คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #163 : [NebuMayu] Shukuhaku
Title : Shukuhaku
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Nebuya x Mayuzumi
Notes : s // มาแล้วกับผู้ได้ที่โหล่...
เนบุยะ // ขอล่ะ อย่าแกล้งฉันเลย
S // ไหงมาขัดเราก่อนพูดจบอ่ะ!
เนบุยะ // เพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอจะพูดอะไรไง เลยต้องรีบดักไว้ก่อน
S // ชิ แต่...ยังไงนายก็ไม่รอดจากการถูกเราแกล้งหรอก!!! (เสกงูยักษ์ใส่)
เนบุยะ // เฮ้ย!!!! ไหงคราวนี้ดูปวดจิตกว่าปกติเนี่ย!? (วิ่งหนีงูยักษ์ที่ไล่เขมือบตน
S // เพราะดีอยากหาที่ระบายความเครียดจากการบ้านกองเท่าภูเขาน่ะ (มองคนที่ถูกงูจับกินไปทั้งตัวพร้อมรอยยิ้มดูโรคจิตนิดๆ) ...ไปทำการบ้านดีกว่า ลั้นลาๆ
.....................................................................................
Shukuhaku
“ให้ตายสิ...ไอ้จูนิเบียวตาสองสีนั้นคิดบ้าอะไรฟะ? ถึงให้มาพักในที่แบบนี้เนี่ย?” เสียงบ่นกระเปาะประแปะดังออกมาจากเด็กหนุ่มผมเงินอย่างไม่ขาดสาย ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมเหล่มองสถานที่ตรงหน้าด้วยความหงุดหงิด....จะไม่ให้หงุดหงิดได้ไงล่ะ ในเมื่อที่ที่ตนยืนอยู่ตอนนี้นั้น...
...ยังกับโรงแรมผีสิง!!!
“น่าๆ อย่าบ่นนักสิมายุสุมิซัง...คิดแง่ดีอย่างน้อยอาคาชิก็ไม่นึกคึกให้เราไปนอนกลางป่าล่ะ” ร่างอันสูงใหญ่ของเด็กหนุ่มผิวเข้มเอ่ยปลอบคนผมเงินด้วยเสียงเบาแบบกลัวว่าคนที่กล่าวถึงจะเดินกลับมาได้ยินซ็อตเด็ดพอดี
“เออ! ไม่เถียง! แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าอาคาชิมันนึกคึกอะไรให้มาเที่ยวกันในที่แบบนี้ต่างหาก!” มายุสุมิเถียงกลับ
“จะว่าไปก็จริงแฮะ...ปกติเซย์จังไม่น่าจะพามาในที่แบบนี้นี่น่า?” เด็กหนุ่มผมดำหน้าสวยเอ่ย
“อาคาชิอาจหาที่พักไม่ได้เลยจองที่นี่แทนมั้ง?” เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลลองเอ่ยแสดงความคิดเห็นดู
“ตลกล่ะฮายามะ อย่างอาคาชิเนี่ยนะจะหาที่พักไม่ได้? เว้นแต่เกิดนึกจะมาก็มานี่เลยล่ะนะ” มายุสุมิไม่คิดว่าคนอย่างอาคาชิจะทำอะไรแบบไม่มีการวางแผนมาก่อนหรอก “และถ้าเป็นแบบนั้นจริงอาคาชิคงโดนผีดลใจให้มานี่แล้วล่ะมั้ง”
“อื้อ...อาจโดนจริงๆ แฮะ” เสียงเรียบๆ นึ่งที่ดังขึ้นด้านหลังคนผมเงินอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เด็กหนุ่มทั้งหลายที่จับกลุ่มนินทา (?) ชาวบ้านอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนที่จะหันไปมองยังต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง “ตกใจอะไรกันน่ะ?”
“ตกใจนายนั้นแหละ!” มายุสุมิแยกเขี้ยวใส่เด็กหนุ่มผมแดงที่มาอยู่ด้านตนเมื่อไหร่ไม่รู้ “มาตอนไหนเนี่ย!?”
“ตอนที่บอกว่าฉันโดนผีดลใจให้มาที่นี่นั้นแหละ...” อาคาชิตอบพร้อมกระตุกยิ้มเหี้ยม “...และนี่พวกนายดูนินทาฉันสนุกกันดีเนอะ? กลับไปอยากโดนซ้อมเพิ่มสักสามเท่าสินะ?”
“ม...ไม่จ้า” มิบุจิส่ายหน้าวืดก่อนแว่บไปหลบหลังคนผมเงิน
“ฉันก็ไม่เอานะ” เนบุยะเอ่ยก่อนที่จะนำร่างใหญ่ๆ ของตนไปหลบหลังคนผมเงินอีกคน
“ฉันก็ไม่อ่าวววววว เดี๋ยวหมดแรงข้าวต้มแล้วไปหามิยาจิซังไม่ได้อ่ะ” ฮายามะโดดไปเกาะหลังเนบุยะ
“...นี่พวกนายเห็นฉันเป็นกันชนหรือไง?” มายุสุมิกรอกตาไปมา
“เอาน่ามายุซัง...คิดว่าทำหน้าที่รุ่นพี่ที่ดีแล้วกัน” มิบุจิยิ้มเจื่อนๆ ...
...ขอโทษนะมายุซัง~~~ มันจำเป็นอ่ะ~~~...
“พอดีฉันไม่อยากเป็นรุ่นพี่ที่ดีน่ะ” มายุสุมิพยายามสลัดพวกที่มาหลบหลังตนออก แต่ว่า...ไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ราชันไร้มงกุฏทั้งสามเกาะแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกอีกในยามนี้ “จะเกาะแน่นอะไรนักหนาวะ!? นี่คิดว่าฉันเป็นกันชนจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย!?”
“น่าๆ คิดว่าพลีชีพเพื่อคนหมู่มากแล้วกันฮ๊าฟ” ฮายามะเอ่ย
“อย่าพูดจะใช้ฉันเป็นเครื่องบูชายันเซ่!” มายุสุมิโวยลั่น “พูดจาแบบนี้เดี๋ยวเอาเรื่องที่นายทำพัดไอดอลสุดรักสุดหวงของมิยาจิขาดแล้วเอาไปซ่อนไปบอกมิยาจิซะนิ!”
“แว๊ก! คุณคิ้วบางรู้ได้งาย~~~~!?” ฮายามะโดดลงจากหลังเพื่อนตนเองไปเกาะคนผมเงินทันควัน “ห้ามบอกมิยาจิซังนะครับๆๆๆๆๆ ไม่งั้นมิยาจิซังงอนผมตายเลย!”
“เออๆ รู้แล้วน้า เลิกพูดกรอกหูฉันสักทีเถอะ!” มายุสุมิกรอกตาไปมา...นี่ตกลงมันอยู่ม.ปลายหรือประถมวะ!?
“หึๆ” ดวงตาสองสีมองลูกทีมของตนทั้งสี่ด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ “เอาๆ เลิกเล่นแล้วมาคุยเรื่องแบ่งห้องพักกันเถอะ”
“แบ่งห้องพัก? คราวนี้นายไม่ได้เช่าห้องตามจำนวนคนแบบทุกทีเหรอ?” มายุสุมิขมวดคิ้วเป็นปม
“พอดีห้องว่างไม่พอน่ะ เลยได้ห้องคู่สองห้อง ห้องเดี่ยวหนึ่งห้อง” อาคาชิอธิบายง่ายๆ สั้นๆ
“แล้วแบบนี่จะแบ่งห้องกันยังไงดีล่ะ?” มิบุจิเอียงคอเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด “โอน้อยออกกันไหม?”
“เอางั้นก็ได้ รอบแรกใครออกต่างจากเพื่อนได้ห้องเดี่ยว รอบสองใครออกเหมือนกันก็ให้อยู่ห้องเดียวกันไปเลยโอเคไหม?” ดวงตาสองสีจ้องมองไปยังคนอายุมากกว่าเป็นเชิงถามความเห็น
“ได้เลย~~~” ฮายามะตอบรับอย่างร่าเริง
“โอเค” เนบุยะพยักหน้ารับด้วยความที่ว่าไม่อย่างขัดใจคนผมแดง
“ตามแต่เถอะ” มายุสุมิที่ขี้เกียจออกความเห็นตอบไปส่งๆ
“งั้นตกลงตามนี้...” เมื่ออาคาชิได้ข้อสรุปก็จับลูกทีมตนแต่ล่ะคนมายืนล้อมวง “...เอาล่ะ...โอน้อยออก!”
“อยากบ้า ตกลงว่า...หมอนั่นจะดวงดีไปไหนวะ!?” เสียงบ่นอุบอิบดังขึ้นอย่างหงุดหงิดพร้อมกับมือขาวโยนกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นบนเตียง “ขนาดเกมแบบนี้ยังชนะ! โคตรน่าหมั่นไส้จริงๆ โว้ย!!!”
“ถึงไม่เคยเห็นอาคาชิแพ้ก็เถอะ...แต่แบบนี้มันเกินไปไหมเนี่ย?” เด็กหนุ่มหัวลูกสนุ๊ก (เมื่อไหร่จะเลิกเรื่องแบบนี้เนี่ย?! // เนบุยะ , จนกว่าเราจะหายบ้ามั้ง? // s , ...งั้นคงไม่มีวันสินะ? #ทำหน้าปลงสุดชีพ // เนบุยะ) ทิ้งตัวนั่งบนเตียงที่อยู่ข้างๆ เตียงที่คนผมเงินโยนกระเป๋าใส่เมื่อครู่...
...ก็มีอย่างที่ไหนเล่นโอน้อยออกกันห้าคนแค่รอบแรกทุกคนก็คว่ำมือลงกันหมดยกเว้นอาคาชิคนเดียวเนี่ย! มันบังเอิญที่ทุกคนออกเหมือนกันยกเว้นอาคาชิคนเดียวจนน่าแปลกเลย!...
“เห็นด้วยเลย” มายุสุมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งลงบนเตียงที่ตนจองเอาไว้ ดวงตาสีเงินเหลือบมองนาฬิกาที่ติดผนังอยู่ “อ่ะ ดึกแล้วแฮะ...ฉันว่าพวกเรารีบอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้อาคาชินัดไปเที่ยวแต่เช้าด้วยสิ”
“นั้นสิ ถ้าเกิดตื่นสายขึ้นมาเจอพวกนั้นมาบุกหาถึงห้องแน่” เนบุยะนึกภาพออกเลยว่าถ้าเกิดตื่นสายขึ้นมาจะเป็นไง...ถ้ามาแค่เพื่อนเขาสองคนน่ะโอเคอยู่ เพราะโดนบ่อย (?) แต่ถ้าอาคาชิมาปลุกด้วย...
...มีแววได้เลือดอาบรับเช้าวันใหม่แน่
“และมั่นใจได้เลยว่ามากันเนี่ยไม่มาปลุกแบบปกติชัวท์” มายุสุมิเดาได้เลยว่ามาแต่ล่ะตัวเนี่ยนำเรื่องปวดหัวมาให้ทั้งสิ้นแน่ “แล้วนี่...ใครจะอาบก่อนดีล่ะ?”
“มายุสุมิซังเชิญก่อนเลยครับ” เนบุบะเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก...เขายังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่ที่ให้อีกฝ่ายอาบก่อนเพราะเห็นว่าเป็นผู้อาวุโส (?) แค่นั้นแหละ
“เออๆ ตามนั้น” มายุสุมิขานรับก่อนที่จะ...
“อ้าวเฮ้ย!” ...ถอดเสื้อมันตรงนี้เลย! “มาถอดเสื้ออะไรตรงนี้ล่ะ!? ทำไมไม่ไปถอดในห้องน้ำ~~~~!!!
“พอดีเอาเสื้อมาไม่พอเลยกะใส่ตัวนี้ซ้ำน่ะ จะถอดในห้องน้ำก็กลัวทำเปียก” มายุสุมิตอบพร้อมหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋ามาถือไว้และเอาผ้าเช็ดตัวพาดบ่า “แล้วนายจะโวยทำไมเนี่ย? แค่ถอดเสื้อนะเว้ยไม่ใช่แก้ผ้า! ในห้องชมรมก็เห็นออกบ่อยไม่ใช่หรือไง?”
“ไม่บ่อยสักหน่อย! ก็เล่นจืดจางซะมองข้ามตลอดเลยนิ!” เนบุยะแว๊ดกลับ
“ก็ถือว่าเคยเห็นแล้วกัน!” มายุสุมิกรอกตาไปมาก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างขี้เถียงคนอายุน้อยกว่า
“...เฮ้อ ให้ตายเถอะ” เนบุยะที่สายตามองคนผมเงินตามไปจนได้ยินเสียงล็อกประตูดังแกร็งถอนหายใจออกมาเบาๆ “คิดจะยั่วกันหรือไงมายุสุมิซัง?”
...อยากจะบ้าจริง...การที่บังเอิญได้มาพักห้องเดียวกับมายุสุมิซังเนี่ยอันตรายต่อหัวใจชะมัด...
...หรือว่าที่จริงไอ้สองตัวนั้นเห็นเขา ‘แอบชอบ’ มายุสุมิซังมานานแล้วไม่กล้าบอกเลยให้อาคาชิช่วยหว่า? คงไม่มั้ง...เฮ้อ ช่างเถอะ ไอ้ที่น่าห่วงตอนนี้มีแต่...
...ตัวเขานี้แหละว่าจะเผลอตบะแตกหรือเปล่า...ถ้าเกิดตบะแตกขึ้นมาจริงๆ แล้วกดมายุสุมิซังเข้าโดนเกลียดแหงๆ...
...จะเอาไงดีวะเนี่ย!?...
“ก็บอกความในใจไปเลยสิ...”
“บอกง่ายๆ ได้ที่ไหนล่ะ...เอ๊ะ?” เนบุยะที่ได้ยินเสียงทุ้มๆ ของใครสักคนดังขึ้นเผลอตอบกลับไปก่อนที่ชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายามนี้ตนนั่งอยู่คนเดียวและมองซ้ายมองขวาเพื่อหาต้นเสียง แต่...ไม่พบสิ่งใดเลย “หูแว่วเหรอ?”
...นี่เขากังวลเรื่องนี้มากไปจนหูแว่วเลยเหรอ?...
“เฮ้ อาบเสร็จแล้ว...อ้าว? ไหงทำหน้าเหมือนงงแบบนั้นล่ะ?” ในระหว่างที่เนบุยะกับกำลังงงกับตัวเองอยู่นั่นเด็กหนุ่มผมเงินในชุดนอนสีฟ้าก็โผล่ออกมาจากห้องน้ำพอดี
“อ่ะ! เปล่าๆ ไม่มีอะไร...” เนบุยะสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะตอบกลับไปเช่นนี้ “...ว่าแต่อาบน้ำเร็วจังนะครับมายุสุมิซัง...คิดว่าจะอาบนานแบบเรโอะมันเสียอีก”
“นายคิดว่าฉันเจ้าสำอางแบบหมอนั่นหรือไง?” มายสุมิกรอกตาไปมา
“ไม่” เนบุยะส่ายหน้าไปมา
“ถ้าคิดแบบนั้นนายก็อย่ามาสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้แล้วไปอาบน้ำเลยไป!” มายุสุมิเอ่ยกึ่งไล่...
...ปวดหัวกะมัน...นี่มันใช่เรื่องควรสนใจไหมเนี่ย? ตอนนี้สิ่งที่ควรทำคือรีบอาบน้ำนอนจะได้ไม่ตื่นสายในวันพรุ่งต่างหาก...
“ครับๆ” เนบุยะขานรับก่อนรีบหยิบเสื้อผ้าพร้อมผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปในทันที
“เฮ้อ...ทำไมแต่ล่ะตัวนี่น่าปวดหัวชะมัดเลยเนี่ย?” มายุสุมิถอนหายใจออกมาเบาๆ “หรือเมื่อก่อนทำบาปเยอะ ตอนนี้เลยเจอรุ่นน้องมาป่วนเนี่ย?”
“ไม่หรอกมั้ง? อีกอย่างถึงปากพูดงั้นแต่พวกนายก็ดูสนิกกันดีนิ”
“สนิกกันที่ไ...เอ๊ะ?” มายุสุมิที่เผลตอบเสียงที่ได้ยินกลับไปชะงักก่อนที่จะมองไปรอบๆ ...แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเลย “เมื่อกี้...หูแว่วเหรอ?”
“ไม่แว่วหรอก~~~”
“...” มายุสุมิที่ได้ยินเสียงเดิมอีกระรอบเริ่มเหงื่อแตก “เฮอะๆ ขอให้นี่คือโดนอาคาชิแกล้งเอาลำโพงจิ๋วมาติดกระเป๋าหรืออะไรสักอย่างเถอะ”
...อย่าให้เป็นไอ้นั้นเลยเถอะ! ไม่งั้นเขาไอ้จูนิเบียวตาสองสีนั้นมาไล่จริงๆ ด้วย!... (นายจะใช้อาคาชิไล่เนี่ยนะ? นายเห็นรุ่นน้องนายเป็นอะไรเนี่ย? // s , ไอ้เด็กบ้าที่น่ากลัวกว่าปีศาจจากนรกไง // มายุสุมิ)
“...ไหงเหงื่อแตกแบบนั้นล่ะครับมายุสุมิซัง?” และจังหวะที่มายุสุมิกำลังนึกกลัวอยู่นั้น...เนบุยะก็ออกจากห้องน้ำมาพอดี แล้วเมื่อเห็นคนผมเงินนั่งหน้าซีดเหงื่อแตกอยู่ก็เอ่ยถามขึ้น
“อ...เออ ไม่มีอะไร” มายุสุมิเลือกที่จะปกปิดเรื่องที่เจอเมื่อครู่กับรุ่นน้องตนเนื่องจากไม่อยากทำให้อีกฝ่ายกลัวไปด้วย “อาบน้ำเสร็จแล้วก็รีบนอนเร็วๆ เถอะ”
“อ...อา ครับ” เนบุยะที่เห็นท่าทีที่แปลกไปของคนผมเงินขานรับอย่างงุนงง...ถึงจะแปลกใจแต่เนบุยะก็ยอมทำตามคำพูดของมายุสุมิแต่โดยดี จากนั้นไม่ถึงสิบนาทีเด็กหนุ่มทั้งสองก็รีบปิดไฟลงห้องและเหลือเพียงไฟหัวเตียงไว้เท่านั้น “มายุสุมิซัง...ไม่ปิดไฟหัวเตียงเหรอ?”
“ไม่ล่ะ เปิดไว้แบบนี้ดีแล้ว” มายุสุมิที่ม้วนผ้าห่มจนดูราวกับเป็นก้อนอะไรอย่าง เอ่ยเสียงอู้อี้
“...นีเป็นอะไรไปเนี่ย? ปกติมายุสุมิซังไม่ชอบเปิดไฟนอนนี่นา” เนบุยะบ่นกับตัวเองเบาๆ โดยหารู้ไม่ว่า...ตอนนี้คนที่ตนบ่นอยู่นั้นกำลังพยายามข่มตาหลับลงให้ได้หลังจากเจอเรื่องชวนหลอนมาหมาดๆ เลยสักนิด
ในเช้าวันใหม่อันสดใส ณ ล็อบบี้ของโรงแรมมีเด็กหนุ่มสามคนกำลังนั่งคุยกันตามประสาพลางมองนาฬิกาเป็นระยะๆ เหมือนกำลังรออะไรสักอย่างอยู่
“นี่ๆ อาคาชิ พี่เรโอะ...คิดว่าคุณคิ้วบางกับเอย์จังจะลงมาทันไหมอ่ะ?” เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลเอ่ยถามอย่างร่าเริง
“เอาตามความคิดฉัน...มายุซังทัน ส่วนเอย์จังน่าจะปลุกไม่ตื่นนะ” เด็กหนุ่มผู้มีผมสีดำสนิกเอ่ยตอบ
“ฉันว่าทันทั้งคู่” เด็กหนุ่มผมแดงเอ่ยโดยที่สายตาไปล่ะจากหนังสือที่ตนอ่านเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมคิดงั้นอ่ะ?” ฮายามะถามขึ้นเพราะคำตอบของเพื่อนตนนั้นเจ้าตัวได้คาดไว้อยู่แล้ว แต่ของคนผมแดง...เขาอยากรู้เหตุผลอ่ะ!
“คิดว่าพวกนั้นกล้าผิดนัดฉันไหมล่ะ?” อาคาชิถามกลับ
“ไม่” ฮายามะไม่คิดว่าจะมีใครบ้าพอผิดนัดกับคนคนนี้หรอก
“ก็รู้นี้ แล้วจจะถามทำไม?” อาคาชิสวนกลับแบบ...เล่นซะคนผมสีคาราเมลจ๋อยไปเลย
“นี่อย่าแกล้งโคทาโร่จังสิเซย์จัง...เดี๋ยวง๋อยตายขึ้นมายุ่งเลย” มิบุจิส่ายหน้าไปมาอย่างขำขันกับท่าทีของเพื่อน
“ไม่ตายหรอก เพราะถ้าตายจริงมิยาจิซังโดนงาบไปแน่...ยิ่งมีคนต่อคิวเยอะอยู่” อาคาชิเอ่ยหน้าตาย
“อย่าพูดเป็นลางสิอาคาชิ!” ฮายามะรีบฟื้นสกิลขึ้นมาทันที
“เอ้าๆ อย่าเพิ่งเล่นกันสิ” มิบุจิรีบห้ามก่อนที่หัวสีคาราเมลของเพื่อนตนจะอาบด้วยสีแดงเพราะเจอกรรไกรบิน (?) ปักหัวเอา
“อย่าห้ามเลยเรโอะ...โคทาโร่มันไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า” เสียงอันคุ้นหูทำให้มิบุจิหันไปทางต้นเสียงก่อนที่จะ...
“อรุณส...เฮ้ย! ไหงขอบตาเป็นแพนด้าแบบนั้นล่ะ!? เอย์จัง! มายุซัง!” ...แว๊ดลั่นเมื่อเห็นสภาพเหมือนคนอดนอนของผู้มาใหม่ทั้งสอง
“ไม่มีอะไร แค่นอนไม่พอน่ะ” มายุสุมิกับเนบุยะตอบออกมาเป็นเสียงเดียวพร้อมหาวเป็นการตบท้าย
“...ถ้านอนไม่พอไปนอนต่อก็ได้นะ เดี๋ยวพวกฉันเที่ยวกันสามคนเอา” อาคาชิที่เห็นสภาพรุ่นพี่ทั้งสองของตนที่ดูราวซอมบี้มุดขึ้นมาจากหลุมคิ้วกระตุกนิดๆ ...ถ้าลากไปด้วยมีหวังโดนเข้าใจว่าลากคนป่วยใกล้ตาย (?) มาด้วยแหง
“ไม่เอา...” มายุสุมิปฏิเสธทันควัน...ถ้าให้กลับห้องเขาไม่เอาเด็ดขาด!
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไหวน่า” เนบุยะเอ่ยด้วยความที่อยากเที่ยวบวกกับ...รู้สึกห่วงคนผมเงินข้างกายชอบกล
“โอเค...ตามนั้นก็ได้” อาคาชิถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความที่รู้ดีว่าคนอายุมากที่สุดในกลุ่มตนนั้นค่อนข้างหัวดื้อพอสมควร
“งั้นไปเถอะ” มายุสุมิรีบลากรุ่นน้องแต่ล่ะหน่อของตนออกจากโรงแรมทันทีราวกับไม่อยากที่จะยืนในที่แห่งนี้นานนัก...และคาดว่าคงลากไปอย่างไร้จุดหมายเลยถ้าอาคาชิไม่เสนอให้หาข้าวเช้าทานกันก่อน ทำให้เด็กหนุ่มทั้งหลายเลือกที่จะหยุดพักกินอาหารเช้ากันที่ร้านน้ำชาเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้วทันทีที่ได้ที่นั่งกับมายุสุมิเดินไปห้องน้ำนั้น...
“...เอย์จัง...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ดูมายุซังแปลกๆ ไปนะ” ...มิบุจิก็รีบยิงคำถามใส่เพื่อนร่างโตของตนทันที
“เอาตามจริง...ฉันไม่รู้ เห็นแปลกๆ ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” เนบุยะตอบ
“แน่ใจนะ? คงไม่ใช่ว่า...ทำอย่างนั้นกันนะ?” ฮายามะถามด้วยสีหน้าอยากรู้ ซึ่งผลที่ได้คือ...โดนดีดมะกอกใส่กลางหน้าผากเต็มๆ! “โอ๊ย! เจ็บ! ดีดกันทำไมอ่ะ!?”
“ก็ใครใช้ให้พูดแบบนั้นฟะ!?” เนบุยะแยกเขี้ยวใส่คนผมสีคาราเมล
“แล้วนาย...ทำจริง?” อาคาชิที่ดูเหมือนอยากแกล้งอีกฝ่ายเล่นด้วยเอ่ยถาม
“จะบ้าเหรอ!? ใครจะไปทำเล่า!” เนบุยะทำหน้าบึง
“ถ้าไม่ได้ทำแล้วทำไมพวกนายเหมือนอดนอนกันล่ะ?” อาคาชิถามต่อแบบตรงๆ จุดไปเลย
“สำหรับมายุสุมิซังฉันไม่รู้หรอก แต่ฉันเนี่ยเพราะกลางดึกเมื่อคืนอยู่ๆ มายุสุมิซังขอมานอนด้วยน่ะ...จากนั้นมายุสุมิซังก็ดูเหมือนเพิ่งได้หลับตอนนั้นแหละ มีแต่ฉันนี่แหละที่นอนไม่หลับแทนเนี่ย” เนบุยะอธิบาย
“แล้วเอย์จังก็ลักหลับคุณคิ้วบาง? แอ๊ก! เจ็บนะ! ไอ้กอริล่าบ้ากล้าม!” ฮายามะแว๊ดลั่นเมื่อโดนมือใหญ่ๆ ของเนบุยะตีหลังดังป๊าบ
“ก็เลิกพูดแบบนี้สิฟะ! ฉันเสียหายนะเว้ย!” เนบุยะเริ่มอยากงัดสมองฮายามะออกมาดูจริงๆ ว่าในหัวมันมีอะไรกันแน่...ที่พูดแต่ล่ะอยากนี้มันน่านัก!
“อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ ฉันยังมีเรื่องสงสัยอยู่นะ” มิบุจิห้ามเพื่อนทั้งสองของตนที่เริ่มทะเลาะกันเรื่องที่มัน...ออกจะไร้สาระแล้ว
“โอเคๆ มีอะไรว่ามา” เนบุยะที่ไม่อยากโดนมิบุจิบ่นเอ่ยถาม
“มายุซัง...ไหงถึงไปขอนอนกับเอย์จังล่ะ? ปกติซึนๆ อย่างมายุซังไม่น่าจะยอมขอนอนด้วยนิ?” มิบุจินึกไม่ออกเลยว่าอะไรทำให้รุ่นพี่หัวเงินของตนเลิกซึน (?) ได้เนี่ย
“จะว่าไปก็จริงแฮะ” เนบุยะยอมรับว่านี่มันแปลกจริงๆ นั้นแหละ
“อาจกลัวผีมั้ง” ฮายามะลองเสนอเท่าที่สมองน้อยๆ (เฮ้ย! เอาดีๆ สิ! // ฮายามะ) ของตนจะคิดออก “ก็โรงแรมมันเหมือนหนังผีอยู่นะ”
“อย่างมายุซังไม่มั้ง” มิบุจิไม่คิดว่าแค่นั้นสามารถทำให้คนผมเงินเกิดอาการกลัวผีได้หรอก
“จะว่าพอพูดถึงผี...เมื่อวานฉันได้ยินเสียงแว่วๆ ในห้องด้วย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นมายุสุมิซังอาบน้ำอยู่แท้ๆ” เนบุยะเอ่ยอย่างคนที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้
“เอ๊ะ? ได้ยินเสียงแว่วๆ? อย่าบอกนะ...ว่าของจริง?” ฮายามะเหงื่อตกเล็กน้อยเนี่องจากเมื่อกี้แค่พูดเล่นๆ ไม่คิดว่าจะได้รับการตอบรับแบบนี้
“ไม่มั้ง” มิบุจิเริ่มเหงื่อตกอีกคน...อย่าพูดให้เสียวสิ! เขาก็กลัวผีเหมือนกันนะ!
“แต่ไม่แน่นะ...” อาคาชิเอ่ยแย้ง “...อาจมีอะไรน่าสนุกแฝงอยู่ก็ได้ใครจะรู้”
“สนุกนายคนเดียวสิ! ฉันหลอนจะตายชัก!” เนบุยะเบ้หน้า...ถ้าเกิดที่เขาได้ยินเป็นผีจริงเนี่ยซวยตายชัก!
“คงงั้นแหละ” อาคาชิยักไหล่อย่างไม่สนใจนัก “เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมและห้องพักของนายดูแล้วกัน เผื่อรู้อะไรขึ้นมาบ้าง”
“ก็ดีเหมือนกัน” เนบุยะเอ่ย
“หวังว่าตรวจไปจะไม่เจออะไรนะ...” มิบุจิถอนหายใจออกมาเบาๆ “...ว่าแต่มายุสุมิซังทำไมไปห้องน้ำนานจังหว่า?”
“เออ แฮะ” ฮายามะมองไปยังทางไปห้องน้ำ “คงไม่ได้เป็นลมในห้องน้ำไปแล้วนะ?”
“ปากเสียน่าโคทาโร่” อาคาชิเอ่ย
“...ฉันว่าฉันไปดูหน่อยดีกว่า” เนบุยะที่เริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีลุกขึ้นจากเก้าอี้ และในตอนนั้นเอง...
“นายจะไปไหนน่ะเนบุยะ?” ...คนที่เนบุยะกำลังจะไปตามหาก็กลับมาพอดี
“...ก็กำลังจะไปหาคุณนั้นแหละ เห็นไปซะนานเชียวเลยจะไปตามน่ะ” เนบุยะเอ่ยพร้อมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ดังเดิม
“แล้วนี่คุณคิ้วบางทำไมไปนานจังอ่ะ? หลับคาส้วมเหรอ?” ฮายามะถาก่อนที่จะได้ฝ่ามือพิฆาตจากคนผมเงินไปเต็มๆ “โอ๊ย! เจ็บนะฮ้าฟ!”
“ก็ตั้งใจให้เจ็บน่ะสิ!” มายสุมิแยกเขี้ยวใส่คนผมสีคาราเมล...ปากหาเรื่องแบบนี้มันรอดมาจนปานนี้ได้ไงวะ!?
“อย่าทะเลาะกันสิ คนอื่นเขามองแล้วนะ” อาคาชิพร้อมกับ...ยกกรรไกรขึ้นมาขู่ “จะไม่เลิกมีแจกกรรไกรเรียงตัวแน่”
“หยุดแล้วจ้า!” ฮายามะรีบมุดลงใต้โต๊ะ (?) ทันที
“อันตรายนะเว้ยไอ้บ้า!” มายุสุมิแว่บไปหลบหลังเนบุยะ
“ไหงเอาผมมาเป็นโล่ล่ะ!?” เนบุยะที่โดนจับเอามาเป็นโล่หน้าตาเฉยสะดุ้งโหยง
“เพราะนายตัวใหญ่สุดไง!” มายุสุมิก็ยังอุตสาห์บ้าจี้ตอบอีก
“น่าๆ เอย์จังคิดว่าฝึกไว้ เพราะอนาคตมีแววเป็นเหมือนฉันก...แอ๊ก!” เสียงฮายามะลอยแว่วออกมาจากใต้โต๊ะก่อนที่จะตามด้วยเสียงเหมือนอะไรล้ม...จากนั้นหัวสีคาราเมลก็โผล่ออกมาโดยมีส้มสองลูกประดับบนหัวอย่างเด่นชัด “ถีบกันเฉยเลยนะเอย์จัง! ไหงวันนี้ขยันทำร้ายฉันจังเนี่ย!?”
“ก็ปากหาเรื่องเองนี่หว่า!” เนบุยะค้อนใส่เพื่อนตนเองวงเบ้อเร้อ
“พูดจาไม่คิดยังกับเด็กประถม” มายุสุมิเอ่ยเสริม
“แถมพูดแต่ล่ะอย่างนั้นก็ชวนให้ปื้ดจริงๆ เสียด้วย” มิบุจิเอ่ยย้ำ
“และยังทำหน้าน่าเอาอะไรปาหัวด้วย” อาคาชิ...ที่ไม่รู้อยากเล่นมุขหรืออะไรไม่ทราบเอ่ยหน้าตาย
“เออๆ! ย้ำกันเข้าไป! งอนแล้วนะ!” ฮายามะทำแก้มป่อง
“อยากงอนก็งอนไปสิ! ไม่ง้อหรอก!” เด็กหนุ่มทั้งสี่เอ่ยออกมาเป็นเสียงเดียวกัน...เล่นซะคนโดนตอกกลับเช่นนี้แทบอยากลงไปกระซิกกับพื้นเลย
“ทุกคนใจร้ายอ่ะ!” ฮายามะโวย...จากนั้นก็กลายเป็นว่าเด็กหนุ่มทั้งห้าก็เถียงกันไปมาอย่างสนุกสนาน (?) และกว่าจะเลิกเถียงกันก็เมื่ออาหารที่สั่งไปมาเสริฟ์นั่นเอง
“เนบุยะ...”
“มีอะไรเหรอ?”
“หน้าฉันมีอะไรติดอยู่เหรอ?”
“เปล่านี่ครับ”
“แล้วนาย...จะจ้องหน้าฉันหาเลขหรือไงห๊า!!?”
เสียงโต้ตอบดังขึ้นมาเบาๆ ภายในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง โดยที่ต้นเหตุสนทนานี่มาจากเด็กหนุ่มหัวลูกสนุ๊ก (...ถึงรู้ว่าเธอไม่มีทางเลิกเรียกแบบนี่...แต่มันขัดหูโว้ย! เอาอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ ดิ!? // เนบุยะ , ได้ แต่เราไม่เอา // s) ที่จ้องมองคนผมเงินซึ่งม้วนตัวกลมในก้อนผ้าห่มจนเหมือนดักแดแบบไม่วางตา
“ก็วันนี้มายุสุมิซังแปลกๆ ไปนิ...” เนบุยะเอ่ยโดยที่ดวงตายังจับจ้องไปที่คนผมเงินอยู่ “...ทั้งทำท่าเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง คิดจะไปเที่ยวแต่วัด ไม่ไปร้านหนังสือแบบปกติ แถมไม่พูดจาซึนๆ แบบปกติด้วย”
“ไม่ได้แปลกเสียหน่อย! แล้วที่สำคัญฉันไม่ซึนด้วย!” มายุสุมิค้อนใส่อีกฝ่าย
“เอ้าๆ ไม่ซึนก็ไม่ซึนแต่...ไอ้ที่แปลกไปเนี่ยผมขอยืนยันเลยว่าคุณดูแปลกไปมากถึงมากที่สุดเลย ดูแปลกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วด้วย” เนบุยะยังคงจ้องมายุสุมิต่อปาย~
“คิดไปเองมั้ง” มายุสุมิปฏิเสธพร้อมหลบสายตาของรุ่นน้องตน
“ไม่หรอก เรื่องมายุสุมิซังผมไม่มีทางมองพลาดหรอก...ช่วยบอกปัญหากันมาดีๆ เถอะครับ เผื่อเป็นเรื่องที่พอช่วยได้” เนบุยะกดเสียงหนักๆ เพื่อกดดันให้อีกฝ่ายยอมสารภาพ (?) ความจริงออกมา แต่แล้ว...
“ไม่มีอะไรหรอก หมอนี่แค่กลัวผีแต่พยายามตีหน้าปกติแค่นั้นแหละ” ...ดันมีเสียงใครไม่รู้ตอบกลับมาน่ะสิ!
“เออ...มายุสุมิซัง ได้ยินแบบผมหรือเปล่าอ่ะ?” เนบุยะถามด้วยอาการเหงื่อแตกนิดๆ
“อยากตอบว่าไม่ แต่บังเอิญว่า...มันใช่น่ะ” มายุสุมิเริ่มมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง
“เผ่นไหม?” เนบุยะถาม
“แล้วได้ยินทั้งคู่แบบนี่จะอยู่หาขนมจีบเหรอ?” มายุสุมิเอ่ย
“งั้นก็...เผ่นดิ!” เนบุยะโดดลงจากเตียงโดยเร็วอุ้มตัวมายุสุมิขึ้นมาแล้ววิ่งไปที่ประตูเพื่อที่จะออกจากห้อง...เสียแต่ประตูมันเปิดไม่ออกน่ะสิ! “เฮ้ย! ประตูเป็นอะไรเนี่ย!?”
“ซวยแล้วไง!” มายุสุมิเหงื่อแตกพลั่ก
“เปิดให้ตายก็ไม่ออกหรอก~~~” เสียงไร้ตัวตนเสียงเดิมดังขึ้นพร้อมกับ...มีบางอย่างกระชากตัวมายุสุมิออกจากเนบุยะอย่างรวดเร็ว!
“เหวอ! นี่มันอะไรกันวะ!?” มายุสุมิหลุดร้องเสียงหลงเมื่อยามนี้ตนลอยอยู่กลางอากาศราวกับอยู่ในอวกาศ...โคตรเสียวและหลอนเลย!
“เฮ้ย! มายุสุมิซัง!” เนบุยะเลิกสนใจกับประตูที่เปิดไม่ออกแล้วหันไปหามายุสุมิแทน “เอามายุสุมิซังคืนมานะเว้ย! ไอ้ผีบ้า!”
“ไม่ใช่ผีบ้าเว้ย! ฉันมีชื่อนะเว้ยไอ้เด็กเปตร! ชื่อไอยะ อิรุยะโว้ย!” เสียงของสิ่งที่มองไม่เห็นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพร้อมกับประตูระเบียงนั้นถูกเปิดออกอย่างแรง “ส่วนรุ่นพี่นายถ้าอยากได้คืน...ก็มาเอาเองเซ่!”
“แว๊ก!!!” มายุสุมิสะดุ้งโหยงเมื่อถูกลากออกไปจนพ้นระเบียงของห้องพัก แล้วจากนั้นร่างของตนก็ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น “ช่วยด้วย!!!”
“มายุสุมิซัง!” เนบุยะวิ่งตามออกไปที่ระเบียงและเห็นว่าตัวมายุสุมิถูกดึงสูงขึ้นไปที่...ดาดฟ้าของโรงแรม “บ้าเอ้ย!”
...ไอ้ผีเวรนั้นคิดจะทำอะไรมายุสุมิซังฟะ!?...
เนบุยะคิดอย่างหัวเสียพร้อมวิ่งกลับไปที่ประตูและลองบิดลูกบิดดู...ซึ่งคราวนี้ประตูนั้นเปิดออกได้อย่างง่ายดาย โดยที่...
“อ้าว? พอดีเลยเอย์คิจิ...ข้อมูลที่บอกเมื่อเช้าได้แล้วนะ” ...เจออาคาชิกับไอ้เพื่อนสองหน่อของตนยืนอยู่หน้าห้องพอดี “แล้วจิฮิโระล่ะ? หลับไปแล้วหรือไง?”
“เปล่า โดนผีลักพาตัวไปแล้วน่ะ” เนบุยะเอ่ยตอบตามตรง
“อ้าวเฮ้ย!” เด็กหนุ่ม (ยกเว้ยอาคาชิ) ต่างอุทานเสียงดังลั่น “กลับมาห้องแป๊ปเดียวไหงโดนเอาตัวไปแล้วล่ะ!?”
“จะไปรู้เหรอ! อยู่ๆ มันก็มาแล้วเอาตัวมายุสุมิซังไปเนี่ย!” เนบุยะเถียงกลับอย่างหัวเสีย
“หยุดทะเลาะกันก่อน...นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ...” อาคาชิเอ่ยเสียงเข้ม “...เอย์คิจิ...นายพอรู้ไหมว่าจิฮิโนะถูกพาไปไหน?”
“เห็นว่าโดนพาไปที่ดาดฟ้าน่ะ” เนบุยะตอบ
“ดาดฟ้าเหรอ?” อาคาชิทวนก่อนที่จะคว้ามือถือออกมาจากกระเป๋า “งั้นฉันจะโทรให้ตำรวจมาช่วย ส่วนข้อมูลที่ได้มาเนี่ยเดี๋ยวอธิบายระหว่างทางไปดาดฟ้าแล้วกัน เผื่อว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผีตนนั่นบ้าง”
“โอเค!” ราชันไร้มงกุฏทั้งสามขานรับก่อนจะพากันขึ้นบันไดไปอย่างพร้อมเพรียง (ไม่ไปลิฟท์เหรอ? // s , พวกฉันวิ่งไปเร็วกว่า // เนบุยะ)
“เข้าใจก็ดี...งั้นขออธิบายข้อมูลแบบรวบรัดหน่อยแล้วกัน...” อาคาชิที่ถึงแม้จะออกตัวช้ากว่าคนอื่นเพราะมัวโทรสั่งลูกน้องตนให้จัดการเรื่องเรียกตำรวจมาให้อยู่แต่ก็ยังวิ่งตามทันเอ่ยขึ้น “...ห้องพักที่เอย์คิจิกับจิฮิโระพักเมื่อก่อนเคยมีคนหายสาปสูญไปน่ะ เห็นว่าเป็นชายหญิงคู่หนึ่งที่เป็นพี่น้องกันมาพักแล้วอยู่ๆ ฝ่ายชายที่เป็นคนพี่ก็หายตัวไป ตำรวจพากันตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอจนสุดท้ายคดีก็ปิดไปทั้งอย่างนั้นโดยที่ไม่เจออะไรเลย ส่วนตัวน้องสาวนั้นไม่รู้ทำใจไม่ได้หรืออะไรเลยมาสมัครทำงานที่โรงแรมแห่งนี้ ว่ากันว่ามาเพื่อตามหาพี่ชายที่หายตัวไปต่อไปน่ะ”
“ยังกับหนังผีเลยวุ้ย!” ฮายามะบ่นขึ้นมาเบาๆ
“นั้นสิ...” เนบุยะเห็นด้วยเลยเรื่องนี่ “...แล้วเรื่องนี่ตัดจบไปแบบนี่เลยดิ?”
“เปล่า ยังมีต่อว่าหลังจากนั้นทุกคนที่มาพักห้องนั้นจะได้ยินเสียงคนพูดตลอดสักคืนก่อนที่เสียงจะหายไป...แต่น่าแปลก ไม่มีครั้งไหนจะมีเหตุการณ์แบบในครั้งนี้เลย” อาคาชิทำหน้าเครียดพร้อมตัดสายโทรศัพท์ในมือเมื่อนึกได้ว่าลืมกดตัดสาย
“งั้นแปลกแฮะ...ทำไมถึงต้องเป็นมายุซังล่ะ?” มิบุจิขมวดคิ้ว “หรือว่ามายุซังหน้าเหมือนฆาตกรหว่า?”
“ไม่น่านะ อาจบังเอิญว่าคุณคิ้วบางติดต่อกับวิญญาณดวงนั้นได้เลยโดนเอาไปช่วยหาศพมากกว่า!” ฮายามะเสนอความเห็นดู
“ถ้าจะให้ช่วยหาศพก็ขอกันดีๆ เซ่! เล่นแบบนี้มันเกินไปนะ!” เนบุยะบ่นอย่างหงุดหงิด
“อาจมีเหตุจำเป็นที่ขอเฉยๆ ไม่ได้มั้งอย่างเช่น...” อาคาชิยิ้มเย็นๆ ออกมา “...คนร้ายเป็นคนในและถ้าให้ไปช่วยแบบปกติอาจโดนคนร้ายจัดการได้มั้ง”
“แล้วเล่นเอามายุสุมิซังไปคนเดียวไม่อันตรายหรือไงวะ!?” เนบุยะไม่เข้าใจควาคิดของผีตนนี้จริงๆ!
“ก็อันตราย...ถ้าไม่ใช่ว่าจิฮิโระเป็นพวกจืดจางน่ะนะ...” อาคาชิเอ่ย “...ตามข้อมูลผีตนนั้นเกิดเป็นคนเดียวกับที่หายตัวไปนั่นจริง ตามชื่อที่ได้มาคือไอยะ อิรุยะนั่นเป็นคนที่ฉลาดพอสมควร ถ้าเป็นตามที่ฉันคิดล่ะก็ไอยะซังคงต้องมั่นใจพอดูว่าจิฮิโระจะหลบซ่อนอยู่ได้จนกว่าพวกเราหรือเอย์คิจิจะไปถึง...หรือง่ายๆ คือมั่นใจว่าชนะฆาตกรนั้นไง”
“แสดงว่าฆาตกรนั่นต้องตัวเล็กและแรงน้อยกว่าเอย์จังดิ?” ฮายามะถาม
“คงงั้นแหละ” มิบุจิเอ่ย
“แถมยังอุตสาห์เข้าใจเลือกคนอีก” อาคาชิคิดว่าไม่ว่าบังเอิญหรือจงใจ แต่การที่เอาตัวคนผมเงินไปนั้นเท่ากับว่าพวกเขาต้องไปช่วบและเลือกที่จะตามหากันเองมากกว่ารอตำรวจแบบคนอื่นๆ เขา...ซึ่งเท่ากับว่ามีโอกาสที่พวกเขาจะไปช่วยรายนั้นทันทั้งสิ้น...
...ถือว่าตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดจริงๆ...
“...ถึงอย่างนั้นก็อันตรายเฟ้ย!” เนบุยะถอนหายใจออกมาเบาๆ ...
...หวังว่ามายุสุมิซังจะปลอดภัยดีอยู่นะ...
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี่ ทางมายุสุมิ
“...อื้อ” บนดาดฟ้าของโรงแรมซึ่งวังเวราวหนังผีมีเสียงครางเบาๆ ดังขึ้นมาจากร่างของเด็กหนุ่มผมเงิน ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นพรวดเมื่อเห็นว่าตอนนี้ตนไม่ได้อยู่ที่ห้องพักตน...แต่เป็นสถานที่ที่โปร่งลมผ่านตลอด “ที่นี่...ดาดฟ้า?”
...เขามาอยู่นี่ได้ไงหว่า? อ๊ะ! จริงสิ! เขาโดนผีลากมานิ! แล้วไอ้ผีนั้นไปไหนวะ!? คงไม่ใช่จ้องจะทำร้ายเขาอยู่นะ!?...
“อ้าว? ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงที่ดังขึ้นมาใกล้ๆ ทำให้มายุสุมิสะดุ้งโหยงพร้อมหันไปมองต้นเสียงตามสัญชาตญาณ และพบกับ...ชายหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะราวๆ ยี่สิบกว่าๆ ผมสีดำออกน้ำตาล ตาสีฟ้า ดวงหน้าดูออกไปทางหล่อแต่ทั้งหมดยังไม่สำคัญเท่าร่างอีกฝ่ายดันเลือนลางจนมาทะลุได้เนี่ย! “เฮ้ๆ อย่าเพิ่งช็อกตายมาเป็นผีตามฉันอีกคนนะเฮ้ย! เดี๋ยวฉันโดนรุ่นน้องนายเผาพริกเผาเกลือแช่งเอา!”
“...” มายุสุมิมองคน เอ้ย! ผีตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจนักพร้อมพยายามตั้งสติตนให้เข้าที่เข้าทาง “คุณ...พาผมมาที่นี่ทำไม? หรือว่าจะเอาผมเป็นตัวตายตัวแทน?”
“ถ้าจะเอานายเป็นตัวตายตัวแทนโยนลงจากตึกง่ายกว่ามานั่งจ้อกันแบบนี้ไหม?” นายผีทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนฉุดนิดๆ “ที่ฉันพานายมาเนี่ยก็ไม่มีอะไรมากแค่...อยากให้ช่วยเก็บศพฉันไปที และช่วยนั่งรอเฉยๆ พยายามทำตัวจืดจางจนไม่มีใครสักเกตเห็นจนกว่าพวกรุ่นน้องนายจะมาน่ะ”
“เก็บศพ?...” มายุสุมิขมวดคิ้วเป็นปม “...แบบนั้นไปขอตำรวจง่ายกว่าไหม?”
“เคยลองแล้ว แต่ไม่ทันที่ตำรวจจะได้ขึ้นมาก็โดนไล่หรือไม่ก็เกือบโดนเก็บไปเสียก่อนน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ย “ไม่รู้จะทำไงเลยเอานายมานี่เพื่อล่อให้เพื่อนนายมาเก็บศพฉันสักทีน่ะ”
“ขนาดตำรวจยังเกือบโดนเก็บแล้วจะให้รุ่นน้องผมขึ้นมาบนนี่เนี่ยนะ? คิดอะไรของคุณเนี่ย?” มายุสุมิถามอย่างหัวเสีย...ถึงรุ่นน้องเขาแต่ล่ะตัวจะไม่ปกติสักกะตัว แต่ยังไงก็ยังเป็นแค่เด็กม.ปลายกันอยู่นะเว้ย!
“ก็ฉันว่ารุ่นน้องนายไม่มีทางเป็นอะไรนี่นา โดยเฉพาะเจ้าหนูหัวแดงที่อยู่หน้าห้องตอนที่ฉันพานายมานี่แล้วยิ่งไม่น่าเป็นอะไรเลย แถมดูท่าจะไม่ธรรมดาด้วย...รับรองว่ารุ่นน้องนายไม่เป็นอะไรหรอกและฉันไม่คิดว่าไอ้เด็กปากเสียนันบ้าพอที่จะรีบวิ่งมานี่โดนเมินเด็กหัวแดงนั่นไปหรอก” ชายหนุ่มเดาสถานการณ์หลังพาคนผมเงินมานี่ได้เลย...ก็ใครใช้ให้เด็กหนุ่มผมแดงชวนหลอนชนิดที่ผีอย่างเขายังอายล่ะ!
“เจ้าหนูหัวแดง? ไอ้เด็กปากเสีย?” มายุสุมิทวนอย่างงงๆ ...ถ้าเจ้าหนูหัวแดงเขาเดาได้อยู่ว่าหมายถึงอาคาชิ แต่ไอ้เด็กปากเสียนี่ใครวะ?...
...ถ้าปากเสียหน่อยก็ฮายามะ แต่ว่าหมอนั่นน่าจะอยูกับมิบุจิมากกว่าและไม่มีทางรู้ว่าเขาโดนผีนี่พาตัวมานี่ด้วย งั้นก็...เนบุยะเหรอ? ไม่มั้ง หมอนั่นนับว่าแทบปกติที่สุดแล้ว...
“โทษทีแล้วกัน แต่ฉันหมายถึงไอ้เด็กกล้ามโตที่อยู่กับนายนั้นแหละและที่ฉันเรียกมันว่าไอ้เด็กปากเสียนั่นก็ไม่เกี่ยวกับปกติไม่ปกติหรอก แค่โมโหที่มันเรียกฉันว่าผีบ้าแค่นั้นแหละ” ชายหนุ่มเอ่ยราวอ่านความคิดคนผมเงินออก “และเลิกเรียกฉันว่าผีนี่ผีนั่นสักทีเถอะ ฉันมีชื่อนะเว้ย! อย่างน้อยเรียกฉันว่าอิรุยะเถอะ! ขอล่ะ!”
...เรียกว่าผีๆ จนเกือบจะคิดว่าตัวเองชื่อนี่แล้วโว้ย!...
“เออ ครับ” มายุสุมิขานรับอย่างเออๆ เมื่อโดนผีตรงหน้าอ่านใจเสียดื้อๆ “แล้วอิรุยะซัง...จะให้ผมนั่งเป็นหุ่นแบบนี่นานไหมครับ?”
“คงสักพักนั้นแหละ ฉันว่าไม่นานนักหรอก...เว้นแต่เจ้าหนูผมแดงนั่นจะวางแผนอะไรไว้นะ ว่าตามจริงรายนั้นต่อให้อ่านความคิดได้ฉันก็เดาทางไม่ออกวะ” อิรุยะเอ่ย
“ถ้าตามนิสัยอาคาชิ...น่าจะวิ่งมานี่พร้อมโทรประสานให้ทางตำรวจให้มาช่วยมากกว่า” มายุสุมิที่พอเดาความคิดของกัปตันทีมตนได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“งั้นคงไม่นานนักหรอก...” อิรุยะถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังแกร็งดังขึ้นเบาๆ ร่างอันเลือนลางหันไปมาทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว “...ซวย...มาอะไรวันนี้วะ!? นี่นายอยู่เงียบๆ นิ่งๆ ไว้ล่ะ! นายพยายามทำตัวจืดๆ ไว้และเดี๋ยวฉันช่วยพลางตัวนายด้วยอีกแรง!”
“...” มายุสุมิที่เห็นท่าทางตื่นตนกของผีหนุ่มก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย...
...ว่าแต่ทำไมต้องเงียบหว่า?...
“เพราะที่ขึ้นมาเนี่ย...ดันเป็นฆาตกรที่ฆ่าฉันน่ะสิ ตอนแรกคิดว่าจะโผล่มาตอนดึกๆ แบบปกติเสียอีก” อิรุยะตอบอย่างหงุดหงิด...ตอนแรกเขากะให้คนมาเจอศพเขาแบบที่ไม่โดนขวางแบบปกติแค่นั้น ส่วนจับคนร้ายเขาไม่สนใจอะไรนักหรอก...
...ถึงเลือกคนจืดจางแบบนี่มาเผื่อไม่เป็นไปตามแผนแบบนี่แล้วก็เถอะ...แต่ก็อดเสียวว่าจะโดนเจอไม่ได้เฟ้ย!...
“...” มายุสุมิเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอยางุนงงๆ แต่ก็ยอมนั่งนิ่งๆ จากนั้นไม่นานก็มหญิงสาวคนหนึ่งที่...หน้าตาละม้ายคล้ายอิรุยะเดินผ่านหน้ามายุสุมิไปราวกับไม่เห็นตัวตนของเดกหนุ่มและเปิดฝาถังใบหนึ่งซึ่ง...
...เมื่อเปิดแล้วก็มีกลิ่นเหม็นสาปคลุ้งออกมาอย่างรุนแรงเสียจนมายุสุมิเริ่มรุ่นสึกอยากอาเจียนออกมาจริงๆ! เท่านั้นไม่พอหญิงสาวคนนั้นยัง ‘ยก’ ร่าง ‘มนุษย์’ ที่แห้งราวมัมมี่ที่ไม่สมบูรณ์ออกจากถังมากอดฟัดราวกับตุ๊กตาอีก! ซึ่งสำหรับมายุสุมิแล้วภาพตรงหน้านี่สยองเกินบรรยาย!
“เฮ้ยๆ อย่าอ้วกนะเว้ย! ไม่งั้นโดนจับได้แน่!” อิรุยะเอ่ยเตือน “และอย่างทำหน้าเหมือนสยองดิ! มันชวนให้น้อยใจนะ! ใช่ว่าฉันอยากโดนจับทำมัมมี่แบบนี่เสียหน่อย!”
“...” มายุสุมิที่พยายามไม่ให้ตนเองอ้วกออกมาพยักหน้ารับ...
...แล้วนั่น...ศพของคุณ?...
“เออดิ ศพฉันเอง...ฉันโดนยัยนั่นฆ่าแล้วโดนจับทำเป็นมัมมี่แบบนี่แหละ” อิรุยะตอบ
“...” มายุสุมิเบนหน้าหนีภาพตรงหน้าที่หญิงสาวคล้ายพวกคลั่งศพ (?) ขึ้นมาทุกที...
...แล้วคนคนนั่นคือ...ฆาตกรที่ฆ่าคุณ? ทำไมหน้าคล้ายคุณเลยล่ะ?...
“ก็ใช่น่ะสิ และอีกอย่างจะหน้าไม่คล้ายได้ไงในเมื่อนั้นน้องสาวฉันน่ะ!” อิรุยะตอบอย่างหงุดหงิด
“...” มายุสุมิขมวดคิ้วเป็นปม...
...น้องสาวคุณ? แล้วทำไมถึง...ฆ่าคุณล่ะ?...
“เอาตามจริงคือ...น้องฉันเป็นสาวยันวะ” อิรุยะทำท่าเซ็งๆ “ถ้าให้เล่าทั้งหมดก็คือยุอินะ...หมายถึงยัยนี่น่ะ ชอบฉันที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ที่จริงตอนแรกฉันไม่รู้หรอกว่ายุอินะชอบฉัน ฉันคิดว่าที่ติดๆ ฉันเนี่ยแค่ติดพี่เฉยๆ กว่าฉันจะรู้เรื่องก็ตอนที่ยุอินะมาสารภาพรักฉันเฉยเลยนั่นแหละและแน่นอนว่าฉันไม่มีทางรักน้องสาวตัวเองเกินพี่น้องไปก็เลย...”
“...” มายุสุมิพยายามตั้งใจฟังที่อิรุยะพูดโดนเมินเสียงพึมพำราวบทสวดของหญิงสาวที่อยู่ใกล้ๆ ไป
...ปฏิเสธไปสินะครับ?...
“ถูกเผง แต่ใครจะคิดเล่าว่าหลังจากนั้นสองสามวันจะโดนชวนมานี่แล้วฆ่าฉันทิ้งล่ะ...ตอนแรกคิดว่าตัดใจได้แล้วเสียอีก...” อิรุยะถอนหายใจออกมาเบาๆ (ไม่มีลมหายใจแล้วไม่ใช่เหรอ? // s , หยวนๆ น่า // อิรุยะ) “...หลังจากฆ่าฉันเสร็จ ฉันก็โดนมาดองเค็มแบบที่เห็นนี่แหละและไปไหนนอกจากห้องพักที่พักกับดาดฟ้าเนี่ยไม่ได้เลย”
“...” ดวงตาสีเงินมองท้องฟ้าที่สายฝนเริ่มโปรยลงมาเล็กน้อย ก่อนเหลือบไปยังหญิงสาวที่รีบเอาร่างมัมมี่ (?) ยัดคืนใส่ถังแล้วรีบปิดฝาโดยเร็วก่อนที่น้ำจะเข้าไปด้านใน...
...ถ้าให้เดา...น้องสาวคุณคงพูดประมาณว่าเท่านี้ก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไประหว่างฆ่าคุณสินะ?...
“ถูก ครบสูตรสาวยันเลยใช่ไหม?” อิรุยะยักไหล่เล็กน้อย
“...” มายุสุมิพยักหน้ารับและเริ่มเบนสายตาไปที่หญิงสาวที่ทำท่าจะเดินลงจากดาดฟ้า แต่ว่า...
แกร็ง...
...กลับมีเสียงคนจากด้านในเปิดเข้ามาตรงดาดฟ้านี่เสียก่อน ทำให้หญิงสาวที่ตอนแรกกะจะเข้าไปในตัวโรงแรมรีบหาที่ซ่อนทันที
“...” มายุสุมิหันไปมองผู้ที่มาใหม่ด้วยอาการเหงื่อแตกซิกๆ ...
...ไอ้พวกนี่...ทำไมไม่มาช้ากว่านี่สักหน่อยวะ!?...
“...ดูท่างานนี้ความซวยจะมาเยือน” อิรุยะเอ่ยด้วยท่าทางปลงตก...ปกติแผนเขาไม่ค่อยพลาดนะ แต่ไหงวันนี้มีแต่เรื่องเหนือการคาดการณ์ทั้งนั้นเนี่ย!?
...ถึงไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่เพราะมาหลายคนก็เถอะ...แต่ทำไมสังหรณ์ว่าจะเจอเรื่องชวนเหวอหว่า?...
“...ทำไมไม่มีใครเลยอ่ะเอย์จัง? เอย์จังมองผิดหรือเปล่าว่าคุณคิ้วบางถูกพามานี่อ่ะ?” เสียงถามดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมสีคาราเมล
“ไม่มีทาง ฉันมั่นใจว่ามาบนนี่จริงๆ” เด็กหนุ่มร่างโตเอ่ยอย่างมั่นใจ
“นั่นสิ เรื่องมายุซัง เอย์จังเคยพลาดที่ไหนล่ะ” เด็กหนุ่มผมดำหน้าสวยมองไปรอบๆ
“ฉันก็ว่างั้น แต่ปัญหาตอนนี้คือจะหาจิฮิโระเจอได้ไงต่างหาก” เด็กหนุ่มผมแดงเอ่ยอย่างทรงอำนาจ ดวงตาคู่ต่างสีมองไปรอบๆ “ฉันว่าช่วยกันหาเถอะ และอย่าแยกกลุ่มกันด้วยเพื่อกันไม่ให้หายไปอีก...โดยเฉพาะโคทาโร่ ห้ามเล่นแผลงๆ เชียวล่ะ ไม่งั้นกลับไปฉันให้นายซ้อมเพิ่มคนเดียวจนไปหามิยาจิซังไม่ได้เลยค่อยดู”
“ครับท่าน!” ฮายามะที่โดนเอาเมีย (?) มาขู่ก็รีบขานรับทันที
“ดีมาก...งั้นรีบๆ ช่วยกันหาเร็ว” อาคาชิเอ่ยพร้อมเริ่มเดินไปที่แรกคือ...บริเวณที่ดูเหมือนแปลงดอกไม้นั้นเอง
“อาคนชิ...ไหงมาหาตรงแปลงดอกไม้เนี่ย?” เนบุยะถึงปากจะถามแต่สายตาก็กวาดหาร่างของรุ่นพี่ตนไปทั่ว
“ตามลางสังหรณ์น่ะ” อาคาชิตอบง่ายๆ สั้นๆ แบบไม่คิดขยายความมากนักและเนบุยะก็ไม่บ้าพอถามย้ำกับกัปตันหัวแดงของตนให้เสี่ยงกับการโดนกรรไกรบินด้วย “และถ้าเกิดมีเรื่องอะไรจิฮิโระคงโผล่มาเองแหละ...รับรองได้”
“หื้อ? คำตอบคราวนี้แปลกจังนะเซย์จัง” มิบุจิลองรื้อๆ อุปกรณ์ทำสวนดูเผื่อคนผมเงินจะเข้าไปซ่อนด้านหลัง “ให้ตายเถอะ...ฝนตกลงมาอะไรตอนนี้เนี่ย?”
“น่าๆ พี่เรโอะ...เราควบคุมฟ้าฝนกันได้ที่ไหนล่ะ?” ฮายามะเอ่ยพร้อมลองเปิดถังที่เหมือนถังปุ๋ยดูและ...รีบปิดฝ่าอย่างรวดเร็ว “อ...อาคาชิ...พ...พี่เรโอะ...อ...เอย์จัง...ม...มานี่หน่อย”
“หื้อ? มีอะไร?” ดวงตาสองสีคนผมสีคาราเมลก่อนที่เข้าไปใกล้อีกฝ่ายด้วยมาดนิ่งๆ
“แล้วเป็นอะไรน่ะโคทาโร่จัง? หน้าซีดเชียว” มิบุจิเลิกรื้อข้าวของแล้วมองไปยังเพื่อนตนที่ทำท่าคล้ายจะเป็นลม
“แถมสั่นเป็นเจ้าเข้าอีก...เป็นไข้หรือไง?” เนบุยะเอื่อมมือใหญ่ๆ ของตนทาบหน้าผากฮายามะ “ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า? หรือว่ามือฉันตายด้าน?”
“ฉ...ฉันไม่ได้เป็นไข้นะ!” ฮายามะแว๊ดกลับ “ลองดูในถังเซ่! รับรองเป็นอาการเดียวกับฉันแน่!!!”
“ถัง?” อาคาชิเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปเปิดถังดูและในนั้นมี... “...อ๋อ ศพนี่เอง”
“อ๋อกับผีสิ! ศพเหรออาคาชิ!?” เนบุยะยื่นหน้าไปดูอีกคน “โดนดองเค็มมากี่ชาติฟะ!? แห้งซะ!”
“...เข้าใจแล้วว่าโคทาโร่จังถึงหน้าซีด” มิบุจิเบ้หน้าหนี
“สภาพศพนี่น่าจะห้าปีเป็นอย่างต่ำ” อาคาชิเอ่ยพลางปิดฝาถังลงก่อนที่จะมีใครเป็นลมไปเสียก่อน “ลองดูในถังอื่นอีกไหม? เผื่อจิฮิโระอยู่ในนั้น”
“อย่าพูดเหมือนมายุสุมิซังโดนฆ่าหมกศพไปแล้วเซ่!” เนบุยะโวยใส่คนผมแดงที่ดูท่าจะติดเชื้อปากเสียมาจากเพื่อนตนเสียแล้ว
“แค่เผื่อซ่อนในถังเฉยๆ อย่าคิดแง่ร้ายสิเอย์คิจิ” อาคาชิแตะไหล่เนบุยะเบาๆ และจากนั้นเพียงเสียววินาทีเนบุยะก็ถึงกับแข้งขาอ่อนจนล้มก้มจ้ำเบ้าพร้อมกับ...
ปัง!!!
...มีเสียงปืนดังขึ้น แถมยังมีลูกกระสุนไปติดแหง็กกับราวกั้นด้านหลังตรงจุดที่เนบุยะยืนอยู่เมื่อครู่พอดี
“และดูท่า...เราเจอคนร้ายที่เอาศพเมื่อกี้ยัดถังแล้วล่ะ” อาคาชิเอ่ยด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร ดวงตาสองสีมองไปยังจุดจุดหนึ่งไม่วางตา “ผมว่าคุณควรออกมาได้แล้วนะครับ ต่อให้ซ่อนไปผมก็รู้นะครับว่าคุณอยู่ตรงนั่น”
“...” ไม่มีเสียงใครดังตอบกลับมา แต่มีเสียงปืนนัดที่สองดังขึ้นและคนผมแดงหลบอีกตามเคยยังกับในหนัง
“น...นี่มันอันตรายไปแล้วเฟ้ย!” เนบุยะกลืนน้ำลายอย่างฝืนคอ...นี่หวังว่ามายุสุมิซังไม่โดนมือปืนนี้เก็บไปแล้วหรอกนะ!?
“ทำไงต่อดีอาคาชิ!?” ฮายามะทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ฉันยังไม่อยากตายก่อนได้มีลูกกับมิยาจิซังนะ!”
“นี่มันใช่เรื่องน่าห่วงในตอนนี้ที่ไหนย่ะ!?” มิบุจิค้อนใส่เด็กหนุ่มผมสีคาราเมล “เซย์จัง! เรารีบหนีกันเถอะ!”
“ถึงหนีไปรายนั่นก็จะไล่เก็บเราอยู่ดีนั้นแหละ...” อาคาชิมองไปยังจุดเดิมอย่าใจเย็น “...เฮ้อ ผมคิดจะคุยดีๆ กับคุณแล้วแท้ๆ แต่งานนี้ช่วยไม่ได้แฮะ งั้นก็...จิฮิโระ ฉันรู้ว่าตอนนี้นายเดินไปอยู่แถวนั้นแล้ว ช่วยถีบคุณมือปืนออกมาแล้วที่เหลือฉันจะจัดการเอง”
“...” สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ ก่อนที่จะตามด้วย...การที่มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกลิ้งออกมาจากหลังกำแพงบริเวณทางขึ้นมาดาดฟ้านี่ พร้อมกับอาวุธสีเงินลอยมาแทบเท้าเด็กหนุ่มผมแดง
“ถีบแรงใช้ได้นิ...แถมถีบจนปืนกระเด็นมานี่พอดีอีก” อาคาชิหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย! นี่นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมเนี่ยว่ามีคนซุ่มอยู่เนี่ย!?” เสียงบ่นแว๊ดดังขึ้นพร้อมกับ...เด็กหนุ่มผมเงินที่วิ่งมาทางพวกอาคาชิ
“อื้อ พอดีเรื่องแบบนี้ที่บ้านฉันค่อนข้างเกิดบ่อยเลยล่ะ” อาคาชิเอ่ยหน้าตาย
“ยังมาตอบหน้าตาเฉยอีก!” ดวงตาสีเงินค้อนใส่คนผมแดงก่อนที่จะ... “เหวอ! อะไรของพวกนายเนี่ย!?”
“ม...มายุสุมิซัง!? ปลอดภัยดีนะครับ!?” ...ถูกเหล่าอดีตราชันไร้มงกุฏรุมตะคุบราวกับซอมบี้ (?)
“ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ” มายุสุมิถอนหายใจออกมาเบาๆ กับรุ่นน้องที่อ่อนกว่าตนแค่ปีเดียวสามหน่อที่...เกาะตนแน่นยิ่งกว่าปลิงเสียอีก
“ไม่มีแผลตรงไหนใช่ไหม?” มิบุจิถาม
“อื้อ” มายุสุมิพยักหน้ารับ
“ตกใจหมด ตอนแรกคิดว่าคุณคิ้วบางจะไปนอนขึ้นอืดในถังอีกคนแล้ว” ฮายามะเอาหัวไถ่ๆ คนผมเงิน
“ปากหรือนั้น!?” มายุสุมิค้อนใส่คนผมสีคาราเมลเล็กน้อย...เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็เป็นห่วงเขา ยอมอ่อนให้ก็ได้ตอนนี่
“แล้วทำไมตอนขึ้นมาไม่เรียกหรืออะไรหน่อยล่ะครับ?! ห่วงแทบตายแหน่ะ!” เนบุยะบ่นอุบ
“ถ้าฉันเรียกก็โดนยิงดับทั้งหมู่ตั้งแต่พวกนายเดินมาบนนี้ก้าวแรกแล้วแหง” มายุสุมิตอบ
“เฮ้ๆ พวกนายอย่าเพิ่งมาถามไถ่อะไรตอนนี้ได้เปล่า? รีบๆ ไปจากตรงนี่และเรียกตำรวจมาที...ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะมีแรงมากพอกดไว้ได้ถึงเมื่อไหร่นะ ปกติยิ่งไม่เคยชนะยัยนี่ด้วย”
“หื้อ?” ราชันไร้มงกุฏทั้งสามหันไปมองเสียงที่ไม่คุ้นหูก่อนที่จะ...เกาะมายุสุมิแน่นยิ่งกว่าเดิม “เฮ้ย! ผ...ผี!”
“ก็ผีสิวะ เห็นเป็นกบเหรอ?” ชายหนุ่มที่ร่างเลือนลางจนมองทะลุได้ตอบกลับอย่างกวนๆ
“เสียงนี่มัน...” เนบุยะขมวดคิ้วเล็กน้อย “...ไอ้ผีบ้านี่หว่า!”
“เรียกใครว่าผีบ้าฟะ!? ไอ้เด็กปากเสีย!” ชายหนุ่มสวนกลับอย่างหัวเสีย “แล้วก็รีบๆ หนไปสักทีเซ่! ถึงเป็นผีก็สู้ยัยนี่ไม่ได้นะเว้ย!”
“อื้อ...เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ได้กลัวคุณสินะครับไอระซัง คุณถึงบอกว่าไม่เคยชนะเนี่ย...” อาคาชิถามอย่างใจเย็น “...คงเป็นแบบที่เขาว่าถ้าไม่กลัวผีก็ทำอะไรไม่ได้สินะครับ?”
“ถูก...เดี๋ยว นายรู้นามสกุลฉันได้ไง?” ไอระ อิรุยะถามด้วยความงุนงง
“พอดีสืบมาน่ะครับ” อาคาชิตอบง่ายๆ สั้นๆ ก่อนที่จะเดินไปหาอิรุยะ
“เฮ้ๆ จะเดินมาหาทำไมห๊า!? เดี๋ยวถ้าเกิดฉันกดไว้ไม่อยู่แล้วยุอินะเชือดนายฉันก็ซวยดิ! ฉันยังไม่อยากโดนตราหน้าว่าลวงคนมาฆ่านะเว้ย!” อิรุยะโวยใส่คนผมแดง
“ไม่ต้องห่วงคน ไม่โดนหรอก...” อาคาชิยิ้มเย็นๆ ออกมา “...และเรโอะ...พาทุกคนเร่งพวกตำรวจมาสิ เดี๋ยวทางนี่ฉันจัดการเอง”
“เออ...จ๊ะ แล้วอย่าทำใครตายล่ะ” มิบุจิขานรับด้วยอาการเหงื่อตกนิดๆ
“จะพยายาม” อาคาชิตอบกลับสั้น
“...ทำไมฉันรู้สึกโคตรหลอนน่ะเนี่ย?” อิรุยะบ่นเบาๆ
“เดี๋ยวก็รู้ครับอิรุยะซัง...ขอให้โชคดีกับการได้ชมฉากชวนสยองนะครับ...” มายุสุมิเอ่ยพลางลากรุ่นน้องทั้งสามหน่อของตนลงจากดาดฟ้าอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนหนึ่งกับผีอีกหนึ่งจัดการฆาตกรกันเอง...
...หวังว่าตอนขึ้นมาอีกรอบนี่อิรุยะซังคงไม่ซ็อกตายรอบสองนะ?... (นี่นาย...เห็นฉันหลอนขนาดไหนเนี่ย? // อาคาชิ , พิจารณาเอาเองดิ // มายุสุมิ , ที่ไม่ตอบนี่เพราะนายกลัวกรรไกรบินมากกว่า // s , ถูก! // มายุสุมิ)
“...นี่...พวกเธอแน่ใจนะว่าเพื่อนเธอจะไม่เป็นไร?” เสียงถามเบาๆ ดังออกมาจากคนในเครื่องแบบคนหนึ่งที่เดินข้างๆ เด็กหนุ่มร่างสูงทั้งสี่คน
“แน่สิครับ...รับรองได้” เด็กหนุ่มผมดำตอบ
“แถมมีแววคนร้ายจะซ็อกน้ำลายฟูมปากด้วย” เด็กหนุ่มหัวลูกสนุ๊ก (ชิโกะ! // เนบุยะ , แหม อย่าทำเสียงดุสิตัวเธอ // s) เอ่ยเสริม
“ใช่ๆ อย่างอาคาชิปลอดภัยแน่นอน!” เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ก็เล่นชวนสยองบวกจูนิเบียวซะขนาดนั้น ยังไงก็รอด” เสียงเอื้อยๆ ดังขึ้นพร้อมกับ...การปรากฏตัวของเด็กหนุ่มผมเงิน
“อ้าวเฮ้ย! มาเมื่อไหร่เนี่ย!!?” นายตำรวจทั้งหลายที่ไม่ทันเห็นตัวตนของคนผมเงินสะดุ้งโหยงจนแทบตกบันได
“ตั้งแต่แรกแล้วครับ” มายุสุมิกรอกตาไปมาอย่างหน่ายๆ
“จริงสิ!? ไม่ยักเห็น!” นายตำรวจทั้งหลายมั่นใจว่าตลอดทางที่เดินขึ้นมานี่ไม่เห็นหัวเงินๆ ของเด็กหนุ่มสักนิด!
“จริงครับ” มายุสุมิตอบหน้าตาย
“คุณคิ้วบางก็จืดจางแบบนี่แหละฮ้าฟ” ฮายามะบอกเหล่าตำรวจที่ทำหน้าเหวออยู่ ขณะที่โดดดึ๋งๆ ขึ้นไปที่ประตูทางเข้าดาดฟ้าอย่างรวดเร็ว
“นี่! อย่าโดดขึ้นบันไดสิโคทาโร่จัง!” มิบุจิดุคนผมสีคาราเมลอย่างเคยชิน
“บู้ๆ พี่เรโอะขี้บ่นอ่ะ!” ฮายามะแล่บลิ้นใส่พร้อมทำท่าจะเปิดประตูแต่...
“เฮ้ๆ! ถ้าเปิดเข้าไปเลยมันอันตรายนะ!” ...โดนนายตำรวจคนหนึ่งห้ามไว้เสียก่อน
“ไม่อันตรายหรอกครับ! ปานนี้อาคาชิจัดการเสร็จแล้วมั้งครับ!” ฮายามะเถียงกลับ
“แต่ก็ไม่ควรประมาทนะ!” นายตำรวจคนเดินรีบวิ่งไปเปิดประตูแทน เผื่อมีอะไรสวนมาตนจะได้กันเด็กหนุ่มทันแต่ว่า...เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่หลังประตูแล้วนายตำรวจก็รีบดึงประตูปิดทันที “น...นี่ฉันเมาค้างจากเมื่อวานหรือไงเนี่ย? ทำไมฉันเหมือนไอ้ที่ไม่ใช่คนหว่า?”
“ไม่เมาหรอกครับ...ก็ไอ้ที่อยู่ดาดฟ้านี่มีที่ไม่ใช่คนอยู่จริงๆ ครับ” ฮายามะเอ่ยพร้อมกับเปิดประตูอีกรอบ และสิ่งที่อยู่หลังบานประตูทำให้...
“อ้าวเฮ้ย!” ...เหล่าตำรวจทั้งหลายต่างวิ่งไปหลบหลังเด็กหนุ่มผมเงินทันทีเมื่อเห็นว่าตรงทางเข้าดาดฟ้านั้นมีร่างอันเลือนลางยืนแข็งโป๊กอยู่!
“อ้าว? คุณผียังอยู่เหรอ?” ฮายามะเอียงคออย่างงงๆ ...ถึงเขาจะกลัวผี แต่พอเห็นผีตรงหน้ายืนตัวแข็งทื่อแบบนี่มันทำเอาเขาหายกลัวไปเลย...
...เพราะบางทีไอ้ที่น่ากลัวน่ะ...อาจเป็นกัปตันทีมเขามากกว่า
“อยากหนีอยู่ แต่เจ้าหนูผมแดงบอกว่าให้ช่วยอธิบายกับพวกตำรวจก่อนน่ะ...และอีกอย่างอย่าเรียกคุณผีได้ไหมเนี่ย? เรียกฉันว่าอิรุยะเถอะ ขอล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ย
“แล้วเป็นไงครับ? อาคาชิจัดการได้อย่างถึงกึ๋นดีไหมครับ?” มายุสุมิที่เดินมาอยู่ข้างๆ ฮายามะเมื่อไหร่ไม่ทราบถามหน้าตาย
“ถึงมาก...จนฉันรู้เลยว่าทำไมพวกนายกล้าปล่อยหมอนี่ทิ้งไว้เลย! ให้ตายเถอะ! รุ่นน้องนายนี่คนแน่หรือฟะ!?” อิรุยะขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด...ตั้งแต่เป็นคนยันผีไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย!
“คนแน่นอนครับ แค่จูนิเบียวไปหน่อย” มายุสุมิตอบพลางมองไปรอบๆ ...แต่ไม่เห็นใครอยู่เลย นอกจากวิญญาณชายหนุ่มกับฟ้าหลังฝนที่เต็มไปด้วยดวงดาวเท่านั้น “แล้วอาคาชิกับน้องสาวคุณล่ะครับ? หายไปไหนน่ะ?”
“รุ่นน้องหัวแดงของนายลงไปเปลี่ยนชุดน่ะ เห็นบอกว่ายังไม่อยากเป็นหวัด ส่วนยุอินะ...ถูกมัดอยู่หลังประตูไง” อิรุยะชี้ไปที่หลังบานประตู
“หื้อ?” มายุสุมิกับฮายามะเมื่อได้ยินดังนี้ก็ยื่นหน้าไปดูหลังประตูและพบกับ...หญิงสาวซึ่งถูกมัดเหมือนดักแด สลบอยู่ “ดูท่า...ยังไม่เจอกรรไกรบินสินะ?”
“ใครว่าล่ะ เจอไปแล้วต่างหากถึงสลบแบบนี้เนี่ย” อิรุยะเอ่ยแย้ง “เล่นโยนกรรไกรใส่ยังกับดาวกระจาย แล้วพุ่งเข้ามาชกท้องจนสลบเนี่ย...ดูท่าจะไม่เกรงใจแม้เป็นผู้หญิงเลยนะ รายนั่นน่ะ นี่ยังไม่นับรังสีชวนสยองที่ปล่อยออกมาอีกนะ”
“ก็ใครจะเกรงใจคนที่เกือบฆ่าตนล่ะครับ...และนี่อาคาชิถือว่าใจดีแล้วนะครับ ถ้าปกติจะมีกรรไกรปักบนหัวไว้ให้ดูต่างหน้าสักด้ามด้วย” มายุสุมิยักไหล่เล็กน้อย ขณะที่เดินหลบให้พวกตำรวจที่มิบุจิกับเนบุยะไล่ต้อน (?) ขึ้นมากันง่ายๆ
“นั้นคือใจดีแล้วจริงดิ?” อิรุยะทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเชื่อสักหน่อย...นี่ขนาดใจดียังโหดซะ
“ครับ ถือว่าดีแล้ว” มายุสุมิพยักหน้ารับ และในตอนนั้นเอง...
“นินทากันมันส์ดีเนอะจิฮิโระ...กลับไปอยากโดนซ้อมเพิ่มสักสามเท่าสินะ?” ...เสียงเย็นก็ลอยมาพร้อมกับมือข้างหนึ่งจับบ่ามายุสุมิ
“ไม่อยากเฟ้ย!” มายุสุมิปัดมือที่จับบ่าตนออก “แล้วนี่นายก็ยังอุตสาห์มีอารมณ์ไปเปลี่ยนชุดเนอะ ไม่กลัวคนร้ายหนีหรือไง?”
“ถึงจะหนีก็หนีไม่รอดหรอก ฉันแอบติดเครื่องติดตามไว้น่ะ” อาคาชิเอ่ย
“เตรียมการไว้สมเป็นนายจริงๆ” มายุสุมิส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ “คาดการณ์เผื่อไว้อย่างน่ากลัวจริงๆ นายเนี่ย”
“ขอบคุณที่ชมแล้วกัน” อาคาชิหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะปลีดตัวไปคุยกับพวกตำรวจที่หลายๆ คนลืมทำงานแล้วมายืนดูคนจืดจางคุยกับผีตัวเป็นๆ อยู่แทน
ณ ดาดฟ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งที่ปกติจะไม่มีใครมาเดินเล่น (?) นัก ในยามนี้กลับเต็มไปด้วยคนในเครื่องแบบมากมายซึ่งกำลังทำหน้าที่ของตนอย่างขมักเขม่น
“สรุป...คุณโดนฆ่าทีดาดฟ้านี่สินะครับ? โดยการที่ถูกยิงจากด้านหลังแล้วจากนั้นน้องสาวคุณที่เป็นคนร้ายก็เอาศพคุณใส่ถังดองเค็ม เอ้ย! ทำมัมมี่แบบนี้สินะครับ?” นายตำรวจดวงกุด (?) ที่โดนเพื่อนร่วมงานถีบมาสอบปากคำชายหนุ่มซึ่งมิใช่มนุษย์เอ่ยถาม
“ใช่ครับ ตามนั้นเลย” ชายหนุ่มที่โดนถามตอบพลางนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ “แถมนอกจากนี่มีเล่นงานคนที่เผลอขึ้นมาบนนี่ด้วยครับ...ยังดีที่ส่วนใหญ่ขวางทัน”
“ส่วนใหญ่? แสดงว่ามีขวางไม่ทันด้วย” นายตำรวจขมวดคิ้ว...คงไม่ใช่รื้อๆ ไปเจออีกหลายศพหรอกนะ?
“ครับ แต่ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครตายหรอกครับเพราะโชคดีที่พวกนั่นดวงแข็งน่ะครับ” อิรุยะผู้เป็นคนเดียวที่ตายจากฆาตกรสาวเอ่ย
“งั้นเหรอครับ...” นายตำรวจถอนหายใจออกมาเบาๆ “...เช่นนั้นแล้วก็ขอขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะครับอิรุยะซัง ทางเราจะพยายามทวงความเป็นธรรมให้คุณแล้วกันนะครับ ถ้าให้ดีบอกเลขเด็ดด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องทวงความเป็นธงเป็นธรรมอะไรให้ผมหรอกครับแค่เก็บศพและกันไม่ให้ยุอินะฆ่าใครอีกก็พอ ส่วนเลขเด็ดนี่...ไม่มีให้ครับ ไม่รู้จะออกจะไร” อิรุยะยักไหล่นิดๆ ให้นายตำรวจที่ยังอุตสาห์มีอารมณ์เล่นมุขกับตนทั้งๆ ที่ตัวสั่นยิ่งกว่าเจ้าเข้าอีก “อ๋อ และถ้าจะหลักฐานอะไรจากห้องพักยุอินะให้หาที่ใต้โต๊ะหัวเตียงนะครับ ยัยนั่นซ่อนทุกอย่างไว้มันตรงนั้นนั่นแหละ”
“อา...ครับ ขอบคุณที่บอกครับ” นายตำรวจพยักหน้ารับ
“เมื่อสอบถามเสร็จแล้วผมขอไปล่ะครับ ดูท่าตอนนี้ผมไม่โดนผูกติดกับที่นี่แล้วล่ะ...แต่ไปปานนี้แล้วจะหมดโควต้าไปเกิดหรือเปล่าเนี่ย?” อิรุยะบ่นขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่จะทำท่าจะลอยขึ้นไปบนฟ้า แต่ก็ชะงักเสียก่อนเหมือนว่าเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “เออ จริงดิ...เกือบลืมไปเลย นายหัวเงินมานี่หน่อยสิ”
“หื้อ? ผมเหรอ?” เด็กหนุ่มผมเงินที่เพิ่งให้ปากคำกับเหล่าตำรวจเสร็จหันมองวิญญาณชายหนุ่มพร้อมที่ชี้นิ้วมาที่ตนเองอย่างงงๆ
“ใช่ๆ นายนั้นแหละ” อิรุยะกวัดมือเรียก “มานี่หน่อยมา”
“ครับ...” มายุสุมิถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายเรียกตนทำไม แต่ก็ยอมเดินเข้าไปหาแต่โดยดี “...มีอะไรเหรอครับ?”
“ไม่มีอะไรมากหรอกแค่...” อิรุยะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาก่อนที่จะ...ประทับริมฝีปากลงบนแก้มนวลเนียนของเด็กหนุ่มผมเงิน “...อยากขอบคุณที่ช่วยแค่นั้นแหละ”
“ข...ขอบคุณโลกไหนของคุณเขาทำแบบนี้กันครับ!?” มายุสุมิเอาแขนเสื้อเช็ดแก้มตนเองแล้วถอยห่าง
“โลกนี่แหละ เมื่อก่อนทำกับที่บ้านบ่อย” อิรุยะหัวเราะเบาๆ กับท่าทางเหมือนรังเกียจของคนผมเงิน
“นั้นมันคนที่บ้านครับไม่ใช่คนนอก!” มายุสุมิแว๊ดกลับ...
...ให้ตายสิ! นี่คงไม่ได้คิดว่าทำกับคนที่บ้านยังไงก็ทำกับคนอื่นอย่างนั่นได้นะ!?
“เปล่า ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก...” อิรุยะที่เข้าประชิตตัวมายุสุมิเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบยื่หน้าไปกระซิบข้างหูเด็กหนุ่ม “...แต่รอบนี่ทำเพราะอยากแกล้งคนเฉยๆ”
“เอ๋?” มายุสุมิหลุดร้องออกมาอย่างงงๆ และในตอนนั้นเอง...ร่างของเจ้าตัวก็ถูกแขนใหญ่ๆ ของคนที่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใครดึงเข้าไปกอด “เฮ้ย! ทำอะไรของนายเนี่ย!?”
“โอ๊ะโอ๋? ทำหน้าน่ากลัวเชียวนะ” อิรุยะยักคิ้วกวนๆ ใส่อีกฝ่าย
“...คุณคิดจะทำอะไรเนี่ยครับ?” เด็กหนุ่มตัวปานคิงคอง (เอาดีๆ ให้ได้ตลอดสักครั้งได้ไหมเนี่ย!? // เนบุยะ , ได้ แต่ไม่ทำจ้า! // s) จ้องร่างเลือนลางตรงหน้าตาเขม็ง
“ก็ไม่ได้คิดอะไร แค่ทำในสิ่งที่อยากทำน่ะ...” อิรุยะตอบด้วยท่าทางกวนส้นสุดแสน “...แค่หอมแก้มนะไม่ใช่จูบ จะเป็นเดือดเป็นร้อนไปทำไมเล่า?”
“ก็มันชวนหงุดหงิดนี่ครับ!” เนบุยะเถียงกลับด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“หงุดหงิด? หงุดหงิดอะไรเล่า? หวงรุ่นพี่หรือไง?” อิรุยะถามกลับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์...คล้ายกับว่ากำลังวางแผนอะไรเอาไว้อยู่
“ก็ใช่สิครับ!” เนบุยะตอบกลับ...ใช่! เขาทั้งหวง ห่วง หึงรุ่นพี่คนนี้สุดกู่เลย!
“หวงจริงดิ?” อิรุยะถามแม้ว่า...ในความจริงเจ้าตัวรู้คำตอบอยู่แล้วก็เถอะ
“จริงสิครับ!” เนบุยะพยักหน้ารับ
“หวงหรือหึง?” อิรุยะยักคิ้วกวนๆ
“ทั้งคู่นั้นแหละครับ!” เนบุยะเอ่ย
“แค่นี้ก็หึง?” อิรุนะยังคงถามต่อปายยยย
“ใช่!” เนบุยะที่เริ่มหงุดหงิดตอบห้วนๆ
“ถ้าหวงขนาดทำไมไม่คบกันไปเลยเนี่ย?” อิรุยะที่ทำท่าเหมือนกำลังรอชมเรื่องสนุกถามต่อ
“อยากอยู่ครับ แต่ไม่มีโอกาส!” เนบุยะตอบกลับ
“พูดแบบนี้แสดงว่า...กะจีบรุ่นพี่ตัวเอง?” อิรุยะถามพร้อมส่งยิ้มหวานให้
“เออสิ!” เนบุยะขานรับ
“เออ...ขอขัดหน่อยนะเอย์จัง...” เด็กหนุ่มหน้าสวยผมดำที่เห็นว่าเพื่อนร่างยักษ์ของตนกำลังเถียงกับผีอย่างเมามันส์ยิ้มแห้งๆ ออกมา “...นายลืมหรือเปล่าว่าตอนนี้กำลังกอดมายุซังอยู่น่ะ?”
“หื้อ?” เนบุยะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนที่...หน้าจะเริ่มร้อนพล่านขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นว่าได้พูดเรื่องน่าอายต่อหน้าคนที่ตนชอบเสียแล้ว “ม...เมื่อกี้ไม่ได้ยินอะไรใช่ไหมครับ? มายุสุมิซัง?”
“เออ...โทษที แต่เต็มสองหูเลยวะ” คนผมเงินยกมือกุ่มหน้าตัวเองที่บัดนี้แดงไม่ต่างคนที่กอดตนอยู่ด้วยสีหน้าเหมือนอยากจะหายๆ ไปจากตรงนี้ซะ
“...” เนบุยะก้มหน้างุดๆ อย่างเขินอาย...ดันเผลอเถียงเพลินจนกว่าเป็นประกาศบอกว่าจะจีบมายุสุมิซังซะได้!...
...นี่ไอ้คุณผีนี่จงใจหรือเปล่าวะเนี่ย?!...
“ก็จงใจน่ะเซ่!” อิรุยะที่อ่านใจคนอื่นได้เอ่ยพร้อมลอยขึ้นไปบนฟ้าเหมือนกลัวโดนใครสักคนถีบ...ไม่คนร่างโตก็คนผมเงินนี่แหละ “ถือว่าเป็นการแก้แค้นที่ก่อนหน้านี่เรียกฉันว่าผีบ้าแล้วกัน!”
“เป็นการแก้แค้นที่น่ารักแปลกๆ แฮะ” เด็กหนุ่มผมแดงมองร่างของชายหนุ่มที่รีบลอยหายไปก่อนที่จะโดนอะไรปาหัวอย่างขำๆ
“น่ารักกับผีสิ! น่าอายจะตายชัก!” เนบุยะแว๊ดใส่คนเด็กสุดใน ณ ที่นี่...ไอ้การหลอกให้เผลอพูดเรื่องที่เขาตะจีบมายุสุมิซังออกมาเนี่ยน่ารักตรงไหน!?
“ใช่...น่าอายจนอยากชกหน้านายสักทีจริงๆ! พูดออกมาได้ไม่อายปาก! ไปตายซะไอ้กอริล่าบ้ากล้าม!” มายุสุมิค้อนใส่คนที่กอดตนไม่ปล่อยพลางมุดออกจากอ้อมแขนเนบุยะและจากนั้น...ก็ใช้มิชไดเร็ตชั่นหนีออกไปจากสถานการณ์นี่เลย
“อ้าวเฮ้ย! มายุสุมิซัง!!!” เนบุยะที่โดนด่าใส่เต็มๆ สะดุ้งโหยงเมื่อคนผมเงินหนีไปได้อย่างรวดเร็ว “โอ๊ย! โดนมายุสุมิซังเกลียดแหงๆ แบบนี่เนี่ย!”
“ไม่หรอกเอย์คิจิ...จิฮิโระไม่ได้เกลียดหรือโกรธนายหรอก” ดวงตาสองสีเบนมามองคนที่ทำท่าเหมือนจะเฉาตายนิ่งๆ “อย่าลืมสิว่าจิฮิโระเป็นพวกซึนเดเระน่ะ”
“ใช่ๆ ท่าทางแบบนั้นแปลกว่าเขินแน่ๆ!” ฮายามะเอ่ยอย่างมั่นใจตามประสาคนมีแฟนซึน (?)
“ขนาดโคทาโร่จังยังรับรองล่ะก็เชื่อได้เลย...เรียนรู้จากมิยาจิซังมาบ่อยแบบนี่ยังไงก็ดูออกชัวท์” มิบุจิถอนหายใจออกมาเบาๆ
“รีบตามไปเร็วๆ เลย! ไม่งั้นเดี๋ยวจากเขินเป็นงอนนะเออ!” ฮายามะตบหลังเนบุยะเบาๆ
“ส่วนไปไหน...ถ้าเป็นไปตามคาดการณ์ของฉันคงจะสวนสาธารณะใกล้ๆ นี่แหละ” อาคาชิเอ่ยพร้อมส่งสายตาประมาณว่า ‘รีบไปเดี๋ยวนี้’ ให้
“อ...อื้อ!” เนบุยะพยักหน้ารับก่อนที่จะรีบวิ่งลงจากดาดฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้อาคาชิ มิบุจิและฮายามะอธิบายเหล่าตำรวจทั้งหลายที่สมองจะประมวลเรื่องราวต่างๆ ไม่ทันไป
...บ้าเอ้ย!...
...บ้าที่สุด!...
...ทำไมฉันถึง...
...หยุดคิดเรื่องแกไม่ได้วะ!?!...
...นี่แกสาปฉันหรือไง!?...
...ออกไปจากหัวฉันซะ~~~!!!...
ความคิดยังสับสนพลุบขึ้นในหัวของเด็กหนุ่มผมเงินไม่ขาดสาย ดวงหน้าใสๆ ไร้สิวของเจ้าตัวบึงสนิกราวคนท้องผูกมาสามวัน ดวงตาสีเงินฉายแววหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน...ส่วนสาเหตุที่เจ้าตัวมานั่งในสวนสาธารณะที่วังเวงสุดกู่นี่เหมือนคนคลั่ง (?) ก็ไม่ใช่อะไร แค่กำลังกลุ้มที่เรื่องที่...
...ไอ้รุ่นน้องตัวปานกอริล่ากล้ามโตนั่นบอกว่าจะจีบเขาน่ะสิ! มันปัญญาอ่อนหรือไงฟะถึงคิดมาจีบเขา!? ผู้หญิงมีเป็นล้านๆ คนทำไมไม่ไปหา มาหาเขาทำไม~~~!? ที่สำคัญ...เขาจะรู้สึกดีใจทำขนมจีบอะไรเนี่ย!?...
“เฮ้อ...” หลังจากที่ทะเลาะกับตัวเองสักพัก มายุสุมิก็ถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ “...ทำไมฉันต้องมาคิดมากเรื่องนี่ฟะ?”
...เพราะนายคนเดียว...ไอ้กอริล่ากล้ามโตเอ้ย!...
“คิดมากเรื่องอะไรครับ?” เสียงถามที่คุ้นหูดังขึ้นมาจากด้านข้างทำให้คนผมเงินสะดุ้งเฮือกพร้อมหันขวับมองที่ต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
“น...นายมาไงฟะ!?” มายุสุมิเขยิบหนีผู้มาใหม่เล็กน้อย
“วิ่งมาครับ” เด็กหนุ่มร่างโตตอบอย่างกวนนิดๆ ก่อนที่จะ...รีบดึงตัวมายุสุมิมากอด
“เฮ้ย! ทำอะไรของนายเนี่ย!? ปล่อยนะ!” มายุสุมิที่ถูกแขนอีกฝ่ายกอดเอาไว้ดิ้นพล่านๆ
“ไม่ครับ ถ้าปล่อยมายุสุมิซังก็หนีน่ะสิ” เนบุยะตอบหน้าตายสนิก “อีกอย่าง...ผมชอบกอดมายุสุมิซังแบบนี่อ่ะ”
“นายนี่มัน...” มายุสุมิที่ไม่รู้จะด่าอะไรอีกฝ่ายดีพยายามดันแขนอีกฝ่ายออก “...โคตรด้านเลย! หน้าไม่อาย! พูดนี่อายบ้างหรือเปล่าฟะ!?”
“อายก็อายครับ แต่กลัวโดนมายุสุมิซังงอนมากกว่า” เนบุยะตอบตามตรง
“ว่าใครจะงอนนายห๊า!? ไอ้บ้า!” มายุสุมิโวยลั่น
“มายุสุมิซังนั้นแหละ” เนบุยะหัวเราะออกมาเบาๆ ...ในสายของเขายามนี้อีกฝ่ายไม่ต่างจากลูกแมวกำลังขู่เลยสักนิด
“ไม่มีทางเฟ้ย! ฉันจะงอนนายทำไมห๊า!?” มายุสุมิเบ้หน้าหนี
“เอ๋? ไม่งอนเหรอครับ? งั้น...” เนบุยะฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะ...ประทับจูบลงที่แก้มของคนผมเงินอย่างบรรจง “...ผมทำแบบนี้คงไม่โกรธไม่งอนสินะครับ?”
“อ...อ...” มายุสุมิเอามือกุ่มแก้มตนเอง อ้าปากพะงาบๆ คล้ายปากขาดน้ำ ดวงหน้าเริ่มขึ้นสีแดงอย่างเด่นชัด “...ไอ้บ้า! อ...ไอ้โรคจิตเอ้ย!”
“ครับๆ บ้าก็บ้า โรคจิตก็โรคจิตครับ” เนบุยะขานรับแบบกวนๆ “แต่ถึงบ้าบวกโรคจิตก็รักคุณสุดหัวใจนะครับ มายุสุมิซัง”
“...” มายุสุมิหน้าแดงขึ้นกว่าเดิมอีกระดับหนึ่งทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบประโยค “...ป...ไปเอาประโยคนี่มาจากไหนเนี่ย!? ขนลุกโคตร!”
“โคทาโร่ครับ คราวก่อนเห็นเอาไปเล่นกับมิยาจิซังน่ะครับ” เนบุยะเอ่ย
“...มันยังอุตสาห์ไม่โดนมิยาจิมันตื้บเนอะ!” มายุสุมิมั่นใจล้านเปอร์เซ็นเลยว่าถ้าเอาไปพูดกับรายนั้นจริงโดนตื้บชัวท์!
“ใครว่าครับ โดนแล้วแต่มันอึดเลยไม่เป็นอะไรต่างหากล่ะครับ” เนบุยะแก้ความเข้าใจของอีกฝ่าย
“มันเป็นอะมีบ้ามาเกิดหรือไงวะ...ไม่สิ ตอนนี่ไม่ใช่เรื่องมาสนเรื่องนี้นี่หว่า!” มายุสุมิที่เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเถียงเรื่องแบบนี้เอ่ย “ปล่อยฉันได้เนบุยะ! เดี๋ยวมีคนผ่านมาหรอก!”
...ใช้แรงแงะแขนมันไม่ออกแหง ลองขอดีๆ ดูแล้วกัน...แถมดูยิ่งโวยมันยิ่งหื่น (?) ชอบกลอีก...
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่มีใครผ่านมาหรอกครับ...” ...เพราะเมื่อเช้าอาคาชิบอกว่าไอ้สวนนี่ไม่ค่อยมีใครผ่านหรอกในตอนกลางคืนน่ะ ด้วยความที่ว่าทั้งสวนมีเสาไฟต้นเดียวชาวบ้านเลยกลัวสะดุดอะไรล้มแล้วไปใช้ทางอื่นแทนหมด
“มันก็ไม่แน่นนี่หว่า!” มายุสุมิเถียงกลับ...ถ้าเกิดมีใครผ่านมาจริงๆ เขาได้อายจนเอาหน้ามุดดินหนีแน่งานนี้! “ปล่อยฉันเลยนะ!”
“โอเค ปล่อยแล้วครับ...อย่าทำหน้าเหมือนจะงอนผมดิ” เนบุยะรีบปล่อยมายุสุมิออกจากอ้อมแขนทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าคล้ายว่าจะร้องไห้...
...สงสัยแกล้งแรงไปแฮะ...
“ใครงอนนาย!? ไม่มีเฟ้ย!” มายุสุมิเถียง...เขาไม่ได้ทำหน้าแบบนั่นสักหน่อย!
“เอ้าๆ ไม่มีก็ไม่มีครับ...” เนบุยะตอบไปส่งๆ ก่อนที่จะกุมมือของคนผมเงินแล้วลุกขึ้นจากม้านั่ง “...เอาเป็นว่าเรากลับโรงแรมกันเถอะครับ เดี๋ยวพวกนั่นเป็นห่วงเอา”
“เหอะ! ก็ได้...” มายุสุมิเบ้หน้าเล็กน้อยพลางลุกขึ้นยืนอีกคน...ถึงจะน่าอายที่ผู้ชายสองคนจับมือถือแขนแบบนี่ แต่ก็ดีกว่าถูกกอดแบบเมื่อกี้ล่ะ “...ไปกันเถอะ ไม่งั้นมีแววได้กรรไกรปักหัวทั้งคู่แน่”
“คร้าบบบบบ” เนบุยะขานรับพร้อมรีบลากคนผมเงินกลับโรงแรมอย่างไวว่องโดยที่...ไม่ทันสังเกตบุคคลทั้งหลายที่แอบดูมาตั้งนานสองนานเลยแม้แต่น้อย...
“ให้ตายสิ เอย์จังป๊อดชะมัด” เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลทีโผล่หน้าออกมาจากพุ่มไม้ทำท่าเหมือนกำลังเซ็ง
“แต่ฉันว่าแบบนี่แหละดีแล้ว ไม่งั้นเอย์จังโดนมายุซังงอนยาวแน่” เด็กหนุ่มหน้าสวยผมดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนดุ
“ฉันก็เห็นด้วยกับเรโอะนะ...อย่างจิฮิโระน่ะ ค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้แหละดีแล้ว...” เด็กหนุ่มผมแดงเอ่ย “...เวลายังเหลืออยู่ปล่อยๆ ไปก่อนเถอะ...สิ่งที่เราควรทำตอนนี้คือรีบกลับถึงโรงแรมก่อนสองคนนั้น ไม่งั้นพวกนั้นรู้แน่ว่าเรามาแอบดูน่ะ”
“เซย์จังว่าไงก็ตามแหละเนอะ” มิบุจิเขยิบตาให้เล็กน้อย
“ทำตามเป็นดี” ฮายามะที่ไม่อยากเสี่ยงกับกรรไกรบิน (?) พยักหน้ารับ...จากนั้นไม่ถึงสิบวิเด็กหนุ่มทั้งสามก็พากันวิ่งฝุ่นตลบเพื่อกลับไปถึงที่โรงแรมให้เร็วที่สุด...
...และแน่นอนสุดท้ายเด็กหนุ่มทั้งสามก็วิ่งมาถึงโรงแรมได้อย่างรวดเร็วก่อนที่คนผมเงินกับกอริล่าบ้ากล้าม (เฮ้ยๆ! ชักแกล้งฉันเยอะไปเปล่าเนี่ย?! // เนบุยะ , ไม่รู้ไม่ชี้ไม่สน // s) จะมาถึงตามคาด...ซึ่งทั้งสามมาถึงก่อนเกือบสิบนาที ทำให้ทุกคนมีเวลามากพอที่จะพักจะตีหน้าว่าอยู่ภายในโรงแรมตลอดได้
...จากนั่นพอมายุสุมิกับเนบุยะกลับมาถึงโรงแรมก็ทำการคุยกันเล็กน้อยตามปกติ ก่อนที่จะพากันกลับห้องพักใครห้องพักมันเพื่อพักผ่อนเป็นการจบหนึ่งวันที่แสนวุ่นวายลง
End
CR. Kuroko no basuke ss3
ความคิดเห็น