ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    fanfic knb by shiko

    ลำดับตอนที่ #156 : [MibuMayu] Shozaimei

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.45K
      21
      17 มิ.ย. 59

    Title :   Shozaimei

    Fandom : Kuroko no Basket

    Paring : Mibuchi x Mayuzumi

    Notes : s // สวัสดีจ้า!  มาแล้วกับอันดับสองของการโหวตหรือก็คือ...อาเจ๊เรโอะนั้นเองจ้า! คะแนนดีพอดูเลยนะ!

    มิบุจิ // นั้นสิเนอะ

    S // ตอบสั้นจังนะตัวเธอ

    มิบุจิ // แหม ถ้าพูดยาวมีแววจะโดนเธอแกล้งน่ะสิ

    S // พูดหาเรื่องหรือไง?

    มิบุจิ // ป...เปล่าจ้า (ในใจ : ซวยแล้วไง คงไม่โดนแกล้งจริงๆ หรอกนะ)

    S // เอาเถอะ นายรีบลงฟิคไปเลยช่วงนี้เราไม่ค่อยมีเวลาจ้อกับใครนานๆ หรอกนะ #เสกหลุมเชื่อมไปยังฟิค

    มิบุจิ // จ้า! (ในใจ : รอดแล้วเรา!!!) #โดดลงไปในฟิค

    .....................................................................................

    Shozaimei

     

    ตึงๆๆๆๆ...

    เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นเป็นจังหวะดังก้องกังวาลในเขตรกร้างแห่งหนึ่งที่ซึ่งไม่น่ามีมนุษย์คนใดคิดที่จะย่านกายเข้าไปใกล้ แต่ถึงเป็นอย่างนั้นในยามนี้กลับมีร่างสูงของเด็กหนุ่มในชุดสูทสีเทาวิ่งกระหืดกระหอบอยู่ เส้นผมสีเงินเป็นประกายเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมกวาดไปทั่วเพื่อหาทางออกจากสถานที่ไม่พึงประสงค์แห่งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    เด็กหนุ่มมองไปรอบๆ ทั้งๆ ที่สองขายังคงวิ่งต่อไปอย่างไร้ทิศทางเมื่อมาอยู่ในที่ที่ไม่รู้จักพลางสบลออกมาเบาๆ กับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ แต่จนแล้วจนรอดเด็กหนุ่มที่เริ่มล้าจากการวิ่งติดต่อกันเป็นเวลานานก็หยุดยืนหอบอยู่ที่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง

    ...ไม่ได้การล่ะ...ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปต้องแย่แน่ๆ...

    คนผมเงินคิดในใจอย่างหัวเสียเล็กน้อยก่อนที่จะสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเดินใกล้เข้ามา เด็กหนุ่มขดตัวนั่งลงกับพื้นและพยายามที่จะให้คนที่ย่างเข้ามาใกล้ได้ยินเสียงของตน

    ...มองข้ามๆ ไปเถอะ...

    เด็กหนุ่มภาวนาในใจขณะที่เสียงเดินดังเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ แต่ดูเหมือนคำภาวนานั้นจะไม่เป็นผลเมื่อ...

    "อา...เจอตัวแล้ว!" ...ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งโผล่ออกมาพร้อมแสยะยิ้มชวนสยองให้เด็กหนุ่ม ก่อนที่จะโถมตัวทั้งตัวเข้าใส่อีกฝ่าย

    "ป...ปล่อยนะเฟ้ย!" เด็กหนุ่มผมเงินดิ้นพล่านๆ เพื่อพยายามหลุดออกจากการจับกุมของอีกฝ่าย

    "..." ชายหนุ่มไม่ตอบอะไรกลับ ทำเพียงแสะะยิ้มและเอามือข้างหนึ่งบีบที่ลำคอเด็กหนุ่มพร้อมออกแรงกดลงกับพื้น ขณะที่อีกมือที่เงื้อขึ้นสูงนั้นมีวัตถุสีเงินวาววับเป็นประกายเมื่อต้องแสงราวกับคมเขี้ยวของสัตว์ร้าย

    "!!!" เด็กหนุ่มผมเงินเริ่มหน้าซีดพร้อมพยายามใช้กำลังที่มีทั้งหมดจิกข่วนแขนของอีกฝ่าย เสียแต่ดูท่าชายหนุ่มจะหนังหนาเลยไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ดวงตาสีเงินสวยเบิกกว้างมองประกายเงินนั้นด้วยความตื่นตนก น้ำนัยน์ตาเริ่มหลั่นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ "ช...ช่วย....ด้วย..."

    ...มิบุจิ...

     

     

     

     

     

    ในยามเช้าอันสดใสของฤดูหนาวเหล่านักเรียนของโรงเรียนราคุซันต่างมาโรงเรียนตามปกติแม้ปีนี้จะมีหิมะตกค่อนข้างหนักก็ตาม แต่นักเรียนทุกคนก็ยังคงเริงร่ากับเช้าอันสดใสนี้ เว้นแต่...

    ...ภายในโรงยิมที่เป็นพื้นที่ของชมรมบาสราคุซันเท่านั้นที่บรรยากาศดูมาคุมากถึงมากที่สุด

    "ตกลง...สามวันมานี่มีใครเห็นตัวจิฮิโระซังบ้างไหม?" เสียงอันทรงอำนาจดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมแดง ดวงตาสองสีกวาดมองไปทั่วโรงยิมที่อัดแน่นไปด้วยนักกีฬาของชมรมบาสราคุซัน

    "ไม่เลยครับ" เหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลายส่ายหน้าวืด

    "แปลก...หายไปไหนของเขานะ" เด็กหนุ่มผมแดงทำหน้าครุ่นคิด

    "มายุสุมิแค่หงอยจากที่แพ้เลยไม่มาโรงยิมเฉยๆ หรือเปล่าอาคาชิ?" เด็กหนุ่มร่างโตเอ่ยเสนอความเห็นขึ้นมา

    "ไม่หรอเอย์คิจิ...คือว่า..." ดวงตาสองสีกวาดมองทุกคนภายในโรงยิมพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ ...เพราะแบบนี้ 'ตัวฉัน' ถึงได้ยอมเปลี่ยนตัวสินะ? เรื่องแบบนี้ฉันดูจัดการได้มากกว่าจริงๆ นั้นแหละ แถมยังเรื่องใหญ่ขนาดนี้ด้วยเนี่ย "...ทางบ้านของจิฮิโระซังติดต่อมาที่โรงเรียนน่ะ ว่าหลังจากที่จบการแข่งวินเทอร์คัพมาได้สองวันอยู่ๆ จิฮิโระซังก็ไม่ได้กลับไปบ้านน่ะครับ ติดต่อก็ติดต่อไม่ได้ เลยมาถามทางโรงเรียนนี่แหละ"

    "ห๊า!? คุณคิ้วบางหายตัวไป!?" เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลเบิกตากว้าง

    "เฮ้ยๆ เรื่องใหญ่เลยนะเนี่ย แล้วนี่ทางบ้านหมอนั้นแจ้งตำรวจหรือยัง?" เนบุยะขมวดคิ้วเป็นปม...ตอนแรกที่ไม่เห็นอีกฝ่ายมาซ้อมตามปกติคิดว่าป่วย จืดจางขึ้นจนมองไม่เห็นหรือแค่ไม่ยอมโผล่หน้ามาเสียอีก

    "แจ้งตั้งแต่ยี่สิบสี่ชั่วโมงแรกผ่านไปแล้ว ตอนนี้ทางตำรวจก็กำลังหากันวุ่นเหมือนกันนั้นแหละ" อาคาชิตอบพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ "สรุป...ไม่มีใครเห็นเลยสินะ?"

    "อื้อ!" ทุกคนเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน

    "นี่ๆ อาคาชิ..." คนผมสีคาราเมลสะกิดเด็กหนุ่มผมแดงเบาๆ "...ลองถามพี่เรโอะยังอ่ะ? พี่เรโอะเป็นแฟนคุณคิ้วบางอาจจะรู้อะไรก็ได้"

    "ยังเลย ฉันเองก็เพิ่งได้ข่าววันนี้แหละ" อาคาชิเอ่ย "ว่าแต่...เรโอะยังไม่มาเหรอ?"

    "ที่บ้านพี่เรโอะติดหิมะอยู่น่ะ เห็นบอกว่าจะมาสายหน่อยนึง...แต่ฉันว่าเดี๋ยวคงมาแล้วแหละ" ฮายามะเอ่ยด้วยท่าทางที่ดูจะสุขุมกว่าเดิมเล็กน้อย คาดว่าคงเครียดเรื่องของคนในทีมตนที่หายไปเหมือนกัน (นายเครียดเป็นด้วย? // s , ฉันก็คนนะ! ชิโกะจัง! // ฮายามะ)

    "ทุกคน~~~ ขอโทษทีที่มาสาย...อ้าว? ประชุมอะไรกันเหรอ?" ทันทีที่ฮายามะพูดจบเด็กหนุ่มหน้าสวยผมดำก็เดินเข้ามาในโรงยิมด้วยสีหน้างุนงง

    "มาพอดีเลยเรโอะ..." อาคาชิหันไปมองบุคคลที่เพิ่งเข้ามาภายในโรงยิม "...ขอถามหน่อยและขอให้ตอบตามความจริงนะ...สามวันมานี่เจอจิฮิโระซังบ้างไหม?"

    "มายุซังเหรอ? ก็เจอนิ..." มิบุจิตอบกลับไปอย่างเอ๋อๆ ที่จู่ๆ ถูกถามแบบนี้ ก่อนที่จะสะดุ้งเฮือกเมื่อทุกสายตาหันขวับมาที่ตน "...ม...มีอะไรกันเหรอ?"

    "เรโอะ...นายเจอจิฮิโระซังที่ไหน?" อาคาชิถามเสียงเรียบ "เอาให้ละเอียดๆ เลยนะ"

    "เออ...จ้า..." มิบุจิเหงื่อตกนิดๆ เมื่อได้รับแรงกดดันจากคนรอบข้างเต็มๆ "...คือจะว่าฉันเจอมายุซังมันก็ไม่เชิงนักหรอก ฉันแค่เห็นเงาผ่านๆ น่ะ ครั้งแรกเห็นที่ร่มไม้ใหญ่ข้างอาคารเรียน ครั้งที่สองเจอที่แถวๆ อาคารเรียนเก่า ส่วนครั้งที่สามฉันเห็นที่เขตรกร้างที่อยู่แถวๆ ทางผ่านไปบ้านมายุซังน่ะ...แต่พอคิดไปคิดมาก็แปลกแฮะ ที่ทุกครั้งที่ฉันตามมายุซังไปกลับหาตัวมายุซังไม่เจอเลย เจอแต่ของแปลกๆ เนี่ย"

    "เจออะไรอ่ะ?" ฮายามะถามขึ้นอย่างอยากรู้

    "ก็พวกนี่น่ะ..." มิบุจิหยิบสามสิ่งออกมาจากในกระเป๋า...ซึ่งนั้นก็คือธนบัตรหนึ่งพันเยนหนึ่งใบ ผ้าเช็ดหน้าสีแดง และลูกบอลหิมะ "...ไม่รู้มายุซังคิดอะไรถึงไม่ยอมเจอหน้าฉัน แถมยังเอาของพวกนี้วางไว้อีก"

    "อื้อ...นั้นสิ แปลกจริงๆ" อาคาชิยอมรับว่าจากที่ฟังมาเนี่ยมันแปลกๆ อยู่ "ยังกับจิฮิโระซังกำลังหนีอะไรอยู่และบอกใบ้พวกเรางั้นแหละ"

    "ถ้าเป็นแบบนั้นสู้มาขอความช่วยเหลือตรงๆ เลยไม่ง่ายกว่าเหรอ?" เนบุยะไม่คิดว่าคนอย่างมายุสุมิ จิฮิโระจะชอบทำอะไรยุ่งยากแบบนั้นหรอก

    "อาจเป็นเรื่องนำอันตรายมาสู่พวกเราามาบอกเองตรงๆ ก็ได้นิ!" ฮายามะลองเสนอความคิดเห็นดู

    "เฮ้ๆ พูดยังกับหนังไปได้...เรื่องแบบนั้นไม่น่าเกิดในชีวิตจริงง่ายๆ หรอกน่า" เนบุยะโบกหัวเพื่อนตนไปทีหนึ่ง

    "ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะเอย์คิจิ..." อาคาชิเหล่มองที่มิบุจิ "...แต่ที่ฉันแปลกใจมีแค่...ทำไมจิฮิโระซังถึงเลือกบอกใบ้ให้เรโอะมากกว่า"

    "เออ...ขอถามหน่อยนะ..." มิบุจิที่ตามคนอื่นไม่ทันเอ่ยขึ้น "...ตกลงนี่พูดเรื่องอะไรกันเนี่ย? แล้วมายุซังทำไมเหรอ?"

    "จริงสิ พี่เรโอะยังไม่รู้เรื่องนี่นา คืองี้นะพี่เรโอะ..." ฮายามะที่เพิ่งนึกออกเริ่มทำหน้าที่อธิบาย "...เมื่อสามวันก่อนคุณคิ้วบางไม่ได้กลับบ้านน่ะ! และไม่มีใครเจอตัวเลยด้วย! ติดต่อก็ติดต่อไม่ได้! ตอนนี้ทางตำรวจกำลังหาตัวคุณคิ้วบางกันวุ่นเลย!"

    "ห๊า!?" มิบุจิถึงกับหลุดเหวอเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากเพื่อนตน "งั้นแสดงว่า...ที่เซย์จังพูดเนี่ย..."

    "ความเป็นไปได้ที่มายุสุมิอาจหนีอะไรสักอย่างอย่างที่อาคาชิบอกมีสูงมากเลย" เนบุยะเอ่ยต่ออย่างรู้ทันในความคิดเพื่อนตน

    "โอ๊ย...อยากเป็นลม..." มิบุจิเริ่มรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาชั่วขณะเมื่อรับรู้เรื่องที่ว่า...คนรักของตนในยามอาจตกอยู่ในอันตรายก็ได้เนี่ย "...แล้วนี่จะหามายุซังเจอได้ไงเนี่ย?"

    "อย่างแรกเลย...เรามาตีความของที่จิฮิโระซังทิ้งไว้ก่อนเถอะ" อาคาชิที่เห็นว่ารองกัปตันทีมตนใกล้จะเป็นลมอยู่ร่อมร่อถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ถ้าให้เดาสาเหตุที่ให้ของพวกนี่กับเรโอะต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องและเรโอะรู้อยู่ด้วยแน่ "เรโอะ...นายลองนึกสิว่าของสามอย่างนี้เคยมีเหตุการณ์อะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวนายหรือจิฮิโระซัง"

    "เอ๊ะ?" มิบุจิทำหน้างงๆ "สำหรับเงินนั้นฉันไม่รู้หรอก แต่ผ้าเช็ดหน้าเนี่ยเป็นของที่มายุซังจับได้ตอนวันคริสมาสที่ผ่านมาน่ะ ส่วนลูกบอลหิมะเนี่ยฉันให้มายุซังเป็นของขวัญในวันคริสมาสที่ผ่านมานี่น่ะ"

    "นอกจากนั้นนึกอะไรไม่ออกเลยเหรอ?" อาคาชิถามย้ำ "อะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องน่ะ"

    "อะไรก็ได้เหรอ? อื้อ..." มิบุจิทำท่าครุ่นคิดพลางมองของตรงหน้าสลับกับในหัวที่นึกภาพของคนผมเงินที่คุ้นหน้ากันดี และทันใดนั้น... "...อ๊ะ! รู้แล้ว!"

    "นึกอะไรออกแล้วเหรอครับ? พี่เรโอะ!?" ฮายามะถามขึ้น

    "สถานที่! ทุกๆ อันที่ฉันเก็บได้เนี่ยมันเกี่ยวกับฉันและมายุซังทั้งหมดเลย!" มิบุจิเอ่ย "ครั้งแรกที่ร่มไม้ใหญ่ข้างอาคารเรียนเป็นที่ที่ฉันให้บอลหิมะกับมายุซัง ครั้งที่สองที่อาคารเรียนเก่าคือที่ที่ฉันได้พบมายุซังครั้งแรกตอนที่ทำเงินหายแถวๆ นั้น ส่วนครั้งที่สามที่เขตรกร้างแถวๆ ทางผ่านไปบ้านมายุซังนั้นคือที่ที่มีคนออกบูธวันคริสมาสที่ผ่านมานี่! ตอนนั้นฉันลากมายุซังไปเล่นเกมจับฉลากที่บูธและมายุซังจับได้ผ้าเช็ดหน้าได้...ทุกๆ อันเกี่ยวสถานที่ที่ฉันไปกับมายุซังหมดเลย!"

    "อื้อ...เกี่ยวหมดจริง แต่ก็ยังนึกไม่ออกแหะว่าของพวกนี่หมอนั้นจะทิ้งไว้ตามเรื่องที่เคยเกิดขึ้นทำไม?" เนบุยะเกาหัวแกร็งๆ

    "ถึงจะยังไม่รู้ความหมาย แต่ฉันว่าตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าเราควรทำไงต่อ...ฉันว่าเราควรหาคำใบ้เพิ่มนะ..." อาคาชิมองที่มิบุจินิ่งๆ "...มีที่อื่นที่นายเคยไปกับจิฮิโระซังอีกไหม? สถานที่ที่จะจดจำได้ง่ายและเป็นที่ที่นายคิดว่ามีความจำที่ดีที่สุดร่วมกับจิฮิโระซังน่ะ...ถ้าให้ฉันเดาสถานที่ที่จิฮิโระซังเลือกคือเรื่องที่คิดว่านายจำได้ดีทั้งนั้นแน่"

    "เรื่องที่จำได้ดี?" มิบุจิเอ่ยทวน...จะว่าไปก็จริง แต่ล่ะอย่างล้วนเป็ยสถานที่ที่เขาจำได้ดีชนิดขึ้นใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่อาคารเก่าที่เขาพบกับมายุซังครั้งแรกและทำให้เขาตกหลุมรักทันที ไม่ว่าจะเป็นที่เขตรกร้างที่เขาเป็นคนลากมายุซังไปจับฉลากแล้วได้ผ้าเช็ดหน้าสีแดงสดแบบที่เจ้าตัวไม่กล้าใช้แน่มาตอนนั้นมายุซังดันลื่นน้ำแข็งล้มอย่างหมดท่าแบบนานๆ ทีจะได้เห็นทำให้เขาจำได้ดี หรือแม้แต่ที่ร่มไม้ใหญ่ที่เขาให้ลูกบอลหิมะและมายุซังรับไปด้วยใบหน้าแดงๆ นั้นด้วย "ที่ที่จำได้ดี และมีมายุซังอยู่...อ๊ะ! บนดาดฟ้า! มันเป็นสถานที่ที่ฉันบอกรักมายุซัง!!!"

    "ดาดฟ้าสินะ? ดี...งั้นเราไปดูกันว่าจิฮิโระซังอยู่บนนั้นหรือทิ้งอะไรไว้ไหม..." ดวงตาสองสีค่อยๆ เหลือบไปยังสมาชิกชมรมคนอื่นๆ "อ๋อ ส่วนคนอื่นๆ ไปทำอะไรก็ทำไปเลย เดี๋ยวฉัน เรโอะ โคทาโร่และเอย์คิจิจะเป็นคนไปลองหาจิฮิโระซังเอง"

    "อา...เข้าใจล่ะ" สมาชิกชมรมบาสคนอื่นๆ ที่โดนพูดเหมือนโดนไล่แบบนี้ก็พยักหน้ารับอย่างไม่มีข้อโต้เถียงอะไรทั้งสิ้นเนื่องจากได้รับรังสีอำมหิตจากคนผมแดงเต็มๆ ทำให้ภายในไม่กี่วิต่อมาทุกคนที่โดนไล่ก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว

    "...ไปกันเถอะ" อาคาชิที่เป็นว่าไม่มีใครขัดคำสั่งตนแล้วก็เริ่มเดินนำเหล่าตัวจริงของทีมตนไปยังดาดฟ้า ซึ่งเด็กหนุ่มทั้งสามก็ยอมตามไปง่ายๆ ด้วยความที่ว่าอยากรู้อยากเห็นและเป็นเป็นห่วงสมาชิกอีกคนในทีมตัวจริงที่หายไปนั้นเอง...

    ...และด้วยความที่มัวกังวลกับอยู่จึงไม่เห็นร่างๆ หนึ่งที่ยืนดูอยู่ห่างๆ เลยแม้แต่น้อย

     

     

     

     

     

    "...ดูท่าคุณคิ้วบางจะไม่อยู่นะ" เสียงเหมือนคนหง่อยดังออกมาจากปากคนผมสีคาราเมลที่มองซ้ายมองขวาไปทั่วดาดฟ้าอันว่างเปล่า

    "นอกจากตัวไม่อยู่แล้วยังดูท่าไม่มีอะไรทิ้งไว้เลยนะ" เด็กหนุ่มที่สูงที่สุดในหมู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ

    "หรือไม่ของคราวนี้อาจเล็กจนมองผ่านๆ ไม่เห็นก็ได้" เด็กหนุ่มผมแดงลองคาดการณ์ดู

    "..." เด็กหนุ่มหน้าสวยเดินออกจากหน้าบานประตูไปเงียบๆ พลางมองไปรอบๆ "ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลยนะ"

    "งั้นการคาดเดาครั้งนี้อาจจะพลาดไปแฮะ...เราลองไปทบทวนของที่จิฮิโระซังทิ้งไว้กันใหม่ดีกว่า" อาคาชิที่เห็นว่าครั้งนี้ตนเดาพลาดเอ่ยขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะทำท่าเดินลงจากดาดฟ้าหนาวเหน็บนี้ไปก็...

    วูบ...

    ...เหมือนมีลมเย็นๆ พัดมาใส่เด็กหนุ่มผมดำคล้ายๆ กับว่ามีใครเดินผ่านพร้อมกับหางตาจะเหลือบเห็นผมเงินๆ ของใครสักคน

    "มายุซัง..." มิบุจิหันหลังกลับและรีบวิ่งออกไปที่ดาดฟ้าอีกครั้ง

    "เฮ้! จะทำอะไรน่ะเรโอะ!?" เนบุยะที่เห็นว่าอยู่ๆ เพื่อนตนย้อนกลับไปทางเดิมที่เพิ่งเดินออกมาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายอย่างงุนงง แต่ก็ยอมที่จะหันกลับไปตามเพื่อนตน

    "พี่เรโอะจะทำอะไรอ่ะครับ!?" ฮายามะขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะวิ่งเข้าหามิบุจิที่ตอนนี้กำลังมองซ้ายมองขวาอย่างเอาเป็นเอาตาย

    "ใจเย็นๆ ก่อนเรโอะ...นี่นายเป็นอะไรไปเนี่ย?" อาคาชิที่เดินเข้าหามิบุจิอีกคนเอากรรไกรมาตัดฉับๆ ในอากาศ ทำให้มิบุจิเลิกทำท่าเหมือนหาอะไรสักอย่างทันที

    "คือฉัน...เหมือนเห็นมายุซังน่ะ" มิบุจิเอ่ยเสียงแผ่ว "แต่ดูท่าจะคิดไปเองล่ะมั้ง ฉันคงห่วงมายุซังมากเกินไปหน่อย"

    "หรือไม่ก็จิฮิโระซังอาจอยู่บนนี้จริงๆ แต่ดันจืดจางจนมองไม่เห็น" อาคาชิที่ไม่คิดว่ารองกัปตันทีมตนจะคิดไปเองอย่างที่เจ้าตัวกล่าวเอ่ย "แล้วที่นายเห็นครั้งนี้เหมือนกับครั้งก่อนๆ ที่นายเจอของแต่ล่ะอย่างหรือเปล่า?"

    "ก็คล้ายๆ นะ แค่ต่างที่คราวนี้เหมือนมีคนเดินผ่านด้วยน่ะ" มิบุจิตอบไปตามตรง

    "ถ้าอย่างนั้น...เราลองมาดูกันอีกทีแล้วกันว่าจะเจออะไรไหม" อาคาชิกวาดตามองไปทั่วๆ ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดกับวัตถุเล็กๆ อันหนึ่งที่ว่างอยู่บนพื้นหิมะ "และดูท่าเราเจอสิ่งที่หาแล้วสิ"

    "เอ๊ะ?" เด็กหนุ่มทั้งสามมองตามสายตาของกัปตันทีมตนไป "หนังสือ...มาได้ไงเนี่ย!? เมื่อกี้ไม่ยักเห็น!"

    "จิฮิโระซังคงเป็นเอาไปวางเมื่อกี้น่ะ" อาคาชิเดินเข้าไปหยิบหนังสือไลท์โนเวลเล่มน้อยขึ้นมาก่อนที่จะขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อลองพลิกดูด้านหลังปก "นี่มันอะไรกันเนี่ย?"

    "อะไรเหร...ว้าย! อะไรกันเนี่ย!?" มิบุจิที่ยื่นหน้ามาดูถึงกับหลุดร้องออกมากับสิ่งที่เห็น...

    ...ซึ่งก็คือตัวอัษร์ที่เขียนด้วยสีแดงราวกับเลือดไว้ว่า 'ช่วยด้วย ช่วย■■ฉันที' ...ถึงแม้ตัวอักษรบ้างตัวพลานเลือนจนอ่านไม่ออกแล้ว แต่ความหมายโดยรวมเฉพาะส่วนที่อ่านได้เนี่ยก็ทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาเสียเฉยๆ

    "นี่มัน...เลือดจริง?" อาคาชิลองเอานิ้วถูตัวอักษรที่เขียนไว้ดู

    "ล...เลือดจริงงั้นเหรอเซย์จัง? แล้วแบบนี้มายุซังล่ะ...คงยังไม่เป็นไรนะ?" มิบุจิเอ่ยเสียงสั่นๆ ...

    ...ช่วยด้วยงั้นเหรอ? นี่อย่าบอกนะว่าตอนนี้กำลังหนีอะไรที่มองไม่เห็นอยู่แล้วกำลังแย่หรอกนะ!...

    "ส...สยองง่ะ" ฮายามะแว๊บไปหลบหลังเพื่อนของตน

    "เฮ้ๆ นี่ไม่ปกติแล้วนะ!" เนบุยะที่กลายเป็นเสาให้คนผมสีคาราเมลใช้หลบเอ่ยขึ้นมาเสียงเครียด

    "ใช่...แบบนี้ไม่ปกติเลยชัดๆ เลย" อาคาชิขมวดคิ้วเป็นปม "ฉันว่าควรลองเอาหนังสือเล่มนี้ไปให้ทางตำรวจพิสูจน์ดูนะว่าเลือดที่ใช้เขียนนี้เป็นเลือดอะไร ถ้าโชคดีหน่อยจิฮิโระซังอาจเอาเลือดเป็ดมาเขียนก็ได้"

    "อื้อ...ตามนั้นแหละ" มิบุจิพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเป็นกังวล...

    ...หวังว่ามายุซังจะปลอดภัยดีจนกว่าจะตามหาเจอด้วยนะ...

     

     

     

     

     

    "ให้ตายสิ...ไม่อยากเชื่อไอ้ผลตรวจเลือดนี่เลย!" เสียงบ่นอย่างหัวเสียดังขึ้นจากเด็กหนุ่มร่างสูงที่ทำท่าหงุดหงิดเสียเต็มที่

    "ถึงไม่อยากเชื่อ แต่คงต้องยอมรับนะ..." เด็กหนุ่มหน้าสวยที่ยามนี้ใบหน้าแทบไร้สีเลือดถอนหายใจออกมาเบาๆ ...กับข่าวที่ได้ทราบในวันนี้...

    ...ที่ตามสายข่าวของตะกูลอาคาชิบอกว่าหนังสือที่พวกเขาส่งให้ทางตำรวจตรวจสอบเมื่อวานนั้น...เลือดที่เขียนบนนั้นเป็นเลือดของมายุสุมิ จิฮิโระที่หายตัวไปนั้นเอง ซึ่งแบบนี้มันเป็นตัวบ่งบอกเลยว่าดีไม่ดีอีกฝ่ายอาจโดนสิ่งที่หนีอยู่จับตัวไปแล้วก็ได้

    "พี่เรโอะ...ยาดมไหมครับ? ตอนนี้พี่เรโอะหน้าซีดยิ่งกว่าไข่ต้มแล้วนะ" เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลเอ่ยถาม ดวงตากลมโตจ้องมองผู้เป็นเพื่อนตนอย่างห่วงๆ

    "ไม่ล่ะ ขอบใจ...ฉันยังโอเคดี" มิบุจิส่งยิ้มบางๆ ให้เพื่อนตน

    "แต่หน้านายมันไม่โอเลยวะเรโอะ" เนบุยะเอ่ย

    "นั้นสิ...เครียดมากๆ มันไม่ดีกับร่างกายนะ..." เด็กหนุ่มผมแดงเอ่ยขณะที่เปิดรายงานความคืบหน้าของทางตำรวจที่ไม่รู้จิ๊กมาได้ไงอ่านไปพลาง

    "จ้า ฉันรู้จ้าแต่...มันอดไม่ได้อ่ะนะ..." มิบุจิหัวเราะแห้งๆ ออกมา ขณะนั้นเอง... "โอ๊ย! เจ็บๆๆๆๆ!"

    ...ดันมีแมววิ่งหนีอะไรมาจากไหนไม่รู้พุ่งมาเกาะหน้ามิบุจิเต็มๆ!

    "เฮ้ย! เรโอะ! / พี่เรโอะ!" เนบุยะกับฮายามะที่เห็นว่าเพื่อนตนอยู่ๆ ถูกแมวเกาะหลุดร้องออกมาเสียงดัง โดยที่อาคาลิทำเพียงมองเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้าเงียบๆ เท่านั้น

    "แม้ว!" เนื่องจากตกใจเสียงของเด็กหนุ่มแต่ล่ะคนทำให้เจ้าเหมียวรีบผละออกจากเด็กหนุ่มโดยที่...

    "อ๊ะ! ผ้าพันคอฉัน!" ...เล็บของเจ้าแมวตัวนั้นเกี่ยวผ้าพันคอสีดำสนิกที่มิบุจิพันไว้หลวมๆ ไปด้วยนี่สิ! "เอาคืนมาน้าาาา!!!"

    "เฮ้! ปล่อยมันไปเถอะเรโอะ! แค่ผ้าพันคอเก่าๆ อันเดียวเอง!" เนบุยะที่เห็นเพื่อนตนจะวิ่งตามเจ้าแมวนั้นไปรีบคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ เนื่องจากกลัวว่าถ้าเกิดเพื่อนตนวิ่งไปอาจจะอยู่ๆ หายตัวไปแบบรุ่นพี่หัวเงินของตนก็ได้

    "แต่นั้นมายุซังอุตสาห์ถักให้ฉันเลยนะ!" มิบุจิกระชากแขนตนออกจากการจับกุ่มของอีกฝ่ายและเริ่มวิ่งตามแมวที่เกี่ยวเอาผ้าพันคอของตนไป

    "เฮ้ย! รอก่อนเรโอะ!!!" เสียงเนบุยะลอยตามลมมา แต่นั้นก็ไม่ทำให้มิบุจิสนใจนักและยังตามเจ้าแมวตัวน้อยต่อไปเพื่อทวงผ้าพันคอของตนคืน

    เด็กหนุ่มหน้าสวยวิ่งเลาะซ้ายเลาะขวาตามร่างจิ๋วของสัตว์สี่เท้าเบื้องหน้าตนไปเรื่อยๆ จนมาถึงเขตรกร้างแห่งหนึ่งเข้า...

    ...ไม่คิดเลยแหะว่าทางเส้นนั้นจะเลาะมาที่เขตรกร้างแถวๆ ทางผ่านไปบ้านมายุซังได้เนี่ย...

    มิบุจิคิดใจในก่อนที่จะตัดสินใจโดดตะคุบแมวน้อยก่อนที่มันจะวิ่งหนีและพาเขาออกนอกเส้นทางกลับบ้านตนไกลกว่านี้...ซึ่งวิธีนี้ก็ทำให้มิบุจิจับเจ้าเหมียวได้เสียทีหลังจากวิ่งไล่กันมาเสียสักพักแล้ว

    "แกทำฉันวิ่งวุ่นเลยนะเจ้าเหมียว" มิบุจิที่เอามือจับหนังคอแมวน้อยอยู่บ่นขึ้นมาพลางพยายามใช้มืออีกข้างแกะเล็บมันออกจากผ้าพันคอของตน และเมื่อแกะได้แล้วก็นำผ้าพันคอมันพันรอบคอตนด้วยมือข้างเดียว "ว่าแต่แกวิ่งหนีอะไรเนี่ย? นอกจะพุ่งใส่หน้ฉันแล้วยังวิ่งหนียังกับฉันจะกินตับแน่ะ"

    "แม้ว!" เจ้าแมวส่งเสียงร้องขึ้นมาพร้อมกับดิ้นพล่านๆ ในมือมิบุจิ ดวงตาสีเขียวใสของแมวน้อยเบิกกว้างจนสะท้อนให้เห็นเงาบางอย่างที่อยู่ด้านหลัง...และนั้นทำให้มิบุจิหันกลับไปมองด้านหลังของตนเอง

    ฟ้าว...

    เสียงตัดอากาศดังขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับมีบางอย่างเฉียดแก้มของมิบุจิไปเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เกิดรอยแผลเล็กๆ เหมือนรอยแมวข่วนขึ้นบนดวงหน้าสวย

    ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างพลางมองสิ่งที่เพิ่งเฉี่ยวหน้าตนไปเมื่อครู่และกลืนน้ำลายอย่างฝืนคอเมื่อเห็นว่ามันคือมีดพร้า ก่อนที่จะค่อยๆ ไล่สายตาจากมีดไปยังมือที่ถือ แขนและจบลงที่ใบหน้าของชายหนุ่มที่แสดงถึงความ...ความ...ความอะไรดีหว่า? (เอาดีๆ สิชิโกะ! // มิบุจิ) งั้นความโรคจิตของคนที่เกือบเอามีดแทงตน

    ...อะจึ๋ย! เกือบไปแล้วไง! นี่ไม่เห็นเงาสะท้อนในตาเจ้าเหมียวมีหวังหัวมีรูแล้วแหง!!!...

    มิบุจิคิดอย่างเสี่ยวไส้ขณะที่เจ้าแมวน้อยดิ้นหลุดจากมือมิบุจิหนีไปแล้ว

    "...พลาดแฮะ" ชายหนุ่มแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าสยดสยองพร้อมชูกมีดขึ้น "แต่คราวนี้ไม่พลาดแน่!"

    "แล้วฉันคงอยู่ให้โดนหรอก!" มิบุจิหลุดแว๊ดออกมาก่อนที่จะตวัดขายาวๆ ของตนไปตัดขาอีกฝ่าย ทำให้ชายหนุ่มล้มลงและเจ้าตัวก็ใช้โอกาสนี้ในการหนี

    "อย่าหนีนะ! เจ้าเด็กบ้า!!!" ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามมิบุจิ

    "เอามีดไล่แทงแบบนี้ไม่หนีก็บ้าล่ะ!" มิบุจิสวนกลับขณะที่สายตาเริ่มหาที่ซ่อนตัว...จนสุดท้ายมิบุจก็เลือกที่จะเข้าไปซ่อนในตัวอาคารเก่าๆ หลังหนึ่ง

    ...ต้องรีบแจ้งตำรวจ...แต่จะทำไงให้ตำรวจเข้าใจด้วยคำอธิบายสั่นๆ ล่ะ!? งั้นถ้าตำรวจไม่ได้ก็ต้องเซย์จัง! น่าจะพอช่วยได้บ้างล่ะ!....

    เด็กหนุ่มเมื่อคิดได้ดั่งนี้ก็ไม่รอช้ารีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าตน และกดโทรออกหากัปตันทีมตนทันที...เสียงรอสายดังขึ้นสองสามทีก่อนที่จะมีคนรับสาย

    "เซย์จัง...ช่วยด้วย! ฉันอยู่ที่เขตรกร้าง! ที่ทางผ่านไปบ้านมายุซังน่ะ! รีบมาเร็วไ เข้า! จะถูกฆ่าแล้ว!" มิบุจิเอ่ยด้วยความร้อนรนก่อนรีบตัดสายทันทีด้วยความที่ว่าน่าจะเป็นการเร่งให้กัปตันทีมตนมาช่วยตนได้เร็วขึ้นนั้นเอง

    มิบุจิพยามขดตัวซ่อนอยู่ในเงามืดของอาคารเก่าๆ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้มิบุจิชะงักเล็กน้อย...

    ...นั้นคือกระเป๋าใบหนึ่งซึ่งเป็นกระเป๋าของโรงเรียนราคุซันที่ถูกกรีดจนขาดเป็นทางยาว ข้าวของในกระเป๋ากระจายออกมานอกตัวกระเป๋าจากรอยกรีดนั้น แต่นั้นไม่น่าตกใจเท่ากับชื่อที่เขียนไว้ที่ข้างกระเป๋านั้น...ชื่อที่ถูกเขียนไว้ว่า 'มายุสุมิ จิฮิโระ'

    "นี่มันอะไรกัน..." มิบุจิหลุดคำพูดออกมาอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นข้าวของของคนรักตนที่หายไปมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ "...เกิดอะไรขึ้น...กันแน่?"

    ...แบบนี่...มายุซังจะปลอดภัยดีไหมเนี่ย? ถ้าคิดแง่ดีมายุซังอาจใช้ความจืดจางหนีไปได้ แต่ถ้าไม่...เขาไม่อยากคิดเลยว่าความเลวร้ายแบบไหนจะเกิดขึ้น...

    ตึง...ตึง...

    ระหว่างที่มิบุจิกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเสียงฝีเท้าของใครสักคนก็ดังขึ้นทำให้มิบุจิสะดุ้งโหยง เด็กหนุ่มพยายามเงียบเสียงลงให้มากที่สุด

    "นี่...ออกมาเถอะน่า...." เสียงชายหนุ่มดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่วิปลาสสุดๆ "...เกมนี่จะได้รีบจบลงเร็วๆ เสียที"

    ...จบที่ว่าคือฆ่าเขาทิ้งน่ะสิ แล้วเรื่องอะไรจะออกไปล่ะ?...

    มิบุจิตอบกลับอีกฝ่ายในใจพร้อมกัยถาวนาให้ชายหนุ่มรีบเดินผ่านบริเวณแถวๆ นี้ไปเสียที แต่ทว่า...

    "ฉันว่าฉันได้ยิ่นเสียงหอบหายใจนะ..." เสียงชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้งและตำแหน่งเสียงนั้นเข้ามาใกล้มิบุจิมากกว่าเดิม "...และ...ฉันก็เจอตัวนายแล้วนะ ไอ้เด็กสอดรู้!!!"

    "สอดรู้กับผีสิยะ! ฉันแค่ตามมาเอาผ้าพันคอคืนเองนะ!!!" มิบุจิรีบออกตัววิ่งสวนอีกฝ่ายที่ยืนหน้าประตูออกไปหน้าด้านๆ และเริ่มที่จะหนีอีกครั้ง

    "อย่ามาโกหกเสียให้ยาก! แกจะเอาเรื่องที่ฉันทำไปบอกตำรวจใช่ไหม!?" ชายหนุ่มวิ่งตามมิบุจิอย่างบ้าคลั่ง

    "ก็มันเรื่องอะไรล่ะยะ!!!" มิบุจิสวนกลับพร้อมเอาแป้งฝุ่นที่พวกผู้หญิงในห้องเห็นว่ามิบุจิดูโทรมๆ ไปเลยพากันเองแป้งมาให้แล้วบอกว่าให้ไปแต่งหน้าแต่งตาเฉยนั่นปาใส่...ถึงสาเหตุที่ได้ของแบบนี้มามันฟังดูแปลกๆ แต่ดูท่าจะเป็นโชคดีเหมือนกัน เพราะมันทำชายหนุ่มโรคจิตลำสักแป้งและฝุ่นฟุ้งจนมองทะลุผ่านผงแป้งไม่ได้เลย

    มันจึงทำให้มิบุจิมีโอกาสวิ่งหนีจากอีกฝ่ายได้อีกครั้งอย่างไร้ทิศทางเนี่ยจากตนก็เพิ่งเคยเข้ามาในที่แบบนี้ครั้งแรกนี่แหละ เลยไม่รู้ว่าควรไปทางไหนดีจนกระทั่ง...

    "ว้าย!" ...มิบุจิสะดุดอะไรก็ไม่รู้ล้มเมื่อวิ่งผ่านบริเวณต้นไม้ต้นหนึ่งที่ตั้งเด่นหราอยู่ต้นเดียวท่ามกลางหิมะขาวโพลง "อูย...สะดุดอ...ม...มือคน!"

    เด็กหนุ่มถึงกับสติบนไปในทันใดเมื่อสิ่งที่ตนสะดุดนั้นคือสิ่งที่ไม่ว่ามองมุมนั้นก็คือมือของมนุษย์โผล่ออกมาจากกองหิมะกองใหญ่

    "นี่มันอะไรกันเนี่ย...ฝันร้ายอยู่หรือไง?" มิบุจิเริ่มอยากร้องไห้ขึ้นมาตงิดๆ หลังจากเจอคนบ้าก็เจอศพของใครก็ไม่รู้...จะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้ไหมเนี่ย!? ว่าแต่...

    ...ทำไมสังหรณ์ไม่ดีเลยเนี่ย? คงไม่ใช่ว่า...หวังว่าไม่ใช่นะ...

    "อา...เจอตัวสักที!" เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง

    "ชิบหายแล้วไง!!!" มิบุจิสบลออกมา...ดันลืมเรื่องโดนคนบ้าไล่แทงนี่สนิกเลย!

    "ทีนี่...จะได้กำจัดตัวเกะกะได้เสียที!" ชายหนุ่มแสยะยิ้ม ก่อนที่จะกระโจไปขึ้นคล่อมบนตัวมิบุจิ ทำท่าจะแทงมีดลงที่มา "ช่วยหายๆ ไปแล้วไปนอนเป็นเพื่อนไอ้เด็กเมื่อวานซืนข้างๆ นี่ไปแล้วกัน!"

    "นี่ไปเช็คสมองครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เนี่ยไอ้บ้า!" มิบุจิด่าพร้อมกับจับและดันแขนคนที่พยายามลงมีดใส่ตนอย่างสุดแรง...หน้าตาก็ขี้ก้างไหงแรงเยอะจังวะ!?

    "อย่าดิ้นรนไปเลยน่า..." ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเหี้ยมด้วยสีหน้าสะใจ ก่อนที่จะหน้าซีดลงฉับพลันเมื่อ...

    วูบ!!!

    ...มีลมเย็นๆ พัดกรรโชกมาอย่างแรงก่อนที่จะตามด้วย...มือที่โปร่งใสจนมองทะลุได้มาบีบคอชายหนุ่มเอาไว้และดึงตัวชายหนุ่มออกจากร่างมิบุจิ

    'อย่าคิดทำร้ายมิบุจินะ!!!' ร่างอันเลือนลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน บ่งบอกถึงความเกรี้ยวกราดของเจ้าตัวเป็นอย่างดี

    "ผ...ผีหลอก!!!" ชายหนุ่มถึงกับสติแตกทันทีเมื่อเจอผีตัวเป็นๆ

    'ก็ผีดิวะ! ก็แกฆ่าฉันไปแล้วที่โผล่มานี่คงเป็นแมวน้ำมั้ง!' ร่างอันเลือนลางแว๊กใส่ชายหนุ่มที่ตอนนี้...ซ็อกตาตั้ง น้ำลายฟูมปาก และสลบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 'เหอะ! ทีตอนฆ่าฉันเนี่ยเก่งจริง! ทีตอนนี้ทำเป็นกลัว...มันน่าเอาไปมัดทิ้งไว้ในป่าช้าจริงๆ! ให้ตายสิ!!!'

    "น...นี่มันอะไรกัน?" มิบุจิที่ถูกช่วยเอาไว้ชี้ที่ร่างอันเลือนลางด้วยนิ้วสั่นๆ "ท...ทำไมกัน...ทำไมเป็นงี้ไปได้! มายุซัง!!! นี่มายุซัง..."

    'ฉันตายไปแล้วไงมิบุจิ' ร่างอันเลือนลางของเด็กหนุ่มผมเงินเอ่ยก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ 'และนี่เป็นความจริง'

    "โกหกน่า..." มิบุจิกำมือแน่น...ถึงแม้ภาพตรงหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นมนุษย์แบบเขาอีกต่อไปแล้ว แต่เขายังไม่อยากเชื่ออยู่ดี "...มายุซัง...ช่วยบอกทีว่านี่คือเรื่องโกหก...ขอร้องล่ะ"

    'คงไม่หรอกมิบุจิ...' มายุสุมิส่งยิ้มบางๆ ออกมาให้ '...ถึงนายไม่อยากเชื่อ แต่ฉันตายไปแล้วจริงๆ ถ้าไม่เชื่อนายลองขุดหิมะตรงข้างๆ นายดูสิ...ตรงนั้นคือศพฉันเองน่ะ แต่ถ้าใจไม่แข็งพออย่าเพิ่งขุดเลย เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปเปล่าๆ'

    "...แสดงว่ามายุซังถูกไอ้บ้านี่ฆ่าในแบบที่แย่มากๆ เลยสินะ" มิบุจิเอ่ยเสียงสั่น "นี่ถ้าฉัน...ในวันนั้นเดินกลับพร้อมกับมายุซังแบบทุกวัน เรื่องนี่คงไม่เกิดขึ้นสินะ?"

    'ถึงนายกลับพร้อมฉันก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าฉันจะไม่ตายนี่หว่า แถมดีไม่ดีนายได้เดี้ยงไปอีกคนด้วย...' มายุสุมิเอ่ย 'อย่าโทษตัวเองเลยน่าเจ้าบ้าเอ้ย! เรื่องนี่ไม่ได้เกิดเพราะนายสักหน่อย! เอ้าๆ! ยิ้มๆ หน่อยสิ! น่าทำหน้าปานปลาตายแบบนี้มันขัดตาเฟ้ย! อ๋อ! และอย่าคิดอะไรบ้าๆ แล้วมาหาฉันฝั่งนี้เชียวนะเว้ย! ไม่งั้นฉัน...ฉัน...ฉันงอนนายตามชาติจริงๆ นะเฟ้ย!'

                   "...อื้อ" มิบุจิยอมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย...อย่างน้อยนี่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่เขาทำให้คนที่เขารักได้เป็นครั้งสุดท้าย

    'เออ เข้าใจก็ดี...' มายุสุมิกรอตาไปมา...ถึงรู้ว่ามันทำใจไม่ได้ง่ายๆ แน่ แต่ก็ดีกว่าคิดอะไรแย่ๆ อย่างการตามเขามาโลกฝั่งนี้แล้วกัน '...งั้นฉันไปล่ะ หมดก๊อกแล้ว...ไอ้การออกมาช่วยนายเนี่ยเล่นซะฉันหมดแรงเลยแฮะ รู้สาเหตุที่ผีนอกจากมีความพยาบาทมากแล้วไม่ค่อยได้เห็น เพราะมันโคตรเหนื่อยแบบนี้สินะ?'

    "เอ๊ะ? พูดอะไรน่ะ!? เดี๋ยวก่อน! มายุซัง!!!" มิบุจิพยายามจะรั้งอีกฝ่ายไว้เสียแต่...ร่างของคนผมเงินกลับจางหายลงไปเสียก่อน "...ไปซะแล้ว"

    ...แล้วเราควรทำไงต่อดี?...

    เด็กหนุ่มคิดในใจอย่างเหม่อลอยพลางมองกองหิมะที่ด้านใต้มีร่างของคนรักตนอยู่...ในตอนนี้มิบุจิรู้สึกเหมือนถูกสูบเรี่ยวแรงไปจนหมดกับความจริงที่ตนต้องยอมรับว่าจะไม่มีวันได้เจอมายุสุมิ จิฮิโระอีกแล้วตลอดกาล

    "มายุซัง..." มิบุจิมองกองหิมะตรงหน้าก่อนที่จะลงมือขุดหิมะด้วยมือเปล่าๆ แบบไม่สนว่าจะโดนหิมะกัดหรือเปล่า...

    ...เพราะเขาทนไม่ได้...ที่จะปล่อยคนที่เขารักไว้ในที่หนาวเย็นแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงร่างไร้ชีวิตแล้วก็ตาม...

    มิบุจิค่อยๆ โกยหิมะออกทีละนิดทีละนิด จนกระทั่ง...พบกับร่างของเด็กหนุ่มผมสีเงินที่คุ้นหน้าคุ้นตาดี...

    ...ร่างของมายุสุมิ จิฮิโระในยามนี้อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากยามมีชีวิตนักเพราะความเย็นจากหิมะช่วยชะลอการเน่าเปื่อยลง บริเวณหน้าอกมีรอยถูกแทงจำนวนมากจนเสื้อสูทนักเรียนสีเทานั้นถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน บนดวงหน้ายังคงมีรอยคราบน้ำตาติดอยู่บ่งบอกถึงช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของอีกฝ่ายนั้นเจ้าตัวกำลังหวาดกลัวขนาดไหน ดวงตาสีเงินหมองแสงเบิกกว้างจ้องมาที่มิบุจิพอดิบพอดี

    "..." มิบุจิมองใบหน้าของคนรักตนอย่างเศร้าสร้อย ก่อนที่จะยื่นมือไปลูบเปลือกตาของอีกฝ่ายให้ปิดลง "หลับให้สบายนะ มายุซัง...อึก ฮือ~~~ มายุซัง..."

    เสียงร้องไห้ราวจะขาดใจดังออกมาท่ามกลางความเงียบงันของเขตรกร้างแห่งนี้...ราวกับอยากให้หยาดน้ำตานี้ลบล้างความรู้สึกที่เจ็บปวดทรมาณนี่ไป

     

     

     

     

     

    "โธ่เว้ย! เรโอะมันอยู่ไหนกันฟะ!?" เสียงสบลดังออกมาจากเด็กหนุ่มร่างใหญ่ไม่ขาดสายอย่างผิดวิสัยตนเองสุดๆ พร้อมกวาดตามองไปบริเวณรอบๆ

    "พี่เรโอะ...คงไม่เป็นอะไรนะ?" เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลทำหน้าเคร่งเครียด

    "ก็หวังว่างั้น..." เด็กหนุ่มผมแดงเอ่ยอย่างเครียดๆ ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มอีกสองคนนัก

    "พวกเธอ...ฉันว่าฉันโทรให้คนที่โรงพักมาช่วยหาดีไหม?" ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำในเครื่องแบบตำรวจคนหนึ่งเอ่ยถาม

    "เกรงว่าแบบนั้นจะไม่ทันการสิ ถ้าเกิดรอให้คนที่โรงพักตามมาเนี่ย..." เนบุยะเอ่ยอย่างไม่มีความเกรงใจคนอายุมากกว่าสักนิด

    "ไม่พูดจาชวนเตะสักครั้งจะตายไหมไอ้น้องบ้าเอ้ย!" นายตำรวจหนุ่มค้อนใส่ผู้เป็นน้องตน "รู้ว่าห่วงเพื่อน แต่ช่วยพูดจาดีๆ บ้างเถอะ! ไม่งั้นสักวันเผลอโดนเตะขึ้นมาไม่รู้นะเว้ย!"

    "อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิเอย์คิจิ เคย์อิจิซัง...ตอนนี้ช่วยเงียบเสียงลงหน่อย..." อาคาชิเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง "...ฉันคิดว่าเหมือนได้ยินเสียงร้องไห้นะ"

    "..." สองพี่น้องเนบุยะถึงกับหยุดทะเลาะกันชั่วขณะและทุกคนก็พากันเงียบหูฟัง

    "ใครที่ไหนมาร้องไหนแถวนี่เนี่ย?" เคย์อิจิแสดงสีหน้างุนงงออกมา

    "เสียงร้องไห้จริงๆ ดัวย...แต่เสียงมันฟังคุ้นๆ แฮะ" เนบุยะขมวดคิ้วเป็นปม

    "จะไม่คุ้นได้ไงล่ะ...ก็นี่มันเสียงพี่เรโอะนิ!" ฮายามะเอ่ยตอบเพื่อนหัวทื่อของตนก่อนที่จะรีบวิ่งแผล็วไปยังต้นเสียงโดยมีอาคาชิตามไปติดๆ และทิ้งสองเนบุยะที่สมองตามไม่ทันอยู่เอ๋ออยู่

    "เฮ้ย! รอด้วยเซ่!!!" เมื่อโดนทิ้งห่าง (?) ชายหนุ่มหนึ่งและเด็กหนุ่มอีกหนึ่งก็รีบวิ่งตามไปในทันที

    เด็กหนุ่มสามกับชายหนุ่มอีกหนึ่งพากันวิ่งเลาะตามตึกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงยังจุดหมาย...ซึ่งมีเด็กหนุ่มผมดำคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ โดนที่ตรงหน้าเด็กหนุ่มนั้นมี...

    "โกหกน่า..." เหล่าผู้ที่มาใหม่ต่างหลุดเอ่ยคำๆ เดียวกันออกมาอย่างพร้อมเพรียงเมื่อเห็นภาพของคนที่หายตัวไปในยามนี้นั้นไร้ซึ่งชีวิตแล้ว

    "เรโอะ..." เนบุยะเลื่อนสายตาไปยังเพื่อนตนที่ร้องไห้ไม่หยุดและไม่มีท่าทีสนใจพวกตนเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จะเดินเขาไปหาและลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเบามือเป็นการปลอบอีกฝ่าย เช่นเดียวกับฮายามะที่พยายามปลอบด้วยการพุ่งเข้ากอดอีกฝ่าย

    "...ฉันจะเรียกตำรวจคนอื่นๆ แถวนี้มาเอง ส่วนพวกนายไปปลอบมิบุจิก่อนน้ำตาหมดตัวเถอะ" เคย์อิจิเอ่ยก่อนที่จะควักมือถือออกมาเพื่อกดโทรหาเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ของตน...

    ...และในไม่กี่นาทีต่อมาเขตรกร้างแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยตำรวจมากมาย

    "สรุป...นายตามมาเก็บผ้าพันคอแล้วดันโดนชายที่สลบเมือดอยู่นั่นเล่นงาน เลยวิ่งหนีมาเรื่อยๆ จนสะดุดศพของมายุสุมิเข้าสินะ?" เคย์อิจิที่โดนหัวหน้าตัวเองสั่งให้ทำหน้าที่สอบปากคำเอ่ยถามเด็กหนุ่มผมดำที่ยังคงดูเหม่อลอยอยู่เล็กน้อย "เรื่องทั้งหมดมีแค่นี้สินะ?"

    "ครับ..." มิบุจิพยักหน้ารับไป...ถึงที่จริงเขาไม่ได้เล่าเรื่องที่เขาเจอกับมายุซังก็เถอะ

    "งั้นเหรอ?" เคย์อิจิหรี่ตาลง "แต่ดูจากหน้านาย...ดูท่ายังเล่าไม่หมดสินะ?"

    "..." มิบุจิไม่ตอบอะไรทำเพียงมองอักฝ่ายนิ่งๆ เท่านั้น

    "ไม่ต้องปิดบังอะไรหรอกน่า ต่อให้นายพูดอะไรฉันก็เชื่ออยู่แล้ว...อีกอย่างฉันเพิ่งได้รับรายงานว่ามายุสุมิเสียชีวิตมาสามถึงสี่วันแล้วทั้งๆ ที่เมื่อวานพวกนายเพิ่งเอาหนังสือที่มีเลือดเขียนอยู่มาให้ตรวจสอบโดยที่ทั้งเลือดทั้งลายมือเป็นของมายุสุมิเนี่ย..." เคย์อิจิเอ่ย "...ต่อให้น่าเหลือเชื่อขนาดไหนฉันก็เชื่อแล้วล่ะ ดังนั้นบอกมาเถอะก่อนที่จะมีคนเพี้ยนโผล่มาบอกว่านายเป็นฆาตกรแล้วโยนความผิดให้หมอนั่นเข้า...อย่าคิดว่าไม่มีนะ เจอประจำพวกไม่เกี่ยวข้องแต่กลับมาป่วนซะวุ่นวายถึงโรงพักเนี่ย"

    "...งั้นคุณบอกมาก่อนสิว่าคนที่เล่นงานผมเนี่ยคือใคร?" มิบุจิเอ่ยถามเพื่อที่จะทำพิธีสาปส่งได้ถูกคน (?)

    "...ท่าจะแค้นสินะเนี่ย?" เคย์อิจิที่รับรู้ถึงรังสีอาฆาตได้อย่างชัดเจนถึงกับหดคอวูบ "แค้นยังไงก็อย่าถึงขั้นฆ่าหมอนั่นแล้วกัน...เอาเป็นว่าบอกให้ก็ได้ คนที่ทำร้ายนายชื่อมาระ อิอิ...บอกก่อนนะนี่คือชื่อไม่ใช่ว่าฉันหัวเราะนะ! และอย่าถามว่าใครเป็นคนตั้งเพราะฉันไม่รู้เหมือนกัน เจ้าหมอนี่เมื่อสัปดาห์ก่อนปล้นธนาคารมาและคาดว่าคงมาหลบซ่อนอยู่ที่นี่สักพักก่อนที่จะทำการฆาตกรรมมายุสึมิอ่ะนะ"

    "..." มิบุจินิ่งไปเล็กน้อย...มันฟังดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่คนร้ายไล่ฆ่าคนอื่นปานคนเมายาเนี่ย "แล้วทำไม...เขาถึงฆ่ามายุซังล่ะ?"

    "ไม่รู้ หมอนั่นยังซ็อกน้ำลายฟูมปากอยู่เลย...ไม่รู้ว่าไปเจออะไรมาถึงเป็นแบบนั้ย" เคย์อิจิยักไหล่ "เอาล่ะ...นายรู้เรื่องที่นายอยากรู้แล้วขอตาฉันถามมั่งว่าตกลงนายรู้สาเหตุที่หมอนั่นชักกระแด๊กๆ แบบนั้นใช่ไหม?"

    "ใช่ครับ" มิบุจิพยักหน้ารับ "ที่หมอนั่นเป็นแบบนั้นเพราะ...มายุซังมาช่วยครับ"

    "มายุสุมิมาช่วย?" เคย์อิจิทำหน้าเอ๋อ "อย่าบอกนะว่า...ผี?"

    "คิดว่าคนตายจะเป็นอะไรได้นอกจากศพกับผีล่ะครับ?" มิบุจิสวนกลับ

    "ก็จริง" นายตำรวจหนุ่มเกาหัวแก้เก้อนิดๆ "แสดงว่าหมอนั่นโผล่มาช่วยนายสินะ?"

    "ตามนั้นแหละครับ..." มิบุจิเอ่ยก่อนที่จะเหล่ตามองไปด้านข้างตน "...แล้วจะแอบฟังไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย? ให้ปากคำเสร็จแล้วเหรอ?"

    "เสร็จแล้วถึงมาแอบฟังนายนี่ไง..." เด็กหนุ่มสามคนโผล่ออกมาจากที่ซ่อน "...แต่ไม่คิดว่านายจะรู้ตัวนะเนี่ย"

    "ก็นายแอบประสาอะไรหัวโผล่ออกจากที่ซ่อนไปกว่าครึ่งล่ะ? คนที่แอบเนียนมีแค่เซย์จังคนเดียวเอง" มิบุจิเบ้หน้า

    "เอาน่าๆ เรโอะอย่าเพิ่งบ่นเลย...ว่าแต่พวกฉันไปได้ยังอ่ะพี่เคย์?" เนบุยะถามนายตำรวจหนุ่ม

    "ยังไม่ได้...คงต้องรออีกหน่อยน่ะ" เคย์อิจิตอบก่อนที่จะได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานเรียกให้ไปช่วยเก็บหลักฐาน "ฉันไปก่อนล่ะ...อยู่นิ่งๆ อย่าดื้ออย่าซน ถ้าหนาวไปหลบไปร้านกาแฟที่ฝั่งตรงข้ามถนนก่อนก็ได้นะ"

    "โอเค..." เนบุยะโบกมือแบบไล่พี่ตนกลายๆ

    "นับวันนายยิ่งทำตัวน่าถีบนะ รู้หรือเปล่าเนี่ย?" เคย์อิจิบ่นน้อยๆ ก่อนที่จะเดินไปร่วมสมทบกับเหล่าเพื่อนร่วมงานตน

    "นี่...เรโอะ..." เมื่อเห็นว่านายตำรวจหนุ่มเดินห่างออกไปแล้ว เด็กหนุ่มผมแดงก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบาๆ "...ฉันว่าจิฮิโระซังคงต้องการให้นายทำใจเรื่องที่ตัวเองตายเลยส่งทำใบ้พวกนั้นมาให้และไม่อยากให้นายทำอะไรบ้าๆ แน่...ดังนั้นนายเลิกทำท่าเหมือนอยากเดินไปให้รถชนตายสักทีเถอะ"

    ...ถ้าเขาเดาถูก...ธนบัตรที่ถูกทิ้งไว้นั้นคงหมายถึงโจรปล้นธนาคาร ผ้าเช็ดหน้าสีแดงนั้นจิฮิโระคงใช้แทนเลือดที่หมายถึงว่าตายแล้ว ส่วนบอลหิมะน่าจะหมายถึงถูกฝังไว้ใต้หิมะ ส่วนไลท์โนเวลเล่มนั้นที่เขียนไว้แบบนั้นคงเพราะเห็นว่าพวกเขาไม่มีทางตีความออกเลยเขียนไว้แบบนั้น ตอนแรกน่าจะเขียนไว้ว่า 'ช่วยด้วย ช่วยหาศพฉันที' แต่พอคิดๆ ดูแล้วคงไม่มีใครเชื่อว่าคนตายจะเอาของมาวางตามจุดๆ ต่างๆ เพื่อให้เรโอะมาเจอได้แน่จึงตัดคำว่า 'ศพ' ออก เลยกลายเป็นเหมือนข้อความของความช่วยเหลือไปนั้นเอง...

    "ใครทำท่าแบบนั้นกันเล่าเซย์จัง?" มิบุจิถามกลับ...เขาว่าเขาไม่ได้ทำหน้าเหมือนอย่างที่กัปตันทีมตนบอกนะ

    "ไอ้หน้าฝืนยิ้มแบบนี้ไม่ว่าดูยังไงมันก็เหมือนที่อาคาชิบอกวะ" เนบุยะเอ่ยอย่างเห็นด้วยกับรุ่นน้องผมแดง

    "แถมหน้าพี่เรโอะยังซีดมากด้วยยังกับคนดวงตกแหน่ะ" ฮายามะเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกคน

    "...ถ้าดวงตกก็ดีสิ" มิบุจิบ่นพึมพำเบาๆ ...เพราะเขาว่าคนดวงตกมักตายไว งั้นถ้าเขาดวงตกจริงคงได้ไปหามายุซังเร็วขึ้นอ่ะนะ

    "เรโอะ...ฉันว่านายไม่ควรพูดแบบนั้นนะ..." อาคาชิที่ดันหูดีค้อนใส่ลูกทีมตนที่บ่นอะไรที่ฟังไม่เป็นมงคลและ... "...เล่นซะจิฮิโระซังหัวเสียแล้วนะ"

    "ห๊า?" สามราชันย์ไร้มงกุฏมองที่คนผมแดงเป็นตาเดียว "หมายความว่าไงอ่ะ?"

    "ลองก้มมองพื้นก็จะรู้คำตอบเอง" อาคาชิส่งยิ้มแห้งๆ ให้

    "หื้อ?" ทั้งสามลองก้มมองพื้นตามที่อีกฝ่ายบอก ก่อนที่คนร่างยักษ์กับคนผมสีคาราเมลจะกระโดดกอดเด็กหนุ่มผมดำหน้าสวยที่ทำเพียงเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยทันที เมื่อพอก้มมองพื้นและพบกับ...

    ...ตัวอักษรที่เขียนบนพื้นหิมะทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีแท้ๆ ที่สำคัญ...ยังเป็นลายมือของคนที่ทางรถพยาบาลเพิ่งเก็บศพไปเมื่อกี้ด้วย!!!

    "...ดูท่ามายุซังจะเริ่มงอนฉันแล้วแฮะ" มิบุจิคลี่ยิ้มบางๆ ออกมาเมื่ออ่านข้อความที่ถูกบนหิมะไว้ว่า...

    ...'ไหนบอกว่าเข้าใจแล้วไงฟะ!? นี่ยังไม่เลิกคิดที่จะมาฝั่งนี้เหรอ!?'

    "แถมงอนมากด้วย" ดวงตาสองสีมองพื้นหิมะตรงหน้าที่ตอนนี้...เริ่มมีรอยเขียนใหม่ปรากฏขึ้นมาทีล่ะตัวๆ บ่งบอกว่ามายุสุมิ จิฮิโระคงยืนฟังที่พวกเขาพูดกันมาตลอดแหงๆ

    'ใครงอนนายฟะมิบุจิ! แล้วแกก็เห็นด้วยกับมิบุจิอีกไอ้จูนิเบียวตาสองสี!'

    "ก็มายุซังนั้นแหละ..." มิบุจิไม่รู้สึกกลัวหรืออะไรกับข้อความโวยวายนี้เท่าไหร่นัก เพราะนี่เป็นตัวบ่งบอกว่าคนรักตนยังอยู่นี่ "...ว่าแต่เมื่อกี้มายุซังบอกว่าหมดก๊อกแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วไหงยังอุตสาห์เขียนข้อความมาหาได้เนี่ย?"

    ...ถึงดีใจที่ถึงแม้เป็นวิญญาณแต่มายุซังยังอยู่ข้างๆ เขาก็เถอะ แต่มันก็อดสงสัยไม่ได้นิ...

    'หมดก๊อกน่ะใช่และที่จริงก็ไม่น่าเขียนข้อความแบบนี้ได้หรอก พอดีอาเจ๊ยมทูตช่วยน่ะเลยติดต่อได้...แต่ขอบ่นสักนิดนะ เจ๊ยมทูตนี่เคี่ยวชะมัด เห็นบอกว่าจะให้ยืมพลังโดนแลกกับว่าเมื่อถึงเวลาไปเกิดใหม่ให้รีบๆ ไปเกิดเลยจะได้ไม่เกะกะโลกวิญญาญที่มีวิญญาญที่รอคนรักตัวเองตายและไปเกิดใหม่พร้อมกันเพียบอีก' มายุสุมิเขียนตอบกลับมาแบบนี้โดยที่...

    'ไม่ได้เคี่ยวนะ! อย่าไปเชื่อไอ้จางนี่!' ...ไม่กี่วิต่อมาก็มีลายมือของใครไม่รู้อีกคนปรากฏขึ้นมา

    "...ดูท่าคุณยมทูตจะอยู่เฝ้าด้วยสินะ" ฮายามะที่ถึงแม้จะรู้สึกกลัวนิดๆ ก็อดเอ่ยมาแบบนี้ไม่ได้

    "แถมดูท่าจะบ้าจี้พอดูถึงเขียนเถียงกลับมาด้วยเนี่ย...แต่ลายมือห่วยชะมัด ยังกับเด็กอนุบาลแหน่ะ" เนบุยะเบ้หน้านิดๆ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกเหมือนถูกถีบเบาๆ

    'ว่าใครยะ!? เดี๋ยวแม่กัดหูหลุดซะนิ!'

    'ระวังนะ ดูท่าจะไม่ได้ฉีดยาด้วย'

    ข้อความอีกสองประโยคถูกเขียนบนหิมะ...และไม่ต้องบอกก็รู้ได้เลยว่าข้อความไหนเป็นของใคร

    "...ฉันว่าฉันสงบปากสงบคำก่อนที่จะโดนยมทูตอาฆาตใส่ดีกว่า" เนบุยะไม่คิดว่าการโดนยมทูตอาฆาตเนี่ยจะเป็นเรื่องสนุกหรอก

    'ถือเป็นความคิดที่ดี...และเลิกเล่นกันได้แล้ว อีกเดี๋ยวตาแก่จะมาลากไอ้จางนี่ไปตัดสินด้วยตัวเองแล้วว่าจะโดนถีบไปนรก สวรรค์หรือส่งไปเกิดใหม่ มีอะไรจะสั่งเสียจะคุยก็รีบคุย...เดี๋ยวฉันไปล่อตาแก่นั้นให้ไปทางอื่นก่อนแล้วกัน อาจยื้อเวลาที่พวกนายคุยกันได้นานหน่อยน่ะ' ลายมือสุดจะหวัดถูกเขียนขึ้นอย่างรวดเร็ว

    "...เจ๊แกก่อนเป็นยมทูตเนี่ยไม่ได้ฝึกให้เขียนสวยกว่านี้สินะ?" เนบุยะคิ้วกระตุกยิกๆ และเอ่ยอย่างอดไม่ได้...ก่อนที่จะโดนบางอย่างเตะเข้าที่ท้องจนล้มหงายเงิบ

    'ฝึกเฟ้ย! แต่มันได้แค่นี้ย่ะ!'

    "อูย...คิดว่าไปแล้วเสียอีก" เนบุยะบ่นเบาๆ ขณะดันตัวลุกขึ้น...ดีนะที่ยมทูตเนี่ยดูท่าจะเป็นหญิงแท้ (?) ไม่งั้นคงลุกไม่ขึ้นแน่

    'ที่จริงถ้านายพูดช้ากว่านี่อีกหน่อยคงไปจริงๆ นั้นแหละ...' ลายมือของมายุสุมิถูกเขียนบนหิมะอีกครั้ง '...และตอนนี้อยากนินทาเจ๊แกอะไรก็นินทาได้แล้ว เจ้าตัวโดดข้ามตึกไปแล้ว'

    "...ฉันไม่นินทาให้เป็นการเสี่ยงต่อการโดนเตะอีกรอบหรอก" เนบุยะส่ายหน้าวืดแบบไม่เอาเด็ดๆ

    "เอ้าๆ ตอนนี้อย่าเพิ่งเล่นเลย...ฉันว่าเราไปทางนู้นกันดีกว่าน่า..." อาคาชิเอ่ยขึ้นพร้อมกับ 'ลาก' สองชีวิตที่เกาะมิบุจิอยู่ไป "...จะพูดอะไรก็พูดกันให้รู้เรื่องนะ...คงมีเรื่องที่อยากพูดกับเรโอะคนเดียวอยู่สินะ? จิฮิโระซัง"

    'รู้ตัวเร็วเหมือนเดิม' มายุสุมิเขียนข้อความตอบกลับ และเมื่ออาคาชิเห็นข้อความนี่ก็ทำเพียงหัวเราะเบาๆ เท่านั้นก่อนที่จะลากฮายามะกับเนบุยะออกห่างจากมิบุจิ 'แถมรู้หน้าที่ดีเหลือเกินว่าควรทำไงจนน่าหมั่นไส้...ที่จริงเสียดายเหมือนกันแฮะที่พอเห็นข้อความตอนแรกอาคาชิไม่ได้ตกใจแบบพวกนายเนี่ย'

    "ถ้าเซย์ตกใจเพราะเรื่องนั้นคงแปลกล่ะนะ..." มิบุจิยิ้มบางๆ ออกมา

    'นี่มิบุจิ...ขอว่าตามตรงนะว่านายแกล้งยิ้มได้ห่วยมาก ห่วยกว่าเจ้าชิวาว่าแฟนอาคาชิมันอีก' มายุสุมิเขียน 'และแบบนี้ทำเอาตอนแรกฉันกลัวว่านายตกใจศพฉันจนเป็นบ้าแล้วด้วย'

    "แหม...มายุซังก็..." มิบุจิหุบยิ้มเสแสร้งของตนลง "...เกิดเรื่องแบบนี้ใครมันจะยิ้มได้จริงๆ กันล่ะมายุซัง"

    'ก็จริง...' มายุสุมิยอมรับว่าในเวลาแบบนี้ไม่มีใครบ้ายิ้มออกหรอก '...แต่เรื่องยิ้มไม่ยิ้มก็ช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้ฉันขอหลักประกันว่านายจะไม่ข้ามมาฝั่งนี้ในเร็ววันนี้ก่อน'

    "แหม มายุซัง...เขียนแบบนี้ฉันเสียใจนะ อ่านแล้วเหมือนกับว่ามายุซังไม่อยากเจอฉันอีกเลยแหน่ะ" มิบุจิทำเสียงน้อยใจ "ทั้งๆ ที่ฉันอยากอยู่กับมายุซังแท้ๆ"

    'ฉันไม่ได้หมายความว่างั้นเฟ้ย! ฉันเองก็...ก็อยากอยู่กับนาย! แต่ที่ฉันไม่อยากให้นายตายเพราะยังไม่ถึงเวลาที่สมควรเฟ้ย!!!'

    "แล้วมายุซังถึงเวลาที่สมควรตรงไหนกัน?" มิบุจิสวนกลับทันทีที่อ่านจบ "มายุซังเพิ่งจะสิบแปด อีกไม่นานก็จะจบไปต่อมหาลัยและมีอนาคตที่ดีกว่านี่แท้ๆ ...แต่กลับต้องมาตายเพราะเจ้าบ้านั้น! บอกฉันทีสิมายุซัง! ทำไมกัน...ทำไมต้องทิ้งกันไปด้วย!!? จะชะตากรรมหรืออะไรก็ช่างแต่ทำไมฉันกับมายุซังต้องแยกจากกันแบบนี้ด้วย!?"

    ...แยกจากกันด้วยสิ่งที่เรียกว่าความตายแบบนี้!...

    'มิบุจิ...ไม่สิ เรโอะนายใจเย็นก่อน...' ข้อความจากมายุสุมิถูกเขียนขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำหนักในการเขียนมากกว่าเดิมจนเห็นได้ชัด '...ฉันเข้าใจนะว่านายรู้สึกยังไง ตอนวันแรกที่ฉันตายแทบจะหักคอไอ้บ้านั้นทิ้งเลย ถ้าไม่ติดว่าเจ๊นั่นมาโดดถีบใส่ฉันเสียก่อนและพล่ามกฏแห่งกรรมอะไรสักอย่างนี่ให้ฉันฟังเกือบสองวันน่ะ...ดังนั้นนายใจเย็นๆ ก่อน เศร้าไปมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอกนะ'

    "ฉันรู้แต่...ฉันไม่อยากจากมายุซังไปนิ..." มิบุจิเอ่ยเสียงแผ่วพลางทรุดตัวนั่งลงกับพื้น "...ไม่อยากอยู่...โดยไม่มีมายุซัง"

    'ไม่อยากก็ต้องอยู่ล่ะนะงานนี้...' มายุสุมิเขียน '...เอางี้ไหม? ถ้าฉันเกิดใหม่เมื่อไหร่ฉันจะหาทางกลับมาหานายอีกครั้งดีไหม?'

    "...แล้วมายุซังจะจำฉันได้เหรอ? เขาว่าเกิดใหม่เมื่อไหร่ต้องลืมทุกอย่างไปหมดนิ?" มิบุจิถามเสียงแผ่ว

    'ไม่รู้สิ แต่ฉันว่าเจ๊ยมทูตน่าจะช่วยได้นะ เห็นบอกว่าเจ๊แกเป็นคนที่ขนาดพญายมเกรงอกเกรงใจเพราะเคยไปถล่มมาน่ะ'

    "ถล่มพญายม? ไปทำอีกท่าไหนล่ะนั้น?" มิบุจิขมวดคิ้ว...ปกติพญายมต้องใหญ่สุดสิ แต่ไหงโดนยมทูตถล่มได้เนี่ย

    'เท่าที่ยมทูตตนอื่นที่เจอมาก่อนหน้านี้บอก...เห็นว่าตอนนั้นทะเลาะอะไรกันสักอย่างแล้วเจ๊แกก็จับพญายมทุ่มด้วยท่ามวยก่อนที่จะเอาง้างมาไล่เชือดน่ะ แถมยังทำเสาอาคาร สนาม และอื่นๆ อีกมากมายพังราบเป็นหน้ากลอง จากนั้นพญายมเลยกลัวเจ๊นั่นขึ้นสมองเลย'

    "..." มิบุจินิ่งอึ้งกับเรื่องของยมทูตที่ดูท่าจะไม่เหมือนยมทูตปกติเท่าไหร่นัก "ฉันว่าฉันสงสารคนโดนชอบกลนะมายุซัง"

    'ฉันก็ว่างั้น...' มายุสุมิเขียนตอบกลับด้วยท่าทางเห็นด้วยอย่างสุดซึ้ง '...แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดี เพราะแบบนี้แสดงว่าเจ๊แกช่วยได้แน่นอนล่ะ'

    "ดูมายุซังจะมั่นใจจังนะว่าคุณยมทูตจะยอมช่วยน่ะ" ว่าตามจริงมิบุจิไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้คนเป็นยมทูตจะยอมช่วยง่ายๆ หรอกนะ

    'พอดีระหว่างรอให้มีคนมาเก็บศพฉันเนี่ย ฉันกับเจ๊แกนั่งรอเบื่อๆ ...อาเจ๊เลยเอาหมากรุกมาเล่นกันน่ะ แล้วพนันกันอีกว่าใครชนะจะต้องทำตามที่ผู้ชนะขอทุกอย่างและโชคดีที่ฉันชนะ'

    "แต่ถึงงั้นก็เถอะ...แต่มั่นใจว่าจะช่วยได้จริงๆ?"

    'น่าจะ...'

    'ดูถูกกันหรือไงยะ! แค่นี่ฉันทำได้อยู่แล้ว!'

    "เอ๋?" มิบุจิมองลายมืออีกลายมือหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาข้างๆ ที่มายุสุมิเขียน "คุณยมทูตกลับมาแล้วเหรอ? ไหงกลับมาเร็วจัง?"

    'ไม่รู้ ถีบตาแก่ที่ว่านั้นกลับที่เดิมไปแล้วมั่ง'

    'อย่าไปเชื่อมัน! ฉันไม่ทำร้ายคนแก่เสียหน่อย! แค่ตาแก่นั้นขี้เกียจทำงานล่วงเวลาเลยมาหาถึงที่เอง! ฉันเลยบอกไปว่าเดี๋ยวพานายไปส่งให้ในไม่ช้านี่ตาแก่เลยยอมกลับไปแค่นั้นเอง!'

    "เออ...อย่าทะเลาะกันสิ..." มิบุจิชักเหงื่อตกกับยมทูตที่มาบ้าจี้เขียนโต้บอกกับตนด้วย "...ว่าแต่คุณยมทูต...ที่บอกว่าช่วยเรื่องผมกับมายุซังได้เนี่ยจริงเหรอครับ?"

    'จริงสิ ฉันเป็นพวกสัญญาแล้วย่อมทำตามสัญญานะ...อีกอย่างถึงฉันชุบชีวิตคนตายไม่ได้ แต่แค่ช่วยให้ตอนไปเกิดใหม่จำเรื่องราวในอดีตชาตินั่นฉันทำได้อยู่ แต่มันอาจมีเงื่อนไขแถมมาด้วยเท่านั้นแหละ'

    "เงื่อนไข? เงื่อนไขอะไรเหรอ?" มิบุจิขมวดคิ้ว

    'ไม่รู้สิ เงื่อนไขแต่ล่ะทีมันขึ้นอยู่กับบุคคลน่ะ...ที่รับรองได้มีแต่เงื่อนไขนั้นไม่ยากเกินความสามารถที่คนปกติๆ คนหนึ่งทำได้แน่นอนแค่นั้นแหละ'

    "แค่นั้นก็ดีแล้วครับ..." มิบุจิถอนหายใจออกมาเบาๆ

    'อ๋อ แล้วก็นะ...' ลายมือสุดยึกยือถูกเขียนขึ้น '...นายมีอะไรจะสั่งเสียกัน จะจีบ จะด่า หรืออะไรก็ตามแต่ฉันให้เวลาอีกสิบนาทีนะก่อนที่จะลากไอ้จางนี่ไปโลกวิญญาณ ส่วนฉัน...ถึงเวลาแล้วฉันค่อยมาอีกรอบแล้วกัน อ๊ะ! แล้วฉันให้ของแถมหน่อยแล้วกัน!'

    "เอ๋?" มิบุจิส่งเสียงออกมาอย่างงงๆ ก่อนที่จะสะดุ้งเฮือก เมื่อมีร่างเงาจางๆ ปรากฏขึ้นมาข้างๆ ตน "ม...มายุซัง?"

    'ของแถมคือเพิ่มพลังให้ฉันปรากฏตัวได้สินะ?' มายุสุมิมองปฏิกิริยาคนข้างๆ แล้วถอนหายใจออกมา 'แต่ก็ดี...จะได้คุยตัวต่อตัวไปเลย'

    "แต่ถ้าตำรวจนายอื่นๆ มาเห็นคงซ็อกตายแหง" มิบุจิบ่นขึ้นมาเบาๆ ...ถึงเขาไม่กลัวแต่ใช่ว่าคนอื่นเขาไม่กลัวเสียหน่อย!

    'ไม่เห็นหรอก ยัยนั่นทำให้คนเห็นฉันได้มีแต่นายด้วยน่ะ' มายุสุมิเอ่ย 'เอ้าๆ เรากลับมาคุยเรื่องเมื่อกี้ต่อเถอะ มีเวลาแค่สิบนาทีก่อนที่จะจากกันจริงๆ เองนะ'

    "นั้นสินะ..." มิบุจิถอนหายใจออกมาเบาๆ "...ไม่ว่ายังไง...มายุซังก็จะต้องไปจากฉันสินะ?"

    'แหงสิ ถ้าไม่ไปยัยเจ๊นั่นได้ตีหัวฉันแล้วลากไปแทนแหงๆ' มายุสุมิส่งสีหน้าเหนื่อยอกเหนื่อยใจออกมา 'เอ้าๆ อย่าทำหน้าเศร้าดิ เดี๋ยวกลับมาเกิดใหม่เมื่อไหร่ต่อให้เกิดเป็นหนอนฉันก็จะกระดึบมาหานายหรอกน่า...ถ้านายไม่ลืมฉันไปซะก่อนอ่ะนะ'

    "ไม่ลืมหรอกมายุซัง..." มิบุจิจับมือที่เย็นเฉียบของวิญญาณคนรักตนไว้...อือ ดูท่าคุณยมทูตจะทำให้เขาสัมผัสมายุซังได้ด้วยสินะ? "...จะไม่มีวันลืมหรอกมายุซัง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสิบหรือยี่สิบปีก็ตาม...ฉันก็จะรอ รอมายุซังคนเดียวนะ"

    'แน่ใจนะว่าจะรอ?' มายุสุมิถามย้ำ

    "แน่นอน..." มิบุจิยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อเห็นว่าคนรักตนดูจะหวงตนเหมือนกัน "...ฉันจะรอมายุซังแน่ แต่มายุซังถ้าเกิดใหม่แล้วต้องรอฉันเหมือนกันนะ! ห้ามนอกใจล่ะ!"

    'ไม่นอกใจหรอกน่า...' มายุสุมิหัวเราะออกมา ก่อนที่จะพึมพำกับตัวเองเบาๆ '...ก็ฉัน...รักนายที่สุดนี่หว่า'

    "ฉันก็รักมายุซังที่สุดเหมือนกันแหละ" มิบุจิที่ดันหูดีได้ยินที่มายุสุมิพูดดึงตัวอีกฝ่ายมากอด "จะรักตลอดไปเลยล่ะ รับรองได้เลย"

    'ไม่ต้องมาพูดเวอร์เลยนาย' มายุสุมิดีดเหม่งอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงแจ๋ 'นายเองก็อย่านอกใจแล้วกัน และอย่าเพิ่งตายก่อนเจอฉันล่ะมิบุจิ'

    "อื้อ...แน่นอน! สัญญาเลยเอ้า!" มิบุจิเอ่ยยืนยัน "มายุซังก็สัญญากับฉันด้วยนะ!"

    'เออๆ งั้นฉันก็สัญญากับนายก็ได้ว่าจะกลับมาหานาย' มายุสุมิยิ้มบางๆ ออกมา 'ถ้าใครผิดสัญญาขอให้สะดุดล้มหน้าแหกไปเลย'

    "แหม...ฟังดูน่ารักจังนะมายุซังไอ้คำแช่งแบบนี้" มิบุจิหัวเราะคิกคัก

    'ช่างฉันเถอะน่า...' มายุสุมอเบ้หน้าเล็กน้อยก่อนจะมองมือของตนเอง '...อ๊ะ ดูท่าจะครบสิบนาทีแล้วแฮะ...เวลามักผ่านไปเร็วในเวลาที่ไม่ต้องการจริงๆ สิน่า'

    "ต้องไปแล้วสินะ...มายุซัง" มิบุจิถึงแม้จะเศร้า แต่ก็ยังส่งยิ้มให้ร่างที่เลือนรางลงไป "ขอให้โชคดีนะมายุซัง จนกว่าจะเจอกันอีกครั้งฉันไม่ยอมตายแน่นอน"

    'อื้อ แล้วเจอกกันนะมิบุจิ ขอให้นายโชคดีและไม่โดนลูกหลงจากที่อาคาชิไล่เชือดฮายามะเข้าจริงๆ สักวันล่ะ...' มายุสุมิเอ่ยด้วยรอยยิ้มเช่นกัน '...ลาก่อน...ฉันรักนายนะ เรโอะ'

    "ลาก่อนนะ และฉันก็รักมายุซัง...ไม่สิ รักจิฮิโระจังเหมือนนะ" มิบุจิเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มสุดท้ายให้

    'อย่าเติมจังท้ายชื่อฉันเซ่!' มายุสุมิโวยเล็กน้อย ก่อนที่ร่างของคนผมเงินจะเลือนหายไปจนสิ้น

    "อา...ไปซะแล้ว..." มิบุจิจับผ้าพันคอที่พันบนลำคอของตนเบาๆ "...แล้วฉันจะรอนะมายุซัง"

    ...จนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง...

     

     

     

     

     

    เวลาผ่านไปจากวันเป็นคืน จากคืนเป็นเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นยี่สิบปี (วันจะพล่ามยาวเพื่อ? // มิบุจิ , เขียนไปเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก // s) บัดนี้เหล่าเด็กหนุ่มที่กลายเป็นชายหนุ่มทั้งหลายได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่เว้นแม้แต่ตัวของมิบุจิ เรโอะ...

    ...นับจากวันที่มิบุจิได้สูญเสียคนรักตนไปด้วยสาเหตุที่เจ้าตัวรู้ภายหลังจากผู้ที่สังหารคนรักตนว่าสาเหตุที่ฆ่าเพราะคนรักของตนนั้นดันไปเห็นตอนที่อีกฝ่ายกำลังซ่อนเงินที่ปล้นมาจากธนาคารพอดี

    ...ถ้าการคาดการณ์ของมิบุจิถูกต้อง เจ้าตัวคิดว่าการที่คนรักตนถูกฆ่านั้นคงเพราะคนรักของเขาดันไปสะดุดอะไรจนเกิดเสียงแหง เพราะไม่งั้นคงมองข้ามคนรักของตนที่จืดจางโคตรๆ นั้นไปแล้ว

    ...ถึงฟังดูราวกับฟ้าเล่นตลกที่ขำไม่ออกแบบนี้ แต่มิบุจิเองก็ทำได้เพียงทนฝืนมีชีวิตมาจนถึงบัดนี้...ซึ่งตอนนี้เองมิบุจิเปลี่ยนไปมากไม่ว่าจะเป็นความสูงที่เพิ่มขึ้นหลายเซนจนใกล้เป็นไททัน (?) ทั้งใบหน้าที่แลดูสาวแตก (?) มากกว่าเดิม ทั้งความรู้ความสามารถที่ดีขึ้นจนน่ากลัว ทั้งความน่าเชื่อถือที่ได้มาเพิ่มขึ้นพรวกพรากจากการเลือกอาชีพมาเป็นเลขาให้รุ่นน้องผมแดงสมัยเรียนม.ปลายที่ตอนนี้กลายเป็นประธานบริษัทใหญ่ไปเสียแล้ว แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    ...นั้นคือความรักที่เจ้าตัวมีให้แก่มายุสุมิ จิฮิโระนั้นเองที่ไม่มีลดลงเลยตั้งแต่อีกฝ่ายจากไป...แม้ว่าตอนนี้จะผ่านมาร่วมยี่สิบปีแล้วก็ตาม

    ...ถึงกระนั้นมิบุจิก็ยังคงรออีกฝ่ายตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันนั้นเอง...รอจนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง

    ...และนี่ก็คงเป็นอีกวันที่มิบุจิ เรโอะยังคงต้องเฝ้าคอยต่อไปพร้อมกับทำกิจวัตรต่างๆ ประจำวันไปตามปกติ...โดยที่ดูท่ามีสิ่งต่างจากเดิมเล็กน้อยซะแล้วในวันนี้

    "เฮ้อ..." เสียงถอนหายใจจากชายหนุ่มผมดำหน้าสวยดังขึ้นเบาๆ ขณะที่มองตัวอาคารยักษ์ใหญ่ตรงหน้า "...เรามาทำอะไรกันที่นี่เนี่ย? เซย์จัง?"

    "พอดีโดนเรียกมาน่ะ..." ชายหนุ่มผมแดงดูท่าทางทรงอำนาจกว่าในอดีตกาลหลายเท่าเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลามองอาคารตรงหน้านิดๆ "...ว่าแต่ไม่ได้มาที่นี่นานแล้วเนอะ เรโอะ"

    "นั้นสินะ...ตั้งแต่เรียนจบนั้นแหละ" มิบุจิ เรโอะเอ่ยพลางมองป้านตรงหน้าที่เขียนเอาไว้ว่า 'โรงเรียนมัธยมปลายราคุซัน' มือข้างหนึ่งจับผ้าพันคอสีดำที่ดูเก่าเอาไว้ "ว่าแต่...เมื่อกี้บอกว่าถูกเรียกมาเหรอ? ใครเรียกมาล่ะ?"

    "เดี๋ยวบอก ไว้มากันครบก่อน" อาคาชิ เซย์จูโร่เอ่ยเสียงเข้ม

    "เอ๊ะ?" มิบุจิเลิกคิ้วเล็กน้อย...มาครบกันงั้นเหรอ? หรือว่า... "ที่ว่าครบเนี่ยหมายถึง...โคทาโร่จังกับเอย์จังหรือเปล่า?"

    "ตามที่คิดนั้นแหละ" อาคาชิส่งยิ้มให้อีกฝ่ายที่เริ่มยิ้มเจื่อนๆ

    "ที่โดนเรียกมาเนี่ย...ถ้าให้เดาไม่เพราะทางโรงเรียนอยากให้รุ่นน้องชมรมบาสได้เห็นราชาไร้มงกุฏกับกัปตันทีมปาติหาริย์ในอดีตล่ะก็คงโดนใช้ให้มาลองเล่นบาสให้รุ่นน้องดูแหง" มิบุจิคุมขมับเมื่อคนผมแดงส่งยิ้มให้ประมาณว่าเข้าใจได้ถูกต้องแล้วมาให้ "แล้วไหงเซย์จังยอมมาง่ายๆ ล่ะ? ปกติไม่น่าสนนิ?"

    "พอดีโคกิบอกว่า 'มาดูรุ่นน้องที่โรงเรียนตัวเองบ้างก็ดีนะ จะได้ดูความเปลี่ยนแปลงภายในโรงเรียนว่าตลอดที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง' น่ะ โคกิเองก็เคยไปเที่ยวดูชมรมบาสที่เซย์รินเหมือนกัน...เลยคิดว่าถ้าไม่มาเดี๋ยวเหมือนเอาเปรียบโคกิ" อาคาชิเอ่ยหน้าตาย

    "ความจริงคือหาเรื่องคุยเรื่องอ้อนโคจังมากกว่า" มิบุจิเอ่ยอย่างรู้ทัน

    "ถูก" อาคาชิยิ้มร่าอย่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก

    "เฮ้! อาคาชิ~~~ พี่เรโอะ~~~~" เสียงตะโกนดังขึ้นขัดบทสนทนาระหว่างอาคาชิกับมิบุจิ ก่อนที่จะตามด้วยร่างของชายหนุ่มผมสีคาราเมลพุ่งเข้ากอดชายหนุ่มผมดำเต็มแรง "ไม่เจอกันนานเลยนะฮ๊าฟ!!!"

    "เฮ้ยๆ! รอกันบ้างดิวะ!!!" เสียงอีกเสียงลอยมาพร้อมกับชายหนุ่มร่างใหญ่ปานกอริล่า (?) วิ่งตามมา "โย่! ไม่เจอกันนานนะเรโอะ อาคาชิ...สบายดีกันไหมเนี่ย?"

    "สบายดี...แต่ดูท่าตอนนี้คนที่กำลังจะไม่สบายคือโคทาโร่นะ" อาคาชิเอ่ยพลางหัวเราะเมื่อชายหนุ่มผมดำเขกหัวคนผมสีคาราเมลเต็มแรง

    "แอ๊! ตีหัวผมทำไมล่ะฮะ!" ฮายามะ โคทาโร่กุ่มหัวตนอย่างเจ็บ

    "ก็ใครใช้ให้กอดแรงจนหลังแทบหักแบบนี้ล่ะยะ! แถมยังวิ่งมาโดดกอดแบบนี้อีก! มันอันตรายนะรู้ไหม!? นี่ผ่านมายี่สิบปีแล้วยังไม่เลิกนิสัยเหมือนเด็กๆ แบบนี้อีกเหรอ!?" มิบุจิแยกเขี้ยวใส่พลางดุเพื่อนผมสีคาราเมลของตนไป

    "อย่าไปบ่นมันเลยเรโอะ เปลื้องน้ำลายเปล่าๆ ไม่เข้าหัวมันหรอก...ขนาดมิยาจิซังบ่นทุกวันยังไม่เข้าหัวเลย!" เนบุยะ เอย์คิจิแคะหูตนแบบไม่แคร์สื่อ (?)

    "แอ๊! อย่าว่างั้นสิเอย์จัง!" ฮายามะโวย "ทีเอย์จังยังโดนยูจังโวยเรื่องที่เอย์จังไม่ยอมอาบน้ำบางวันเลย!"

    "ก็วันอากาศหนาวมันไม่อยากอาบน้ำนี่หว่า!" เนบุยะเถียงกลับ

    "ไม่ต้องมาบ่นเลยทั้งคู่! นี่อายุเท่าไหร่แล้วห๊ายังทำตัวเป็นเด็กอยู่อีก!!!" มิบุจิแยกเขี้ยวพร้อมแจกหมัดใส่เพื่อนสนิกสองหน่อของตนเต็มแรง "ระวังก่อเรื่องปวดหัวมากๆ มิยาจิซังกับยูจังจะเก็บข้าวเก็บของหนีล่ะ!"

    "เฮ้ย! อย่าพูดเป็นลางดิ!" เนบุยะกับฮายามะหันมาโวยมิบุจิอย่างพร้อมเพรียง

    "ก็จริงไหมล่ะย่ะ!" มิบุจิค้อนใส่อีกฝ่าย

    "เอ้าๆ เลิกเถียงกันได้แล้ว..." อาคาชิที่เห็นว่าทักทาย (?) กันพอหอมปากหอมคอแล้วเดินเข้าประตูโรงเรียนไป

    "รับทราบ!" อดีตราชันย์ไร้มงกุฏขานรับอย่างกวนๆ ก่อนที่จะวิ่งตามคนผมแดงเข้าไปในรั้วโรงเรียนที่พวกตนไม่ได้เข้ามาใกล้มานานแสนนานแล้ว

    ทั้งสี่เดินลอยชายพลางมองบรรยากาศของโรงเรียนมัธยมปลายราคุซันที่ในตอนนี้ดูไม่ต่างจากในอดีตมากนัก เหล่าชายหนุ่มพากันเดินเเอื่อยๆ ไปเรื่อยๆ จนมาถึงยังโรงยิมที่ดูใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย

    "ขออนุญาตครับ..." อาคาชิเอ่ยตามมารยาทเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดประตูโรงยิมเข้าไป

    "อ่ะ...มากันแล้วเหรอ?" ชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นมาพลางเป่านกหวีดเพื่อเรียกเหล่านักกีฬาทีมบาสของราคุซันทั้งหลายมารวมตัวกัน

    "...นี่ตกลงที่เซย์จังยอมมาเนี่ยเพราะโค้ชในตอนนี้คือชูจังงั้นเหรอ?" มิบุจิมองคนที่น่าจะเป็นตัวต้นเหตุที่เรียกพวกตนมาที่นี่อย่างเอ๋อๆ ...จะไม่เอ๋อยังไงล่ะ ใครจะคิดว่าคนอย่างนิจิมุระ ชูโชจะเลือกมาเป็นอาจารย์ในโรงเรียนราคุซันล่ะ! "ฉันคิดว่าชูจังอยู่ที่เทย์โควเสียอีก"

    "ที่จริงตอนแรกนิจิมุระซังก็กะว่างั้นแหละแต่ไฮซากิดันได้งานอยู่แถวๆ นี่ นิจิมุระซังเลยเลือกมาทำงานที่นี่แทนไง" อาคาชิอธิบาย "ส่วนที่โดนเรียกมาเนี่ยเพราะดันมีใครไม่รู้เสนอว่าอยากเจอพวกตัวจริงในรุ่นที่ทีมปาติหาริย์ได้ปะทะกันเองครั้งแรกน่ะ"

    "นิจิมุระก็ดันบ้าจี้เรียกพวกเรามากันสินะ?" เนบุยะถอนหายใจออกมาเบาๆ

    "ก็ตามนั้น..." นิจิมุระหัวเราะออกมาแบบคนฟังรู้สึกขนลุก "...เอาล่ะถ้าคุยกันเสร็จแล้ว...ช่วยลองสอนทักษะการเล่นให้พวกรุ่นน้องพวกนายหน่อยแล้วกัน ห้ามปฏิเสธไม่งั้นเจอดีกันแน่"

    "...นับวันยิ่งสยองกว่าอาคาชิแฮะ" ฮายามะบ่นอุบอย่างเกรงอกเกรงใจอีกฝ่ายนิดๆ

    "เห็นด้วยวะ" เนบุยะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เช่นเดียวกับอาคาชิและมิบุจิที่ก็คิดไม่ต่างกัน

     

     

     

     

     

    "เพิ่งรู้นะ...ว่าสอนคนมันเหนื่อยขนาดนี่" เนบุยะนอนแผ่กับพื้นพลางบ่นอุบหลังจากพยายามสอนเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีสไตร์การเล่นแบบเดียวตนมาเกือบสองชั่วโมง

    "ไม่เห็นเหนื่อยเลย เอย์จังแก่มากกว่า" ฮายามะเอ่ยพลางเลี้ยงลูกแบบตอกเสาเข็ม (?) ให้ชาวบ้านปวดหูเล่น

    "หาเรื่องหรือไงห๊าโคทาโร่?" เนบุยะเด้งตัวลุกขึ้นมาทันทีที่โดนหาว่าแก่

    "เอ้าๆ อย่าทะเลาะกันสิ..." มิบุจิที่สภาพปกติดีต่างจากเด็กหนุ่มทั้งหลายที่ตนสอน...ซึ่งตอนนี้ลงไปหอบแฮ่กๆ กับพื้นกันหมดแล้ว

    "ถ้าไม่เลิกทำตัวไร้สาระกันเดี๋ยวมีบริการตัดหน้าม้าฟรีนะ" อาคาชิที่มีสภาพไม่ต่างจากมิบุจิเอ่ยพลางควงกรรไกรในมือเล่น

    "หยุดแล้วจ้า! แล้วเก็บกรรไกรไปเลยนะ!" ฮายามะกับเนบุยะรีบถอยห่างคนผมแดงทันที

    "เฮฮากันดีนะ พวกนายเนี่ย" นิจิมุระหัวเราะออกมาเบาๆ พลางพลางมองพวกลูกศิษย์ในส่วนที่ตนสอนที่มองเหล่าอดีตตัวจริงทีมบาสราคุซันทั้งหลายอย่างงงๆ "แล้วเป็นอะไรกันเนี่ย? ทำหน้ายังกับโดนผีหลอก"

    "เออ...ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่สงสัยว่านิสัยทำไมดูต่างจากที่จิตนาการไว้เท่านั้นเองครับ" เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา

    "ส่วนใหญ่ใครมาเจอพวกนี่ก็สงสัยกันทั้งนั้นแหละ..." ...เพราะฝีมือกับนิสัยเพี้ยนๆ ของพวกนี่ไม่เข้ากันเลย!

    "ดูท่าจะชินกับคำถามนี่จังนะครับโค้ช" เด็กหนุ่มอีกคนเอ่ย "ว่าแต่...ทำไมที่โค้ชเรียกมาเนี่ยขาดตำแหน่ง PF ล่ะครับ? หรือว่าเจ้าต..."

    "เฮ้ย!!" เมื่อคำพูดนี่หลุดออกมาจากปากเด็กหนุ่ม เนบุยะกับฮายามะก็รีบพุ่งมาปิดปากอีกฝ่ายด้วยความเร็วแสง "จะพูดออกมาทำไม!?"

    "?" เด็กหนุ่มที่โดนปิดปากมองชายหนุ่มทั้งสองอย่างงงๆ แบบไม่เข้าใจว่าตนถามอะไรผิดหรือ?

    "เออ...ฉันว่านายคงสอนพวกนี่เหนื่อยแล้ว นายไปพักแถวๆ นี่ก่อนเถอะ..." อาคาชิเอ่ยด้วยอาการเหงื่อตกนิดๆ เพราะรู้ว่าที่เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยความไม่รู้นั้นไปจี้จุดมิบุจิขนาดไหน

    "อื้ม...ก็ดีเหมือนกัน..." มิบุจิส่งยิ้มเศร้าๆ ให้คนผมแดง "...ฉันขอไปเดินเล่นก่อนนะชูจัง เดี๋ยวกลับมา"

    "อ...อา ตามสบายเลย จะไปนานๆ ก็ได้นะไม่ว่า..." นิจิมุระที่รับรู้ถึงความเศร้าที่แฝงในแววตาอีกฝ่ายพยักหน้ารับ ก่อนที่มิบุจิจากเดินออกจากโรงยิมไปเงียบๆ

    "..." เหล่าอดีตสมาชิกทีมราคุซันทั้งสามมองร่างของหนุ่มหน้าสวยที่เดินออกไปแล้วพลางถอนหายใจออกมาพร้อมเพรียง "...เฮ้อ...โชคดีที่มิบุจิไม่น้ำตาแตกกลางโรงยิมเลย"

    "...เออ...ตกลงเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?" นิจิมุระถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องหัวแดงของตนกำลังทำหน้าเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิมา "แล้วไหงมิบุจิทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นล่ะ?"

    "ก็หมอนี่ดันไปพูดเรื่องเกี่ยวกับมายุสุมิขึ้นมาน่ะสิ..." เนบุยะเอ่ยพลางปล่อยมือจากปากเด็กหนุ่ม

    "ดันพูดแบบนั้นให้พี่เรโอะได้ยินแล้วไม่น้ำตาแตกใส่ก็บุญแล้ว" ฮายามะทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง

    "ก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้วก็พอควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้วล่ะน่า..." อาคาชิเหล่มองนิจิมุระกับเหล่าสมาชิกทีมบาสราคุซันที่ส่งคำถามผ่านสายตามาที่ตนอย่างพร้อมเพรียง "...เฮ้อ ไม่ต้องมองแบบนั้นกันก็ได้นะครับนิจิมุระซัง...ที่เรโอะดูเศร้าน่ะเพราะดันถามถึงคนที่เล่นตำแหน่ง PF ไงล่ะครับ"

    "ไม่เข้าใจวะ ขอคำอธิบายเพิ่มหน่อย...มันเกี่ยวอะไรกับที่มิบุจิทำหน้าแบบนั้นกัน?" นิจิมุระถามโดนที่สมาชิกชมรมคนอื่นๆ ต่างหูผึ่งรอฟังคำตอบของอีกฝ่าย

    "เกี่ยวสิครับ เกี่ยวมากด้วย..." อาคาชิเอ่ย "...คนที่เล่นตำแหน่ง PF ในตอนนั้นคือมายุสุมิ จิฮิโระซึ่งเป็นคนรักของเรโอะครับ...เขาถูกโจรปล้นธนาคารฆ่าตายเมื่อยี่สิบปีก่อนหลังจากการแข่งวินเทอร์คัพตอนนั้นจบลงน่ะครับ ดังนั้นพอพูดถึงเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับจิฮิโระซัง เรโอะก็จะเป็นแบบนั้นตลอดนั้นแหละครับ"

    "...ฉันว่าฉันเข้าใจแล้วล่ะที่หมอนั่นทำหน้าแบบนั้น" นิจิมุระถอนหายใจออกมา...มิน่าล่ะถึงทำหน้าเศร้าแบบนั้น ว่าแต่ทำไมชื่อคนรักของมิบุจิมันคุ้นๆ หูจังหว่า? เหมือนเคยได้ยินมาก่อนเลย

    "ผมควรไปขอโทษมิบุจิซังสินะ?" เด็กหนุ่มที่เป็นต้นเหตุทำหน้าเจื่อนๆ

    "ควรน่ะควร แต่ตอนนี้ปล่อยพี่เรโอะไว้คนเดียวก่อนเถอะ" ฮายามะเอ่ย

    "ฉันก็ว่างั้น" เนบุยะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง

    "...แต่ฉันว่าคงไม่ต้องขอโทษแล้วล่ะ" อาคาชิเอ่ยพลางมองดูกับพื้น "ดูท่า...อีกไม่นานต่อให้โดนถีบตกท่อเรโอะก็คงไม่สนแล้วล่ะ"

    "หื้อ? หมายความว่าไง?" ฮายามะกับเนบุยะ รวมทั้งนิจิมุระมองคนผมแดงแบบไม่เข้าใจ

    "ก็ลองมองกับพื้นสิ..." อาคาชิส่งยิ้มแห้งๆ ให้

    "พื้น?" ชายหนุ่มทั้งสามก้มลงมองกับพื้นและ...พบกระดาษแผ่นหนึ่งทิ้งไว้กับพื้นโดยที่บนกระดาษแผ่นนั้นมีลายมือสุดหวัดที่อดีตตัวจริงทีมราคุซันทั้งสามไม่มีวันลืมเขียนเอาไว้อยู่

    "ใครเอากระดาษมาทิ้งไว้กลางโรงยิมฟะ?" นิจิมุระก้มลงหมายจะเก็บกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา เสียแต่ฮายามะดันคว้ากระดาษนั้นขึ้นมาเร็วกว่า

    "ดูท่า...คุณยมฑูตเขามาอีกแล้วนะ" ฮายามะเริ่มยิ้มแห้งๆ อีกคนเมื่ออ่านข้อความบนกระดาษ

    "แต่อย่างน้อยคราวนี้ก็ไม่ได้จะมารับใครไปล่ะนะ" เนบุยะถอนหายใจออกมาพลางไล่ตามองตัวอักษรบนกระดาษที่เขียนเอาไว้ว่า...

    ...'ฝากอวยพรให้พวกนายจืดด้วยนะย่ะ!'...

    ...ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้เลยว่าพวกนายจืดที่เจ๊แกว่านั้นหมายถึงใครกับใคร

    "ฉันก็ว่างั้น" อาคาชิตบบ่าคนที่ทำท่าละเหี่ยใจทั้งสอง โดยไม่คิดที่จะอธิบายให้นิจิมุระที่ยืนงงอย่างไม่เข้าใจอยู่คนเดียวเลยสักนิด

     

     

     

     

     

    ...สุดท้าย...ก็เลือกมาอยู่บนดาดฟ้าอาคารนี้อีกตามเคย...

    ชายหนุ่มผมดำบ่นกับตัวเองในใจอย่างขำๆ เมื่อหลังจากที่ตนเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปสักพักตอนท้ายที่สุดก็เลือกเดินขึ้นมาบนดาดฟ้าอาคารเรียนที่...ตนนั้นได้สารภาพรักกับคนที่ตนรักในอดีตกาลนั้นเอง

    "มายุซัง...จะเป็นไงบ้างนะ?" มิบุจิถอนหายใจยาวๆ ออกมาพลางมองทิวทัษต์เดิมที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงจากในอดีตมากนัก "หวังว่าคงไม่ได้กลับมาตั้งนานแล้วแต่ปล่อยให้ฉันรอเก้อหรอกนะมายุซัง"

    ...ถ้าเป็นแบบนั้นจริงจะโวยข้ามชาติให้ดู!!!...

    มิบุจิโวยอีกฝ่ายในใจขณะเดียวกันละอองสีขาวก็เริ่มโปรยปรายลงจากฟากฟ้าที่มือครึม...คล้ายกับวันที่มายุสุมิ จิฮิโระจากไป

    "ให้ตายสิ..." เมื่อจ้องมองหิมะที่ร่วงหล่นลงมาหยาดน้ำก็เริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาเมื่อนึกถึงคนที่ตนรักอย่างไม่อาจห้ามได้...ยิ่งนึกถึงเมื่อยามอีกฝ่ายจากไปยิ่งทรมายิ่งนัก "...เมื่อไหร่จะกลับมาสักทีเล่า!!! คนบ้า!!!"

    ...ทิ้งให้รอกันแบบนี้มันทรมานะยะ!!!...

    "เออ...โทษทีแล้วกันที่บ้า..." เสียงๆ หนึ่งที่ดังขึ้นมาข้างๆ มิบุจิ ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งโหยงก่อนที่จะหันไปทางต้นเสียงอย่างเร็วจนแทบคอเคล็ด "...แต่ไม่คิดเลยนะว่านายจะยังรอฉันจริงๆ น่ะ มิบุจิ"

    "มา...มา..." มิบุจิอ้าปากพะงาบๆ เมื่อเห็นว่าตอนนี้ข้างกายตนมีเด็กหนุ่มผมเงินคนหนึ่งนั่งอยู่ทั้งๆ ที่ตอนเดินมาตรงนี้เจ้าตัวมั่นใจว่าไม่เห็นว่ามีใครอยู่แท้ๆ แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญเท่ากับใบหน้าและคำพูดที่บ่งบอกว่าตัวตนของอีกฝ่ายคือใคร "...มายุซัง! มายุซังจริงเหรอเนี่ย!?"

    "เออ! ก็จริงน่ะเซ่! แล้วนี่จะตะโกนทำไมเนี่ย!?" มายุสุมิอุดหูตัวเองไว้เมื่อถูกตะโกนใส่ในระยะประชิต

    "ก็มันดีใจนิ!" มิบุจิรีบคว้าตัวอีกฝ่ายมากอดทันที พร้อมเผยรอยยิ้มออกมาทั้งน้ำตา "แล้วนี่มายุซังหายไปไหนตั้งนานอ่ะ! ปล่อยฉันไว้คนเดียวไม่ยอมไปหาบ้างเลย!?"

    "โทษทีแล้วกัน พอดีท่าทางไอ้เงื่อนไขที่จำเรื่องราวในอดีตได้มันคือต้องถึงวันเวลาและอายุที่ฉันตายในชาติก่อนวะ ก็เลยเพิ่งนึกออกเอาปานนี้น่ะ" มายุสุมิดันหน้าอีกฝ่ายเบาๆ "และเลิกกอดฉันได้แล้วมิบุจิ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะยุ่งเอา"

    "ไม่เอา ไม่สน...ฉันรอมายุซังมาตั้งนานขอกอดให้หายคิดถึงหน่อยเถอะ!" มิบุจิเอ่ยพร้อมเอาหน้าถูไถ่มายุสุมิอย่างไม่ลดละ

    "อย่ามาอ้อนเป็นเด็กๆ เซ่! อายุเท่าไหร่กันแล้วห๊านาย?" ถึงแม้เอ่ยไปแบบนั้นแต่มายุสุมิสุดท้ายก็ยอมให้อีกฝ่ายกอดแต่โดยดี "จะว่าไป...นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง? ปกติแล้วนายไม่น่านึกคึกมาเยี่ยมที่นี่นี่นา?"

    "โดนชูจัง...โค้ชของรมชมบาสในตอนนี้เรียกพวกฉันมาน่ะ..." มิบุจิตอบด้วยสีหน้าเริงร่า "...แล้ว..ตอนนี้มายุซังไม่ได้อยู่ชมรมบาสเหรอ? ถึงไม่รู้ว่าชูจังเรียกพวกฉันมาน่ะ?"

    "เปล่าหรอก ยังอยู่ชมรมบาสเหมือนเดิมนั้นแหละ แต่หลายๆ วันมานี่ฉันโดนให้ไปช่วยติวเพื่อนร่วมชั้นทีคะแนนวิชาฟิสิกส์อนาถมากน่ะก็เลยไม่รู้ข่าวเรื่องที่นายมาเนี่ย..." มายุสุมิเอ่ย "...ว่าแต่...'พวกฉัน' งั้นเหรอ? แสดงว่านอกจากนายแล้ว อาคาชิ ฮายามะกับเนบุยะก็มาด้วยสิ?"

    "ก็ตามนั้นนั่นแหละมายุซัง..." มิบุจิตอบ "...และตอนนี้ฉันว่าเราควรกลับไปรวมตัวกับทุกคนนะ...ป่ะ! มายุซัง! ไปหาเซย์จังกันเถอะ!"

    "เฮ้ย! เดี๋ยว!" มายุสุมิที่ถูกดึงให้ลุกขึ้นสุดร้องออกมา "จะให้ไปจริงดิ!?"

    "ก็จริงน่ะสิ!" มิบุจิตอบกลับกพ้อมกับอุ้มตัวมายุสุมิที่ยามนี้เตี๊ยกว่าตนมากขึ้น...ด้วยท่าเจ้าหญิงด้วยแหน่ะ "รับรองทุกคนต้องดีใจแน่!"

    "แตกตื่นน่ะสิไม่ว่า! และนายปล่อยฉันลงเลยนะ! จะอุ้มฉันทำมายยยยย!?!" มายุสุมิโวยด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีชาด

    "ก็มายุซังเดินช้านิ..." มิบุจิหัวเราะออกมาเบาๆ "...อีกอย่างฉันอยากกอดอยากอุ้มมายุซังด้วย แถมถ้าได้×××ด้วยยิ่งดีนะ"

    "อย่าเชียวนะเฟ้ย!" มายุสุมิตีแขนอีกฝ่ายเต็มแรง...แต่ก็ไม่แรงพอทำให้อีกฝ่ายสะทกสะท้านได้เลยสักนิด "พูดออกมาได้ไม่อายปากเลยนะ!"

    "ถ้าเรื่องมายุซังล่ะก็จะให้ด้านขนาดไหนก็ย่อมได้~~~" มิบุจิลากเสียงยาวชวนให้หมั่นไส้สุดๆ ก่อนที่จะก้าวขายาวๆ ของตนวิ่งลงจากดาดฟ้า...ไม่กี่นาทีต่อมาทั้งสองก็มาอยู่หน้าโรงยิมและคงเปิดประตูเข้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วถ้าไม่ติดว่า...

    "ปล่อยฉันลงได้แล้วเฟ้ย!" ...มายุสุมิที่เห็นว่าอีกฝ่ายจะอุ้มตนเข้าไปในโรงยิมที่อัดแน่ด้วยผู้คนโวยเสียก่อน

    "แต่ฉันไม่อยากปล่อยอ่ะ" มิบุจิเอ่ยตอบกลับ "ถ้าปล่อยเดี๋ยวมายุซังแว่บหายไปก่อนแบบเมื่อก่อนอีกล่ะสิ"

    "ฉันไม่หนีหรอกน่า!" มายุสุมิดิ้นพล่านๆ เพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยตนลง "ถ้าไม่ปล่อยฉันโกธรนายจริงๆ นะโว้ย!!!"

    "ว้าย! ปล่อยแล้วจ้า! อย่าโกรธฉันนะ!" มิบุจิรีบวางคนผมเงินลงพื้นทันที...แต่ถึงกระนั้นแขนทั้งสองก็ยังอุตสาห์เอื้อมกอดคออีกฝ่ายอยู่แหน่ะ "ห้ามโกรธและห้ามทิ้งฉันไปอีกนะ!"

    "เออๆ ไม่โกธรหรือและฉัน...ไม่ทิ้งนายไปอีกหรอกน่า" มายุสุมิมองคนรักที่ยามนี้อายุมากกว่าตนเกินรอบด้วยอาการเหนื่อยใจนิดๆ

    "จริงนะ?" มิบุจิมองคนผมเงินตาแป๋วราวลูกหมา

    "จริงสิ..." มายุสุมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะหันหน้าไปหามิบุจิและดึงคอเสื้ออีกฝ่ายลงมาหา...พร้อมริมฝีปากที่สัมผัสแก้มคนหน้าสวยเบาๆ "...ก็นายอุตสาห์รอฉันมานานขนาดนี้ใครจะทิ้งลงล่ะ?"

    "ม..." มิบุจิเริ่มที่จะหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉีกกว้าง "...มายุซังน่ารักที่สุดเลยยยยย!!!"

    "ไม่น่ารักเฟ้ย!" มายุสุมิเถียงกลับขณะที่มิบุจิเริ่มที่จะกอดรัดฟัดเหวี่ยงตน "อีกอย่างรีบเข้าไปด้านในได้แล้ว! ถ้าอาคาชิเชือดนายเพราะมาช้าเนี่ยไม่ช่วยนะเว้ย!"

    "จ้า!" มิบุจิขานรับอย่างร่าเริง ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในโรงยิ้มทั้งที่มืออีกฝ่ายยังกอดคอมายุสุมิอยู่ และทันทีที่มิบุจิก้าวขาเข้าไปก้าวแรกก็...

    "เรโอะ! / พี่เรโอะ!" ...ร่างของเพื่อนสนิกสองหน่อของมิบุจิก็พุ่งเข้ามาหาทันที จนมิบุจิเกือบที่จะฟาดแข้งฟาดขาใส่เพื่อนตัวเองด้วยความตกใจ "ได้เจอกับมายุสุมิ / คุณคิ้วบางหรือเปล่า!?"

    "..." มิบุจินิ่งอึ้งกับคำถามของอีกฝ่ายเล็กน้อย "...ล้มหัวฟาดพื้นมาหรือเปล่าโคทาโร่จัง? เอย์จัง? ไหงอยู่ๆ ถามแบบนี้เนี่ย?"

    ...ทั้งๆ ที่ตลอดมาทุกคนพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงมายุซังแท้ๆ ไหงวันนี้ถามกันโต้งๆ แบบนี้ล่ะ?...

    "ใช่ที่ไหนล่ะ!!!" เนบุยะกับฮายามะแยกเขี้ยวใส่คนหน้าสวย

    "พวกนี่ไม่ได้หัวฟาดพื้นมาหรอก..." ชายหนุ่มผมแดงเดินเข้ามาหา "...แค่เห็นมีไอ้นี่ทิ้งไว้ที่พื้นน่ะ เลยถามดู"

    "หื้อ?" มิบุจิมองแผ่นกระดาษในมืออีกฝ่ายอย่างงุนงง ก่อนที่จะรับกระดาษในมือคนผมแดงมาและ...คิ้วกระตุกนิดๆ เมื่ออ่านข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือสุดแสนหวัดที่ตนจำได้แม่นว่าเป็นลายมือใครเพราะตลอดมาไม่เห็นใครลายมือหวัดขนาดนี้มาก่อน! นอกจาก... "...เพราะแบบนี้ถึงถามหามายุซังกันสินะ?"

    ...ให้ตายสิ...คุณยมทูตรู้ได้ไงว่าเขาจะเจอมายุซังเนี่ย!?...

    "ก็ตามนั้น..." อาคาชิยักไหล่นิดๆ "...แล้วตกลง...เจอจิฮิโระซังไหม?"

    "เจอ..." มิบุจิตอบสั้นๆ พร้อมจับมายุสุมิที่ถูกมองข้ามมาไว้ตรงหน้าตน "...นี่ไงล่ะ"

    "...รู้สึกว่าฉันอัพเลเวลความจืดจางขึ้นมาอีกระดับแล้วสินะ? ขนาดอาคาชิยังมองข้ามเนี่ย" งานนี้มายุสุมิไม่รู้ควรดีใจหรือเสียใจดีที่ถูกมองข้ามไปเสียเฉยๆ เนี่ย

    "เฮ้ย!" เนบุยะกับฮายามะหลุดร้องออกมาพร้อมกัน "มาตอนไหนเนี่ย!?"

    "มาพร้อมกับมิบุจินั้นแหละ..." มายุสุมิกรอดตาไปมาก่อนที่จะสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาที่ตนด้วยความใคร่รู้ "...และตอนนี้ฉันไปล่ะ เดี๋ยววันหลังจะติดต่อกลับไปนะ...บาย!"

    "ว้าย! อย่าเพิ่งคิดหนีสิ!" มิบุจิคว้าตัวคนผมเงินไว้อย่างทันทวนที "แค่ถูกจ้องเองนะ! อย่าขี้อายไปหน่อยเลย!"

    "ใครมันจะหน้าหนาแบบนายเล่า!" มายุสุมิขู่ฟ่อ

    "ถ้าเป็นเรื่องมายุซัง...โดนว่าหน้าหนากว่านี้ฉันก็ยอมนะ" มิบุจิดึงตัวคนผมเงินมากอดไว้ในอ้อมแขน

    "อ่ะ! พี่เรโอะขี้โกง! ฉันก็อยากกอดคุณคิ้วบางเหมือนกันนะ!" ฮายามะทำท่าเหมือนจะพุ่งมากอด แต่ก็ถูกมิบุจิดันหน้าไว้เสียก่อน

    "ไม่ต้องเลยย่ะ!" มิบุจิแยกเขี้ยวใส่คนผมสีคาราเมล

    "ทำไมล่ะฮ๊าฟ!?" ฮายามะทำหน้าราวลูกหมาถูกทิ้ง

    "เพราะต่อให้เป็นโคทาโร่จังฉันก็หึงนะ!" มิบุจิตอบกลับ

    "นี่นาย...อายปากบ้างเถอะ!!!" มายุสุมิโวย

    "น่าๆ ตามใจเรโอะสักวันเถอะครับ..." อาคาชิส่งยิ้มให้คนผมเงิน "...เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรเกินเลยเดี๋ยวผมซื้อยาแก้ปวดไปให้"

    "เงียบไปเลย! ไอ้จูนิเบียวตาสองสี!" มายุสุมิแว๊ดใส่คนผมแดง

    "ห...หยุดก่อน! หยุดดดดดดด!!!" เสียงห้ามทัพดังขึ้นพร้อมกับมือหนักๆ แจกมะกรูดไว้บนหัวชายหนุ่มสี่กับเด็กหนุ่มหนึ่งอย่างรวดเร็ว "ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน!? อธิบายมาเดี๋ยวนี้นะ!"

    "อูย...เจ็บ..." เหล่าคนโดนเขกหัวต่างร้องโอดครวญเป็นเสียงเดียวกัน

    "ชูจังโหดร้าย" มิบุจิน้ำตาคลอเล็กน้อยยากการถูกเขกหัวเต็มแรง...แต่มือก็ไม่ปล่อยจากคนผมเงินอยู่ดี

    "โค้ชป่าเถื่อนที่สุด" มายุสุมิเบ้หน้าเล็กน้อย

    "มือหรืออะไรฟะเนี่ย? หนักชิบ" เนบุยะกุ่มหัวตนเอง

    "ถ้าสมองเสื่อมรับผิดชอบกันด้วยนะ!" ฮายามะที่ดูอาการน้อยกว่าเพื่อนตนอีกสองคนเอ่ย

    "ผมเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย? ยังไม่ทันทำอะไรเลย..." ชายหนุ่มผมแดงลูบหัวที่โนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

    "ข้อหามัวเล่นกันโดยไม่คิดอธิบายให้ชาวบ้านชาวช่องเขาเขารู้กันน่ะสิวะเกิดอะไรขึ้นกันแน่! นี่ฉันงงไปหมดแล้วนะเฟ้ย! มานั่งอธิบายกันซะดีๆ! ทั้งก๊วนเลย! และมายุสุมินายก็ห้ามหนีนะเว้ย!!! ส่วนคนอื่น...จะกลับก็กลับ! อยากอยู่ก็อยู่ไป!" นิจิมุระแยกเขี้ยวใส่ราวกับยักษาทำเอาทุกคนในโรงยิมต่างแข็งค้างกันไปหมด โดยคนโดนโวยก็หนีไม่ได้ ส่วนคนไม่โดนโวยแม้จะหนีได้แต่ด้วยความอยากรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมทีมผมเงินของตนกับอดีตราชันย์ไร้มงกุฏบวกกับอดีตกัปตันทีมปาติหาริย์จึงจำต้องรับแรงกดดันจากผู้เป็นโค้ชต่อไป "เอ้า! นายเป็นคนอธิบายแล้วกันอาคาชิ! อธิบายดีๆ ให้รู้เรื่องด้วยนะเฟ้ย!"

    "...ครับ" อาคาชิที่โดนโยนหน้าที่อธิบายนั่นทำได้เพียงจำยอมทำตามความประสงค์ของรุ่นพี่หน้าเป็ด (เอาดีๆ ไม่ได้หรือไง!? คราวก่อนก็นกคราวนี้ก็เป็ด! นี่ทำไมชอบเทียบฉันกับสัตว์ปีกจริง!? // นิจิมุระ , ไม่รู้ไม่ชี้ เราแค่อยากแกล้งนาย // s) ด้วยความที่ว่าไม่อยากได้มะกรูดอีกลูกบนหัวนั้นเอง

     

     

     

     

     

    "สรุป...มายุสมิ จิฮิโระคนนี้คือคนเดียวกับคนรักของมิบุจิที่ตายไปเมื่อยี่สิบปีก่อนสินะ?" หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจากรุ่นน้องผมแดงของตน นิจิมุระก็เอ่ยสรุปออกมาดั่งนี้

    "ตามนั้นแหละครับ..." อาคาชิเอ่ยพลางเหล่มองมายุสุมิที่ทำท่าอยากหนีออกจากสายตาประชาชีที่จ้องมาที่ตนเต็มแก่แล้ว "...และผมรับรองได้ครับว่านี้คือเรื่องจริง"

    "ฉันก็ไม่คิดว่าอย่างนายจะโกหกหรอก..." นิจิมุระถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ตกลงในชีวิตเขาจะหาความปกติในชีวิตได้ไหมเนี่ย? นอกจากมีรุ่นน้องที่ไม่ค่อยปกติแล้วยังมารับรู้เรื่องแบบนี้อีก ถึงเขาจะถามเองก็เถอะ "...แต่ฉันสงสัยอีกอย่าง...ทำไมมายุสุมิถึงไม่ไปหามิบุจิล่ะ? ถ้าถึงขนาดนึกเรื่องเมื่อชาติก่อนออกเนี่ย"

    "นั้นสิ ฉันก็สงสัย" เนบุยะก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมอีกฝ่ายมาหาเพื่อนตนเอาปานนี้

    "หรือว่าคุณคิ้วบางนึกไม่ออกว่าจะไปหาพี่เรโอะที่ไหน?" ฮายามะลองเดามั่วๆ ดู

    "แค่นั้นค้นในเน็ตก็เจอแล้วเฟ้ย!" มายุสุมิแยกเขี้ยวใส่คนผมสีคาราเมล "ส่วนที่ไม่ไปหาเรโอะเพราะฉันก็เพิ่งนึกออกเมื่อวานนี่เอง!"

    "เพิ่งนึกออกเมื่อวาน?" อาคาชิทวนเป็นเชิงถามว่า 'ไหงเพิ่งนึกออกเมื่อวานได้?'

    "คืองี้เซย์จัง...ก่อนที่มายุซังจะไปกับคุณยมทูตน่ะ คุณยมทูตบอกว่าการที่จะทำให้มายุซังจำเรื่องในชาติก่อนได้มันต้องมีเงื่อนไขบางอย่างแถมมาด้วย..." มิบุจิเริ่มทำหน้าที่คนอธิบายต่อจากคนผมเงิน "...และเงื่อนไขที่ว่าของมายุซังต้องมาถึงวัน เวลาและอายุตอนที่ตายเมื่อชาติก่อนถึงจะจำได้น่ะ"

    "ที่เมื่อวานอยู่ๆ บ้านนายโทรมาลาป่วยให้นายเพราะเรื่องนี่ด้วยสินะ?" นิจิมุระเอ่ยถามคนผมเงิน

    "ก็ไม่เชิงหรอกโค้ช..." มายุสุมิเกาหัวตนเองนิดๆ

    "จะว่าไป...ตอนนี้นายเหมือนตาแก่กินเด็กเลยนะ" เนบุยะที่เห็นมิบุจิที่กำลังจะอ้อน (?) มายุสุมิเอ่ยขึ้นมา และผลที่ได้ตามมาคือบาทางามๆ จากชายหนุ่มหน้าสวย

    "ว่าใครย่ะ!?" มิบุจิแยกเขี้ยวใส่เพื่อนผู้ปากเสียของตน

    "ก็จริงไหมเล่า! ตอนนี้นายกับมายุสุมิห่างกันตั้งยี่สิบสามสิบปีเลยนี่หว่า! มองยังไงก็โคแก่กินหญ้าอ่อนชัดๆ!" เนบุยะตอกกลับพร้อมที่ลี้ภัยไปหลบหลังคนผมสีคาราเมล

    "เฮ้ย! มาหลบอะไรหลังฉันล่ะ!? เอย์จัง!" ฮายามะเริ่มเหงื่อตกเมื่อมิบุจิเลิกอ้อนมายุสุมิแล้วจ้องมาทางตนด้วยสายตาอำมหิต

    "น่าๆ ขอหลบหน่อย! นายโดนลูกหลงนิดๆ หน่อยๆ ไม่ตายหรอกน่า!" เนบุยะเอ่ยอย่างรู้ดีว่าเพื่อนผมสีคาราเมลของตนไม่มีทางเป็นอะไรจากลูกหลงได้ง่ายๆ เพราะมีทักษะจากการหลบหลีกสับปะรส (?) บ่อย

    "แหม~~ หลบหลังโคทาโร่จังนี่แมนมากเนอะเอย์จัง..." มิบุจิแสยะยิ้มสยองออกมา ชนิดที่ว่ามายุสุมิยังเขยิบไปหลบข้างๆ อาคาชิเลย "...แบบนี่มันน่า...ส่งนี่ไปให้ยูจังดูจริงๆ!"

    "เฮ้ย! เอามาจากหนายยยยยยยย!?!" เนบุยะรีบเด้งออกมาจากหลังฮายามะทันทีเมื่อสิ่งที่อยู่ในมือเพื่อนตนตอนนี้คือ...โทรศัพท์มือถือที่มีภาพเขาตอนที่เขาโดนเพื่อนบวกเจ้านายที่ทำงานลากไปผับนั้นเอง!!! ตอนนั้นเขาจะปฏิเสธก็ไม่ได้ต้องไปนั่งตัวเกร็งโดมีผู้หญิงสาวสวยนั่งรายล้อมน่ะสิ!!! จะมาเกาะเขาอะไรนักก็ไม่รู้!!!...

    ...ถ้ายูยะเห็นได้เลือดอาบแน่เขา!!!

    "...เอย์จังแอบนอกใจยูจังเหรอ?" ฮายามะถามอย่างซื่อๆ พร้องส่งสายตาประมาณว่า 'งานนี้เดี๋ยวสวดไปให้นะ' ไปให้

    "จะบ้าเหรอ! โดนคนที่ทำงานลากไปโว้ย!!!" เนบุยะแว๊ดใส่คนผมสีคาราเมลก่อนที่จะพยายามคว้ามือถือจากมิบุจิ "ห้ามส่งให้ยูยะนะมิบุจิ! ไม่งั้นยูยะงอนฉันหนีไปหาไอ้ฮานามิยะมันแน่!!!"

    "ฉันว่านายควรกลัวว่ามิยาจิจะมาตื้บนายด้วยดีกว่าไหม?" มายุสุมิกรอตาไปมา "ว่าแต่...มิยาจิมันยอมให้น้องมันคบกับหมอนี่ด้วยเหรอ? ทั้งๆ ที่มันออกจากจะบราค่อนแท้ๆ"

    "ระวังมิยาจิซังมาได้ยินเข้านะครับ..." อาคาชิเอ่ย "...ส่วนเรื่องเอย์คิจิ...บอกได้อย่างเดียวว่าไปขอให้โคทาโร่ช่วยกล่อมมิยาจิซังเอาน่ะ"

    "...ถ้าให้เดามิยาจิคงยอมแบบไม่เต็มใจนักแหง" มายุสุมิไม่ต้องคิดให้เปลื้องสมองก็พอรู้ได้เลย

    "ฉันก็ว่างั้น..." นิจิมุระกระดึบมาร่วมวงด้วย "...แล้ว...คือว่าพวกนั่นจะเล่นกันอีกนานไหมเนี่ย?"

    "ไม่รู้สิครับ" มายุสุมิหยักไหล่

    "อยากให้พวกนั่นเลิกเล่นไหมล่ะครับ? ผมมีวิธี..." อาคาชิเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อย

    "เออๆ จะทำอะไรก็ทำเลย...ตอนนี้ใกล้เวลาปิดโรงยิมแล้วด้วย ช่วยรีบๆ ทำให้พวกมันเลิกเล่นกันซะทีฉันจะไล่ต้อนแต่ล่ะคนให้กลับบ้านกลับช่องกันเสียที" นิจิมุระเอ่ยพลางปรายตาไปยังเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายของตนที่นั่งตาแป๋วมองการล่ะเล่น (?) ของคนอายุมากกว่าอย่างสนุกสนาน

    "ครับๆ งั้น..."อาคาชิคว้าแขนเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งชม (?) อยู่คนหนึ่งขึ้นมาและ... เหวี้ยงตัวอีกฝ่ายใส่ตัวเด็กหนุ่มผมเงินทันที! "...รับดีๆ นะครับ จิฮิโระซัง"

    "เหวอ!" เด็กหนุ่มอยู่ๆ ถูกจับเหวี่ยงใส่มายุสุมิถึงกับหลุดร้องออกมา เช่นเดียวมายุสุมิที่กลายเป็นเบาะจำเป็น ก่อนที่สุดท้ายทั้งคู่ก็ลงไปกองกับพื้นโดยที่คนที่ถูกอาคาชิโยนมานั้นคล่อมตัวคนผมเงินอยู่

    "อูย...เจ็บ..." มายุสุมิที่ถูกชนจนล้มบ่นออกมาเบาๆ

    "อูย โยนกันมาได้...นายไม่เป็นนะม..." เด็กหนุ่มที่กำลังจะเอ่ยถามคนผมเงินถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อได้รับรังสีอาฆาตอย่างไม่มีกั๊ก และไม่กี่วินาทีต่อมาเด็กหนุ่มก็ถูกผลักออกมาพร้อมกับที่คนผมเงินถูกคนคนหนึ่งดึงไปกอด แถมส่งเสียงขู่ฟ่อแฟ่ใส่เด็กหนุ่มอีกต่างหาก

    "...นี่คือวิธีที่ว่าเหรอ?" นิจิมุระมองลูกศิษย์ตนที่ถูกมิบุจิผลักให้ออกห่างจากมายุสุมิด้วยอาการเหงื่อตกนิดๆ ...ถึงมันจะยังมีความเกรงใจกันบ้างถึงได้ไม่ถึงขนาดถีบคนอื่นก็ตาม แต่รังสีความ 'หวง' นี่มันอะไรกันวะ?!

    ...ว่าแต่แค่นี้ถึงกับเลิกทะเลาะกับเนบุยะแล้วพุ่งมานี่เลยเหรอ!? นี่นายหึง หวง ห่วงมายุสุมิขนาดไหนกันเนี่ย!?...

    "ถูกครับ ได้ผลอย่างรวดเร็วและเห็นผลชัดที่สุดครับ" อาคาชิเอ่ยหน้าตาย

    "ได้ผลและชัดเจนจริงๆ ..." นิจิมุระคุมขมับ "...เฮ้อ ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้...กลับบ้านใครบ้านมันกันเถอะ! ฉันให้เวลาสามนาทีรีบเก็บข้าวของกลับบ้านกันเดี๋ยวนี้!!! ใครใช้เวลาเกินพรุ่งนี้ซ้อมเพิ่มสามเท่า!!! ส่วนมายุสุมิ...ให้ฮายามะมันไปเก็บให้แทนแล้วกัน! นายอยู่นี่กันมิบุจิมันยันแตกเถอะ! ฉันยังไม่อยากเห็นฉากหนังสยองขวัญนะเฟ้ย!!"

    "ครับ!!!" เด็กหนุ่มทั้งหลายบวกชายหนุ่มผมสีคาราเมลขานรับก่อนที่จะวิ่งไปที่ห้องเปลี่ยนชุดด้วยความเร็วแสง...และในสามนาทีต่อมานักกีฬาทีมบาสราคุซันทั้งหลายบวกชายหนุ่มอีกห้าคนก็พากันเดินออกจากโรงยิมเพื่อกลับที่พักของตนตามปกติทุกวัน โดยที่พวกอาคาชิก็ไปพักตามโรงแรมที่จองไว้ ส่วนมายุสุมิจำต้องเอามิบุจิซึ่งเกาะตนไม่ปล่อยพวงกลับบ้านไปด้วย...

    ...จะบอกแม่ยังไงดีวะเนี่ย?...

    เด็กหนุ่มผมเงินคิดในใจอย่างกลุ้มๆ ขณะที่เดินกลับบ้านพร้อมกับชายหนุ่มผมดำที่กอดที่อ้อนคนผมเงินราวเด็กๆ นั่นเอง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    End

     

     

     

     

     

     อ๊ะ! แถมตอนมายุยังจำเรื่องในอดีตไม่ได้ด้วยหน่อยนึงดีกว่าเนอะ!

     

     

     

     

     

    ...หิมะ...

    ...หิมะเต็มไปหมดเลย...

    ...ที่นี่ที่ไหนกัน?...

    ...แล้วนั้นใครกัน?...

    ...'สัญญาแล้วนะ...มายุซัง'...

    กริ้งงงงงงงง!!!!!!

    "!!!" ดวงตาสีเงินเบิกโพรงขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกวาดตาไปรอบๆ จนไปหยุดที่นาฬิกาปลุกที่ส่งเสียงดังไม่หยุด จากนั้นมือหนาก็ค่อยๆ เอื้อมไปกดปิดเสียงนาฬิกาพร้อมกับลุกขึ้นนั่งด้วยสภาพที่ทั้งกายชโลมไปด้วยเหงื่อ "ฝันแบบนี้อีกแล้ว...มันอะไรกันวะเนี่ย?"

    ...ทั้งที่เมื่อก่อนเลิกฝันไปนานแล้วแท้ๆ ไหงช่วงเดือนนี้อยู่ๆ ฝันแบบนี่อีกเนี่ย? แถมฝันแทบทุกวันอีก...

    เด็กหนุ่มผมสีเงินถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงความฝันของตนเมื่อครู่...ที่เห็นเพียงหิมะที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสายกับเงาของคนคนหนึ่งที่เขาไม่เห็นหน้าเอ่ยคำว่า 'สัญญาแล้วนะ...มายุซัง' ตลอดทุกครั้งที่ฝันถึง และแน่นอนว่ามายุซังที่คนในฝันนั้นเอ่ยถึงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากตัวเขาเอง...

    ...แต่จะว่าไปก็แปลกแฮะ ในฝันนั้นทำไมเรียกเขาว่า 'มายุซัง' ล่ะ? ทั้งๆ ที่ปกติทั่วไปทุกคนต่างเรียกเขาว่า 'มายุสุมิ' แท้ๆ แถมเขากลับรู้สึกคุ้นกับคำนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนอีกต่างหาก...

    ...คุ้นเคยและรู้สึกโหยหาเหลือเกิน...

    ก๊อกๆ...

    เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นมาพอดีทำให้เด็กหนุ่มผมเงินหลุดออกจากภวังค์ และค่อยๆ หันไปมองที่ประตูห้อง

    "พี่จิฮิโระตื่นหรือยังค่ะ? พี่จะไปซ้อมตอนเช้าสายแล้วนะ..." เสียงหวานๆ ของผู้หญิงดังขึ้นมาจากหลังประตู

    "ถ้าไปสายอย่าโวยพี่กับจิโยมิล่ะ!" เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นต่อจากเสียงแรก

    "หื้อ?" มายุสุมิ จิฮิโระที่โดนพี่ชายกับน้องสาวตนทักเรื่องเวลาหันไปมองนาฬิกาก่อนที่จะเบิกตากว้าง และรีบวิ่งออกจากห้องตนเองไปอาบน้ำแต่งตัวทันที "ชิบหาย! จะสายแล้วนี่หว่า!? ตายๆๆๆๆ ไอ้โค้ชโหดบรรลัยเอาฉันตายแน่!!!"

    "...ดูท่าพี่จิฮิโระเขาจะเพิ่งรู้ตัวว่าสายแล้วนะค่ะ พี่จิโทเสะ" เด็กหญิงวัยประถมมองพี่ชายคนรองของตนที่วิ่งพรวกพรากออกมาแบบไม่ทันสังเกตว่าพวกตนยังยืนอยู่ตรงนี้สักนิด ผมแกละสีดำสนิกพริ้วไว้ตามการหันของเจ้าตัว ดวงตาสีเงินฉายแววขบขัน

    "นั้นสินะ แต่แปลกแฮะ...รู้สึกช่วงมานี้จิฮิโระตื่นสายบ่อยจัง?" ชายหนุ่มร่างสูงที่ชื่อหญิงเกาหัวสีดำสนิกของตนนิดๆ ดวงตาสีเดียวกันมองทางที่น้องชายตนวิ่งไปอย่างระอา ก่อนที่จะพาน้องสาวตนไปรอที่หน้าบ้านเพราะเดาได้ว่าน้องชายตนคงไม่คิดกินข้าวเช้าแล้วล่ะงานนี้

    ห้านาทีต่อมาก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคาดเมื่อเด็กหนุ่มผมเงินในชุดสีเทาดำวิ่งออกมา

    "เดี๋ยวจิฮิโระ!..." จิโทเสะจับคอเสื้อของคนผมเงินที่เกือบวิ่งเลยตนกับน้องสาวไปอย่างทันทวนที "...ลืมแล้วเหรอว่าช่วงนี้แม่บอกให้เดินไปกับฉันน่ะ?"

    "ไม่ลืม! แต่งานนี้ไม่ไปเองก็ไปสายอ่ะดิ! พี่น่ะไปส่งจิโยมิที่โรงเรียนคนเดียวแล้วกันวันนี้!" มายุสุมิเอ่ย...ใช่ว่าเขาจำไม่ได้ว่าเขาโดนแม่สั่งให้ไปพร้อมกับพี่ซะที่ไหนล่ะ!...

    ...บางทีเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมแม่เขาห่วงและหวงเขามากกว่าจิโยมิที่เป็นเด็กผู้หญิงอีกเนี่ย!? จะมาห่วงผู้ชายตัวใหญ่ๆ แถมจืดแสนจืดจนโดนมองข้ามทำไม!? 

    ...เฮ้อ...ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม...

    "ได้ที่ไหนฟะ! ถ้าแม่รู้เข้าฉันก็อดข้าวเย็นดิ!" จิโทเสะกรอดตาไปมาก่อนที่จะอุ้มตัวจิโยมิขึ้นพร้อมกับจับมายุสุมิขึ้นบ่าราวกำลังแบกกระสอบอยู่ "ถ้ากลัวสายนักเดี๋ยวฉันไปส่งนายก่อนก็ได้!"

    "แว๊ดดดด! ปล่อยผมลงเลยนะพี่! ผมไปเองได้!!!" มายุสุมิดิ้นพล่านๆ

    "เออ รู้ว่าไปได้! แต่แม่สั่งให้ฉันไปส่งนายนี่หว่า! บวกกับกลัวนายมีผู้ชายมาจีบด้วย ยิ่งน่ารักๆ อยู่" จิโทเสะเอ่ยด้วยท่าทางทะเล้นพร้อมกับที่ขาเริ่มออกวิ่ง

    "ไม่น่ารักโว้ย!" มายุสุมิปฏิเสธเสียงดัง

    "อย่าซึนหน่อยเลยน่า..." จิโมเสะแหย่น้องชายตนเล่น...ยิ่งโวยยิ่งน่าแกล้งและยิ่งน่ารัก! แบบนี้ไงล่ะที่เขายินดีรับคำสั่งจากแม่ด้วยความเต็มใจเนี่ย! ถ้าเกิดมีใครได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของจิฮิโระล่ะก็ตัวผู้มาตรึมแน่!

    ...ดังนั่นกันไว้ดีกว่าแก้...ที่จริงถ้าผู้ชายดีๆ มาหาก็แล้วไปหรอก แต่ถ้าเจอพวก×××ขึ้นมาล่ะก็ขำไม่ออกแน่...

    "ไม่ซึนสักหน่อย!" มายุสุมิเถียง "โว้ย! ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมทั้งพี่ทั้งแม่ถึงไม่ยอมให้ผมไปโรงเรียนเองช่วงนี้เนี่ย!?"

    ...เมื่อก่อนยังไม่ยักเข้มแบบนี้เลย! แค่ไปไหนมาไหนให้บอกและแค่ถ้ากลับค่ำๆ ก็ให้โทรให้พี่ไปรับเอง!...

    "ช่วยไม่ได้ดันหน้าเหมือนพี่จีเองนิ" จิโทเสะเอ่ย

    "แล้วพี่จีนี่ใครค่ะ?" จิโยมิที่ถูกอุ้มอยู่เอ่ยถามอย่างน่ารักสมวัย

    "ลูกพี่ลูกน้องของบ้านเราเอง รายนั้นชื่อจิฮิโระเหมือนจิฮิโระเป๊ะเลย แถมวันเกิดก็วันเดียวกัน นิสัยเหมือนกัน แถมหน้าตายังเหมือนจิฮิโรยังกับฝาแฝดอีกนะ!" จิโทเสะตอบน้องสาวตน "แต่น่าเสียดายที่พี่จีเขาเสียไปตอนที่พี่เพิ่งเจ็ดขวบเอง ไม่งั้นจิฮิโระกับพี่จีคงสนิกกันน่าดู"

    "เสียไป? เพราะอะไรเหรอ? ป่วยตายหรือไง? หรือว่าแก่ตาย?" มายุสุมิเอ่ยถามต่ออีกคน สีหน้าเริ่มแสดงความสนใจออกมา

    "เปล่า ตอนนั้นพี่จีเขาแข็งแรงดี อีกอย่างพี่จีตอนนั้นเพิ่งสิบเจ็ดสิบแปดเท่านายเองไม่มีทางแก่ตายหรอกน่า..." จิโทเสะเอ่ยขณะโดดข้ามราวกันเพื่อวิ่งไปทางลัด "...พี่จีเขาถูกฆ่าน่ะ โดยโจรปล้นธนาคารระหว่างเดินกลับบ้าน"

    "รายนั้นซวยชิบ" มายุสุมิกรอตาไปมา...เขาไม่คิดหรอกนะว่าเมืองตั้งใหญ่เนี่ยจะบังเอิญโชคร้ายไปเจอโจรปล้นธนาคารได้ถ้าไม่ซวยจริงๆ น่ะ "และตอนนั้น...เหตุเกิดตอนช่วงๆ นี่สินะ?"

    ...ถ้าใช่แสดงว่าแม่แค่กันประวัติศาสตร์ซ้ำรอยสินะ?...ว่าแต่ไหงเขาถึงเหมือนญาติตัวเองที่ตายไปแล้วขนาดนั้นฟะ!? เหมือนจนน่าแปลกเลย!...

    "ถูกเผง ถึงพี่จำวันไม่ได้แต่พี่จำได้ดีว่าเป็นช่วงแถวๆ คริสมาสนี่แหละ..." จิโตเสะเริ่มชะลอความเร็วในการวิ่งลง "...แต่พูดถึงตอนนั้นแล้ว...สงสารแฟนพี่จีสุดๆ ทั้งอยู่ๆ ได้ข่าวว่าพี่จีหายตัวไปทั้งโดนโจรปล้นธนาคารเล่นงานทั้งเจอศพพี่จีระหว่างที่วิ่งหนีคนร้ายนั่นอีก เล่นซะแฟนพี่จีคนนั้นเสียขวัญจนแทบบ้าเลยมั้ง เห็นร้องไห้ไม่หยุดเลย"

    "...น่าสงสารจังนะค่ะนั้น" จิโยมิรู้สึกสงสารคนที่ว่านั้นจริงๆ "แล้วแฟนพี่จีคนนั้นหลังจากนั้นเป็นไงค่ะ?"

    "หลังจากนั้นก็ทำใจได้อ่ะนะ..." จิโทเสะโดดดึ๋งข้ามพุ่มไม้ "...จะว่าไป...ตอนนั้นแฟนพี่จีเขาพูดอะไรแปลกๆ ออกมาในงานศพพี่จีด้วยแหละ"

    "พูดแปลกๆ?" มายุสุมิกับจิโยมิถามด้วยน้ำเสียงงุนงงพร้อมกัน

    "อื้อ ตอนนั้นฉันอยู่ด้านหลังพี่คนนั้นพอดีเลยได้ยินน่ะ...พูดว่า 'สัญญากันแล้วนะ...มายุซัง' น่ะ..." คำตอบของจิโทเสะทำให้มายุสุมิถึงกับแข็งทื่อไปชั่วขณะ "...ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไรเนอะ"

    "มายุซัง...งั้นเหรอ?" มายุสุมิพึมพำออกมาเบาๆ ...เบามากเสียจนขนาดจิโทเสะยังไม่ได้ยินเลย...

    ...ทำไม...ถึงเรียกชื่อเหมือนในฝันนั้นเลยล่ะ?...

    เด็กหนุ่มผมเงินคิดในใจอย่างสงสัยเป็นอย่างมาก แต่ก็ได้เพียงเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจเนื่องจากรู้ดีว่าถ้าถามพี่ชายตนก็คงไม่ได้คำตอบหรอก เพราะถึงบอกไปพี่เขาคงคิดว่าเขาแค่ดูอ่านไลท์โนเวลมากไปจนเก็บไปฝันแหง...

    ...ดังนั้นอยู่เงียบๆ เป็นความคิดที่ดีสุด,..

    "ไม่รู้สิค่ะ...แล้วตอนนี้แฟนพี่จีสบายดีไหมค่ะ? จากที่ฟังพี่จิโทเสะเล่าเนี่ยมันฟังดูน่ากลัวพิกล" จิโยมิถามต่อ

    "กลัวว่าพี่คนนั้นจะตายตามพี่จีหรือไง? ใจดีจังนะจิโยมิ..." จิโทเสะหัวเราะขึ้นเบาๆ "...ไม่ต้องห่วง รายนั้นสบายดีครบสามสิบสอง งานการก็เป็นถึงเลขาของบริษัทยักษ์ใหญ่ ความสามารถก็ดีจนบางบริษัทอยากแย่งมาทำงานกับตนแทนเลย"

    "เหรอ...ปานี้คงมีคนตามจีบกันเยอะน่าดูเนอะ" มายุสุมิเอ่ย...แต่ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่เจ้าตัวรู้สึกว่าเสียงตัวเองดูห้วนๆ ชอบกล

    "มีคนจีบน่ะใช่ แต่รายนั้นไม่ยอมคบกับใครเลย...ดูท่าจะยังรักพี่จีอยู่ล่ะนะ..." จิโทเสะหยุดวิ่งและวางตัวน้องชายผมเงินของตนลงกับพื้น "...เอ้า ถึงแล้ว! ถ้าคราวนี้เข้าไปช้าเองห้ามโทษพี่นะ!"

    "...คุยกันแป๊บเดียวไหงถึงแล้วเนี่ย!?" มายุสุมิคุมขมับเมื่อเห็นว่าตอนนี้ตนอยู่หน้าโรงยิมภายในโรงเรียนมัธยมปลายราคุซันเรียบร้อยแล้ว...แค่คุยเพลินกับพี่นิดเดียวก็มาถึงแล้วเหรอ!? ว่าแต่พี่ทั้งวิ่งทั้งแบกเขากับจิโยมิมาถึงนี่ได้ไงเนี่ย!?

    "ใช้ทางลัดเอาน่ะ" จิโทเสะหัวเราะเบาๆ พลางขยี้เรือนผมสีเงินของอีกฝ่ายเบาๆ "งั้นพี่ไปส่งจิโยมิต่อก่อนนะจิฮิโระ แล้วเจอกันตอนเย็นล่ะ!"

    "ครับๆ แล้วเจอกันตอนเย็นครับ..." มายุสุมิเอ่ยขณะที่...พี่ชายตนโดดข้ามกำแพงโรงเรียนออกไปแล้ว "...บางทีพี่น่าจะไปแข่งวิ่งวิบากดูนะเนี่ย...โดดข้ามได้ไงกำแพงสูงขนาดนี้ แถมอุ้มจิโยมิอยู่อีกต่างหาก"

    เด็กหนุ่มผมเงินส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจกับพี่ตนนิดๆ ก่อนที่จะปัดความสนใจเรื่องพี่ตนกับเรื่องแปลกๆ ที่พี่ตนเล่าเมื่อครู่ไปเสียและทำการแอบเข้าไปในโรงยิมอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้โค้ชสุดโหดรู้ว่าตนมาอย่างเส้นยาแดงขนาดไหน...ซึ่งมันก็ได้ผลตามเดิมเนื่องจากความจืดจางช่วยทำให้เขาโดนโค้ชมองข้ามนั้นเอง...

    ...ที่ขอบคุณความจืดจางของตัวเองก็มีแต่เรื่องนี้แหละ...

    มายุสุมิคิดอย่างขำๆ พร้อมกับเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องชมรมอย่างรวดเร็วและออกมารวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ที่มายืนออดกันอยู่น่อหน้าผู้เป็นโค้ชอย่างแนบเนียน

    "เอ้า! ทุกคน...วันนี้ซ้อมตอนเช้าเราจะให้แข่งกันเองนะ! ฉันจะจัดเป็นคนจัดกลุ่มคละกันตั้งแต่ทีมหนึ่งยันทีมสามเอง! เช้านี้ได้กี่คู่ก็เอาแค่นั้นแล้วค่อยไปต่อตอนบเย็นเอ้า!" เสียงประกาศดังลั่นออกมาจากปากผู้เป็นโค้ชอย่างนิจิมุระ ชูโชนั้นเล่นทำเอาเหล่านักกีฬาทีมบาสทุกคนอ้าปากค้างพร้อมกับ...

    "ให้แข่งกันแต่เช้าเลยเหรอ!?" ...ตะโกนออกมากันเสียงดังลั่นอย่างพร้อมเพรียง

    "ใช่! มีปัญาหาอะไรไหม!?" นิจิมุระแยกเขี้ยวใส่เหล่าลูกศิษย์

    "ไม่มีครับ..." เหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลายที่ไม่อยากลองดีกับโค้ชสุดโหดของตนตอบรับอย่างจำยอมและแยกย้ายไปจับกลุ่มตามที่โค้ชตนสั่ง

    "เอ้า! รวมตัวกันเสร็จแล้วใช่ไหม!? งั้นมาเริ่มกันเลย!" นิจิมุระเอ่ยแบบพูดเองเออเองพร้อมมองแผ่นชาตร์ในมือตน "งั้น...กลุ่ม 6 กับกลุ่ม 8 เริ่มก่อนเป็นนัดแรก!"

    "เดี๋ยวครับโค้ช! กลุ่มผมหายไปคนหนึ่งครับ!" เด็กหนุ่มที่อยู่ทีมหกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา

    "...หายไปไหนคนหนึ่งห๊า!?" นิจิมุระเอ่ยอย่างยัวะนิดๆ "คงไม่ได้โดดหรือมาสายหรอกนะ!?"

    "...ไม่ได้หายสักหน่อยโค้ช ผมอยู่นี่" มายุสุมิที่อยู่รวมกับกลุ่มหกตั้งนานแล้วแต่ไม่มีใครเห็นถอนหายใจออกมาและโบกมือหน้าผู้เป็นโค้ช

    "เฮ้ย! มาตอนไหนวะ!?" ทุกคนในโรงยิมตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

    "ตั้งแต่แรกแล้ว...แต่ไม่มีใครเห็นเอง..." มายุสุมิเอ่ยหน้าตาย "...แล้วจะเริ่มแข่งกันเลยไหมครับโค้ช?"

    "เออๆ เริ่มเลยก็ได้..." นิจิมุระที่ไม่ตกใจเท่าคนอื่นกรอดตาไปมา "...ลงสนามไปเลยไอ้คุโรโกะเบอร์สองเอ้ย!"

    "คุโรโกะเบอร์สองนี่มันอะไรกันครับเนี่ย?" มายุสุมิถามด้วยอาการหงุดหงิดเล็กน้อย...ทำไมพอโดนพูดเหมือนเอาไปเทียบกับคนชื่อนี่แล้วมันปึ๊ดจังหว่า?

    "อะไรก็ช่างมันเถอะ...ตอนนี้ลงสนามไปเลย! มันเสียเวลานะเฟ้ย!" นิจิมุระแยกเขี้ยวใส่ ทำให้เด็กหนุ่มผมเงินรีบวิ่งลงสนามไปทันที

    การแข่งของกลุ่มหกกับกลุ่มแปดนั้นใน Q1 กลุ่มแปดก็ทำแต้มได้รวดทีเดียวเป็นสิบในขณะที่กลุ่มหกของมายุสุมิไม่ได้สักแต้มเลย...ที่จริงมันก็เป็นไปตามความคาดหมายของใครหลายๆ คนอยู่แล้ว ในเมื่อกลุ่มแปดนั้นล้วนเป็นทีมหนึ่ง ส่วนกลุ่มแปดนั้นเป็นทีมสองกับทีมสามซึ่งอ่อนกว่าอยู่แล้ว...

    ...สงสัยจะแพ้อีกตามเคย...

    มายุสุมิคิดในใจขณะที่เดินลงสนามไปเพื่อเริ่ม Q2 เนื่องจากตลอดที่ตนซ้อมแข่งล้วนจะแพ้ตลอดหรือไม่ก็โดนคนที่จับกลุ่มกับตนเหยียบเอาเพราะไม่ทันเห็นเขานั้นเอง

    การแข่งในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อกี้เท่าไหร่นัก กลุ่มหกก็ยังคงไม่ได้แต้มเลยสักนิดจนคนส่วนใหญ่ในกลุ่มหกเริ่มตัดใจยอมแพ้...แต่มายุสุมิกลับยังรู้สึกว่ายังแพ้ตอนนี้ไม่ได้ ถึงเจ้าตัวไม่รู้ทำไมรู้สึกแบบนี้ทั้งๆ ตอนปีหนึ่งปีสองต่อให้แพ้เขาก็ไม่สนแท้ๆ ...

    ...เอาเถอะ...ลองสักตั้งจะเป็นไรไป...

    มายุสุมิคิดในใจขณะมองเพื่อนร่วมกลุ่มกับตนกำลังมองซ้ายมองขวาหาทางที่จะส่งลูกให้คนอื่นไม่ได้อยู่ และในทันใดนั้น...

    'ว้าว! ส่งแบบนี้เจ๋งไปเลย! มายุซัง! ยังกับลูกเลี้ยวได้เองแหน่ะ! นี่น่ะเหรอที่ซิกแมนแห่งทีมปาติหาริย์ใช้น่ะ?!'

    ...เสียงที่ได้ยินตลอดในความฝันนั้นดังขึ้น ทำให้คนผมเงินสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมมองซ้ายมองขวา...แต่ก็ไม่เจอต้นเสียง จะเห็นก็แต่เพื่อนตนตัดสินใจโยนลูกออกนอกสนามนั้นเองและทันใดนั้นมายุสุมิก็นึกถึงเสียงที่ลอยเข้าหูเมื่อครู่ จึงวิ่งเข้าไป...ปัดลูกบาสที่กำลังจะออกนอกสนามนั้นไปยังเพื่อนร่วมกลุ่มคนหนึ่งของตนที่เป็นตำแหน่ง SG

    "เหวอ!" เด็กหนุ่มที่ได้รับลูกบาสที่ลอยมาจากไหนไม่รู้ออกอาการงงเล็กน้อย ก่อนที่จะทำการชู้ตลูกลงห่วงอย่างสวยงาม...เป็นสามแต้มแรกของกลุ่มหก

    และการกระทำนี่ของมายุสุมิทำให้ทั้งโรงยิมเต็มไปด้วยเสียงฮือฮาอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นกัน เพราะเมื่อครู่มันราวกับว่าลูกบาสมันหักมุมกลับมาเองเลย

    "บ้าน่า..." นิจิมุระขยี้ตาตนเอง "...หมอนั่น...ใช้มิสไดเรกชั่นได้งั้นเหรอ!?"

    "อะไรนะโค้ช! มิชไดอะไรนะ!?" เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ นิจิมุระเอ่ยถาม

    "มิสไดเรกชั่น! เอาง่ายๆ คือเป็นแบบเดียวกับที่ใช้เล่นกลของหายแล้วกัน!" นิจิมุระตอบลวกๆ พลางมองการแข่งตรงหน้าไป...

    ...การแข่งดำเนินไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย...กลุ่มหกกับกลุ่มแปดนั่นก็ได้แต้มเท่ากันจนนิจิมุระที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินว่าเสมอกัน และมันทำให้คนในโรงยิมแตกตื่นกันพอดู

    "มายุสุมิ...มานี่สิ..." เมื่อการแข่งสิ้นสุดลงนิจิมุระก็เอ่ยเรียกเด็กหามผมเงิน

    "ครับ..." มายุสุมิเดินเอื่อยเข้ไปหาผู้เป็นโค้ช "...มีอะไรเหรอครับ?"

    "นี่นาย...เอาท่านั้นมาจากไหนเหรอ?" นิจิมุระถามออกมาตรงๆ ...ว่าตามจริงเขารู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่คนตรงหน้าสามารถใช้ท่าเดียวกับรุ่นน้องหัวฟ้าของตนได้ ทั้งๆ ที่ต่อให้พยายามเลียนแบบก็ไม่มีทางทำตามได้ง่ายๆ แท้ๆ

    "ผม...ไม่รู้ครับ..." มายุสุมิรู้ว่าถ้าเกิดตอบว่าได้ยินเสียงแปลกๆ เลยลองทำตามดูเฉยๆ ล่ะก็โดนจับไปที่ห้องพยาบาลแหง "...เออ...จะว่าไปโค้ช...รู้จักซิกแมนของทีมปาฏิหาริย์อะไรเทือกๆ นี้ไหมครับ? เหมือนได้ยินใครพูดคำนี้ออกมาแววๆ น่ะครับ"

    "ซิกแมน?" นิจิมุระเลิกคิ้วเล็กน้อย "นี่นายไม่รู้จักแม้แต่ทีมปาฏิหาริย์เหรอเนี่ย? ให้ตายสิ...แล้วแบบนี้นายกลับใช้ท่าเดียวกับคุโรโกะมันได้เนี่ยนะ? หรือว่าเป็นคุโรโกะเบอร์สองจริงๆ ล่ะเนี่ย?"

    "...ช่วยกรุณาอย่าเรียกว่าคุโรโกะเบอร์สองเลยครับ มันรู้สึกจิ๊ดยังไงไม่รู้" มายุสุมิเอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้

    "ก็ได้ๆ ...แต่ปากนายกับหมอนั้นก็พอๆ กันนั้นแหละ..." นิจิมุระเกาหัวตัวเองนิดๆ "...ซิกแมนของทีมปาฏิหาริย์คือรุ่นน้องฉันเอง ชื่อคุโรโกะ เท็ตสึยะ หมอนั่นเป็นพวกจืดจางเหมือนนายนั้นแหละ ส่วนการเล่นบาสของหมอนั่น...ก็คล้ายๆ กับนายนั้นแหละ แต่คุโรโกะในสนามจืดแถมห่วยกว่านายเยอะ"

    ...ถ้าจืดกว่านี่ก็ผีแล้วมั้ง ขนาดเขาจืดแค่นั้นยังเคยโดนเหยียบเลย...

    มายุสุมิคิดในใจขณะที่นิจิมุระเริ่มถามเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ตนทำเมื่อครู่ไปเรื่อยๆ เสียจนพอใจแล้วก็ค่อยดำเนินการแข่งขันของกลุ่มต่อไปต่อ โดยปล่อยให้มายุสุมิที่โดนกระหน่ำคำถามใส่นั่งกลุ้มอยู่คนเดียว...

    ...ตกลงเมื่อกี้เขาใช้ทักษะของซิกแมนได้ไง? แล้วยังเสียงปริศนาที่ได้ยินในความฝันนั้นอีก...ตกลงมันอะไรกันแน่นะ?...

     

     

     

     

     

    "เฮ้! ไหงทำหน้าตายแบบนั้นล่ะมายุสุมิ!?" เสียงถามอย่างร่าเริงดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมทองคนหนึ่ง ดวงตาเรียวเล็กที่ทำให้ดูเหมือนเจ้าตัวยิ้มตลอดเวลามองที่คนผมเงินซึ่งทำหน้านิ่งพลางเปิดไลท์โนวเวลเล่มโปรดตรงที่นั่งของตนเองที่อยู่ด้านหลังสุดทางด้านประตู

    "หนวกหูน่าจิ่ว..." มายุสุมิเอ่ยพลางมองเพื่อนที่หน้ากับสีผมไปคนล่ะเรื่องเลย...หน้าจีนแท้ๆ กลับผมทองซะงั้น!...

    ...ถึงรู้ว่าพ่อมันเป็นคนจีนและแม่มัน...เออ เรียกแม่มันดีหรือเปล่าหว่า? ก็แม่มันเป็นผู้ชายแต่ดันกินยาแปลกๆ เข้าไปจนท้องและคลอดไอ้นี่ออกมาเนี่ยก็ดันผมสีทองหม่น มันเลยออกมาเป็นงี้เนี่ย

    ...แต่จะว่าไป...ตอนแม่มันเจอเขาแต่ล่ะทีถึงทำหน้าแปลกๆ หว่า แถมพูดอีกว่า 'เหมือนไอ้บ้านั้นชะมัด' อีกต่างหาก

    ...เอาเถอะ ช่างเรื่องแม่มันก่อน...ตอนนี้หาทางไม่ให้มันป่วนเวลาอ่านหนังสือของเขาดีกว่า

    "ไหงพูดงั้นล่ะมายุสุมิ? อย่าเย็นชานักดิ..." จิ่วเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

    "ที่มากวนเนี่ยจะขออะไรล่ะ? คงไม่ได้สอบตกวิชาอะไรและจะให้ฉันช่วยติวอีกนะ?" มายุสุมิเอ่ยถาม...ก็มันมาป่วนเขาแต่ล่ะทีถ้ายังลีลาไม่ลากเขาไปนู้นไปนี่ก็แสดงว่ามันต้องขออะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องเรียนแน่

    "แหม รู้ทันจริง คือข้อสอบวิชาฟิสิกส์ที่จะสอบในสัปดาห์หน้าน่ะ ฉันอยากให้นายยอมให้ฉันลอกข..." จิ่วเอ่ยเสียงร่า แต่แล้วไม่ทันพูดจบประโยคก็มีฝ่ามือหนึ่งสับลงมากลางหัวทองๆ ของจิ่วทันที "...โอ้ย! เจ็บอ่ะ!"

    "ก็ตั้งใจให้เจ็บสิย่ะ! นี่เธอคิดจะขอลอกเพื่อนในการสอบที่ใกล้จะถึงนี่หน้าด้านๆ เลยเหรอ!? หลิวจิ่วเหว่ย!" หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนด้านหลังจิ่วเมื่อไหร่ไม่ทราบแว๊ดใส่เต็มเสียง "แทนที่จะเอาเวลามาขอไร้สาระแบบนี้ไปขอให้เพื่อนเธอติวให้ดีกว่าไหม!?"

    "โอ้ย! อย่างมายุสุมิมันไม่สอนผมหรอกครับอาจารย์!" จิ่วทำหน้ามุ่ย

    "..." มายุสึมิค้อนใส่คนผมทอง...

    ...นี่กะเอาเขาไปร่วมหัวจมท้ายด้วยอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย!? นี่กูคิดผิดหรือเปล่าเนี่ยที่ยอมเป็นเพื่อนกะมันเนี่ย!?...

    "แน่ใจ?" อาจารย์สาวเหล่มองคนผมเงิน "ถ้างั้น...มายุสุมิคุง เธอช่วยสอนเพื่อเธอทีนะ ห้ามปฏิเสธด้วยเข้าใจไหม?"

    "...ครับ" มายุสุมิตอบรับไปอย่างจำยอมปัญหาจะได้จบๆ ไปเสียที

    "ดีมาก..." อาจารย์สาวเมื่อได้รับคำตอบที่น่าพอใจก็หันกลับไปมองที่จิ่ว "...เอา...เพื่อนเธอตอบรับแล้ว ดังนั้นคราวนี้เธอไม่มีข้ออ้างที่จะคิดลอกข้อสอบชาวบ้านแล้วนะและถ้าเห็นเธอแอบลอกข้อสอบใครล่ะก็ครูปรับตกทันทีเลยนะ"

    "...โหดร้ายที่สุด" จิ่วทำหน้าเหมือนกำลังจะตาย

    "ไม่ต้องบ่นเลย...อ๋อ และมายุสุมิคุง หลิวจิ่วเหว่ยด้วย เดี๋ยวครูจะไปขออนุญาตนิจิมุระซังให้ ดังนั้นตอนเธอใช้เวลาที่มีสอนหลิวจิ่วเหว่ยไปแล้วกันนะ" อาจารย์สาวหัวเราะหึๆ ก่อนทีจะเดินจากไป

    "...เป็นครูที่โหดชะมัด" จิ่วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ

    "ที่จริงคนที่ควรบ่นมันฉันต่างหาก...ที่ต้องมาสอนคนที่หลับมันวิชานี่ทุกรอบอย่างนาย" มายุสุมิเอ่ยอย่างปลงตก

    "น่าๆ ช่วยๆ กัน...ยังไงก็ช่วยให้ฉันผ่านครึ่งก็พอ" จิ่วเงยหน้าขึ้นพร้อมส่งสีหน้าน่าสงสารให้

    "ต่อให้ฉันไม่อยากช่วยนาย นายก็จะตื้อฉันจนกว่าจะได้ตามต้องการนั้นแหละ" มายุสุมิถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

    "เห็นพูดแบบนี้ตั้งแต่ปีหนึ่งยันตอนนี้ปีสามแล้วนะมายุสุมิ...ไม่คิดลดความซึนลงบ้างดิ?" จิ่วถามด้วนน้ำเสียงกวนโอ๊ยสุดแสน

    "ว่าใครซึนห๊า!?" มายุสุมิแยกเขี้ยวใส่เพื่อนตน

    "นายไง..." จิ่วเอ่ยก่อนที่จะโดดแผล่วหนีคนผมเงินที่โยนหนังสือใส่ตน "...หว่าๆ! มายุสุมิซึนแตกแล้ว!"

    "ฉันไม่ได้ซึนโว้ย! ไอ้บ้า!!!" เด็กหนุ่มผมเงินโวยใส่ก่อนที่จะเริ่มมหกรรมการไล่ล่าเพื่อนตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

     

     

     

     

     

    หลังจากที่วันที่มายุสุมิ จิฮิโระถูกบังคับให้สอนเพื่อนสุดแสนหัวขี้เลื่อยอย่างหลิวจิ่วเหว่ยจนมาบัดนี้ผ่านมาสองวันแล้ว...ซึ่งการสอนเพื่อนคนนี้ของตนนั้นทำให้มายุสุมิอยากถีบอีกฝ่ายตกตึกตายสักรอบจริงๆ กับคำตอบของคำถามพื้นฐานที่เขาถามไปแต่ล่ะอย่างที่ได้กลับมาจริงๆ ...

    ...นอกจากนั้นแล้ว...ตลอดสองวันมานี่ความฝันแปลกๆ ของเขาก็ชัดเจนขึ้นจนน่ากลัว จากตอนแรกที่เขาไม่เห็นหน้าคนในความฝันนั้นตอนนี้กลับเห็นอย่างชัดเจนว่าคนในความฝันนั้นเป็นเด็กหนุ่มผมดำหน้าสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเขากำลังนั่งร้องไห้อยู่ท่ามกลางหิมะที่หนาวเย็น โดยตรงหน้านั้นกลับมีร่างของเขานอนจมกองเลือดอยู่และนั้นทำให้เขารู้สึกกลัวนิดๆ บวกกับรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลยที่เห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของคนในความฝันที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใครนั้น

    ...แถมนอกจากความฝันนี่ยังไม่พอ ยังมีเสียงไม่ทราบที่มาดังขึ้นตามที่ต่างๆ ในโรงเรียนเป็นระยะๆ อีกต่างหาก จนเขาเริ่มหลอนว่าตนจะโดนวิญญาณตามติดหรือไม่ก็เป็นโรคประสาทชอบกล

    "เฮ้อ..." มายุสุมิคิดเรื่องราวตลอดสองวันนี้พลางถอนหายใจออกมา ขณะกำลังถือแก้วเพื่อจะไปรินนมจากในตู้เย็น

    "ถอนหายใจมากๆ ระวังแก่เร็วนะจิฮิโระ" ชายหนุ่มที่นั่งบนโซฟาเอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนๆ

    "ถ้าแก่เร็วจริงก็คิดซะว่าจะได้เข้ากับสีผมแล้วกัน" มายุสุมิตอบกลับไปพลางมองพี่ชายตนที่จ้องอยู่หน้าทีวี "แล้วพี่ดูอะไรเนี่ย? ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ละครเรื่องโปรดของพี่ฉายสักหน่อย?"

    "กำลังดูข่าวเศษฐกิจน่ะ...เผื่อฟรุตเห็นแฟนพี่จีออกทีวี" จิโทเสะตอบ

    "หื้อ? แฟนของคนที่ว่าเหมือนผมราวฝาแฝดน่ะนะ?" มายุสุมิถามขึ้นมาลอยๆ อย่างไม่สนใจคนที่พี่ตนว่านัก

    "นั้นแหละ..." จิโทเสะเอ่ย "...อ๊ะ! มาแล้วๆ โผล่มาจริงๆ ด้วย...โชคดีจังแฮะ! ว้าว! แฟนพี่จีหน้าตาสวยกว่าเดิมเปล่าเนี่ย!?"

    "ไม่รู้สิ..." มายุสุมิส่งเสียงไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่แล้ว...

    'ตอนนี้ทางบริษัทอาคาชิกรุ๊ปไม่มีปัญญาในการบริหารหรอกครับ เซย์จ...เอ้ย! ท่านประธานเขาจัดการบริหารความเสี่ยงดีน่ะครับ'

    ...เสียงที่ดังลอดมาจากทีวีทำให้มายุสุมิถึงกับชะงัก และเผลอปล่อยแก้วในมือลงสู่พื้นเบื้องล่าง

    เพล้ง!!!

    "เฮ้ย!" จิโทเสะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงแตกของแก้วและหันขวับไปที่เด็กหนุ่มผมเงิน "เป็นอะไรหรือเปล่าจิฮิโระ!?"

    "..." มายุสุมิไม่ตอบอะไรทำเพียงจ้องมองไปที่ทีวีอย่างไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อ...เสียงและรูปร่างหน่าตาของคนในทีวีคล้ายกับคนในความฝันตน! นี่ถ้าย้อนอายุหน่อยคงเหมือนเปี๊ยบเลยแหง!!!

    "เฮ้! จิฮิโระ!? ตอบพี่หน่อยดิ!" จิโทเสะที่เริ่มห่วงน้องตนที่นิ่งเงียบไปวิ่งไปหา "เฮ้ย!!! แก้วตกใส่ขาเหรอ!? แว๊ก! เลือดๆๆๆ! แล้วจะยืนบื้อทำไมเนี่ย!? มา! มาทำแผลเลย!!!"

    "อ๊ะ..." มายุสุมิที่หลุดออกจากอาการตื่นตนกด้วยเสียงของพี่ชายตนเอง ดวงตาสีเงินค่อยๆ เลื่อนมามองสีหน้าที่ทำท่าราวกับตนเป็นคนเจ็บเองของพี่ชายตน "...แต่แก้วมัน..."

    ...ยังไม่ได้เก็บเลย ถ้าแม่หรือจิโยมิเดินมาเหยียบละก็แย่เลย...

    "เรื่องแก้วไว้ทีหลังเถอะ!!! มาทำแผลเลย!!!" จิโทเสะอุ้มตัวมายุสุมิขึ้นและเอาไปวางลงที่โซฟา "อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ล่ะ พี่จะทำแผลให้"

    "ไม่ต้องก็ได้มั้งพี่ เดี๋ยวผมทำเองได้น่า" มายุสุมิเอ่ย

    "ไม่ต้องทำมาอวดเก่งเลย...อยู่นิ่งๆ และให้พี่คีบเศษแก้วออกดีๆ ซะ" จิโทเสะกดเสียงหนักๆ

    "...ก็ได้" มายุสุมิเบ้หน้าพลางตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ด้วยความที่รู้ว่าขัดใจพี่ชายตนเองไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยจึงต้องจำยอมกันไป "เออ...พี่...ในทีวีเนี่ยคือแฟนของ..."

    "รีบหาทางเปลี่ยนบรรยากาศเลยนะ" จิโทเสะเอ่ยก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบเมื่อผู้เป็นน้องชายตนพูดเหมือนกำลังจะเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ตนดุเรื่องที่ทำตัวเองเป็นแผลเลย...อา ช่างน่ารักจริงๆ น้องเขา "อือ อย่างที่คิดนั้นแหละ...คนผมดำในทีวีนั้นคือแฟนพี่จีไง เป็นไง? สวยไหม?"

    "ใช้คำว่าสวยกับผู้ชายไม่ค่อยเหมาะมั้งพี่...ถึงจะจริงก็เถอะ..." มายุสุมิตอบขณะนั้นเองความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว ทั้งความรู้สึกโหยหาและห่วงหาก่อขึ้นในใจของเจ้าตัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ "...เออ...แล้วพี่...ขอถามอะไรแปลกๆ หน่อยนะ"

    "หื้อ? ว่ามาสิ..." จิโทเสะพยักหน้าเป็นเชิงว่าถามได้

    "ถ้า...ผมมีแฟนตอนนี้แล้วผมจะซี้ม้องเท่งเหมือนญาติคนที่หน้าตาเหมือนผมคนนั้นไหมอ่ะ?" มายุสุมิถามออกมาและแทบอยากตบปากตัวเองทันที...ไหงอยู่ๆ ถามไปแบบนั้นได้ฟะ!? คนรกคนรักก็ไม่มีเสียหน่อย! จะถามอะไรที่เป็นเหมือนลางร้ายออกไปทำไมเนี่ย!?...

    ...ว่าแต่...ไหงรู้สึกเหมือนว่ากำลังจะมีคนสำคัญที่ต้องตามหาในไม่ช้านี่หว่า?

    ...แถมยังรู้สึกว่าเคยลาจากสิ่งที่สำคัญที่สุดมางั้นแหละ...ลาจากด้วยความตาย ทั้งๆ ที่เขายังหายใจอยู่ ไม่ได้ตายเสียหน่อย

    ...นับวันเขายิ่งไม่เขาใจตัวเองเลยแฮะ...

    "..." จิโทเสะแยกเขี้ยวใส่ "ถามอะไรบ้าๆ แบบนั้นห๊า!? มันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก! ต่อให้นายมีแฟนและมีเหตุการณ์แบบตอนนั้นจริงพี่ก็จะปกป้องนาย! ไม่มีทางยอมให้เรื่องบ้าๆ นั้นเกิดขึ้นแน่!"

    "มั่นใจจังนะพี่..." มายุสุมิยิ้มออกมาบางๆ ขณะที่ดวงตาเริ่มพล่านเลือนขึ้นมาเสียเฉยๆ และในขณะที่สติเลือนลางสิ่งที่เด็กหนุ่มได้ยินเป็นสิ่งสุดท้ายคือ...

    "จิฮิโระ!!!" ...เสียงร้องอันตื่นตกใจของมายุสุมิ จิโทเสะนั้นเอง

     

     

     

     

     

    ...คราวนี้...ที่ไหนอีกวะเนี่ย!?...

    เด็กหนุ่มผมเงินบ่นขึ้นมาในใจขณะที่มองรอบๆ ที่เขาพอจำได้ว่าตนนั้นเคยเดินผ่านไปกับพี่...เขตรกร้างๆ แถวๆ โรงเรียนของเขาเอง...

    ...แล้วเขามาที่นี่ได้ไงกัน? จำได้ว่าก่อนสลบเนี่ยเขาอยู่กับพี่ไม่ใช่เหรอ? แล้วไหงมาอยู่นี่ได้ฟะ?

    มายุสุมิ จิฮิโระมองซ้ายมองขวาอย่างงงๆ ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อ...

    "กลับมานะโว้ย! ไอ้หมาบ้า!!! เอากระเป๋าฉันคืนมา!!!" ...มีเสียงตะโกนอันคุ้นหูดังขึ้นมา...ก็จะไม่คุ้นหูได้ไงล่ะ ก็มันเสียงของเขาเองนิ!!!

    "บ้าอะไรอีกฟะ!?" มายุสุมิสบลขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับดวงตาเหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่ง...ซึ่งก็คือตัวเขากำลังวิ่งไล่หมาตัวใหญาตัวหนึ่งอยู่!

    ...หรือว่านี่...คือฝันอีกแล้ว?...

    เด็กหนุ่มผมเงินลองทบทวนถึงการเห็นตัวเองในความฝันในแต่ละครั้งแล้วนึกแปลกใจ...ถ้านี่เป็นฝัน ทำไมคราวนี้โผล่มาให้เห็นว่าวิ่งไล่หมาแทนที่จะเป็นนอนจมกองเลือดอยู่แบบทุกครั้งหว่า? และถ้านี่เป็นฝันจริงๆ ล่ะก็คงไม่มีให้มองเห็นเขาสิเนี่ย? เล่นโผล่มาแต่ล่ะครั้งเขาตะโกนเรียกคนที่เอาแต่เรียกชื่อเขาตลอดแต่ล่ะครั้งนั้นก็ยังไม่เห็นได้ยินนิ?

    มายุสุมิมองซ้ายมองขวาเล็กน้อย ก่อนที่จะตัดสินใจตามคนหน้าเหมือนตนไป...โดยการพุ่งทะลุกำแพงไปเลย

    ...ผ่านได้ตามคาดแฮะ...

    เด็กหนุ่มรู้สึกโชคดีเล็กน้อยที่ไม่หัวโหม่งกำแพงไป เพราะไม่งั้นเขาคงเริ่มงงว่านี่คือความจริงหรือความฝันกันแน่แหง

    และหลังจากทดสอบว่าตนไม่สามารถชนหรือแตะอะไรได้แล้ว มายุสุมิก็ทำวิ่งทะลุทุกสิ่งไปอย่างรวดเร็วเพื่อตามคนที่วิ่งไล่หมาไปให้ทัน จนกระทั่งมาถึงจุดหมาย...

    "เฮ้อ! จับได้สักทีนะไอ้หมาบ้า" ...ที่เด็กหนุ่มผมเงินคนหนึ่งแงะกระเป๋าตนออกมาจากปากหมาได้สำเร็จ

    "นั่นใคร!?" และไม่นานหลังจากที่คนผมเงินได้กระเป๋าคืนก็มีชายคนหนึ่งเดินโงกเงกคล้ายคนเมาเดินเข้ามา "นี่แก...เห็นหมดแล้วใช่ไหม!?"

    "เฮ้ย!!!" มายุสึมิที่ยืนดูอยู่กับคนผมเงินที่มองชายที่เดินมาหาตนถึงกับอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกันเมื่อชายที่เดินเข้ามานั้นถือมีดเล่มหนึ่งอยู่! แถมพุ่งเข้ามาหมายจะแทงชาวบ้านเขาอีกต่างหาก!

    "เหวอ!" คนผมเงินเบี่ยงตัวหลบอย่างตื่นตนกก่อนที่จะรีบใส่เกียร์แมวเผ่นทันที...ก็แหงล่ะ! ใครจะไปอยู่ให้โดนเชือดล่ะ!?

    "ชิบหาย...คราวนี่จะเห็นตัวเองโดนฆ่าเหรอวะ!?" มายุสุมิสบลออกมาเบาๆ ก่อนที่จะวิ่งไปตามคนผมเงินไป เช่นเดียวกับชายมือมีดที่วิ่งไล่ล่าอีกฝ่ายเช่นกัน

    มายุสุมิที่ตามคนผมเงินได้เร็วกว่าเพราะตอนนี้ตนอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกับผีมองดูอีกฝ่ายที่เริ่มหนีเข้าไปในอาคารเก่าๆ หลังหนึ่ง ในขณะที่ชายหนุ่มที่ไล่ตามมาเริ่มเข้ามาใกล้ ในยามแรกชายหนุ่มดูท่าจะไม่รับรู้ว่าคนผมเงินซ่อนอยู่ในอาคารทำท่าจะเดินผ่านไป แต่แล้ว...

    "ฮัดเช้ย!" ...ความหายนะก็มาเยือนเมื่อคนผมเงินดันจามออกมาในจังหวะที่ไม่ดีเอาเสียเลย "เอาแล้วไง...ความชิบหายมาแล้ว!"

    "โคตรๆ เลยล่ะ!" มายุสุมิที่หลุดพูดออกมาเช่นนี้มองภาพที่อยู่ชายหนุ่มผู้ถือมีดพุ่งเข้ามาให้อาคารก่อนที่จะถูกคนผมเงินที่หน้าตาเหมือนขว้างกระเป๋าใส่ก่อนที่จะเริ่มวิ่งหนีอีกครั้ง...และการหนีในครั้งนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่อีกฝ่ายได้หนี เพราะหลังจากนั้นไม่นานมายุสุมิก็เห็นคนผมเงินเริ่มออกอาการหอบจากความตกใจและความเหนื่อยหลังจากที่วิ่งหนีมาได้สักพัก

    เด็กหนุ่มผมเงินในความฝันนี่สุดท้ายก็โดนชายหนุ่มผู้ถือมีดตามมาทันจึงไปหลบหลังต้นไม่ต้นหนึ่ง และหลังจากนั้นไม่นาน...เจ้าตัวก็โดนชายหนุ่มคนนั้นจับได้ก่อนโดนกระหน่ำแทงเอาที่อกไม่ยั้ง เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ โดยที่มายุสุมิที่ไม่อาจจับต้องสิ่งใดในความฝันนี่ได้นั่นทำได้เพียงปิดหูและหลับตาปิดด้วยความที่ว่าภาพตรงหน้ามาโหดร้ายและสยองเกินรับนั้นเอง

    หลังจากที่เสียงทุกอย่างเริ่มเงียบลงแล้ว มายุสุมิก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นดูก่อนจะพบว่าบัดนี้คนผมเงินที่หน้าตาเหมือนตนนั้นนอนจมกองเลือดในสภาพเดียวกับที่เขาเห็นในหลายคืนที่ผ่านมานี้นี่เอง

    "นี่มัน...บ้าชัดๆ..." มายุสุมิพึมพำออกมาเบา "...ตกลงนี่บ้าอะไรกันเนี่ย!?"

    ...ไม่ตลกเลยนะ! ไอ้การเห็นตัวเองถูกฆ่าตายเนี่ย!...

    มายุสุมิกำมือแน่และในตอนนั้น...ดวงตาสีเงินเห็นร่างเงาร่างหนึ่งที่เป็นของคนที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นกำลังลอยไปหาชายหนุ่มที่กำลังเดินจากไป

    "...เอาเข้าไป หลังจากศพก็ผี...นี่สักวันฉันจะไปล้างซวยจริงๆ ค่อยดูเถอะ" มายุสุมิคุมขมับขณะที่ลุ้นให้วิญญาณของคนที่ถูกฆ่าเมื่อครู่เชือดอีกฝ่ายทิ้งเสียที (?) ...เพราะเขามั่นใจว่าการที่ต้องมาตายทั้งๆ ที่อายุเท่าเขาเนี่ยคงเป็นเรื่องที่ทำใจไม่ได้ง่ายๆ หรอก

    และในระหว่างที่มายุสุมชมรายการผีอาฆาตคน (?) อยู่นั้นเองก็...

    "จะทำบ้าอะไรย่ะ!?" ...มีเด็กสาวหนึ่งกระโดดถีบขาคู่ใส่วิญญาณสีเงินนั้นเต็มๆ! "ฆ่าคนต่อให้เป็นคนหรือวิญญาณก็บาปหนักเท่ากันนะเว้ย! เจ้าโง่!"

    "โอ้ย! ทำอะไรเนี่ย!?" ร่างเลือนลางผมสีเงินทำท่าจะโวยคนที่ถีบตน เสียแต่โวยไม่ออกเมื่อเจอดวงตาสีดำสนิกของอีกฝ่ายที่จ้องมาอย่างกดดัน

    "ทำอะไรเหรอ? ก็ถีบคนงี่เง้าที่คิดจะเพิ่มบาปให้ตัวเองน่ะสิ! รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้วิญญาณในนรกคนมันเยอะนะย่ะ! อย่าหาเรื่องให้ตัวเองตกนรกเพิ่มขึ้นอีกคนเซ่! ขี้เกียจทำงานเพิ่มนะ!" เด็กสาวผู้มีเรือนผมสีดำสนิกแยกเขี้ยวใส่ "รู้จักไหมคำว่ากฏแห่งกรรมน่ะ!? นายปล่อยไอ้บ้านั้นไปรอให้มันไปรับกรรมของตัวแล้วนายแค่ดูเฉยๆ สบายๆ ดีกว่าน่า! จะทำตัวเองให้ตกนรกตามเจ้านั้นเพื่อ!? แล้วยัง^,£&*&"^$$"

    "เออ...เดี๋ยว..." คนผมเงินเริ่มเหงื่อตกเมื่อเด็กสาวพร่ามอะไรออกมาไม่รู้ยาวพรึบ

    "หุบปาก! ฟังเงียบๆ ไปซะ!!!" เด็กสาวแว๊ดกลับทำให้คนผมเงินเงียบลงทันทีด้วยความที่ว่าสัญชาตญาญมันบอกว่า...อย่าขัดเจ๊แกเป็นดีสุด

    โดยที่ไม่รู้กันเลยว่า...งานนี้มีมายุสุมิที่ยืนเอ๋อตั้งแต่เด็กสาวโผล่ออกมายืนฟังอยู่อีกคน

     

     

     

     

     

    ...ฝันรอบนี้มันยาวแปลกๆ ไปไหมฟะ?...

    มายุสุมิที่บัดนี้นั่งไร้ตัวตนอยู่ที่มุมๆ หนึ่งอดคิดแบบนี้ไม่ได้เมื่อตนนั้นได้นั่งฟังเด็กสาวบ่นวิญญาญผมเงินมานานจนดวงตะวันขึ้นและกำลังจะตกเป็นรอบที่สองแล้ว มันทำให้มายุสุมิรู้สึกว่าเวลามันยาวนานกว่าฝันปกติจริงๆ ...ซึ่งเเขาอาจจะยาวจริงๆ หรือแค่รู้สึกไปเองก็ได้

    ...ว่าแต่...เจ๊แกจะพล่ามยาวไปไหนเนี่ย?...

    "เอ้า! เข้าใจแล้วใช่ไหม!?" ...ในตอนนั้นเองเด็กสาวก็หยุดบ่นพอดี ทำให้ร่างเลือนลางผมเงินกับมายุสุมิถึงกับถอนหายใจออกมาเบาๆ

    "เข้าใจแล้ว" คนผมเงินเอ่ยพร้อมส่งสีหน้าประมาณว่า 'ถ้าเกิดไม่เข้าใจขึ้นมาก็โดนบ่นต่อน่ะสิ' ออกมา

    "เข้าใจก็ดี..." เด็กสาวเอ่ยพลางหันออกไปมองด้านนอก "...อ้าว? เช้าแล้วเหรอ?"

    "จะค่ำแล้วต่างหาก! เจ๊บ่นมาเกือบสองวันแล้วนะ!" คนผมเงินทำหน้าเหมือนกินยาขม

    "อ้าวเหรอ? โทษทีๆ ติดลมไปหน่อย" เด็กสาวเกาหัวนิดๆ "แล้วนาย...มายุสุมิ จิฮิโระใช่ม่ะ?"

    "อ...อา" คนผมเงินพยักหน้ารับ ส่วนมายุสุมิที่ยืนดูอยู่ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเด็กสาวเอ่ยชื่อตน

    "งั้นเหรอ...งั้นนายก็แค่สิบเจ็ดสิบแปดอ่ะดิ? ตายอนาถชะมัดเลยนะนาย..." เด็กสาวมองร่างไร้ชีวิตที่ยังนอนนิ่งบนพื้นที่หนาวเย็น "...แล้วแบบนี้จะมีคนมาเก็บร่างนายเมื่อไหร่เนี่ย? ถ้าเกิดไม่มีคนมาทำพิธีก็ต้องรอจนกว่าร่างจะย่อยสลายเองน่ะสิกว่าที่จะส่งวิญญาญไปตัดสินในปรโลกได้เนี่ย"

    "กว่าจะได้ไป? ปรโลก? นี่เจ๊...เป็นเจ้าที่เจ้าทาง?"

    "ยมทูตย่ะ! นายจืดจางเอ่ย!" ยมทูตสาวแยกเขี้ยวใส่คนจืดจาง

    "ยมทูต?" คนผมเงินทวนเบาๆ

    "เออดิยะ!" เด็กสาวแค่นเสียงกลับไป

    "งั้นเจ๊มีหน้าที่พาคนตายไปโลกหน้า?"

    "ใช่สิ!"

    "แต่ถ้าไม่มีทำพิธีศพให้ฉันต้องติดแหง๊กอยู่นี้จนกว่าร่างเนื้อจะเน่าไปหมดเหรอ?"

    "ตามนั้น แต่ฉันต้องอยู่กับนายด้วยเพราะมันเป็นหน้าที่ฉันที่ต้องเอาวิญญาณนายไปตัดสินและถ้าไม่รู้บนพื้นโลกฉันจะตามหานายลำบากถ้าเกิดนายคิดหนีเลยทำเอาฉันกลับปรโลกไม่ได้เลย...ดังนั้นนายหาทางให้คนมาเก็บศพนายเร็วๆ เลย ฉันขี้เกียจมานั่งมองชาวบ้านนะ อยากกลับไปนอนที่ห้อง~~~"

    "...แล้วฉันจะทำไงเล่า? โผล่ไปให้ไอ้บ้านั้นมาช่วยเผาฉันหรือไง?"

    "มะเหงกแน่ะ! แบบนั้นทางบ้านที่ตามหานายอยู่ก็กลุ้มใจตายเลย! ระหว่างให้ทางบ้านรู้ว่านายตายแล้วกับตามหาต่อไปอย่างไร้ความหวังฉันว่าข้อแรกดีกว่าเยอะ! เพราะถ้าเกิดหวังมากๆ ว่านายยังอยู้แล้วมารู้ว่านายตายทีหลังมีหวังมีคนบ้าตายแน่!"

    "ก็จริง...แล้วฉันควรทำไงดี?"

    "คิดเองเซ่! นายจะไปหาใครก็ได้ที่คิดว่าน่าจะช่วยได้เองแล้วกัน! แต่อย่าส่งข้อความหรืออะไรที่บอกทำนองว่าตัวเองตายแล้วล่ะ ไม่งั้นคงได้คิดว่ามีใครแกล้งมากกว่านะ"

    "รู้แล้วน่า...งั้นฉันต้องหาทางบอกอ้อมๆ สินะ?"

    "ตามนั้นแหละ"

    "ถ้างั้นลองส่งของสองสามอย่างให้ใครสักคนแบบอ้อมๆ เพื่อให้พวกนั้นสืบมาถึงนี่ได้ไหม? ฉันมีรุ่นน้องหัวแดงแถมจูนิเบียวคนหนึ่งที่น่าจะพอช่วยได้น่ะถ้าเป็นอย่างนั้น...ถึงไม่คิดว่าจะรู้เรื่องกันเท่าไหร่ก็เถอะ"

    "ได้แน่นอน แต่อยากโผล่ไปเป็นตัวเป็นตนนักล่ะ เดี๋ยวเพื่อนนายช็อกตายลำบากให้ฉันตามไปเก็บอีกคน"

    "รู้แล้วน่า ฉันไม่บ้าพอโผล่ไปหาหรอก...ถึงรู้ว่าพวกมันไม่ปกติสักคนก็เถอะ"

    "รู้ก็ดี...แต่ตอนนี้ฉันเบื่ออ่ะ มาเล่นหมากรุกกันเถอะ ใครชนะสามารถขออะไรคนแพ้ได้หนึ่งอย่าง ยกเว้นขอให้นายกลับไปมีชีวิตอีกครั้งนะเพราะอันนั้นฉันทำไม่ได้"

    "...เปลี่ยนเรื่องเร็วไปไหมเจ๊?"

    "น่าๆ อย่าบ่นน่า...มาๆๆๆ มาเล่นกัน กว่านายจะไปหาทางบอกเพื่อนนายก็พรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ?"

    "ก็ใช่อยู่หรอก...แต่ฉันเล่นหมากรุกไม่เก่งนะ"

    "ฉันก็ไม่เก่งเหมือนกันแหละ...ดังนั้นมาเล่นด้วยกันแก้เบื่อซะดีๆ"

    "เฮ้อ...ก็ได้"

    มายุสุมิที่ฟังบทสนทนาแปลกๆ ของหนึ่งยมทูตกับหนึ่งวิญญาญขมวดคิ้วพลางมองกระดานหมากรุกที่เด็กสาวเอาออกมาจากไหนไม่รู้อย่างงุนงง ก่อนตัดสินใจมานั่งดูทั้งสองนั่งเล่นหมากรุกแก้เบื่อไป และหลังจากนั้นมายุสุมิก็มองกิจกรรมแก้เบื่อแปลกๆ ที่คนเป็นยมทูตสาวจัดหามาแก้เบื่ออย่างไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเอามาจากไหนได้เยอะแยะ...จนกระทั่งรุ่งสางมาถึงนั้นแหละ เจ๊แกถึงเลิกชวนคนผมเงินเล่นนู้นเล่นนี้แล้วปล่อยให้รายนั้นไปหาทางหาคนมาเก็บร่างตนตามลำพัง เนื่องจากเจ๊แกบอกว่าตราบใดก็ตามที่ตนยังอยู่บนพื้นโลกก็จะรู้ว่าคนผมเงินอยู่ที่ไหนจึงปล่อยให้เดินเที่ยวเล่น (?) ได้ ส่วนตัวเจ๊แกก็บอกว่าขอหลับสักงีบ...

    ...จนทำให้มายุสุมิเลือกที่จะตามคนผมเงินไปแทนที่จะเฝ้าคน เอ้ย! ยมทูตหลับ และระหว่างทางคนผมเงินก็เจอกับคนที่อ้างเป็นยมทูตคนหนึ่งก่อนที่นผมเงินจะโดนยมทูตตนนั้นลากไปเพื่อนินทาอาเจ๊หรือก็คือยมทูตที่ได้ทำหน้าที่มารับวิญญาญของคนผมเงินนั้นเอง...ในตอนแรกคนผมเงินก็สงสัยอยู่ว่าทำไมถึงรู้ว่ายมทูตสาวคนไหนมาเป็นคนมารับวิญญาญตน แต่พอได้คำตอบก็แทบเงิบเมื่ออีกฝ่ายบอกว่า 'อ๋อ เปิดดูเว๊บไซส์ของหน่วยงานเราและคลิกดูว่าวันไหนยมทูตตนไหนอยู่ตรงไหนพร้อมมารับวิญญาญใครน่ะ...อันนี้มีไว้เพื่อยมทูตที่ต้องมารอเอาวิญญาณไปปรโลกนานๆ จะได้หาเพื่อนคุยด้วยน่ะ เพราะไม่มีใครยอมจับเข่าคุยกับยมทูตนักหรอก' เนื่องจากไม่คิดว่าอีกโลกจะทันสมัยกับเขาด้วย

    ...แล้วหลังจากนั้นยมทูตตนนั้นก็นินทาเจ๊แกแหลกชนิดที่ว่าทั้งคนผมเงินทั้งมายุสุมิที่แอบฟังอยู่ถึงกับสยองกับวีรกรรมของรายนั้นขึ้นมาทันที

    ...กว่าที่ทั้งสอง (ที่คนหนึ่งไร้ตัวตนในที่นี่) จะฟังยมทูตตนนั้นพูดจนจบและเดินทางไปยังจุดหมายเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ยามสายเสียแล้วถึงจะมาถึง...ยังโรงเรียนมัธยมปลายราคุซันนั้นเอง

    "...ต่อไปก็คิดสินะว่าจะบอกใบ้ใครดี?" คนผมเงินเอ่ยกับตนเองเบาๆ ก่อนที่จะเดินไปด้านใน

    "...ทำไมโรงเรียนมันดูแปลกไปจากทุกทีหว่า?" มายุสุมิที่เดินตามหลังมาบ่นขึ้นมาเบาๆ พลางมองโรงเรียนที่ดูแตกต่างจากที่ตนเคยเห็นทุกวันไปหน่อยนึง "แล้ว...หมอนี่จะเดินไปไหนเนี่ย?"

    คนผมเงินที่ไม่สามารถได้ยินเสียงที่มายุสุมิบ่นได้เดินมุ่งไปยังร่มไม้ใหญ่ข้างอาคารเรียน...แต่ไม่ทันถึงก็เบรกเอี้ยดเมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมดำคนหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้นั้น ก่อนที่จะรีบไปหลบที่มุมอาคาร

    ...เฮ้ยๆ นายเป็นผีนะ เดินไปก็ไม่มีใครเห็นหรอกแล้วนี่หลบอะไรเนี่ย?...

    มายุสุมิมองคนผมเงินที่หน้าตาเหมือนตนอย่างแปลกใจและยื่นหน้าไปดูสิ่งที่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนผมเงินมาหลบอยู่นี่ ซึ่งนั้นทำให้มายุสุมิรีบหลบอีกคน...เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนเดียวคือคนที่ตนเห็นร้องไห้ในความฝันนั้นเอง!

    "■■■" เสียงพึมพำที่มายุสุมิไม่ได้ยินดังออกจากปากคนผมเงินเบาๆ

    "หื้อ?" มายุสุมิหันมาสนใจคน...เออ ผีข้างกายก่อนที่จะสะดุดเฮือกเมื่อ...

    "มายุซัง?" ...เสียงของคนที่คนผมเงินหลบอยู่ดังขึ้นพร้อมเสียงก้าวเดินดังใกล้เข้ามา

    "..." คนผมเงินกับมายุสุมิถึงกับแข็งทื่อไปเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเห็นร่างของวิญญาญผมเงินด้วย แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดนั้นทันทีเมื่อเด็กหนุ่มผมดำพอมายืนตรงหน้าคนผมเงินแล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างอยู่

    "ไม่อยู่เหรอ? คิดไปเองสินะ..." เด็กหนุ่มผมดำถอนหายใจออกมาเบาๆ "...ให้ตายสิ หายไปไหนของเขานะมายุซังเนี่ย...หรือว่าป่วยอยู่หว่า?"

    "■■■..." คนผมเงินเอ่ยเรียกชื่อที่มายุสุมิไม่ได้ยินอีกตามเคยของคนผมดำเบาๆ "...ไม่เห็นแต่สัญชาตญาญพอเดาออกว่าฉันอยู่นี่สินะ? น่ากลัวนิดๆ แฮะ...แต่เอาเถอะ งั้นลองหาวิธีบอกใบ้เลยดีกว่า"

    "บอกใบ้?" มายุสุมิขมวดคิ้วขณะมองคนผมเงินที่เอาบอลหิมะที่เอามาจากไหนไม่รู้วางไว้กับพื้น...ก่อนที่จะสะกิดขาเด็กหนุ่มผมดำที่ยืนอยู่เบาๆ

    "อ๊ะ!" คนที่โดนสะกิดสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะก้มลงมองกับพื้น "เอ๋? บอลหิมะนี่...เอ๊ะ? นี่มันที่ฉันให้มายุซังเมื่คริสมาสที่ผ่านมานิ! ทำไมมาอยู่ตรงนี่ได้กัน?"

    "...หวังว่า■■■จะเอาคำใบ้ไปให้อาคาชิเร็วๆ นะ" คนผมเงินถอนหายใจกับเด็กหนุ่มผมดำที่ทำท่างุนงงอย่างมากก่อนที่จะโดนเพื่อนของรายนั้นสองคนลากตัวไปเรียนคาบบ่ายและจากนั้นคนผมเงินก็เริ่มทำหน้าที่เป็นวิญญาญตามติด (?) เด็กหนุ่มผมดำไป โดยมีมายุสุมิเป็นผู้ชมอยู่ห่างๆ ...จากนั้นตลอดหนึ่งวันคนผมเงินก็ทำการทิ้งคำใบ้ไว้อีกสองอย่างให้คนผมเงินที่มันทำมายุสุมิอดคิดไม่ได้ว่า 'มันจะตีความออกไหมล่ะนั้น?' ...

    ...แต่แล้ววันต่อมาของที่คนผมเงินทิ้งไว้ให้เด็กหนุ่มผมดำก็ถูกตีความออกมาเป็นรูปเป็นร่างนิดๆ เมื่อเด็กหนุ่มผมแดงนามอาคาชิที่ได้รับข่าวการหายตัวไปของคนผมเงินที่กลายเป็นวิญญาญไปแล้วในยามนี้เป็นคนตีความคำใบ้นั้น...ถึงอย่างนั้นก็ยังคำใบ้ก็ยังไม่พอที่จะตีความเรื่องที่อยู่ของคนผมเงินได้ เจ้าตัวคราวนี้เลยเล่นเอาเลือดตัวเองเขียนใส่ไลท์โนเวลเล่มหนึ่งว่า 'ช่วยด้วย ช่วยหาศพฉันที' ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าถ้าเขียนแบบนี้เดี๋ยวจะโดนเข้าใจว่าเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไม่หัวโกร๋นกันยกหมู่ไปก่อน เลยจัดการลบคำว่า 'หาศพ' ออกไป

    ...และเมื่อกลุ่มของเด็กหนุ่มผมดำมาเจอคำใบ้สุดท้ายนี่ก็ตัดสินใจเอาไปให้ทางตำรวจ...ซึ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่คนผมเงินต้องการอยู่แล้ว เพราะเจ้าตัวไม่คิดให้รุ่นน้องตนเองมาทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอะไรนักหรอก

    ...ในวันต่อมากลุ่มของเด็กหนุ่มผมดำก็ได้รับผลตรวจเลือดจากทางตำรวจ ซึ่งมันทำให้มายุสุมิรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าทางตำรวจยอมเอาผลตรวจมาบอกพวกนี่ได้ไง...แต่อย่างไรก็ช่าง ข่าวนี้ก็ทำเอาเด็กหนุ่มผมดำหน้าซีดราวคนไม่สบายไปตลอดทั้งวัน

    ...และแล้วเมื่อยามเย็นมาถึงความซวยก็มาเยือนเด็กหนุ่มผมดำทันที เมื่อดันเกิดเรื่องทำให้เด็กหนุ่มผมดำต้องวิ่งไปทางเดียวกับที่คนผมเงินเจอฆาตกรที่ฆ่าตน แถมยังไปเจอไอ้ฆาตกรด้วยอีกต่างหาก!

    "ชิบหายแล้ว!" คนผมเงินกับมายุสุมิอุทานออกมาพร้อมๆ กันเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มผมดำเริ่มวิ่งหนีฆาตกรไป

    "เฮ้ย! มีอะไร!? เสียงดังเชียว!" เด็กสาวที่ได้ยินเสียงอุทานของคนผมเงินก็โผล่ออกมาทันที

    "นี่เจ๊! ช่วยหาทางทำให้ฉันปรากฏตัวได้ที!" คนผมเงินรีบตะคุบคนเป็นยมทูตทันทีที่อีกฝ่ายโผล่มา

    "ห๊า!?" เด็กสาวที่จับต้องชนปลายไม่ถูกทำหน้างุนงง

    "เร่งเข้า! ■■■จะถูกไอ้บ้านั้นฆ่าแล้ว!" คนผมเงินเอ่ยเร่ง

    "■■■? หมอนั้นยังไม่ถึงที่ตาย ถูกเล่นงานยังไงก็ไม่ตายหรอก" ยมทูตสาวเอ่ย

    "ไม่ตายแต่ก็ใช่ว่าบาดเจ็บไม่ได้นี่หว่า! รีบๆ บอกมาซะ! ฉันจะไปช่วย■■■!!!" คนผมเงินกรรโชกเสียงใส่

    "เออๆ! ช่วยก็ได้! อย่าตะโกนสิยะ! ฉันไม่ถูกกับเสียงดังนะ!!!" เด็กสาวเอ่ยโต้กลับ "วิธีมันยุ่งยากนิดหน่อยทำไม่ได้ง่ายๆ หรอก! เอาเป็นว่านายต้อง;:"&/^;*^"

    "แค่ปรากฏตัวต้องทำยุ่งยากยังกับคนที่ฝึกกำลังภายในเลยเหรอฟะ!?" มายุสุมิบ่นขึ้นมา ในใจกระสับกระส่ายกังวลว่าเด็กหนุ่มผมดำที่วิ่งไปนั้นยังปลอดภัยดีไหม

    "ยาวไป! มีง่ายกว่านี้ไหม!?" คนผมเงินที่ฟังคำพูดยาวพรืดนั้นเอ่ยออกมา

    "มี! แต่นั้นจะทำให้นายหมดแรงข้าวต้มไปเลย! และนายอย่าเผลอไปฆ่าเจ้าบ้านั้นล่ะ!" เด็กสาวตอบกลับ ในขณะที่มายุสุมิทนความรู้สึกห่วงคนผมดำนั้นไม่ไว้และวิ่งล่วงหน้าคนผมเงินไปก่อนคนเดียว

    ...ไปอยู่ตรงไหนวะ!?...

    มาสุสุมิที่วิ่งมาเพียงลำพังมองซ้ายมองขวาหาร่างสูงผมสีดำดุจอีกา จนไปสะดุดสายตากับ...ผู้เป็นฆาตกรกำลังย่านสามขุมไปยังเด็กหนุ่มผมดำที่สะดุด 'ศพ' ล้มลงบนพื้นหิมะ

    "นี่มันอะไรกันเนี่ย...ฝันร้ายอยู่หรือไง?" เสียงเด็กหนุ่มผมดำลอยมานั้นแสดงถึงความหวาดกลัวยิ่งนัก

    "อา...เจอตัวสักที!" เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง

    "ชิบหายแล้วไง!!!" เด็กหนุ่มผมดำกับมายุสุมิที่ยืนอยู่สบลออกมา

    "ทีนี่...จะได้กำจัดตัวเกะกะได้เสียที!" ผู้เป็นฆาตกรแสยะยิ้ม ก่อนที่จะกระโจรไปขึ้นคล่อมบนตัวอีกฝ่าย ทำท่าจะแทงมีดลงที่มา "ช่วยหายๆ ไปแล้วไปนอนเป็นเพื่อนไอ้เด็กเมื่อวานซืนข้างๆ นี่ไปแล้วกัน!"

    "นี่ไปเช็คสมองครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เนี่ยไอ้บ้า!" เด็กหนุ่มเอ่ยปากด่าพร้อมกับจับและดันแขนคนที่พยายามลงมีดใส่ตนอย่างสุดแรง

    "อย่าดิ้นรนไปเลยน่า..." ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเหี้ยมด้วยสีหน้าสะใจ

    "ไม่นะ..." มายุสุมิที่พยายามจะจับต้องสิ่งต่างๆ มาตีฆาตกรโหดเอ่ยขึ้นมา ขณะที่ภาพต่างๆ นั้นได้ปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างไม่ขาดสายจนรู้สึกปวดหัวอย่างรุ่นแรง "...ไม่นะ...อย่า...อย่าทำอะไรหมอนั่น..."

    ...อา...เขานึกออกแล้ว คนคนนี้คือ...

    "...อย่าทำอะไร 'มิบุจิ' นะเจ้าบ้า!!!" มายุสุมิตะโกนออกมาเสียงดัง

    "นึกออกแล้วงั้นเหรอ?" เสียงทักเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับที่ภาพตรงหน้ามายุสุมิทุกอย่างแตกสลายไปจนสุดท้ายรอบตัวมีเพียงสีขาวสะอาดเท่านั้น

    "อา...นึกออกแล้ว..." มายุสุมิส่ายหัวไปมาเพื่อคลายอาการปวดหัว "...แล้วไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ในการคืนความจำหรือไง 'เจ๊' ?"

    "มีน่ะมี แต่นั้นอาจทำให้นายเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนน่ะสิ ดังนั้นวิธีนี่แหละดีแล้ว" ยมทูตสาวเจ้าเก่ารายเดิมหัวเราะคิกคัก "ที่จริงนายถือว่านึกออกได้เร็วนะ ตอนแรกคิดว่าต้องให้นายดูจนจบกว่าจะนึกออกเสียอีก"

    "ถ้านั้นเป็นคำชมก็ขอบใจแล้วกัน..." มายุสุมิกรอตาไปมา "...ว่าแต่...ไหงต้องฉายฉากตอนตายของ 'ฉัน' เมื่อชาติก่อนด้วยล่ะ?"

    "เพราะวิธีกระตุกความทรงจำในชาติก่อนคือฉากตอนตายไง...แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสามารถจนจำได้นะ ต้องมีปัจจัยเสริมบางอย่างด้วย ในกรณีของนายคือหมอนั่นไง" ยมทูตสาวอธิบาย

    "มิบุจิกลายเป็นปัจจัยเสริมแฮะ" มายุสุมิกรอตาไปมา

    "ตามนั้นแหละ..." เด็กสาวเอ่นพร้อมดีดนิ้วเบาๆ "...แต่ตอนนี้นายรีบ 'ตื่น' ก่อนเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวบ้านนายได้ห่ามนายไปโรงพยาบาลแน่"

    "เอ๊ะ?" มายุสุมิหลุดร้องออกมาอย่างงงๆ แต่ยังไม่ทันถามอะไรสายตาก็เริ่มพล่านเลือน ก่อนที่สติจะดับลงไป

     

     

     

     

     

    ... 'มายุซัง' ...

    ...เสียงนี่...มิบุจิ?...

    ... 'มายุซัง' ...

    ...อา ภาพนี่อีกแล้ว ฝันซ้อนฝันหรือไง?...

    ... 'สัญญาแล้วนะ มายุซัง' ...

    ...รู้แล้วน่า...ฉันจะไปหานายให้ได้...

    ... 'อย่าลืมฉันเชียวล่ะ' ...

    ...นั้นมันคำพูดขอฉันต่างหากเจ้าบ้าเอ้ย!...

    ...ถึงแม้พี่บอกว่านายยังไม่คบใคร...

    ...แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่านายจำฉันได้นิ! หวังว่า...

    ...หวังว่านายยังไม่ลืมฉันจริงๆ นะ? ไม่งั้นฉันคง...

    "จิฮิโระ!!!"

    "เฮือก!!!" เสียงเรียกอันดังสนั่นโลกาทำให้เด็กหนุ่มผมเงินตื่นขึ้นจากห้วงนิทราและรีบลุกพรวกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ ก่อนที่จะเกิดอาการหน้ามืดขึ้นมาเฉียบพลันเพราะลุกเร็วกับอาการปวดหัวจนอยากอาเจียน แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังเอ่ยเรียกคนที่นั่งข้างๆ ตนยามนี่ "พี่?"

    "จิฮิโระ!!!" มายุสุมิ จิโทเสะเอ่ยเรียกคนผมเงินด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วง "นายโอเคไหม!?"

    "ผม..." มายุสุมิเอ่ยปากหมายจะตอบผู้เป็นพี่ตน แต่ในลำคอกลับจุกไปหมดด้วยความห่วงหา ความคิดถึงและ...ความหวาดกลัวว่าจะถูกลืมจากคนสำคัญจนไม่อาจเก็บไว้ได้ "...อึก...ฮือ~~~"

    "ฮ...เฮ้ย! ป...เป็นอะไรไป!?" จิโทเสะถึงกับสะดุ้งโหยงที่น้องชายผู้แสนซึนของตนถึงกับร้องไห้ออกมาเสียดื้อๆ ก่อนที่จะโอบกอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน "โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะจิฮิโระ ไม่เป็นไร"

    "เกิดอะไรขึ้นพี่จิโทเสะ!?" เด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาภายในห้อง "นี่พี่แกล้งพี่จิฮิโระเหรอ!?"

    "ใช่ที่ไหนล่ะน้องรัก! จิฮิโระเป็นไรก็ไม่รู้! มาช่วยปลอบหน่อยสิ!" จิโทเสะเอ่ย

    "ค...ค่ะ!" มายุสุมิ จิโยมิรีบเข้ามาใกล้พี่คนรองของตนอีกคน "โอ๋ๆ ไม่ร้องนะค่ะพี่จิฮิโระ"

    "เกิดอะไรขึ้น? เสียงดังกันเชียว..." หลังจากจิโยมิเข้ามาช่วยปลอบคนผมเงินได้ไม่นาน ชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งก็เข้ามาภายในห้อง "...ก...เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ทำไมจิฮิโระร้องไห้แบบนี้?"

    "ไม่รู้ครับ...แต่ตอนนี้พ่อกับแม่ช่วยกันปลอบน้องก่อนเถอะครับ..." จิโทเสะที่เริ่มหมดปัญญาปลอบน้องชายตนเองเอ่ย

    "อื้อ..." ว่าแล้วคู่สามีภรรยามายุสุมิก็มาช่วยปลอบเด็กหนุ่มผมเงินด้วยอีกแรง ถึงกระนั้นมายุสุมิก็ไม่อาจหยุดหยาดน้ำตาของตนเองได้เลย...ในตอนนี้ในสมองเขามีเพียงบุคคลเดียวที่วนเวียนในหัวเท่านั้น...

    ...ฉันคิดถึงนายมิบุจิ...

    ...และในตอนนี้...

    ...นายจะยังไม่ลืมฉันใช่ไหม?...

    ...มิบุจิ...

     

     

     

     

     

    "...นายโอเคแน่นะมายุสุมิ? ตาบวมเป็นปลาทองเลย" เด็กหนุ่มผมทองหน้าตี๋เอ่ยทักเพื่อนที่บัดนี้ดูซึมๆ แปลกๆ

    "ฉันโอเคดีน่า..." มายุสุมิตอบกลับไป...ที่จริงจะว่าโอเคได้หรือเปล่าไม่รู้เพราะเขาเลยร้องไห้ไม่หยุดเกือบสองชั่วโมงจนตาปวดเป็นปลาทองแบบนี้เนี่ย...

    ...และหลังจากที่หยุดร้องไห้ได้แล้วเขาจึงได้ฟังเรื่องราวที่เกิดจากพี่ชายเขาว่าเมื่อวานตอนที่พี่กำลังทำแผลให้เขานั้นอยู่ๆ เขาก็สลบไป จากนั้นพี่ถึงพบว่าเขาไข้ขึ้นสูงมากจนวุ่นไปทั้งบ้านเลย แถมสลบนานเสียจนมาถึงบ่ายวันต่อมาเลย พอตื่นขึ้นมายังร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลักอีก...ก็เลยแตกตื่นกันทั้งบ้านเนี่ย

    ...ส่วนตัวเขาพอฟังเรื่องราวทั้งหมดจบก็ถูกถามเรื่องที่จู่ๆ ร้องไห้ออกมา เขาเลยตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดในฝันไป...เพราะเขาปวดหัวเกินที่จะคิดข้อแก้ตัวอื่นออกไปนั้นเอง ปากมันเลยไปก่อนสมอง

    ...พอทุกคนฟังเรื่องที่เขาเล่าจนจบแล้วก็พากันเงียบและเบิกตากว้างมองที่เขา ก่อนที่จะยิ้มบางๆ ออกมาแล้วพูดว่า 'แบบนี้เองเหรอ ดีจัง...ตอนแรกคิดว่าเป็นอะไรไปเสียอีก ที่แท้ก็จำเรื่องในชาติก่อนได้ว่างั้น?' ...คำพูดนี่เล่นซะเขาเอ๋อกินเลย เพราะไม่คิดว่าครอบครัวตนจะยอมรับได้ง่ายๆ

    ...และพอถามว่าทำไมถึงดูไม่ตกใจกันนั้น ทุกคนก็ตอบออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า 'ไม่ว่าจิฮิโระ / พี่จิฮิโระเคยเป็นใคร แต่ตอนนี้จิฮิโระ / พี่จิฮิโระ ก็คือครอบครัวของเรานะ! จะตกใจหรืออะไรทำไมล่ะ? ตอนนี้แทนที่จะห่วงเรื่องนี้สู้รีบๆ กินยาให้หายไข้ดีกว่า!' ซึ่งนั้นทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้...อา เขาโชคดีจริงๆ ที่ได้มาเกิดใหม่ในครอบครัวที่รักเขาขนาดนี้

    ...ต่อมาหลังจากที่เขากินข้าวกินยาแล้ว ไอ้เจ้าหัวทองเพื่อนเขาก็โผล่มาเนี่ย แถมไม่โผล่มาเดี่ยว โผล่มาทั้งบ้านมันเลย!

    "แต่ฉันว่านายไม่โอวะ เอาผ้าปิดตาแล้วนอนไปเลยไป" จิ่วไม่ว่าเปล่าเอาผ้าชุบน้ำโป๊ะหน้าอีกฝ่าย

    "ไม่เอาโว้ย ฉันเพิ่งตื่นตอนบ่ายนี่เอง" มายุสุมิหยิบผ้าที่แปะหน้าตนออก "แล้วนายไหงถึงพาพ่อแม่มาบ้านฉันเนี่ย?"

    "ฉันไม่ได้พามานะ แต่พ่อแม่เกิดนึกคึกอยากมาเฉยๆ เลยมากันเองน่ะ" จิ่วยักไหล่แบบไม่เข้าใจพ่อแม่ตนเหมือนกัน "และถึงนายไม่อยากนอนก็ต้องนอน! จะได้หายไวๆ!"

    "เออๆ ...ขี้บ่นจริงนาย..." มายุสุมิถอนหายใจเบาๆ ...ถึงปกติมันจะขี้เล่นขี้แกล้ง แต่ถ้ามันก็เป็นพวกห่วงใครห่วงจริง แถมขี้กังวลอีกต่างหาก "...ในอนาคตคงได้เป็นภรรยาที่ขี้บ่นสุดๆ แหง"

    "ต้องเป็นสามีสิ! ฉันไม่ยอมเคะหรอกเฟ้ย! ไม่สิ! ฉันยังชอบผู้หญิงอยู่นะ!" จิ่วขู่ฟ่อใส่ "ฉันไปล่ะ! โค้ชบอกว่ายอมให้ฉันมาเยี่ยมแป๊บแล้วต้องกลับไปซ้อมน่ะ!"

    "...งั้นรีบไปเลย ไม่งั้นโดนโค้ชตื้บฉันช่วยอะไรไม่ได้นะ" มายุสุมิเอ่ย

    "รู้แล้วเฟ้ย!" จิ่วตอกกลับก่อนที่จะรีบวิ่งออกจากห้องไป

    "เฮ้อ..." มายุสุมิถอนหายใจกับเพื้อนตนเล็กน้อย ก่อนที่จะมองคนที่เดินเข้ามาต่อจากจิ่วที่ออกไป "...ไง...รู้เรื่องจากพ่อแม่ฉันแล้วสินะ? ฟุคุอิ หลิว"

    "อื้อ ใช่..." ฟุคุอิพยักหน้ารับ "...ให้ตายสิ ไม่อยากเชื่อเลยว่าที่จริงนี่คือนายที่กลับชาติมาเกิดเนี่ย...เหมือนเดิมเปี๊ยบ!"

    ...และเขาคงไม่เชื่อถ้าหมอนี่ไม่เรียกนามสกุลเดิมเขาเนี่ย! ก็ทุกคนในตอนนี้ต่างเรียกเขาว่า 'เคนสุเกะ' และถ้าไม่ใช่คนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยก่อนจบม.ปลายล่ะก็แทบไม่มีใครรู้นามสกุลเดิมเขาแล้ว!...

    "นั้นสิน่อ...ถ้าเกิดอามิบุจิรู้คงดีใจน่าดู" หลิวมองดูร่างของคนผมเงิน

    "ดีใจเปล่าไม่รู้...ขนาดมิบุจิมันจะจำฉันได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย!" มายุสุมิบ่นอย่างกลุ้มอกกลุ้มใจ "เล่นซะฉันไม่กล้าที่จะไปหาหมอนั่นเลย"

    "ต้องจำได้อยู่แล้วน่า อย่างหมอนั่นไม่สมองเสื่อมขนาดจำนายไม่ได้หรอก" ฟุคุอิตบบ่าปลอบ

    "ถ้าจำไม่ได้เลยก็เกินไปล่ะ" หลิวมั่นใจว่าคนที่กล่าวถึงเนี่ยไม่มีทางลืมคนผมเงินนี่ได้หรอก

    "ถึงงั้นก็เถอะ..." มายุสุมิส่งสีหน้าไม่แน่ใจออกมา

    "คิดมากน่านายเนี่ย..." ฟุคุอิกรอดตาไปมา "...เอาเป็นว่าถ้านายไม่ก็ไม่ต้องทำอะไร...ถ้าโชคดีหน่อยนายอาจหายกลุ้มใจเลยก็ได้"

    "ห๊า? พูดอะไรของนายน่ะ?" มายุสุมิมองชายหนุ่มผมทองอย่างงุนงง

    "เดี๋ยวก็รู้เองน่า! ว่าแต่ตอนนี้เรามาคุยเรื่องในอดีตหน่อยดีกว่า! หลังนายซี้เนี่ยมีเรื่องให้เล่าเยอะแยะเลย!"

    "อย่าเปลี่ยนเรื่องดิ! ฟุคุอิ!"

    "เอ้าๆ มาเล่นเล่าเรื่องในอดีตกันเถอะน่อ"

    "เดี๋ยวเซ่! ฟังกันหน่อยสิพวกนาย!!!"

    "ไม่สน / ไม่สนน่อ"

    "ไม่ต้องพร้อมเพรียงกันนักก็ได้! ไอ้พวกบ้า!!!"

     

     

     

     

     

    "ให้ตายสิ...เจ้าพวกบ้านั้น..." มายุสุมิถอนหายใจเบาๆ ขณะที่กำลังมองวิวลงมาจากดาดฟ้าอาคารเรียน...ที่ที่มิบุจิ เรโอะได้สารภาพรักกับตนในอดีตกาล "...สุดท้ายมันก็ไม่ได้บอกอะไรนอกจากเล่าเรื่องในอดีตปานคนแก่กับเราเลย ฉันสุดท้ายก็ดันบ้าจี้เล่าตามพวกนั้นอีก ให้ตายเถอะ...ตกลงที่บอกว่าวันนี้อาจโชคดีหายกลุ้มนี่มันอะไรฟะ?"

    ในยามนี้มายุสุมิทำได้เพียงบ่นอุบอิบคนเดียว...ส่วนสาเหตุที่มาอยู่นี่เพราะมันเงียบดีบวกกับไปที่ชมรมแล้วโดนโค้ชไล่มาเนื่องจากพี่ชายเขาดันไปบอกเรื่องที่เขาทำแก้วบาดเท้าตัวเอง โค้ชเลยไม่ยอมให้เขาไปซ้อมกับคนอื่น ตัวเขาถ้าได้แต่ดูคนอื่นมันก็น่าเบื่อเลยสู้มานั่งตากลมอยู่นี่ดีกว่า...

    ...เฮ้อ ว่าแต่ดูๆ ไปแล้วก็นึกถึงเมื่อก่อนดีแฮะ...ไอ้ดาดฟ้าตรงนี้ก็เคยมีเรื่องหลายเรื่องเกิดขึ้นพอดู ไหนจะตอนชาติก่อนเมื่อตอนปีหนึ่งนั่งๆ อยู่ก็มีคนเอาไปลือกันว่าเขาเป็นผีซะงั้น พอขึ้นปีสองก็โดนมิบุจิมาสารภาพรัก พอขึ้นปีสามก็โดนอาคาชิลากเข้ากลุ่มตัวจริง ส่วนพอชาตินี่ปีหนึ่งก็โดนว่าเป็นผีอีกล่ะ ปีสองดันเจอไอ้จิ่วมันดันมาทำจิตกรรมฝาผนังจนทั้งเขาทั้งมันโดนอาจารย์สั่งให้มาทำความสะอาด ส่วนปีสามนี่ยังไม่เจออะไร...

    "เฮ้อ..." พอนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมามายุสุมิก็รู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับมิบุจิเนี่ยเขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าควรไปหาไหมเนี่ย "...ช่างเถอะ...อ่านหนังสือแก้เครียดดีกว่า =_="

    หลังจากที่ตัดสินใจได้ดั่งนี้มายุสุมิก็นั่งอ่านไลท์โนวเวลเล่มโปรดไปแก้เซ็งไปเรื่อยๆ แทนที่จะกลับบ้านทั้งที่ไม่มีซ้อมหรือเรียนเพราะเขายังไม่อยากให้ที่บ้านไม่สบายใจเรื่องที่เขากลุ้มเรื่องมิบุจิอยู่เนี่ย...ถึงที่บ้านเขาจะไม่ค้านแน่นอนถ้าเขาไปคบกับมิบุจิเหมือนในอดีตชาติ แต่ถ้ารู้ว่าเขามีเรื่องกลุ้มล่ะก็รับรองทั้งบ้านพร้อมใจมากลุ้มกับเขาแน่ ดังนั้นมาอยู่แล้วปิดเรื่องกลุ้มใจนี่กับที่บ้านดีกว่า

    มายุสุมินั่งอ่านไลท์โนวเวลคนเดียวไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...

    แอ๊ด...

    ...มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับร่างของคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินขึ้นมา ทำเอามายุสุมิแทบจะเผลอปล่อยหนังสือหลุดมือเลย

    ...เฮ้ย! มิบุจิ!? มาไงวะ!? ...หรือว่าที่ฟุคุอิพูดหมายถึงนี่!? มันรู้ว่ามิบุจิมาที่นี่อยู่แล้วเหรอวะ!?...

    เด็กหนุ่มผมเงินคิดอย่างตื่นตนกนิดๆ แต่ก็ทำตัวเงียบๆ ไว้เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้ตนจืดจางยิ่งกว่างในอดีตชาติอีก ดังนั้นแค่นิ่งๆ เข้าไว้ก็โดนมองข้ามแล้ว...และก็เป็นดั่งคาดเมื่อชายหนุ่มผมดำเดินเข้ามายืนดูวิวอยู่ข้างๆ โดยสายตาไม่ได้มองมาที่ตนเลย...

    ...ว่าแต่ผ้าพันคอนั้นยังใช้อยู่อีกเหรอ? ยู่ซะ! แถมเละขนาดนั้นอีก!...

    มายุสุมิมองผ้าพันคอที่อีกฝ่ายใช้อย่างแปลกใจนิดๆ ...เพราะผ้าพันคออันนี้คือผ้าพันคอที่เขาถักแบบมั่วแสนมั่วด้วยความที่ว่าเพิ่งเคยทำครั้งแรกนั้นเอง!

    ...การที่มันยังใช้อยู่แสดงว่ามันไม่ได้ลืมเขาใช่หรือเปล่านะ?

    "มายุซัง...จะเป็นไงบ้างนะ?" มิบุจิที่อยู่ๆ พึมพำออกมาพร้อมถอนหายใจยาวๆ ทำให้มายุสุมิสะดุ้งเล็กเมื่อถูกกล่าวถึง "หวังว่าคงไม่ได้กลับมาตั้งนานแล้วแต่ปล่อยให้ฉันรอเก้อหรอกนะมายุซัง"

    ...เออ...ฉันไม่ได้คิดให้นายรอเก้อหรอกนะมิบุจิ...

    มายุสุมิตอบในใจขณะเดียวกันละอองสีขาวก็เริ่มโปรยปรายลงจากฟากฟ้าที่มืดครึม...

    ...แต่ถ้านายยังบ่นแบบแสดงว่านายยังรักฉันสินะ?...

    "ให้ตายสิ..." มิบุจิที่จ้องมองหิมะที่ร่วงหล่นลงมาหยาดน้ำก็เริ่มไหลรินออกมาจากดวงตา  "...เมื่อไหร่จะกลับมาสักทีเล่า!!! คนบ้า!!!"

    "เออ...โทษทีแล้วกันที่บ้า..." ในที่สุดมายุสุมิก็เอ่ยเรียกอีกฝ่าย ทำให้มิบุจิสะดุ้งโหยงก่อนที่จะหันไปทางต้นเสียงอย่างเร็วจนแทบคอเคล๊งและนั้นทำให้มายุสุมิเผยรอยยิ้มออกมาบางๆ "...แต่ไม่คิดเลยนะว่านายจะยังรอฉันจริงๆ น่ะ มิบุจิ"

    ...ในที่สุดการรอคอยของเขากับมิบุจินี่ก็จบลงเสียที...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    End



    Cr. Kuroko no Basket 3rd Season 19



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×