ตีหัวกันทำไมเนี่ย!?"

    "ก็นายกำลังคิดเรื่องไร้สาระอีกแล้วไง!" คนผมดำแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายอย่างหัวเสีย แถมทำท่าจะยกเท้าถีบด้วยถ้าไม่ติดว่าคนหน้าเจ้าเล่ห์ข้างๆ ห้ามไว้เสียก่อน

    "อุตสาห์บอกแล้วนะว่าให้เลิกโทษตัวเองได้แล้ว ไม่ฟังกันเลยใช่ไหมเนี่ย?" คนผมเขียวถอนหายใจออกมาเบาๆ "คิดมากเกินไปเดี๋ยวก็เส้นเลือดในสมองแตกหรอก"

    "คิดมากเสียจนไม่สมเป็นนายเท่าไหร่เลยนะ อาโอมิเนะ" ชายหนุ่มผมดำผู้มีแขนเพียงข้างเดียวเอ่ย

    "เออ...ตกลงมันเรื่องอะไรกันเนี่ย?" มิบุจิที่ตามสถานะการณ์ต่างๆ ไม่ทันถามขึ้นมา เช่นเดียวกับชายหนุ่มอีกสองหน่อที่นั่งขนาบข้างที่ตามไม่ทันเช่นกัน

    "ก็ไม่มีอะไรมากหรอกแค่หมอนี่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ" คาซามัตสึโบกมือไปมา "เอาง่ายๆ สั้นๆ คือ...หมอนี่เอาแต่โทษตัวเองในเรื่องที่เกิดขึ้นนี่น่ะ แถมยังคิดมากขนาดหนักอีกต่างหาก"

    "...ยังไม่เข้าใจวะ อธิบายเพิ่มหน่อยสิ" เสียงถามเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งสองคนที่เดินมาหาพลางมองบุคคลสองหน่อที่ไม่น่ามาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ "แล้วอิมาโยชิกับทาคาโอะมันออกจากโรงพยาบาลได้แล้วเหรอ?"

    "อ่ะ! มิยาจิซัง? ยูจัง?" คนผมสีคาราเมลเอ่ยทักชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองคน "มาตอนไหนอ่ะครับเนี่ย?"

    "ตั้งแต่อยู่อาโอมิเนะมันก้มหัวขอโทษมิบุจิมันแล้ว แต่พวกนายมัวสนอาโอมิเนะกันเลยมองข้ามพวกฉันน่ะ..." มิยาจิตอบพลางมองคนผมเขียวที่ดูท่าถามแล้วน่าจะตอบได้ตรงคำถามมากที่สุด "...แล้วตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันล่ะ? มิโดริมะ? ช่วยตอบคำถามให้ละเอียดๆ ด้วยล่ะ"

    "คือ...เรื่องทาคาโอะกับอิมาโยชิซังอาการทรงตัวและแทบไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ก็เลยให้ออกจากโรงพยาบาลมานี่ได้ชั่วคราวน่ะครับ ส่วนเรื่องอาโอมิเนะ..." มิโดริมะที่โดนรุ่นพี่ถามก็รีบตอบทันทีก่อนโดนวัตถุสีเหลืองส้มลอยมาใส่หัว "...ตั้งแต่เรื่องที่คนร้าย***นั้นเอาเชื้อบ้าบอนี่มาแผร่ให้พวกทาคาโอะเนี่ยอาโอมิเนะเอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นน่ะครับ"

    "และพวกนายเห็นหมอนี่คิดมากไปเลยสามัคคีเขกหัวสินะ?" มิยาจิทำท่าเหมือนเข้าใจ

    "ตามนั้นล่ะนะ" อิมาโยชิตอบพลางชี้ที่อาโอมิเนะ "สนใจเทศอาโอมิเนะกันสักรอบไหม?"

    "สน!" เสียงห้าเสียงจากคนที่เพิ่งรู้เรื่องเอ่ยขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง

    "...ไหงกลายเป็นมาเทศฉันกันล่ะ!?" อาโอมิเนะถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อทุกสายตาหันมาที่ตนพร้อมเทศนา

    "เพราะมัวคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะสิ" มิบุจิเอ่ย "แถมยังเอาแต่โทษตัวเองอยู่นั้นแหละ ทั้งๆ ที่คนผิดคือไอ้บ้าที่ก่อเหตุนั้นต่างหาก...มันน่าจับไปให้เซย์จังสั่งสอนซะนิ"

    "อาคาชิสั่งสอนเนี่ยสยองนะคร้าบบบบ!" อาโอมิเนะรีบลี้ภัยไปหลบหลังมิโดริมะทันที

    "...ตกลงนายเห็นฉันเป็นกันชนใช่ไหมเนี่ย? คราวก่อนก็คาซามัตสึซังคราวนี้ก็มิบุจิซังต่ออีก" มิโดริมะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนที่จะเอาลักกี้ไอเทมของวันนี้โยนใส่หน้าอาโอมิเนะ "ยิ่งน่าจับส่งอาคาชิจริงๆ!"

    "แว๊ก!" อาโอมิเนะไม่สนใจคำบ่นของมิโดริมะ แต่กลับรีบโกยอ้าวไปหลบหลังทาคาโอะต่อทันทีเมื่อเห็นว่าคนผมเขียวโยนอะไรใส่ตน

    "หื้อ? ไหงตาเหลือกแบบนั้นล่ะอาโอมิเนะ?" ทาคาโอะเงยหน้ามองคนผมน้ำเงินอย่างงงๆ

    "นั้นสิ แถมตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าด้วย" ยูยะก้มลงหยิบลักกี้ไอเทมของมิโดริมะขึ้นมาดู "แค่แบบจำลองผึ้งยักษ์เนี่ยน่ากลัวนักหรือไง?"

    "นั้นสิ..." มิยาจิมองอย่างงงๆ ก่อนที่จะหันไปมองคนหน้าเจ้าเล่ห์ที่กลั้นขำจนแว่นแทบหลุด (?) "...แล้วนายขำอะไรของนายเนี่ย? อิมาโยชิ?"

    "ป...เปล่า..." อิมาโยชิที่ขำจนน้ำตาเล็ดพยายามสงบสติอารมณ์ไว้ "...แค่เห็ท่าทางอาโอมิเนะแล้วมันขำน่ะ...ถึงโมโมอิเคยบอกแล้วก็เถอะว่าหมอนี่กลัวผึ้ง แต่ไม่นึกว่าขนาดแค่ของปลอมก็ยังกลัวเนี่ย"

    "แล้วผิดหรือไงครับ!?" อาโอมิเนะโวยกลับด้วยหน้าเริ่มขึ้นสีแดง...หึ! ใช่ว่าเขาอยากกลัวผึ้งนะ!

    "อ๋อ...เข้าใจล่ะ..." แต่ล่ะคนก็ถึงบางอ๋อกันเลย กับสาเหตุที่อาโอมิเนะสั่นเป็นเจ้าเข้าเนี่ย

    "นี่พวกนาย...กำลังคิดแบบฉันหรือเปล่า?" มิยาจิยิ้มเจ้าเล่ห์พลางหยิบโมเดลผึ้งที่ได้จากเทศการสับปะรส (?) ออกมาจำนวนมาก

    "กำลังคิดเลย..." ยูยะคว้าโมเดลอันหนึ่งมาจากพี่ชายของตน

    "น่าสนุกนะครับงานนี้" มิโดริมะรับแบบจำลองคืนจากยูยะ

    "ทำให้หายเครียดไปเลย..." ฮายามะจิ๊กโมเดลมาอีกคน "...ส่วนพี่เรโอะพักอยู่นี่แหละฮ้าฟ พี่เรโอะเหนื่อยเรื่องงานศพมาหลายวันแล้ว...เดี๋ยวไล่กวดอาโอมิเนะเผื่อให้เอง"

    "อา...เดี๋ยวแกล้งอาโอมิเนะเผื่อให้แล้วกัน นายน่ะนั่งอยู่เฉยๆ เลยนะ" เนบุยะหยิบโมเดลผึ้งมาอีกอัน

    "อื้ม...เอาหนักๆ เลยนะ" มิบุจิที่ยอมรับสภาพว่ายามนี้ตนเหนื่อยจริงๆ พยักหน้ารับ

    "โอเค จัดไป" อิมาโยชิยิ้มร่า

    "ยินดีสนองเลยงานนี้" คาซามัตสึงานนี้ก็เอากับเขาด้วย "แต่อิมาโยชิ...นายไปนั่งกับมิบุจิเลย! อย่าลืมว่าตอนนี้นายไม่แข็งแรงพอวิ่งไปไหนมาไหนได้แบบเมื่อก่อนนะเว้ย!"

    "คาซามัตสึใจร้ายอ่ะ!" อิมาโยชิเบ้หน้าเมื่อไม่ได้ร่วมวงสนุก (?)

    "เออ...ไม่เห็นต้องพร้อมใจแกล้งขนาดนี้ก็ได้!" อาโอมิเนะมองสีหน้าแต่ล่ะคนที่ดูอยากไล่กวดตนเสียเต็มที่

    "ก็ใครใช้ให้ในหัวกลวงๆ ของนายคิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ฟะ!?" ทุกเสียงที่ยามนี้ถือผึ้งปลอมไว้ในมือเอ่ยพร้อมเริ่มออกวิ่งไล่ล่า (?) ทันที ทำให้อาโอมิเนะต้องรีบวิ่งทิ้งโล่ (?) และเผ่นไปด้วยอาการกลัวผึ้งกำเริบ

    "..." สามคนที่เหลืออยู่ได้แก่มิบุจิ อิมาโยชิและทาคาโอะมองอาโอมิเนะที่วิ่งหนีไปโดยมีคนไล่ตามไปเป็นขบวนอย่างขำขัน

    "จะว่าไป...อาโอมิเนะก็น่าสงสารเนอะ ที่ดันเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นน่ะ..." มิบุจิเอ่ยขึ้นมากับอีกสองคนที่อยู่กับตน "...เรื่องก็ดันมาเกิดในวันที่อาโอมิเนะนัดพวกเราไปเล่นสตรีทบาสกันอีก"

    "น่าสงสารน่ะใช่ แต่จะว่าใครก็ไม่ได้หรอกเพราะ 'พวกฉัน' ดันไปยืนอยู่แถวนั้นนิ" อิมาโยชิยักไหล่

    "แถมใครจะรู้ล่ะว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น...ฉันก็ดันหันไปมองพอดีจนโดนเข้าใจผิดว่าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี่สิ" ทาคาโอะถอนหายใจออกมาเบาๆ

    "สรุป...ความจริงคือโดนทำร้ายกันแบบไม่รู้เรื่องเลยสินะ..." มิบุจิเอ่ยพลางมองภาพของคนรักตนที่บัดนี้ได้หลับไหลลงไปชั่วนิรันด์ "...กลายเป็นว่าแค่รับเคราะห์จากความบ้าของไอ้บ้านั้นกันไป"

    "คงต้องบอกว่าพวกฉันซวยเองด้วยแหละ" ทาคาโอะถอนหายอีกเฮือกหนึ่ง "แต่เรื่องนั้นคงต้องชั่งไปก่อนเถอะยังไงเสียตอนนี้ไอ้บ้านั้นก็โดนจับได้แล้ว ที่สำคัญตอนนี้คืออาโอมิเนะต่างหาก...ถ้าคิเสะจากไปคงเศร้าและโทษตัวเองมากกว่าเดิมแหง"

    "นั้นสินะ" อิมาโยชิพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

    "จะว่าไป...อาการของคิเสะแย่มากเลยเหรอ?" มิบุจิถามขึ้นมาเนื่องจากตลอดมาที่สิง (?) ในโรงพยาบาลไม่ได้ไปคุยเรื่องคิเสะกับหมอเจ้าของไข้อย่างมิโดริมะเลย

    "แย่...แย่มากเลยล่ะ ตอนนี้คิเสะมองไม่เห็นอีกแล้วคาดว่าอีกไม่นานการได้ยินคงตามไปน่ะ" ทาคาโอะถอนหายใจออกมาเบาๆ "...แถมล่าสุดชินจังยังบอกอีกว่าระบบภายในร่างกายของคิเสะเริ่มที่จะเน่าเปื่อยแล้วด้วย"

    "หรือง่ายๆ ก็คือ...อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้แล้ว" อิมาโยชิเอ่ยสรุปสั้นๆ

    "แย่จัง...ชักห่วงอาโอมิเนะแล้วสิ" มิบุจิส่งสีหน้ากลุ้มใจออกมาอย่างไม่คิดจะปกปิด...เขาเข้าใจดีว่าการเสียคนที่รักไปมันเป็นยังไง...

    ...มันทั้งเจ็บปวดและทรมาณจนแทบอยากตายตามเลยล่ะ...

    "นั้นสิ ฉันก็ห่วงอาโอมิเนะเหมือนกัน..." อิมาโยชิพยักหน้ารับ "...แต่ตอนนี้เราคงทำอะไรไม่ได้มาก...นอกจากจะคอยอยู่ข้างๆ อาโอมิเนะเท่านั้นแหละ"

     

     

     

     

     

    หลังจากที่งานศพของมายุสุมิจบลงไป วันคืนก็ผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว...เร็วแบบที่อาโอมิเนะไม่ต้องการเลย...

    ...เพราะนับจากวันที่มายุสุมิเสียชีวิตลง คิเสะเองก็เริ่มมีอาการต่างๆ แสดงออกมามากขึ้น ซึ่งนั้นเป็นตัวบ่งบอกว่า...อีกไม่ช้าคิเสะคงได้จากไปในที่ที่ไม่อาจไปหาได้อีกแบบมายุสุมิ

    ...และสิ่งที่อาโอมิเนะทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียง...การอยู่กับคิเสะให้นานที่สุดเท่านั้น

    ...เท่านั้นจริงๆ

    "นี่..." เสียงเรียกเบาๆ ดังออกมาจากปากคนผมเหลืองที่นอนบนเตียงคนไข้สีขาวสะอาด "...วันนี้อาโอมิเนจจิไม่ไปทำงานเหรอ?"

    "โดดน่ะ" อาโอมิเนะตอบสั้นๆ ง่ายๆ ขณะที่มือทั้งสองยังเกาะกุ่มร่างที่นอนบนเตียงไม่ปล่อย

    "เห๋? โดดอีกแล้วเหรอ?" คิเสะส่งยิ้มกวนๆ ให้อาโอมิเนะ "ระวังนะ...โดดมากๆ จะโดนพวกมิโดริมัจจิเอาผึ้งมาไล่แกล้งอีก"

    "...นี่ใครบอกนายเนี่ย?" อาโอมิเนะคิ้วกระตุกเล็กน้อย...จำได้ว่าเขาไม่เคยบอกเรื่องที่โดนเอาผึ้งมาไล่แกล้งเลยนี่หว่า? จะว่าคนอื่นบอกก็ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นเล่นไล่จับเขาได้ก็มัดเขาไว้กับต้นไม้และแกล้งเอาผึ้งมาแหย่เขาจนน้ำลายฟูมปาก (?) แถมเทศนาเขาอยู่นานสองนานเสียจนสะใจแล้วนิ? พวกนั้นก็ไม่โหดขนาดเอาเรื่องนี่มาเล่าให้คิเสะฟังให้เขาอายเล่นหรอก

    "คุโรโกจจิน่ะ วันก่อนเอาคลิปที่นายโดนไล่มาให้ฟัง...พูดตามตรงนะ ในคลิปเนี่ยฟังเสียงนายแล้วฉันไม่รู้ว่าจะสงสารหรือขำนายดีเลย" คิเสะเอ่ย

    "..." อาโอมิเนะถึงกับเอ๋อกินเมื่อรู้ว่าใครเป็นตัวการ "วันนั้นเท็ตสึมันอยู่ด้วยเหรอนั้น!?"

    ...ไม่ยักเห็นมันเลย!!! ไปแอบอยู่ส่วนไหนของงานฟะ!?...

    "อื้อ! เห็นบอกว่านั่งอยู่ข้างๆ ฮายามะซังน่ะ! แต่โดนมองข้าม..." คิเสะตอบคำถามให้คนรักตน "...ดูท่าความจืดจางของคุโรโกจจิจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกระดับแล้วเนอะ?"

    "อื้อ...เพิ่มขึ้นมากจนน่ากลัวเลย!!!" อาโอมิเนะทำหน้าเหมือนไมเกรนขึ้น

    ...ให้ตายสิ! ยืนตรงนั้นก็ยืนตั้งนานสองนานไหงมองไม่เห็นหัวฟ้าๆ ของเท็ตสึมันเลยฟะ!? จะจืดจางยังไงก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิโว้ย!!!...

    "เฮ้! ในโรงพยาบาลหัดลดๆ เสียงหน่อยสิ!" คุณหมอผมเขียวยื่นหน้าเข้ามาเตือน

    "น่าๆ นิดๆ หน่อยๆ เอง" อาโอมิเนะกรอดตาไปมา

    "ไอ้นิดหน่อยของนายเสียงมันดังไปถึงห้องพักทาคาโอะมันเลยนะเฟ้ย!" มิโดริมะแยกเขี้ยวใส่ "เดี๋ยวพ่อเทศอีกสักยกเสียนิ!"

    "ไม่เอาแล้วเฟ้ย!" อาโอมิเนะส่ายหน้าวืด...แค่โดนเทศพร้อมถือผึ้งมาขู่เนี่ยก็เข็ดจนตายแล้ว!!!

    "งั้นก็ทำตัวดีๆ หน่อยเถอะ!" มิโดริมะแว๊ดใส่คนที่กลืนหายกับความมืดได้ (?) เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหันมาคุยกับคนไข้ผมเหลืองแทน "แล้ว...ช่วงนี้เป็นไงบ้างคิเสะ? มีอาการไหนเพิ่มขึ้นมาไหม?"

    "คิดว่า...ไม่อ่ะนะ" คิเสะส่ายหน้านิดๆ

    "อย่ามีคำว่าคิดว่าเซ่..." ดวงตาสีมรกตของคนเป็นหมอกรอดไปมาอย่างเหนื่อยใจ "...และอย่าทำตัวเหมือนไม่คิดอะไรแบบนั้นสิ มันทำให้ฉันเริ่มคิดแล้วว่าสมองนายอาจหล่นหายไปแล้วก็ได้"

    "ไหงว่างั้นอ่ะ!?" คิเสะโวย...ทำไมอยู่ๆ ว่ากันเฉยเลยเนี่ย!?

    "ก็มีอย่างที่ไหนนอกจากตามองไม่เห็นแล้ว การทำงานภายในร่างกายเริ่มผิดปกติทีล่ะอย่างๆ จนเมื่อวานอยู่ๆ กลายเป็นอัมพาตครึ่งตัวแล้วยังดูลั้นลาดีแบบนายห๊า!?" มิโดริมะยอมรับเลย...เขาคิดหลายรอบแล้วว่าคิเสะสมองหล่นหายแน่!

    "ก็มีทาคาโอจจิไง" คิเสะเถียงกลับทันควัน

    "แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนี้โว้ย!" มิโดริมะคุมขมับ

    "จะว่าไปก็จริงแฮะ" อาโอมิเนะเห็นด้วยเลยเรื่องนี้...คิเสะลั้นลาเกินไปจริงๆ นั้นแหละ...

    ...จนเหมือนแกล้งทำเพื่อปกปิดบ้างอย่าง...

    "ง่ะ! อาโอมิเนจจิก็เอากะเขาด้วยเหรอ!?" คิเสะทำแก้มป่อง

    "ก็มันจริงนี่หว่า" อาโอมิเนะเอานิ้วจิ้มแก้มป่องๆ ของอีกฝ่ายเบาๆ

    "งื้อ...อย่าจิ้มดิ!" คิเสะเอื้อมมือไปดึงหน้าอีกฝ่ายเป็นการเอาคืน

    "หน็อย...งั้นเจองี้บ้าง!" อาโอมิเนะดึงจมูกคิเสะเบาๆ

    "เอาๆๆๆๆ เลิกเล่นกันได้แล้วพวกนาย!" มิโดริมะที่เห็นว่าทั้งสองเริ่มจะจีบกัน (?) แล้วรีบเอ่ยห้ามขึ้นเสียก่อนที่จะโดดมองข้าม "ตกลงนายไม่มีอาการผิดปกติอย่างอื่นเพิ่มเติมแน่นะ? คิเสะ?"

    "อื้อ!" คิเสะดึงมืออาโอมิเนะออกจากจมูกตนและพยักหน้ารับ

    "โอเค งั้นถ้ามีความผิดปกติอะไรเพิ่มเติมก็บอกล่ะ...เดี๋ยวฉันไปตรวจอิมาโยชิซังต่อก่อน แล้วจะมาตรวจเซ็กร่างกายนายอีกที" มิโดริมะเอ่ยก่อนที่จะทำท่าเดินออกจากห้อง แต่...

    "เดี๋ยวดิ! มิโดริมัจจิ! / มิโดริมะ!" ...กลับโดนคนไข้หัวเหลืองกับนายตำรวจผมน้ำเงินเอ่ยรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน

    "มีอะไร?" มิโดริมะหันกลับไปมองบุคคลทั้งสองภายในห้องอย่างงุนงง

    "อาการของสองคนนั้นเป็นไงบ้างอ่ะ!?" ชายหนุ่มผมเหลืองและน้ำเงินถามออกใาเป็นเสียงเดียวกัน

    "อ๋อ สองคนนั้นเหรอ?" แม้ไม่มีใครอธิบายเพิ่มเติมมิโดริมะก็เข้าใจได้ในทันทีว่า 'สองคนนั้น' ที่ว่าหมายถึงใคร...ยังไงเสียคงไม่พ้นผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่นอกจากคิเสะนั้นแหละ "สำหรับอิมาโยชิซังมีอาการแทรกซ้อนคือโรคหอบหืดอย่างเดียว บวกกับเป็นไข้หวัดได้ง่ายเท่านั้น ส่วนทาคาโอะพูดได้เลยว่านอกจากต้องฝึกทำสิ่งต่างๆ ด้วยมือข้างเดียวแล้วนอกนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรล่ะนะ"

    "สรุป...สบายดีกันทั้งสองคน" อาโอมิเนะเอ่ย

    "ก็ตามนั้นแหละ" มิโดริมะขยับแว่นขึ้นตนเบาๆ ตามปกติก่อนที่จะเริ่มเดินออกจากห้องไปอีกครั้ง "ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอไปตรวจอิมาโยชิซังก่อนล่ะ...พอดียังไม่อยากเจอลูกถีบของคาซามัตสึซังเป็นของแถมน่ะ และอย่าส่งเสียงดังกันอีกล่ะ"

    "อื้อ!" ชายหนุ่มทั้งสองขานรับขณะที่ประตูห้องพักถูกปิดลง

    "..." เมื่อคนเป็นหมอออกไปแล้ว คนผมเหลืองก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ "...นี่...อาโอมิเนจจิ"

    "หื้อ? มีอะไรเหรอ?" อาโอมิเนะเอ่ยถามขึ้นมา

    "ถ้าเกิด...ฉันตายขึ้นมาล่ะก็..." คิเสะเอ่ยออกมาช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม "...ช่วยอยู่ต่อแทนฉันทีนะ อาโอมิเนจจิ"

    "..." อาโอมิเนะถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อเจอคำพูดแบบนี้จากปากคนรักของตน "นี่พูดบ้าอะไรของนายออกมาเนี่ย!? คิเสะ!"

    ...เล่นพูดเหมือนว่านายกำลังจะตายในเร็วๆ นี้แบบนี้มันทำให้ใจคอไม่ดีเฟ้ย!...

    "ก็พูดเผื่อไว้ไง..." คิเสะหัวเราะออกมาเบาๆ "...เกิดฉันตายขึ้นมาจริงๆ ฉันจะได้ไม่ค้างคาอะไรไง"

    "อย่าพูดเหมือนจะตายพรุ่งนี้สิฟะ! ฉันกลัวนะเฟ้ย!" อาโอมิเนะทำหน้าราวกับจะร้องไห้ออกมา...และในไม่กี่วิต่อมาก็น้ำตาแตกจริงๆ

    "หว่าๆ!" คิเสะถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อน้ำอุ่นๆ ตกมากระทบหน้าตน เป็นตัวบ่งบอกว่าคนรักหน้าโหด (?) ของตนร้องไห้ออกมาราวเด็กๆ เสียแล้ว "อ...อย่าร้องสิอาโอมิเนจจิ!"

    "นายก็อย่าพูดเหมือนกำลังจะทิ้งฉันไปสิ! เจ้าบ้า!" อาโอมิเนะแว๊ดใส่

    "ก็แหม...สภาพร่างกายฉันกลายเป็นแบบนี้ก็ต้องคิดกันบ้างแหละ..." คิเสะยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำนาบนดวงหน้าคมเข้มของอีกฝ่าย

    "คิดก็แค่คิดดิ! อย่าพูดเป็นลางแบบนั้นได้เปล่า!?" อาโอมิเนะทำหน้าบึ้ง

    "โอเคๆ ไม่พูดแล้วก็ได้...อย่าร้องดิ อาโอมิเนจจิเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่านะ..." คิเสะเอ่ยนิ้วดันมุมปากของอีกฝ่ายขึ้น

    "มองไม่เห็นแล้วยังทำมาพูดดีอีกนะ เจ้าบ้าเอ้ย" อาโอมิเนะคว้ามือที่ยื่นมากุ่มไว้

    "ฮะๆ ก็นะ แต่..." คิเสะยิ้มบางๆ ออกมา "...ถึงอยู่ในความมืดแบบนี้ก็ไม่แย่เท่าไหร่หรอก...ก็อาโอมิเนจจิค่อยอยู่ข้างฉันนี่นา ต่อให้มองไม่เห็นก็ตามสำหรับฉันอาโอมิเนจจิก็เป็นเหมือนแสงสว่างนำส่องทางให้ฉันตลอดนั้นแหละ"

    "...นายนี่...พูดน้ำเน่าจังเนอะ" อาโอมิเนะเผลอยิ้มเศร้าๆ ออกมาเล็กน้อยพลางพูดเช่นนี้ออกมา...เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนนั้นรู้สึกเช่นใด...

    ...ไม่รู้อะไรซะเลย...ยิ่งนายพูดแบบนี้ยิ่งทำให้ฉันกลัวที่จะสูญเสียนายเข้าไปใหญ่เลย...

    "ไหงว่างั้นอ่ะ!? อาโอมิเนจจิ!" คิเสะทำแก้มป่องอีกครั้ง

    "ก็ตามที่พูดนั้นแหละ" อาโอมิเนะฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ

    "อาโอมิเนจจิอ่ะ!" คิเสะทำหน้ามุ่ย

    "นายยังงอนได้น่าแกล้งเหมือนเดิมเลยนะ..." อาโอมิเนะเอ่ย "...ว่าแต่เรื่องที่นายบอกว่าฉันเหมือนแสงสว่างเนี่ยฉันขอแย้งเลยนะว่าไม่ใช่"

    "ทำไมล่ะ?" คิเสะทำหน้างงๆ

    "ก็ฉันเนี่ยเรียกว่าเป็นพวกกลืนหายไปกับความมืดได้คงเหมาะกว่ามั้ง และ..." อาโอมิเนะเริ่มเอื้อยเอ่ยคำที่ฟังดูจริงจังออกมา "...คนที่เป็นดั่งแสงสว่างน่ะ...มันคือนายต่างหากเล่า"

     

     

     

     

     

    หลายวันผ่านการดำเนินชีวิตของอาโอมิเนะ ไดกิก็ดำเนินไปในเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ไม่ว่าจะเป็นการเกาะหนึบกับคิเสะ (?) ทำงานและโดดงาน (เด็กดีไม่ควรทำนะ // s) วนไปวนมาอยู่ทุกวัน แต่แล้ววันนี้กิจวัตรเดิมๆ ก็ต่างออกไปเมื่อ...

    "วันนี้แกห้ามโดดงานนะเว้ย! อาโอมิเนะ!!!" ...คุณหัวหน้าที่เคารพดันมายืนเฝ้านายอาโอมิเนะไม่ให้มีโอกาสหนีงานได้เลยน่ะสิ!

    "...งั้นขอเปลี่ยนเวรกับคนอื่นได้ไหมอ่ะครับ? ฟุคุอิซัง..." อาโอมิเนะที่มองนาฬิกาเป็ระยะๆ เอ่ยถามขึ้นมาเสียงแผ่ว

    "นี่ฉันอุตสาห์ให้แก่นั่งทำงานแค่ครึ่งวันในวันนี้มันจะตายหรือไงห๊า!? ช่วยรอให้ถึงเที่ยงแล้วค่อยไปหาแฟนแกเถอะ! ถ้าเกิดวันนี้เบื้องบนมาถามถึงแกอีกฉันนึกข้อแก้ตัวให้กับแกไม่ออกแล้วเฟ้ย!" ชายหนุ่มผมทองแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย

    "ก็ผมห่วงคิเสะนิ..." อาโอมิเนะทำเสียงอ้อมแอ้ม

    "เออ! รู้ว่าห่วง! แต่งานนี้ฉันพยายามช่วยให้แกไปหาคิเสะได้มากที่สุดแค่นี้นี่หว่า! ช่วยทนๆ หน่อยเถอะ!" ฟุคุอิรู้สึกอยากเป็นลมจริงๆ งานนี้...ตลอดมาที่อาโอมิเนะแว๊บหนีงานไปหาคิเสะ เขาต้องค่อยแก้ตัวค่อยทำงานให้อาโอมิเนะมันตลอด! จนเขาจะจมกองงานตายแล้วโว้ย!!! สงสารกันบ้างเถอะ!!!

    "ก็ได้ครับ" อาโอมิเนะเบ้หน้าเล็กน้อยก็ดูเอกสารในการทำงานของตนและถึงกับคิ้วขมวด "...นี่ไอ้บ้านั้นซี้ม่องเทงแล้วเหรอ!?"

    "ยังเฟ้ย! แค่เกือบ..." ฟุคุอิกรอดตาไปมา "...พอดีก่อนหน้านี่วกฉันเอาเจ้าบ้านั้นไปขอขมาศพมายุสุมิมันน่ะ...แล้วมันเกิดบ้าอะไรไม่รู้พูดขึ้นว่า 'สาระแนกันนัก ตายไปนี่แหละดีแล้ว!' ก็เลยโดนสหบาทาไปน่ะ"

    "รวมคุณด้วยสินะครับ?" อาโอมิเนะไม่คิดให้เปลื้องสมองก็รู้เลยว่าฟุคุอิต้องร่วมวงตื้บด้วย "ว่าแต่พาไปบ้านั้นไปงานศพมายุสุมิซังตอนไหนเนี่ย? ทำไมไม่เห็นหัวเลย?"

    "คงเห็นหรอก เพราะฉันพาไปขอขมาศพตั้งแต่งานศพวันแรกน่ะ...ตอนนั้นนายยังยุ่งกับการเตรียมเอกสารฟ้องศาลดำเนินคดีอยู่น่ะ..." ฟุคุอิอธิบาย "...ส่วนเรื่องที่รวมวงตื้บไหมนั่น...แน่นอนว่าไม่ เพราะตอนกำลังจะตื้บทั้งมิบุจิ เนบุยะ ฮายามะ มิยาจิกับยูยะร่วมวงตื้บก่อนน่ะเลยแทรกเข้าไปร่วมวงไม่ได้ ส่วนสภาพไอ้บ้านั้นคงเดาออกนะว่าเป็นไงตอนนี้"

    "คำว่าเละยังน้อยไปแหง" อาโอมิเนะไม่คิดหรอกว่าคนที่โดนมิยาจิ คิโยชิตื้บน่ะจะไม่เละและนี่ยังแถมเท้าหลายเท้าเข้าไปอีก...รับรองว่าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตล่ะ

    "ถูก..." ฟุคุอิเอ่ยยืนยันในความคิดของคนผิวเข้ม "...และตอนนี้มิโดริมะเป็นคนรักษาน่ะ...เห็นว่าตำรวจที่ได้รับหน้าที่ไปเฝ้าคนร้ายนั้นถึงกับสยองกับการรักษาของมิโดริมะเลยล่ะ เพราะมิโดริมะใช้ยาแต่ล่ะตัวแบบแสบบรรลัย ชนิดอยากกัดลิ้นตัวเองตานเลยล่ะ แถมยังพูดกับเจ้าหน้าที่อีกนะว่า 'ผมไม่ได้แกล้งหรอกนะ นี่ถือเป็นการรักษาตามปดติเหมือนกัน แต่แค่เลือกตัวยาที่แสบชนิดน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วงมาใช้แค่นั้น รับรองผลว่ารักษาหายเหมือนกันชัวท์ แต่ตอนนี้ขอแก้แค้นให้พวกทาคาโอะก่อน ส่วนเรื่องอื่นไว้ทีหลังแล้วกันครับ' จนพวกที่ไปเฝ้าคนร้ายนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า 'จะไม่มีวันไปมีเรื่องกับคนเป็นหมอเด็ดขาด!!!' น่ะ"

    "สมควรล่ะ...ถ้าเกิดฉันเป็นหมอแบบมิโดริมะและเจอเรื่องแบบนี้ฉันก็เอายาแสบบรรลัยราดแผลเหมือนที่มิโดริมะมันทำนั้นแหละ" อาโอมิเนะมั่นใจว่าตนถ้าเป็นหมอแบบเพื่อนหัวเขียวก็คงทำเช่นเดียวกัน

    "ไม่เถียง เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันก็ทำ" ฟุคุอิยักไหล่ "จะว่าไป...ตอนนี้อาการพวกที่เหลือเป็นไงบ้าง? ฉันมัวก้มหน้าก้มตาทำงานให้นายจนไม่มีเวลาไปเยี่ยมพวกนั้นเลย"

    "สำหรับทาคาโอะกับอิมาโยชิซังถือว่าโอเคดีครับ แต่คิเสะนี่..." อาโอมิเนะยิ้มฝืนๆ ออกมา "...ตอนนี้ขยับตัวไม่ได้แล้วครับ"

    "...คิเสะอาการหนักสุดสินะ" ฟุคุอิถอนหายใจออกมาเบาๆ

    "ครับ..." อาโอมิเนะพยักหน้ารับก่อนที่จะเริ่มอ่านเอกสารต่อไป...และแทบอยากปาเอกสารทิ้งในเวลาต่อมาเมื่อเจอเอกสารแผนหนึ่งเข้า "...นี่มันอะไรฟะ!? ให้เอาผิดคนที่ตื้บไอ้บ้านั้นเข้าโรงพยาบาลเหรอ!?"

    "ว่าไงนะ!?" ฟุคุอิรีบคว้าเอกสารในมืออาโอมิเนะมาดู "จะบ้าหรือไงฟะ! ไอ้บ้านั้นทำตัวเองล้วนๆ ยังมีใครมีหน้ามายื่นเรื่องเอาผิดพวกมิบุจิเนี่ย!?"

    "ใช่เลย!" อาโอมิเนะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

    "แต่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเอกสารนี่ก็ไม่ได้อีก...เอาไงดีเว้ย!!!" ฟุคุอิยี่หัวตัวเองที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วให้ยุ่งขึ้นไปกว่าเดิม

    "ก็เอาหลักฐานที่บ่งบอกว่าคนคนนั้นเป็นฝ่ายผิดไปยื่นต่อศาลสิครับ รับรองคำร้องนี่นี้โดนปัดทิ้งทันทีแน่ และถ้ากลัวว่าจะไม่ได้ผลก็เอาโมโมอิซังที่เป็นอัยการในตอนนี้มาเป็นตัวชี้ในคำร้องนี่ก็ได้ครับ" เสียงนิ่งๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่มทั้งสอง ทำให้คนที่ทำท่าเหมือนอยากอาละวาดสะดุ้งโหยงพร้อมกับ...

    "เหวอ!!!" ...ร้องเสียงหลงเช่นนี้ และมองไปทางต้นเสียง...ก่อนที่จะพบชายหนุ่มผมสีฟ้าใสยืนอยู่

    "...เมื่อไหร่จะเลิกตกใจกันแบบนี้สักทีครับเนี่ย?" ชายหนุ่มผมฟ้าเอ่ยถามด้วยหน้าตาย

    "ก็เลิกโผล่มาแบบนี้สิฟะ! คุโรโกะ!!!" ฟุคุอิค้อนใส่คนที่เกือบทำตนหัวใจวายตาย

    "เท็ตสึ! นี่นายโผล่มาตอนไหนเนี่ย!?" อาโอมิเนะที่หน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัดเอ่ยถาม

    "ตอนที่คุณเริ่มโวยเรื่องเอกสารที่จะเอาผิดพวกมิบุจิซังน่ะครับ" คุโรโกะ เท็ตสึยะที่นับวันยิ่งจืดจางยิ่งกว่าธาตุอากาศตอบ

    "...ฉันรู้สึกว่าโชคดีที่นายไม่เลือกอาชีพโจร ไม่งั้นได้มีข่าวผีลักซ่อนได้ทุกวี่ทุกวันแน่" อาโอมิเนะถอนหายใจออกมาเบาๆ

    "ใครมันอยากทำอาชีพนั้นกันล่ะครับถ้ามีทางเลือกน่ะ" คุโรโกะค้อนใส่คนผมน้ำเงิน ก่อนหันไปหาคนผมทองแทน "ฟุคุอิซังถ้าเกิดมีคนร้องให้เร่งดำเนินคดีในเรื่องนี้ก็เอานี้ไปเปิดให้ชาวบ้านชาวช่องรู้กันเลยนะครับ"

    "นี่มันอะไรเนี่ย?" ฟุคุอิมองของที่คนผมฟ้ายัดมาให้อย่างงงๆ ...จะเอาซีดีกับแฮกดี้ไดร์มาให้เขาทำไมเนี่ย!?

    "หลักฐานว่าพวกมิบุจิซังไม่ผิดครับ ตอนนั้นก่อนที่คนร้ายที่คุณพาไปขอขมามายุสุมิซังพูดจาน่าถีบน่ะผมถ่ายวิดีโอไว้ตั้งแต่ตอนที่คุณพาเดินเข้ามาแล้วครับ แถมผมอัดเสียงไว้ด้วย ตอนนั้นกะแค่เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นเฉยๆ แต่ดูท่าจะได้ใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้แทนนะครับ" คุโรโกะอธิบาย "รับรองคนที่คิดพิเรนท์จะเอาผิดพวกมายุสุมิซังเถียงไม่ออกแน่ครับ"

    "ถ้าให้เดา...คนที่มายื่นเรื่องเอาผิดในครั้งนี้มั่นใจว่าพวกมิบุจิไม่มีหลักฐานพอเอาตัวเองพ้นผิดแน่เลยมายื่นเนี่ย..." ฟุคุอิถอนหายใจออกมาเบาๆ "...และคงเพราะไม่เห็นนายที่ยื่นถ่ายวิดีโอ แถมอัดเสียงไว้ด้วยแหง"

    "ครับ...คนที่ว่ามายื่นเรื่องเอาผิดกับพวกมิบุจิซังไม่เห็นแม้ตัวผมยืนอยู่ข้างๆ ขณะที่กำลังจะเอาเอกสารมายื่นเรื่องนี้เลยครับ" คุโรโกะเอ่ย...พูดตามตรง เขารู้สึกว่าความจืดจางนี้มีประโยชน์ก็งานนี้แหละ

    "ต้องขอบคุณความจืดจางของนายแฮะงานนี้" ฟุคุอิรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดๆ พลางมองไปที่นาฬิกา "เรื่องนี้เดี๋ยวฉันจัดการเองแล้วกัน ขอบใจที่ช่วยนะคุโรโกะ...ส่วนอาโอมิเนะ ตอนนี้เที่ยงแล้วนายจะไปหาคิเสะก็รีบไปล่ะ ระวังช้าโดนเรียกใช้งานต่อล่ะ"

    "อะ! ครับ!" อาโอมิเนะที่เห็นว่าถึงเวลาที่ตนสามารถไปหาคิเสะได้แล้วก็รีบวิ่งออกจากห้องทำงานโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นทันที

     

     

     

     

     

    ณ โรงพยาบาล อาโอมิเนะได้เดินไปยังห้องพักผู้ที่ชั้นเดิมตนมปกติ และกำลังจะเดินไปยังห้องพักของคนรักตน แต่แล้ว...

    "อาโอมิเนะ!!! ในที่สุดนายก็มา!!!" ...กลับมีร่างของชายหนุ่มผมดำรีบวิ่งปราดเข้าหาคนผมน้ำเงินที

    "หื้อ?" อาโอมิเนะเลิกคิ้วมองคนที่วิ่งมาหาอย่างงุนงง "มีอะไรเหรอ? ทาคาโอะ?"

    "แย่แล้วล่ะ! คิเสะถูกพาตัวเข้าห้องไอซียูไปแล้ว!!!" ทาคาโอะเอ่ยด้วยท่าทีตื่นตนก

    "ว่าไงนะ!?!" เมื่อได้รับคำตอบดั่งนี้สมองอาโอมิเนะถึงกับแทบสมองหยุดทำงานไปในทันที...

    ...นี่อาการคิเสะทรุดลงหนักขนาดนี้แล้วเหรอ!?...

    "ก็อย่างที่ได้ยินนั้นแหละ! อย่ามั่วถามมากเลย! รีบไปหาคิเสะกับชินจังที่ห้องไอซียูเร็ว! ชินจังให้มาตามนายน่ะ!" ทาคาโอะดึงแขนของอีกฝ่ายยิกๆ "รีบๆ ไปเซ่! มั่วยืนอึ้งอะไรเล่า!?"

    "อ่ะ! อื้ม!!!" อาโอมิเนะขานรับเล็กน้อยก่อนที่จะวิ่งไปที่ห้องไอซียูพร้อมกับทาคาโอะ...และเมื่อถึงจุดหมายก็พบคนผมเขียวที่คุ้นเคยยืนรออยู่

    "มาแล้วเหรออาโอมิเนะ?" มิโดริมะมองคนที่กระหืดกระหอบวิ่งมาทั้งสอง

    "เออ!" อาโอมิเนะขานรับห้วนๆ "แล้วนี่คิเสะเป็นไงบ้างเนี่ย!?"

    "แย่..." มิโดริมะตอบง่ายๆ สั้นๆ ในแบบที่คิดว่าสมองน้อยๆ ของเพื่อนจะรับไหว "...และคิเสะ...คงจากไปในไม่ช้านี่แหละ"

    "โกหกน่า..." อาโอมิเนะแทบจะเสียสูญเมื่อได้ยินคำตอบจากคุณหมอผมเขียว...และเขาคงไม่คิดเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแน่ถ้าไม่ติดว่าเขารู้ว่าเพื่อนเขาคนนี้นอกจากหมดปัญญาแล้วจริงๆ ไม่มีทางพูดอะไรแบบนี้ออกมาแน่ "...อาการของคิเสะ...ทรุดลงขนาดนี้เลยเหรอ?"

    "อา...ใช่ และร่างกายรับสภาพไม่ไหวแล้วล่ะทั้งจากเชื้อพิศดารนั้นทั้งจากการรักษาด้วยในตอนนี้..." มิโดริมะส่งยิ้มเศร้าๆ ให้...ยังไงเสียคิเสะก็เป็นเพื่อนเขา ถึงจะเห็นคนตายมานับไม่ถ้วนจากอาชีพนี้แต่การเห็นเพื่อนตัวเองตายเนี่ยจะให้ไม่รู้สึกอะไรเลยก็ไม่ไหวนะ... "ตอนนี้นายรีบไปคุยกับคิเสะเถอะ...คิเสะอยากจะคุยกับนายน่ะ"

    ...ตอนนี้เขาทำได้เพียงทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น...

    "อื้อ..." อาโอมิเนะพยักหน้ารับ และจากนั้นมิโดริมะก็ลากอาโอมิเนะไปจับแต่งตัวตามระเบียบการเข้าห้องนี้ก่อนที่จะพาไปหาคิเสะ...ที่ตอนนี้มีอุปกรณ์ทางการแพทย์หลายอย่างติดตามร่างกาย เสียงของเครื่องวัดชีพจรดังขึ้นเป็นจังหวะบ่งบอกว่าร่างนี้ยังคงมีชีวิตอยู่...

    ...แต่คงเพียงอีกไม่นานเท่านั้น

    "คิเสะ...ฉันพาอาโอมิเนะมาหาแล้วนะ" มิโดริมะเรียกร่างที่นอนบนเตียงเบาๆ

    "อ๊ะ...มาแล้วเหรอ?" คิเสะถามขึ้นด้วยเสียงแห่บแห้งจนน่าใจหาย "อาโอมิเนจจิ?"

    "อื้อ...ฉันอยู่ตรงนี้ วันนี้ขอโทษทีนะที่มาหานายช้าไปหน่อย" อาโอมิเนะเกาะกุ่มมืออีกฝ่ายไว้ เพื่อให้คิเสะรับรู้ว่าตนอยู่ตรงนี้

    "...ฉันออกไปรอข้างนอกนะ คิเสะ อาโอมิเนะ" มิโดริมะมองเพื่อนทั้งสองก่อน และคิดว่าควรปล่อยให้ทั้งสองได้คุยกันเอง...ในการพูดคุยครั้งสุดท้ายนี้

    เมื่อคิดได้ดังนั้นมิโดริมะก็เดินออกไปจากห้องโดยไม่รอฟังคำตอบรับจากเพื่อนตนเลยแม้แน่น้อย ทำให้ท้ายที่สุดภายในห้องนี้ก็เหลือเพียงคนเพียงสองคนเท่านั่น

    "...มิโดริมัจจิออกไปแล้วเหรอ?" คิเสะถามขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงเดินนั้นห่างออกไป

    "อา ใช่" อาโอมิเนะตอบรับ ขณะที่...

    "อาโอมิเนะจิ?" คิเสะที่รับรู้ถึงหยาดน้ำที่ตกลงมากระทบร่างตนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ร้องไห้?"

    "คิเสะ..." อาโอมิเนะเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงสั่นเทา ในตอนนี้ที่ภายในห้องเหลือเพียงสองคนอาโอมิเนะไม่จำเป็นต้องอดกลั้นความรู้สึกต่างๆ ไว้เพื่อไม่ให้คนอื่นๆ เป็นห่วงและได้แสดงความอ่อนแอของตนออกมาด้วยความรู้กลัว...กลัวที่จะสูญเสียคิเสะ เรียวตะไป "...ขอร้องล่ะ...อย่าตายนะ"

    "หว่า...อย่าขออะไรยากๆ แบบนั้นสิ อาโอมิเนจจิ" คิเสะส่งยิ้มให้อีกฝ่าย...เขารู้ตัวดีว่าอีกไม่นานเขาต้องตาย และเขาก็คงฝืนเรื่องนี้ไม่ได้ด้วย "อย่าร้องไห้สิอาโอมิเนจจิ"

    "นายก็อย่าตายสิฟะคิเสะ..." อาโอมิเนะเอ่ย "...อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียวเลย"

    "เรื่องแบบนี้มันฝืนกันได้ที่ไหนล่ะ" คิเสะรู้สึกอ่อนใจกับคนรักตนนิดๆ "และอีกอย่างต่อให้ฉันตาย ฉันก็ไม่ทิ้งอาโอมิเนจจิไปหรอก แม้เป็นผีฉันก็จะค่อยวนเวียนอยู่ข้างๆ นายแน่ แต่ถ้าเกิดวันดีคืนดีเห็นฉันขึ้นมาอย่าวิ่งหนีหัวโกร๋นแล้วกัน"

    "คิเสะ..." ...ต่อให้นายเป็นผีฉันก็ไม่มีทางหนีนายหรอก

    "อ๋อ จริงสิ...นี่ อาโอมิเนจจิ..." คิเสะยังคงยิ้มให้อาโอมิเนะ "...เมื่อฉันตายนายช่วยทำตามที่ฉันพูดเมื่อตอนนั้นทีนะ...ช่วยมีชีวิตต่อแทนฉันที"

    "อื้อ...ได้สิ..." อาโอมิเนะขานรับ "...ถ้านายต้องการ...ฉันก็จะทำ"

    ...ถ้ามันเป็นสิ่งที่ฉันจะทำเพื่อนายได้ ฉันก็จะทำ...

    "ขอบใจนะอาโอมิเนจจิ" คิเสะเอ่ย

    "ไม่เป็นไรหรอก..." ...ถ้านายขอย่อมได้อยู่แล้ว

    "แล้วก็อาโอมิเนจจิ..." คิเสะยังคงเอ่ยต่อไป...เอ่ยคำล่ำลาก่อนที่จะไม่มีวันได้เจอกันอีก "...ช่วยบอกรักฉันอีกสักทีได้ไหม?"

    "ได้สิ...ได้แน่นอน..." อาโอมิเนะมองใบหน้าที่รอยยิ้มเริ่มบิดเบี้ยว ก่อนน้ำตาจะไหลออกมาจากดวงตาสีเหลืองที่ไร้ประกายนั้น...เขารู้ว่าที่จริงคิเสะเองก็กลัวที่จะต้องตายเหมือนกัน แต่ก็ยอมทนฝืนไว้เพื่อที่จะได้มีเวลาที่แสนสุขกับเขาให้มากที่สุดในช่วงสุดท้ายของชีวิต "...ฉันรักนายคิเสะ รักที่สุด...และต่อให้นายไม่อยู่บนโลกนี่อีกแล้วฉันก็จะยังรักนายตลอดไป"

    "อาโอมิเนจจิ...ฉันก็รักนายมาก รักมากที่สุด..." คิเสะส่งยิ้มให้ทั้งน้ำตา "...ดั่งนั้นได้โปรด...อย่าลืมฉันนะ"

    "อื้อ..." อาโอมิเนะยกมืออีกข้างปาดหยาดน้ำตาของอีกฝ่าย "...ไม่ลืมหรอก...จ้างให้ก็ลืมไม่ลงหรอก"

    ...เพราะนายคือทั้งหมดของฉัน นายคือดวงใจของฉัน...

    ...และนายคือคนที่ฉันมอบความรักทั้งหมดให้ยังไงล่ะ...

    "ขอบคุณนะอาโอมิเนจจิ...ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง..." ดวงตาสีเหลืองค่อยๆ ปิดลงทั้งรอยยิ้ม "...ฉันรักนายที่สุดเลย...อาโอมิเนจจิ"

    "อื้อ...ฉันก็รักนาย..." อาโอมิเนะเอ่ยตอบรับอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เครื่องวัดชีพจรจะส่งเสียงตื้ดยาว...เป็นตัวบ่งบอกว่าชีวิตอีกฝ่ายได้หลุดลอยไปแล้ว "...คิเสะ...อึก...อ๊ากกกกกก!!!!"

    เสียงกรีดร้องดังไปทั่วห้องบ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ราวจะฉีกร่างกายออกเป็นชิ้นๆ ของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี โดยที่คุณหมอผมเขียวที่ดูจะรู้สถานการณ์ทำได้เพียงโผล่หน้าเข้ามาดูเพื่อนผมน้ำเงินของตนอยู่ห่างๆ เท่านั้น...

    ...เมื่อความจริงได้ปรากฏตรงหน้าว่า...

    ...ผู้ที่เป็นที่รักได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...

    ...ผู้เป็นดั่งแสงสว่างที่สดใสให้ชีวิต...

    ...ผู้ที่ตกแต่งให้โลกทั้งใบสดใส...

    ...ไม่ได้อยู่บนโลกนี่อีกแล้ว...

    ...ยามนี้...โลกของอาโอมิเนะ ไดกิ...

    ...จึงเสมือนถูกฉาบย้อมเป็นสีดำสนิกไปแล้ว...

     

     

     

     

     

    "เฮ้! วันนี้ใครเห็นเจ้าบ้านั้นหรือเปล่า!?"

    "ไม่เห็นครับลูกพี่!"

    "ไม่เห็นหัวมันเลยครับ!"

    "เออ...ผมเห็นว่าออกไปเมื่อกี้น่ะครับ ขอโทษครับๆๆๆๆ"

    "งั้นก็แสดงว่า...มันหนีงานอีกแล้วเหรอ!!?"

    เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นทั่วสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง...ซึ่งมันเกิดขึ้นประจำจนชาวบ้านระแวกนั้นมองเป็นเรื่องขำขันไปเสียแล้วกับเสียงโวยวายนั้น ส่วนตัวต้นเหตุที่ทำให้สถานีวุ่นวายนั้น...

    ...กลับมาเดินลอยชายตรงกลางท้องถนนที่คนแถวๆ นี้ทุกคนต่างเห็นเป็นประจำ เพราะรายนี้ทุกครั้งที่มีเสียงโวยวายจากโรงพักมักเห็นเดินอยู่ทางสายนี้ แวะร้านดอกไม้ข้างทางและไปจบลงที่ที่แห่งหนึ่งเสมอ...และสถานที่ที่ว่านั้นก็คือสุสานนั้นเอง

    ร่างโปร่งผมสีน้ำเงินเดินก้าวขายาวๆ ไปยังป้ายหลุมศพที่อยู่ส่วนลึกสุดของสุสาน ซึ่งที่ป้ายนั้นเขียนไว้ว่า 'คิเสะ เรียวตะ' ก่อนที่จะวางดอกทานตะวันสีเหลืองลงตรงหน้าป้ายหลุมศพนั้น

    "ไง...ฉันมาเยี่ยมอีกแล้วนะ คิเสะ นี่เบื่อหน้ากันหรือเปล่าเนี่ย?" ชายหนุ่มผมน้ำเงินนั่งย่องๆ ต่อหน้าหลุมและเอ่ยขึ้นมาเบาๆ "แต่อย่างนายคงไม่เบื่อกันหรอกใช่ไหม? แต่ถ้าเบื่อกันมีเรื่องแน่...ว่าแต่ทางนั้นนายสบายดีหรือเปล่านะ? ทางนี่ฉันสบายดี งานก็เรื่อยๆ เอื่อยๆ อ่ะนะ จะมีปวดหัวหน่อยก็ตรงโดนวากามัตสึซังโวยเรื่องโดดงานเนี่ย ส่วนฟุคุอิซังยังพอคุยกันรู้เรื่องกว่าหน่อยอ่ะนะ"

    อาโอมิเนะ ไดกิผู้มีดีกรีเป็นตำรวจหนุ่ม (มั้ง) ไฟแรงเอ่ยกับหลุมศพไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคดีที่ตนทำนั้นยากฉิบเพราะโดนคนอื่นโยนงานมาให้ ทั้งเรื่องที่โดนมิโดริมะที่เป็นหมอเรียกไปเทศสัปดาห์ล่ะสามครั้งเพราะไปฝ่าดงลูกกระสุนกับคนร้ายมา และอื่นๆ อีกมากมายไม่รู้จบ จนกระทั่งผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเจ้าตัวจึงค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นยืน เนื่องจากถ้าไม่กลับไปทำงานต่อคงโดนโวยหนักกว่าเดิมทั้งจากคนที่ทำงานทั้งจากเพื่อนตัวเองที่มักมาเทศนาเรื่องที่เขาชอบโดดงานบ่อยๆ

    "วันนี้ฉันกลับไปทำงานก่อนนะคิเสะ...แล้วฉันจะมาใหม่และ..." อาโอมิเนะยิ้มบางๆ ให้กับหลุมศพของบุคคลที่เป็นที่รัก "...ฉันยังรักนายเหมือนเดิมนะ คิเสะ"

    ชายหนุ่มผมน้ำเงินเมื่อเอ่ยเช่นนี้เสร็จแล้วก็ค่อยๆ เดินออกจากสุสานตามปกติ แต่วันนี้ดูท่าจะต่างจากเดิมเมื่อ...

    "อื้อ? วันนี้พูดแป๊บเดียวแฮะ ปกติอย่างต่ำสองชั่วโมงนิ?" ...มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทักทันทีที่อาโอมิเนะก้าวออกมาจากสุสาน

    "อ่ะ! ฟุคุอิซัง? มาไงเนี่ย?" อาโอมิเนะเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าใครมายืนรออยู่

    "พอดีมีงานด่วน เห็นว่าให้ไปตรวจสอบพื้นที่เขต ××× เรื่องที่จะไปตรวจสอบคือเรื่องที่มีคนแจ้งมาว่ามีการลักลอบซื้อขายอาวุธเถื่อนน่ะ ฉันเลยบอกว่าเดี๋ยวจะมาตามนายไปด้วยน่ะ" ฟุคุอิตอบ "และนายอย่ามัวลีลา รีบไปกับฉันเดี๋ยวนี้เลย! ถ้านายหนีงานนี้รับรองนายโดนตัดเงินเดือนแน่!"

    ...พูดไปงั้นแหละ ก็มันหนีแต่ล่ะทีเนี่ยคือตอนว่างงานทั้งนั้น จะมีเรื่องอะไรที่มันจะโดนตัดเงินเดือนเล่า!...

    "โอเค! งั้นรีบไปกันเถอะครับ!" อาโอมิเนะรีบวิ่งนำฟุคุอิไปยังเขตที่อีกฝ่ายว่าทันที

    "เฮ้ย! รอด้วยเด้!!!" ฟุคุอิที่เห็นว่าโดดทิ้งห่าง (?) รีบวิ่งตาม

    "พยายามตามให้ทันเองเถอะครับ! คงยังไม่แก่ขนาดตามไม่ทันนะครับ!?" อาโอมิเนะตอกกลับไปอย่างกวนโอ๊ย ขณะที่วิ่งไปทำงานต่อไป...

    ...ยังไงถ้าทางนู้นว่างๆ ล่ะก็...วันนี้นายก็เอาใจช่วยฉันหน่อยนะ คิเสะ...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    End



    Cr. あつみ
    http://www.pixiv.net/member_illust.php?mode=manga&illust_id=29531183

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×