คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #193 : [HimuFuri] Gitei
Title : Gitei
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Himuro x Furihata
Notes : S // สวัสดีจ้า! ถึงอันดับสสามในการโหวตมาแล้วจ้า!!! (#โผล่มาจากปลอกหมอนข้าง)
ฮิมุโระ // (#สะดุ้งโหยง) เหวอ! โผล่มางี้เลยเหรอชิโกะ!?
s // ถูกต้ม เอ้ย! ถูกต้องแล้วจ้า!!!
ฮิมุโระ // เธอนี่น่า...ว่าแต่ถึงโปรเจคแล้วเหรอ!
s // แม้นเลี้ยวและ...รีบลงไปได้แล้วนะเอ้อ!!! (เสกหมียักษ์ออกมา)
ฮิมุโระ // เอาดีๆ บ้างเถอะ!!!! (วิ่งหนีหมี)
s // ถ้าปกติก็ไม่ใช่เราล่ะ!!! (มองฮิมุโระโดนหมีจับลากลงฟิค) อ๋อ! และขอบอกก่อนว่าตอนนี้มั่วสุดฤทธิ์! กรุณาทำใจก่อนอ่านจ้า!!!
.....................................................................................
Gitei
ในวันที่อากาศสดใสเหมาะแก่การพักผ่อน แม้อุณภูมิจะเย็นไปสักหน่อยเพราะเป็นหน้าหนาวแต่ผู้คนก็ยังคงเดินขวักไขว้กันอย่างล้นหลามภายในย่านแห่งหนึ่งที่ผู้คนหนาแน่ เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังแย่งชิงลูกบอลสีส้มกันภายในสตรีทบาสเล็กๆ บริเวณแมนชั่นแห่งหนึ่งอย่างสนุกสนาน
“ฟู่ ไม่ได้เล่นกันสบายๆ แบบนี้นานแล้วเนอะไทกะ” เด็กหนุ่มผมดำหน้าหวานผู้ซึ่งป้ายผมปิดตาซ้ายเอาไว้ตลอดหัวเราะออกมาเบาๆ หลังจากที่ฉกลูกบอลมจากคู่แข่งมาทำแต้มได้เมื่อครู่
“นั้นสินะ” เด็กหนุ่มผมสีเพลิงยิ้มร่าพลางเสยผมของตนขึ้น “ว่าแต่...ไหงวันนี้มาหาฉันได้ล่ะทัตสึยะ? ไม่โดนไอ้เด็กโข่งม่วงนั้นเกาะรั้งไว้แบบปกติเหรอ?”
...ถึงดีใจอยู่ที่รายนี้มาเล่นด้วยในวันหยุดแบบนี้ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่เด็กโข่งที่ติดรายนี้ราวกับเด็กติดผู้ปกครองไม่ได้มาด้วยเนี่ย...
“อัตสึชิโดนครอบครัวลากไปเที่ยวน่ะ” ฮิมุโระ ทัตสึยะแห่งทีมบาสโยเซ็นตอบคำถามของอีกฝ่าย
“อ๋อ” คางามิ ไทกะเสือน้อยผู้กลัวหมา (เอาดีๆ เซ่! // คางามิ) พยักหน้ารับ “แล้วนี่...เย็นนี้นายจะค้างนี่ไหม? หรือว่าจะกลับอากิตะ?”
“ว่าจะค้างกับนายนั้นแหละ” ฮิมุโระเอ่ย
“ถ้าแบบนั้นายน่าจะโทรมาบอกก่อนนะ ยังไม่ได้เก็บห้องเลย” คางามิโวยเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ห้องนายก็ไม่ได้สกปรกอะไรนิ” ฮิมุโระไม่คิดว่าห้องของน้องชายร่วมสาบานของตนจะมีอะไรให้เก็บเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากปกติรายนี้ทำตัวราวกับแม่บ้าน (?) เลยไม่ค่อยมีอะไรให้รกเสียเท่าไหร่หรอก
“ปกติน่ะใช่ แต่อาโอมิเนะ...อุ๊บ!” คางามิบ่นเล็กน้อยก่อนที่จะต้องรีบตะคุบปากตัวเองทันทีเมื่อหลุดพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา
“หือ? อาโอมิเนะคุงทำไมเหรอ?” ฮิมุโระคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินชื่อของคนที่ตนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เนื่องจากอาโอมิเนะที่ว่านั้นเป็น ‘แฟน’ ของคางามิ...ที่จริงคางามิจะไปมีแฟนหรืออะไรเขาน่ะก็ไม่ขัดหรอก ถ้าไม่ติดว่าแฟนคนนี้ดันเป็นพวกกวนส้น แถมหื่นกามสุดๆ ล่ะก็นะ
“เออ...คือ...” คางามิหลบตาอีกฝ่ายวูบพร้อมนึกหาขอแก้ตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากถ้าเกิดบอกเรื่องที่ตนเกือบเผลอหลุดปากไปเมื่อครู่มีแววแฟนตนได้ถึงฆาตแน่ และ...ก็ได้ตัวช่วยในเวลาต่อมาเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคนคนหนึ่งเข้า “อ่ะ! ฟุริ!”
“หื้อ? อ้าว ไงคางามิ...” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่ถูกเรียกเดินมาหาคางามิ พร้อมหันไปส่งยิ้มทักทายคนผมดำ “สวัสดีครับ ฮิมุโระซัง”
“สวัสดี” ฮิมุโระส่งยิ้มกลับไปให้คนผมน้ำตาล แต่สายตาก็ไม่วายคาดโทษใส่น้องชายร่วมสาบานตนที่อยู่ๆ เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย
“นายมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ บ้านนายอยู่ห่างจากนี่พอสมควรนิ?” คางามิเมินสายตาอาฆาตด้วยอาการเหงื่อแตกซิกๆ
“พอดีแม่ฉันขอให้เอาของมาส่งน่ะ” ทางคนผมน้ำตาลหรือฟุริฮาตะ โคกิที่ไม่รับรู้ถึงเรื่องระหว่างสองพี่น้องไม่แท้คู่นี้แม้แต่น้อยตอบคางามิอย่างซื่อๆ
“เหรอ~~~” คางามิลากเสียงยาว
“งั้นฉันไปก่อนนะคางามิ เดี๋ยวคนที่มารอรับของจะรอนาน...ลานะครับฮิมุโระซัง” ฟุริฮาตะที่กำลังเร่งรีบกับงานที่ได้รับมอบหมายมาเอ่ยและหันก็โค้งตัวให้ฮิมุโระก่อนที่จะรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“อื้ม / ไปดีมาดีนะ” คางามิกับฮิมุโระโบกมือลาคนผมน้ำตาลอย่างพร้อมเพียง
“นี่...ไทกะ...” เมื่อเห็นเพื่อนน้องชายตนเดินจากไปจนลับตาแล้ว ฮิมุโระก็เอ่ยเรียกคนผมสีเพลิงเบาๆ
“ว...ว่าไง...” คางามิแตกนิดๆ ด้วยความกลัวว่าจะโดนอีกฝ่ายเค้นคอ
“เมื่อกี้...คนที่ประกบกัปตันทีมราคุซันตอนวินเทอร์คัพที่ผ่านมาสินะ?” ทว่าสิ่งที่คนผมสีเพลิงกลัวกลับไม่เกิดขึ้น เมื่อฮิมุโระถามแบบนี้ออกมาแทน
“หื้อ...อา ใช่” คางามิพยักหน้ารับอย่างโล่งอกปนงุนงงกับคำถามนี้
“แล้วคนเมื่อกี้ชื่ออะไรน่ะ?” ฮิมุโระถาม
“ฟุริไง” คางามิตอบ
“เอาชื่อเต็มสิ” ฮิมุโระกรอกตาไปมา
“ฟุริฮาตะ โคกิน่ะ...ถามทำไมเนี่ย?” คางามิขมวดคิ้วเล็กน้อย...พี่ชายเขาจะอยากรู้ชื่อเพื่อนเขาไปทำไมเนี่ย?
“ไม่มีอะไร แค่คิดว่าฟุริฮาตะคุง...เป็นเด็กที่น่ารักดีน่ะ” ฮิมุโระยิ้มบางๆ อย่างเจ้าเล่ห์นิดๆ
“อ๋อ...ห๊า? เมื่อกี้ว่าไงนะ?” คางามิถึงกับเอ๋อกิน...ไอ้ที่เขาได้ยินเมื่อกี้เขาฟังผิดไปใช่ไหมเนี่ย?
“ฉันบอกว่าฟุริฮาตะคุงดูน่ารักดีไง” ฮิมุโระย้ำอีกทีชัดๆ “อยากได้มาเป็นน้องจัง”
“...” ...เอาแล้วไง...อาการชอบเด็กน่ารักๆ ของรายนี้ออกอีกแล้ว! “เออ...ฉันว่าอย่าดีกว่านะทัตสึยะ พี่แท้ๆ ของฟุริหวงฟุริมากนะขอบอก”
“ก็ช่างปะไร” ฮิมุโระยักไหล่น้อยๆ
“นายนี่หัวแข็งจริงๆ” คางามิทีรู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่าถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ “โดนพี่ฟุริมาโวยย้อนหลังขึ้นมาไม่ช่วยนะบอกไว้ก่อน”
...พี่ของฟุริน่ากลัวจะตายชัก เขาไม่กล้ามีเรื่องด้วยหรอก!...
“ก็ได้ แต่นายต้องช่วยฉันเข้าหาฟุริฮาตะคุงนะ” ฮิมุโระเอ่ย
“เอาจริงดิ?” คางามิถามกลับ
“จริงแท้แน่นอน” ฮิมุโระเอ่ยยิ้มๆ ด้วยสีหน้าประมาณว่า ‘ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด’ ให้คางามิ
“...เอางั้นก็ได้” คางามิทำหน้ามุ่ยพลางคิดในใจว่า...
...ความซวยมาเยือนอีกแล้วไงฉัน...
“...ช่วงนี้รู้สึกว่าฮิมุโระซังมาหานายบ่อยจังนะ คางามิ” คำถามซื่อๆ ดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมน้ำตาล ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมเหล่มองไปยังคนผมดำหน้าสวยที่ยืนห่างออกไปนิดๆ ด้วยความแปลกใจที่มักเห็นรายนี้โผล่มาที่โรงยิมของโรงเรียนตนสักสามถึงสี่ครั้งต่อสัปดาห์ในหลายเดือนที่ผ่านมานี้
“คงงั้น” คางามิตอบกลับไปส่งๆ ด้วยท่าทางเหนื่อยใจสุดแสนเนื่องจากรู้ดีว่าที่พี่ชายร่วมสาบานตนมาที่นี่นั้น...ไม่ใช่มาหาตนหรอก
“ว่าแต่...ไหงนายทำหน้าเหมือนปลงแบบนั้นล่ะคางามิ?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ
“คิดไปเองมั้ง” คางามิตอบกลับไป
“แต่ผมว่าไม่ใช่ฟุริฮาตะคุงคิดไปเองหรอกครับ...”
“ชะแว๊กกกกก!!!” เด็กหนุ่มทั้งสองที่กำลังสนทนากันเมื่อครู่ถึงกับหลุดร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียงเมื่อมีเสียงหนึ่งอยู่ๆ ดังขึ้นแทรกเสียดื้อๆ ก่อนที่จะหันขวับไปยังต้นเสียงและพบกับ...เด็กหนุ่มผมฟ้าที่มายืนระหว่างกลางทั้งคู่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบ “นี่นายมาตอนไหนเนี่ย?!”
“ตั้งนานแล้วครับ ก่อนฟุริฮาตะคุงจะถามเรื่องฮิมุโระซังอีก” คนผมฟ้าหรือคุโรโกะ เท็ตสึยะผู้เล่นตัวจริงผู้แสนจืดจางของทีมบาสเซย์รินตอบหน้าตาย
“หันให้ซุ้มให้เสียงกันบ้างสิเฟ้ย!” คางามิแยกเขี้ยวใส่
“ช่วยเลิกมาแบบนี้ทีเถอะ...หัวใจจะวาย” ฟุริฮาตะคุมขมับอย่างไม่รู้ว่าความปลงหรืออะไรกับเพื่อนตนดี
“จะพยายามครับ” คุโรโกะเอ่ย “ว่าแต่แปลกนะครับ...ที่ฮิมุโระซังมาที่นี่ได้บ่อยขนาดนี้”
“จะว่าไปก็จริงแฮะ” คางามิพยักหน้าอย่างเห็นด้วย...ยิ่งเมื่อไม่นานมานี้เขาได้ข่าวว่าฮิมุโระ ทัตสึยะได้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของทีมบาสโยเซ็นแล้วด้วย ยิ่งไม่น่าโผล่มาที่นี่ได้บ่อยขนาดนี้เขาไปใหญ่
“นั้นสินะ ฮิมุโระซังไม่น่าว่างขนาดมาที่นี้ได้บ่อยขนาดนี้นิ” ฟุริฮาตะที่ทราบข่าวมาไม่ต่างจากคางามิก็แปลกใจไม่ต่างกัน
“แถมเอาแต่มองฟุริฮาตะคุงตลอดอีก” คุโรโกะเอ่ยเสริม
“เอ๊ะ? มองฉัน? ไม่ใช่คางามิเหรอ?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ อย่างสงสัยกับคำพูดของคนผมฟ้า...
...รายนี้จะมามองอะไรเขาเล่า ถ้าจะมองน่าจะมองน้องชายอย่างคางามิมากกว่า...
“ก็มะ...” คุโรโกะทำท่ากำลังจะตอบอะไรสักอย่างกลับไป เสียแต่ว่ากลับถูกมือของคนผมสีเพลิงปิดปากเอาไว้เสียก่อน
“ฉันว่าเรารีบไปซ้อมกันต่อดีกว่า โค้ชเริ่มจ้องแล้วแหน่ะ” คางามิบู้ใบ้ไปยังเด็กสาวผมน้ำตาลที่เริ่มส่งสายตาอาฆาตมายังคนที่อู้แบบเรียงตัว
“อุหว่า จริงด้วย...รีบไปซ้อมต่อเถอะ ไม่งั้นโดนลงโทษแหง” ฟุริฮาตะที่ไม่อยากลองฤทธิ์กับความโหดของโค้ชตนรีบใส่เกียร์ชิวาว่าหนีไปซ้อมยังจุดที่ห่างจากสายตาของผู้เป็นโค้ชตนที่สุดแทน
“นั้นสิเนอะ...” คางามิเอ่ยขึ้นลอยๆ แม้ว่าคนที่ตนพูดด้วยเมื่อครู่จะไปแล้วก็ตาม “โอ๊ย! นายกัดฉันทำไมฟะ!?”
“ใครใช้ให้คุณปิดปากผมก่อนล่ะครับ?” คุโรโกะค้อนใส่คู่หูตนเล็กน้อย “แล้วนี่มันอะไรกันครับ? ทำไมคุณต้องปกปิดสาเหตุที่ฮิมุโระซังมาที่นี่กับฟุริฮาตะคุงด้วยครับ? บอกมาซะดีๆ ครับ”
“...ไม่บอกได้เปล่าอ่ะ?” คางามิทำเสียงแผ่ว
“ไม่ครับ” คุโรโกะปฏิเสธทันควัน
“...ติดนิสัยบ้าอำนาจจากไอ้หัวแดงมาหรือไง?” คางามิบ่นอุบอิบ
“ถ้าติดอาคาชิคุงมาจริงผมคงเอากรรไกรจ้วงคุณไปด้วยแล้วล่ะครับ” คุโรโกะเอ่ย “และไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยครับ ตกลงว่าไงครับ? ฮิมุโระซังเขามาหาฟุริฮาตะทำไมครับ?”
“เออ...เอาง่ายๆ คือทัตสึยะมาเพราะนิสัยแปลกๆ ของทัตสึยะเองนั้นแหละ” คางามิที่ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายๆ เกาท้ายทอยตนเองเล็กน้อย
“นิสัยแปลกๆ?” คุโรโกะทวนอย่างงงๆ
“ทัตสึยะชอบเห็นเด็กน่ารักๆ เป็นน้องน่ะ เลยอยากได้ฟุริเป็นน้องแค่นั้นแหละ” คางามิเอ่ย
“เหมือนในกรณีคุณน่ะเหรอครับ?” คนผมฟ้าถาม
“ประมาณนั้นแหละ” คางามิพยักหน้ารับ
“งั้นเหรอครับ...” คุโรโกะเมื่อได้ยินคำตอบแบบนี้ก็ทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“อะไร ไม่เชื่อฉันหรือไง?” คางามิพอเห็นท่าทางของคนผมฟ้าก็ถามขึ้นมา
“เปล่าครับ ผมเชื่อคุณ แต่ผมไม่คิดว่าฮิมุโระซังจะมีเหตุผลแค่นั้นจริงๆ หรอกครับ” คุโรโกะเอ่ย
“ถ้าไม่ใช่แล้วมันจะ...เฮ้ย! หายไปไหนแล้วฟะ!?” คางามิที่ไม่ค่อยเข้าใจในความคิดของคนผมฟ้าเท่าไหร่นักกำลังจะถามกลับ ทว่าไม่ทันที่จะได้พูดจบประโยคร่างที่เล็กกว่าตนก็หายไปเสียแล้ว “นี่ใจคอกะทำให้ตัวเองเหมือนผีจริงๆ ใช่ม้าาาาาา!?”
“หนวกหูยะ! เจ้าบ้าคางามิ!” ไอดะ ริงโกะผู้เป็นโค้ชขว้างขวดน้ำใส่คนผมสีเพลิงที่ทำเสียงดังรบกวนชาวบ้าน
“...” ทางตัวตนเหตุก็ทำเพียงมองคนผมเพลิงที่กำลังจะโดนโค้ชตัวเองฆาตกรรม (?) เล็กน้อย ก่อนที่จะละความสนใจแล้วเดินไปหน้าคนผมดำหน้าสวยที่ยืนพิงผนังโรงยิมอยู่แทน “ฮิมุโระซัง...”
“อ่ะ!” ผู้ถูกเรียกสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาข้างที่ไม่ถูกเส้นผมปกปิดกวาดมองหาต้นเสียงและเมื่อเห็นว่าใครทักตนก็คลี่ยิ้มทักทายอีกฝ่าย “ว่าไงคุโรโกะคุง?”
“ผมมีเรื่องจะถามครับ คุณตอบตามจริงได้ไหมครับ?” คุโรโกะเอ่ยขึ้นหน้าตาย
“ได้สิ” ฮิมุโระพยักหน้ารับ
“คุณ...เป็นพวกคลั่งเด็กเหรอครับ?” คุโรโกะถามแบบขวานผ่าซากสุดๆ ทำให้...
“แค่ก!” ...นายฮิมุโระ ทุตสึยะถึงกับสำลักอากาศในทันใด “ไปเอาความคิดแบบนั้น...มาจากไหนกัน?”
“เห็นคาวามิคุงบอกว่าคุณชอบเห็นเด็กน่ารักๆ เป็นน้องเลยสงสัยน่ะครับ” คุโรโกะตอบ
“...ฉันแค่เอ็นดู ไม่ได้คลั่งในความหมายแปลกๆ แน่นอน” ฮิมุโระยิ้มแห้งๆ พร้อมคาดโทษน้องชายร่วมสาบานของตนในใจที่ทำให้ตนกลายเป็นคนแปลกๆ ในสายตาของเด็กหนุ่มผมฟ้า
“กับคนอื่นน่ะใช่ แต่กับฟุริฮาตะคุงไม่ใช่ใช่ไหมครับ?” คุโรโกะถามต่อ
“หื้อ?” พอถึงคำถามนี้ทำเอาฮิมุโระถึงกับต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ “ทำไมคิดงั้นล่ะ?”
“เพราะคุณเอาแต่จ้องฟุริฮาตะคุงปานจะกลืนกินไงครับ” คุโรโกะสวนกลับทันทีแบบไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย
“ฉันเปล่าสักหน่อย” ฮิมุโระที่โดนว่าราวกับเป็นคนโรคจิตรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“คุณทำครับ ผมถ่ายรูปไว้ด้วย...จะดูไหมครับ?” คุโรโกะชูมือถือเครื่องสีฟ้าใสของตนให้อีกฝ่ายดู
“...นายนี่น่ากลัวกว่าที่คิดนะ” ฮิมุโระเบ้หน้าเล็กน้อย
“ผมขอนับว่านั้นเป็นคำชมนะครับ” คุโรโกะจ้องมองคนอายุมากกว่าตาแป๋ว “ตกลงว่าไงครับ?”
“โอเคๆ อย่าจ้องแบบนั้นสิ...” ฮิมุโระทำท่ายอมแพ้เมื่อโดนไล่ต้อนเสียจนมุม “...คือฉันตอนแรกแค่รู้สึกเอ็นดูฟุริฮาตะคุงนั้นแหละ แต่หลังๆ มานี่เริ่มเปลี่ยนเป็นชอบแทนแล้วล่ะ”
“รู้ตัวด้วยเหรอครับ? คิดว่าจะบื้อแบบคางามิคุงเสียอีก” คุโรโกะเอียงคอน้อยๆ
“ฉันไม่ได้ใสซื่อแบบไทกะสักหน่อย เรื่องแค่นี้ฉันรู้ใจตัวเองน่า...” ...ที่สำคัญ คนที่ใสซื่อ ซื่อบื้อ แถมบ้า (?) แบบน้องชายเขาหาไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ!
“แล้วนี่คุณ...มั่นใจนะครับว่าจริงจังกับฟุริฮาตะคุง? ถ้าไม่ผมแนะนำว่าไปห่างๆ ฟุริฮาตะคุงเลยนะครับไม่งั้นทั้งทีมเซย์รินได้ถล่มคุณแน่” คุโรโกะรี่ตาลงเล็กน้อย
“ห่วงกันจังนะ” ฮิมุโระหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่คิดจะเล่นกับความรู้สึกใครหรอกน่า”
“งั้นก็แล้วไปครับ” คุโรโกะเอ่ย “อ๋อ และอีกอย่างนะครับ...ถ้าคุณจะจีบฟุริฮาตะคุงระวังเคียวซังหน่อยนะคร้บ เดี๋ยวโดนเก็บไม่รู้ตัว”
“เคียวซัง?” ฮิมุโระทวนชื่อของคนที่ตนไม่รู้จักเป็นเชิงถาม
“ชื่อพี่ชายฟุริฮาตะคุงน่ะครับ ขอบอกเลยรายนั้นหวงน้องเอาโล่เลยครับ” คุโรโกะตอบพลางนึกภาพรายนั้นว่าจะเป็นเช่นใดถ้าเกิดมีใครมาหลอกลวงฟุริฮาตะ โคกิจริงๆ ...ตอบได้คำเดียว นรกมาเยือนแน่
“อา เข้าใจล่ะ ขอบใจที่เตือนนะคุโรโกะคุง” ฮิมุโระพยักหน้ารับ
“ไม่เป็นครับ และถ้าจะทำอะไรก็รีบทำนะครับ มัวลีลาแบบนี้ฟุริฮาตะคุงดูไม่ออกหรอกนะครับว่าคุณชอบน่ะ แถมถ้าคุณมาที่นี่บ่อยกว่านี้มีแววว่าโค้ชของคุณคงมาถ่อมาลากคุณกลับไปด้วยตัวเองแน่ครับ” คุโรโกะกล้าพนันเลยว่าตอนนี้โค้ชสาวของทีมโยเซ็นที่โหดไม่ต่างจากโค้ชของทีมตนนักปานนี้คงควันออกหูที่ลูกทีมตนโดดซ้อมมานี่แล้วแน่
“...ฉันว่าฉันควรเริ่มรุกเร็วๆ นี่จริงๆ แฮะ” ฮิมุโระที่นึกภาพตามที่คนผมฟ้าบอกเกิดอาการเหงื่อตกนิดๆ
“ผมก็ว่างั้น” คุโรโกะเอ่ยก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงดังโครมแววมาแต่ไกลๆ “แต่ผมว่าตอนนี้...คุณเอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่านะครับ”
“หื้อ?” ฮิมุโระหลุดร้องออกมาอย่างงงๆ กับคำพูดอีกฝ่าย ก่อนที่จะได้คำตอบเมื่อ...
“ฮิมุโระ ทัตสึยะ!!! มาทำอะไรที่นี่ย่ะ!?” ...เสียงตวาดแว๊ดอันคุ้นหูดังขึ้น ทำให้เด็กหนุ่มหน้าสวยตัวแข็งโป๊กในบัดดล
“ค...โค้ช...” ฮิมุโระเอ่ยเสียงสั่นๆ ในยามนี้เจ้าตัวไม่กล้าแม้จะหันไปมองยังต้นเสียงเลยด้วยซ้ำ
“งานนี้ผมช่วยไม่ได้นะครับ ตัวใครตัวมันครับงานนี้” คุโรโกะรีบใช้มิไดเรดชั่นหนีอย่างว่อง ทิ้งให้ฮิมุโระเผชิญชะตากรรมอันโหดร้าย (?) เพียงคนเดียว
“...รู้สึกฮิมุโระซังหายไปเลยเนอะ”
“นั้นสินะ”
“คงไม่โดนฆ่าทิ้งไปแล้วหรอกนะ?”
“ไม่หรอก ล่าสุดยังโทรคุยกันอยู่เลย”
“งั้นเหรอ? แสดงว่ายังรอดสินะ”
“ก็เออสิ แต่รู้สึกว่าจะโดนโค้ชทางนั้นจับตามองแบบแทบไม่ให้กระดิกเลยล่ะ”
“หว่า ลำบากแย่เลยนะนั้น”
“นั้นสิเนอะ”
“ฯลฯ”
เสียงบทสนทนาเบาๆ ดังขึ้นจากเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังเดินเอื่อยๆ บนถนนที่คนพลุ่นพล่านในยามเย็นโดยหัวข้อในการสนทนาของทั้งสองคือเรื่องของกัปตันทีมบาสโยเซ็นคนปัจจุบัน
นับตั้งแต่วันที่ฮิมุโระถูกโค้ชสาวของตนเองลากกลับไปอากิตะนั้น ทางเหล่าคนในชมรมบาสเซย์รินก็ไม่เคยรายนั้นมาปรากฏกายในโรงยิมอีกเลยจนหลายๆ คนชักกลัวว่าจะโดนฆ่าทิ้งไปแล้วชอบกลและคงมีคนคิดไปเช่นนั้นจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าน้องชายร่วมสาบานของฮิมุโระยังดูปกติไม่มีท่าทีเหมือนญาติเสีย (?) ทำให้ส่วนใหญ่วางใจได้ว่ารายนั้นยังไม่ตายชัวท์
ส่วนสาเหตุที่สองหนุ่มเทนชิ (?) ของทีมเซย์รินมาเดินคุยกันสองคนโดยปราศจากเพื่อนร่วมทีมคนอื่นแบบนี้ เนื่องทุกคนเกิดมีอะไรดลใจไม่รู้พากันติดธุระกันหมดจนเอสของทีมอย่างคางามิ ไทกะกับตัวสำรองเบอร์สิบสองอย่างฟุริฮาตะ โคกิจึงต้องเดินกลับด้วยกันแค่สองคน
“เออ จริงสิ...จะว่าไปทัตสึยะฝากถามนายด้วยแหน่ะว่าเสาร์นี้ว่างหรือเปล่า” คางามิเอ่ยขึ้น
“เอ๊ะ? ถามฉันเหรอ?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ
“ก็ใช่น่ะสิ...แล้วตกลงว่างไหม ฉันจะได้ไปตอบทัตสึยะถูก” คางามิถาม
“ว่างสิว่าง ทำไมเหรอ?” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับ
“เห็นบอกว่าอยากชวนนายไปที่ที่หนึ่งน่ะ บอกว่าเห็นแล้วนึกถึงนายเลย” คางามิตอบ
“...ทำไมอยู่ๆ ฮิมุโระซังถึงชวนฉันล่ะ?” ฟุริฮาตะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับคำพูดนี้ของอีกฝ่าย...ปกติแล้วคนที่น่าจะโดนชวนน่าจะเป็นอีกฝ่านมากกว่าเขานะ
“จะไปรู้เหรอ แต่ก็คงอาการชอบของน่ารักออกแค่นั้นแหละ” คางามิถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางนึกถึงพี่ชายร่วมสาบานของตนที่ยามนี้พอเดาได้เลยว่ากำลังจ้องโทรศัพท์รอให้เขาโทรไปบอกคำตอบอยู่แหง...อาการชอบเด็กน่ารักๆ ของรายนั้นน่ากลัวแฮะ...
...ว่าตามจริง...เขายังไม่เข้าใจมาตรฐานคำว่าน่ารักของทัตสึยะแม้แต่น้อยเลย! สำหรับฟุริน่ะโอเค น่ารักอยู่ แต่เขานี่สิ...
“ชอบของน่ารัก?” ฟุริฮาตะทวนอย่างงงๆ
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวนายก็รู้เองแล้วกัน” คางามิที่ขี้เกียจอธิบายให้มากความบอกปัดๆ ไป “และนายอย่าคิดปฏิเสธให้ยาก ถ้าทัตสึยะอยากชวนใครไปไม่มีทางเลิกราง่ายๆ แน่นอน”
“นายว่างั้น แสดงว่าฉันต้องไปสินะ” ฟุริฮาตะที่รู้ว่าคนที่กล่าวถึงนี่เป็นคนมุ่งมั่นในความคิดของตนเองพอสมควรถามกลับ
“ตามนั้นเลย” คางามิยักไหล่น้อยๆ พลางเดินไปคุยไปกับฟุริฮาตะเรื่อยๆ ...จนสุดท้ายก็กลายเป็นการนินทาพี่ชายตนกับฟุริฮาตะไปในที่สุด
...เอิ่ม...ถึงรู้ว่าถูกชวน แต่ไม่นึกว่าจะมาเป็นตัวเป็นตนถึงนี่เลยแฮะ...
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลคิดในใจด้วยความรู้สึกเอ๋อกึ่งปลงเมื่อพอตื่นขึ้นมาปุ๊บก็มีคนมากดกริ่งหน้าประตูปั๊บ แถมเมื่อมาเปิดประตูรับก็พบว่าคนที่มาคือเด็กหนุ่มหน้าสวยผมดำซึ่งก่อนหน้านี่บอกว่าจะชวนไปเที่ยว...แต่เขาไม่นึกว่าจะมาแต่เช้าขนาดนี้!!! ที่สำคัญรู้บ้านเขาได้ไงเนี่ย!? คางามิไม่น่าบอกทางมาถูกนะ!!!
“อรุณสวัสดิ์ฟุริฮาตะคุง...เพิ่งตื่นเหรอ?” คนที่บุกบ้านชาวบ้านแต่เช้าเอ่ยทักอย่างร่าเริง
“อา...ครับ อรุณสวัสดิ์ครับฮิมุโระซัง และก็ใช่ครับเพิ่งตื่นสดๆ ร้อนๆ เลย” ฟุริฮาตะตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ
“สงสัยมาเช้าไปแฮะ” ฮิมุโระเกาหัวตัวเองนิดๆ
“ไม่ต้องสงสัยล่ะครับ เช้าเกินชัวท์...นี่มันเพิ่งหกโมงนะครับ” ฟุริฮาตะไม่คิดว่ามีใครโลกไหนจะมาหาคนอื่นเช้าขนาดนี้หรอก...ยิ่งเมื่อนึกถึงระยะเวลาที่อีกฝ่ายเดินทางมานี่ด้วยแล้วบ่งบอกได้เลยว่าตื่นมาแต่เช้ามาก ชนิดพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเพื่อเดินทางมานี่แหง
“ก็นะ” ฮิมุโระไม่เถียงในคำพูดของอีกฝ่าย...มันคงเช้าเกินไปจริงๆ แหละ
“เฮ้อ...เอาเป็นว่าเชิญเข้ามาก่อนครับ” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเชิญชวนอีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน...ก็จะปล่อยร่างนี้ยืนรอหน้าบ้านคงไม่ได้หรอก
“รบกวนด้วยนะ” ฮิมุโระยิ้มรับ ทางฟุริฮาตะเมื่อได้รับคำตอบก็ลากคนอายุมากกว่าเข้าบ้านไปนั่งแหมะบนโซฟาในห้องรับแขกทันที
“รออยู่นี้ก่อนนะครับ ผมขอไปล้างหน้าล้างตาก่อน...เดี๋ยวมานะครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“โอเค” ฮิมุโระพยักหน้ารับแม้ว่าอีกฝ่ายเดินออกไปแล้วก็ตาม “เฮ้อ ไว้ใจกันไปหรือเปล่าเนี่ย? ไม่กลัวฉันแอบขโมยของหรือไงนะ”
...ซื่อขนาดนี้น่าห่วงชะมัด...ว่าแต่ทำไมไม่เห็นใครนอกจากฟุริฮาตะคุงเลยหว่า? นี่มันเช้าเกินที่จะออกไปทำงานแล้วทั้งบ้านนะ แถมเป็นวันหยุดอีก...
ฮิมุโระมองไปรอบๆ ห้องอย่างสนใจในสิ่งต่างๆ ภายในห้อง ไม่ว่าจะรูปภาพหรือของประดับต่างๆ ที่ดูน้อยนิดจนน่าแปลก...และที่น่าแปลกมากที่สุดคงเป็นรอยเหมือนผนังโดนทาบทับใหม่นี่กับป้ายน้อยๆ ที่ติดไว้เหมือนเตือนความจำบนบอร์ข้างๆ ทีวีว่า ‘ร่องรอยบ้านพังครั้งที่ 239’ นี่แหละ มันหมายความว่าไงฟะ?
“ขอโทษที่ให้รอนานครับ...” ในระหว่างที่ฮิมุโระสงสัยในป้ายแปลกๆ ฟุริฮาตะ โคกิก็วิ่งกลับมาภายในห้องพอดี
“ไม่หรอก ไม่นานเลย” ฮิมุโระล่ะความสนใจจากป้ายภายในห้องไปยังเด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่แต่งตัวเรียบร้อยดีแล้ว
“งั้นไปกันเลยแล้วกันนะครับ ฮิมุโระซัง” ฟุริฮาตะที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายรอตนนานกว่านี้เอ่ย
“เดี๋ยวๆ ไม่ต้องรีบนักก็ได้ ไปกินข้าวเช้าก่อนเถอะ” ฮิมุโระยิ้มแห้งๆ กับท่าทีอีกฝ่ายพลางเริ่มรู้สึกผิดนิดๆ ที่มาเช้าเกินไปจนอีกฝ่ายเร่งรีบขนาดนี้
“อดมื้อเดียวไม่เป็นหรอกครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“เป็นสิ” ฮิมุโระดุเบาๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นและลากฟุริฮาตะไปยังห้องที่ตนคิดว่าน่าจะเป็นห้องครัว “มา...มากินข้าวเช้าเลย เดี๋ยวทำให้”
“...” ฟุริฮาตะที่เป็นคนว่าง่ายอยู่แล้วก็ยอมในอีกฝ่ายลากตนโดยง่าย และให้อีกฝ่ายใช้ครัวตนตามสะดวกจนผ่านไปสักสิบห้านาทีกลิ่นหอมๆ ก็ลอยมาจนกระตุกอาการหิวของคนผมน้ำตาลได้เป็นอย่างดี ยิ่งเมื่อพออาหารจานร้อนมาเสริฟ์ถึงโต๊ะฟุริฮาตะก็ไม่รอช้า รีบฟาดทุกอย่างลงท้องอย่างรวดเร็ว
“กินเป็นเด็กๆ เลยนะ” ฮิมุโระเอานิ้วป้ายรอบเปื้อนบนด้วยหน้าอีกฝ่ายออกอย่างเอ็นดู “ว่าแต่...วันนี้นายอยู่คนเดียวเหรอ?”
“ครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับทั้งที่ยังเคี้ยวตุ๊ยๆ อยู่...ฮิมุโระซังนี่ทำอาหารอร่อยเหมือนคางามิเลยแฮะ
“แล้วพ่อแม่พี่นายล่ะ?” ฮิมุโระถามไปเรื่อยเปื่อย
“พ่อกับแม่ไปต่างประเทศครับ ส่วนพี่พอดีวันนี้ได้กะเช้าเลยออกไปทำงานก่อนแล้วครับ” ฟุริฮาตะที่กินอาหารเช้าเสร็จด้วยเวลาอันรวดเร็วทำลายสถิติเดิม (?) ตอบ
“พี่นายทำงานอะไรเนี่ย?” ฮิมุโระถาม...ว่าตามจริงเขายังสงสัยที่โดนหลายคนบอกว่าระวังพี่รายนี้อยู่เลย
“ตำรวจครับ” ฟุริฮาตะตอบอย่างซื่อๆ
“...” ...โอเค เขาเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมก่อนหน้านี้ไทกะถึงเตือนให้เขาระวังพี่รายนี้ แถมคุโรโกะคุงยังเตือนเขาอีกว่าระวังความเพี้ยนของพี่ฟุริฮาตะคุงให้ดีด้วย “แล้วพี่นาย...เพี้ยนอย่างทีคุโรโกะคุงบอกไหมอ่ะ?”
“คำว่าเพี้ยนน้อยไปครับ บ้าเลยดีกว่า” ฟุริฮาตะเอ่ยแบบไม่ไว้หน้าพี่ตนแม้แต่น้อย
“ตอบตรงจังนะ...ไม่กลัวพี่ชายเสียใจหรือไง?” ฮิมุโระถาม...ถ้าเป็นเขาเนี่ยคงหง่อยไปหลายทีเลย
“ไม่ล่ะครับ ถ้าไม่เตือนเลยวุ่นกว่านี้แน่...” ฟุริฮาตะส่ายหน้าวืด “...พี่ผมน่ะป่วนชนิดที่ว่าทำบ้านพังมา 239 ครั้งแล้วนะครับ”
“...” ...เออ...ไอ้ที่เขียนไว้ข้างทีวีนั้นเกิดขึ้นจริงดิ?
“ถ้าเจอสักครั้งเดี๋ยวก็รู้ครับว่าเป็นไง...แต่ควรพกยาแก้ปวดไปสักแผงหนึ่งนะครับ เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตกตายเอา” ฟุริฮาตะเอ่ยเตือน
“...ฉันว่าฉันรู้สึกว่าไม่ควรเจอพี่นายชอบกลแฮะ” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฮิมุโระเริ่มรู้สึกว่าอย่าเจอพี่รายนี้เป็นดีที่สุดแล้วสิ
“ถือว่าคิดถูกครับ ไม่งั้นคุณได้ไมเกรนขึ้นแน่” ฟุริฮาตะมั่นใจเต็มร้อยว่าถ้าอีกฝ่ายเจอพี่ตนล่ะก็...ไมเกรนขึ้นชัวท์ “ผมว่าเลิกพูดเรื่องพี่เถอะครับ...ผมว่ารีบไปกันเถอะครับ ไอ้ที่คุณกะชวนผมไปน่ะ”
“อ่ะ! โอเคๆ” เมื่อถูกเตือนอย่างนี้ฮิมุโระก็พยักหน้ารับและพาอีกฝ่ายไปยังจุดหมายต่อไปของตนในทันใด
“เออ...ฮิมุโระซะง คิดยังไงถึงมาที่นี่ล่ะครับเนี่ย?” เสียงถามเบาๆ ดังออกจากปากเด็กหนุ่มผมน้ำตาล ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมกวาดมองไปยังรอบๆ ซึ่งตอนนี้ไม่ว่ามองไปทางใดก็มีแต่วัตถุเล็กๆ ขนปุยๆ หูยาวๆ ที่เรียกว่ากระต่ายเต็มไปหมด...ก็แหงล่ะ ในเมื่อสถานที่ที่ฮิมุโระ ทัตสึยะแห่งทีมบาสโยเช็นลากเขามานี่คือฟามกระต่ายนี่หว่า!
“ก็ไม่คิดอะไรหรอก แค่เห็นเหมือนนายดีน่ะ” ฮิมุโระตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เหมือนตรงไหนกันครับ” ฟุริฮาตะถาม...
...จากชิวาว่ากลายเป็นกระต่ายแทนแล้วสิเขา...
“ก็หลายๆ อย่างอ่ะนะ...” ...โดยเฉพาะด้านความน่ารักน่ะ
“ก็มันตรง...เหวอ!” ฟุริฮาตะที่กำลังจะอ้าปากถามต่อหลุดร้องออกมาเมื่อมีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งพยายามปีนขากางเกงตนขึ้นมา...เท่านั้นไม่พอ เมื่อมีตัวหนึ่งเริ่มแล้ว ตัวที่สองสามสี่ก็ตามมาติดๆ ด้วย “อะไรเนี่ย? มาปีนอะไรกับฉันเล่า?”
“พวกมันคงชอบนายมั้ง” ฮิมุโระหัวเราะเบาๆ ขณะที่ฝูงกระต่ายเริ่มเพิ่มจำนวนเข้ามารุมคนผมน้ำตาลอย่างรวดเร็ว “หรือไม่คงคิดว่านายเป็นพวกเดียวกันล่ะ”
“ไม่มีทางครับ ผมไม่เหมือนเจ้าพวกนี่เสียหน่อย” ฟุริฮาตะไม่คิดว่าตนจะน่ารักบ๋อกแบ๋วแบบเจ้ากระต่ายพวกนี่หรอก
“เหมือนไม่เหมือนไม่รู้ รู้แต่พวกนี่คงเห็นนายเป็นพวกจริงๆ ล่ะนะ” ฮิมุโระมองกระต่ายน้อยทั้งหลายที่มาเพิ่มอีกกลุ่มหนึ่ง
“...” ฟุริฮาตะเบ้หน้าน้อยๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวน้อยทั้งหลายดูท่าจะเห็นตนเป็นพวกจริงๆ
“หึๆ” ฮิมุโระหัวเราะเบาๆ กับท่าทีของอีกฝ่าย “เอ้าๆ ฉันว่าเรารีบไปตรงจุดอีกก่อนจมกระต่ายตายกันเถอะเนอะ”
“ผมก็ว่างั้นแหละ” ฟุริฮาตะไม่เถียงว่ายืนอยู่จุดนี้ต่อไปอาจมีแววจมกองทัพกระต่ายจริงๆ “โธ่ นี่...อย่าเกาะกันสิ ฉันจะไปที่อีกแล้วนะ”
“จึ้ด!” เหล่ากระต่ายทั้งหลายร้องขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงทันทีที่คนผมน้ำตาลพูดจบประโยค
“...มันฟังนายออกแหน่ะ” ฮิมุโระเอ่ยอย่างเอ๋อกินนิดๆ
“คงงั้นล่ะครับ” ฟุริฮาตะกรอกตาไปมาอย่างปลงๆ
“เอาไงดี?” ฮิมุโระลองจับกระต่ายน้อยตัวหนึ่งดึงออกจากฟุริฮาตะ และผลที่ได้คือโดนกระต่ายน้อยตัวที่อุ้มถีบตัวหนี แถมเกือบโดนกัดอีกต่างหาก
“ไม่รู้สิครับ” ฟุริฮาตะเองก็ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน
“งั้นเอางี้สิครับ...” พนักงานของฟามกระต่ายแห่งนี้ที่เห็นท่าทีลำบากใจของเด็กหนุ่มทั้งสองเดินเข้ามาหา พร้อมยื่นตะกร้าใส่แครอกจำนวนมากให้ “...ลองโยนๆ นี่ไปเพื่อให้พวกกระต่ายสนใจอย่างอื่นสิครับ”
“...” ฟุริฮาตะรับถังใส่แครอกมาอย่างงงๆ ก่อนที่จะโยนแครอกไปตามที่เจ้าพนักงานของที่นี้บอก และผลที่ได้...คือเหล่ากระต่ายน้อยทั้งหลายโดดลงจากฟุริฮาตะแล้ววิ่งตามของกินไปในทันที...
...นี่มันกระต่ายหรือหมาวะครับเนี่ย!?...
“...ดูท่าจะได้ผลนะ” ฮิมุโระที่เอ๋อกินไม่ต่างกันเอ่ยออกมาเบาๆ “โอ๊ะ? กลับมาแล้ว”
“...” ฟุริฮาตะทำการโยนแครอกไปอีกหลายอัน ซึ่งแน่นอนว่าเหล่ากระต่ายน้อยวิ่งตามของกินไปอีกเช่นเคย “เผ่นกันเถอะครับ”
“นั้นสิเนอะ” ฮิมุโระพยักหน้ารับพร้อมลากฟุริฮาตะหนีก่อนที่เหล่ากระต่ายจะมารุมคนผมน้ำตาลอีกรอบ โดยไม่ลืมที่จะส่งกระป๋องอาหารคือเจ้าหน้าที่ของที่พร้อมยิ้ม “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครับ”
“ไปดีมาดีอย่าโดนรุมอีกนะครับ” พนกงานหนุ่มเอ่ยอย่างขำๆ ขณะที่เด็กหนุ่มทั้งสองใส่เกียร์หมาวิ่งหนีออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
“ให้ตายเถอะ...ไม่คิดเลยนะว่านายจะโดนกระต่ายรุมเสียได้” เมื่อหนีมาได้ไกลพอสมควรและไม่คิดว่าเหล่ากระต่ายฝูงใหญ่จะกลับมาหาพวกตนได้แล้วฮิมุโระก็บ่นออกมาเบาๆ “น่าเสียดายลืมถ่ายรูปไว้นะเนี่ย”
“ไม่ถ่ายนั้นแหละดีแล้วครับ” ฟุริฮาตะไม่คิดว่าภาพที่ตนโดนสัตว์ขนฟูตัวน้อยรุมราวซอมบี้เนี่ยจะดูดีนักหรอก “หวังว่าเดินไปเดินมาคงไม่โดนแบบเมื่อกี้อีกนะครับ”
“ไม่แน่ใจแฮะ” ฮิมุโระเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเหตุการณ์แบบเมื่อก่อนหน้านี้จะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า
“แน่ใจหน่อยก็ได้ครับ” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ “แล้วนี่...จะไปไหนกันต่อครับ?”
“สถานอนุบาลสัตว์แล้วกัน...ที่นั้นอย่าน้อยมั่นใจได้ว่านายไม่โดนตัวอะไรรุมอีกแน่นอน” ฮิมุโระตอบ
“ไม่ต้องแซวเรื่องนี้แถมมาด้วยก็ได้ครับ” ฟุริฮาตะค้อนใส่เล็กน้อย...ซึ่งแน่นอนว่าหาความน่ากลัวไม่เจอเลย
“ก็นะ” ฮิมุโระหัวเราะเบาๆ พลางพาฟุริฮาตะเดินไปยังจุดหมายต่อไป
“นี่ ฮิมุโระซัง...” ระหว่างที่เดินกันอยู่นั้นด้วยความที่เดินกันเงียบไปหรืออะไรก็ไม่ทราบ ฟุริฮาตะจึงเป็นคนเปิดบทสนทนาขึ้นมา
“ว่าไง?” ฮิมุโระถามกลับ
“ขอถามอะไรหน่อยสิครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“ได้สิ ว่ามาเลย” ฮิมุโระพยักหน้ารับ
“วันนั้น...หลังจากตอนที่คุณโดนอารากิซังลากกลับไปน่ะ ไหงคุณหายต้อมไปเลยล่ะครับ?” ว่าตามจริงฟุริฮาตะแปลกใจพอสมควรที่รายนี้หายหน้าหายตาไปเฉยแบบน่ากลัวว่าโดนฆ่าหมกท่อตายไปแล้วอย่างก่อนหน้านี้เนี่ย
“อ๋อ โดนโค้ชคุมความประพฤติน่ะ...ชนิดที่ว่าแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลยล่ะ” ฮิมุโระยิ้มเจื่อนๆ เมื่อนึกถึงโค้ชสาวของตน “ยังดีนะวันหยุดโค้ชไม่โหดขนาดตามฉันมาด้วยเนี่ย”
...และถ้าตามมาจริงๆ คงให้ความรู้สึกเหมือนโดนวิญญาณตามติดน่าดู...
“แล้วโดนอัดไหมอ่ะครับ? ในวันที่อารากิซังมาลากตัวคุณไปน่ะครับ? เห็นคาเงโทระซังบอกว่าอารากิซังโหดมานิครับ?” ฟุริฮาตะถามต่อ
“คำถามนี้ตอบได้คำเดียวเลยว่า...มีหรือจะไม่โดน” ฮิมุโระเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนกินยาขม “วันนั้นพอกลับถึงอากิตะโค้ชก็เล่นเอาดาบไม้ฟาดหัวฉันน็อกคาที่เลยล่ะ ร้อนถึงหลิวต้องลากฉันกลับห้องด้วย”
“...” ฟุริฮาตะนิ่งเงียบไปเมื่อได้คำตอบดังนี้ “...ดีนะครับที่ไม่ตาย โดนขนาดนั้นน่ะ”
“พอดีโดนฟาดบ่อยน่ะ” ฮิมุโระไม่เถียงว่าที่โค้ชตนทำน่ะอาจถึงตายจริงๆ นั้นแหละ
“ถึงงั้นก็เถอะครับ...อ่ะ!” ฟุริฮาตะบ่นน้อยๆ ก่อนที่จะชะงักไปเมื่อเห็นบางอย่างที่...ตนเกือบเหยียบไปเมื่อครู่เข้า เด็กหนุ่มชักเท้ากลับแล้วก้มลงเก็บสิ่งนั้นขึ้นมา
“หื้อ? กระต่ายจิ๋วเหรอ?” ฮิมุโระยื่นหน้ามาดูสิ่งที่คนผมน้ำตาลเก็บได้
“ลูกกระต่ายเลยล่ะครับ...ไหงมาอยู่ตรงนี้ได้เนี่ย?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ อย่างครุ่นคิด
“ไม่รู้สิ เจ้าหน้าที่ทำตกไว้มั้ง” ฮิมุโระเดาไปมั่วๆ
“ไม่น่าจะครับ” ฟุริฮาตะไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่ของที่นี่จะสะเพราขนาดทำลูกกระต่ายตกได้หรอก และถึงเป็นงั้นจริง ปานนี้คงหากันวุ่นแล้วมั้ง
“กี้...” เจ้ากระต่ายน้อยที่อยู่ในอุ้มมือของคนผมน้ำตาลส่งเสียงร้องราวกับอยากเรียกร้องความสนใจพร้อมปากน้อยๆ ของเจ้าสัตว์ตัวเล็กก็พยายามดูดมือที่ถือร่างตัวเองเอาไว้อยู่
“ดูเหมือนมันจะหิวนะ” ฮิมุโระเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“นั้นสิครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับ
“ฉันว่าเรารีบไปสถานอนุบาลสัตว์กันเถอะ เจ้าหน้าที่อาจกำลังตามหาเจ้าหนูนี้อยู่ก็ได้” ฮิมุโระเดาได้เลยว่าถ้าทางเจ้าหน้าที่ฟาร์มแห่งนี้รู้ว่ามีลูกกระต่ายหายไปสักตัวคงจะหากันวุ่นแน่
“ครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับแล้วพากันเร่งฝีเท้าไปยังสถานอนุบาลสัตว์ด้วยความห่วงว่าลูกสัตว์ตัวน้อยในมือตนถ้าไม่อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่นานๆ อาจเป็นอันตรายได้...และเมื่อมาถึงยังจุดหมาย สิ่งแรกที่ปรากฏเข้าสู่สายตาเด็กหนุ่มทั้งสองก็คือ...
“กระต่ายน้อยอยู่หนายยยย”
“ใต้โต๊ะมีหรือเปล่า?”
“ไม่มี!”
“แงงงง หายไปไหนอ่ะ”
“เฮ้ย! อย่าเพิ่งร้องสิ!”
“ตายๆ ตายแน่ฉัน”
“ผักต้มคุงงงง อยู่หนายยยยย”
“นี่นายตั้งชื่อเจ้าหนูนั้นว่าผักต้มจริงดิ!?”
“นั้นใช่เรื่องควรถามตอนนี้ไหมห๊า!?”
“ฯลฯ”
...เหล่าเจ้าหน้าที่ในฟามกระต่ายแห่งนี้กำลังคลั่ง (?) อยู่นั้นเอง
“...” ฟุริฮาตะมองเหล่าเจ้าหน้าที่ของฟาร์มกระต่ายแห่งนี้ซึ่งพยายามมุดหาบางอย่างอย่างรนราน...ซึ่งไม่ต้องคิดอะไรให้มากความก็พอเดาได้เลยว่ากำลังหาอะไรกันอยู่ “...เออ...คุณเจ้าหน้าที่ครับ”
“ดูท่าจะไม่ได้ยินนะ” ฮิมุโระมองแต่ล่ะคนที่ดูเหมือนจะไม่สนใจการมีตัวตนของะพวกเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จคว้าแขนของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่วิ่งสวนมาเอาไว้ “เดี๋ยวครับคุณ หยุดคลั่งกันก่อน”
“หื้อ?” เจ่าหน้าที่หนุ่มหันมามองคนหน้าสวยอย่างงงๆ
“คือว่า...” ฮิมุโระบู้ใบ้ให้คนผมน้ำตาลพูดต่อ
“เอามาคืนครับ” ฟุริฮาตะยื่นเจ้าลูกกนะต่ายตัวน้อยให้อีกฝ่ายดู
“อ่ะ! ผักต้มคุงงงงงงง! อยู่นี้เองงงงงง!!!” เจ้าหน้าที่หนุ่มที่ฮิมุโระรั้งไว้ร้องเสียงหลงพร้อมคว้าเจ้ากระต่ายน้อยคืนมาอย่างรวดเร็ว
“เจอแล้วเหรอ?!” ทางเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เมื่อได้ยินว่าเจอสิ่งที่ตามหาแล้วก็รีบกรูดเข้ามาหาชายหนุ่มทันทีโดยที่...พากันลืมสังเกตเด็กหนุ่มทั้งสองตามเคยด้วยความดีใจกันนั้นเอง บางคนถึงขั้นน้ำตาแตกเลยด้วยซ้ำ
“ขอบคุณนะคะ ที่พามาคืนและอย่าไปสนใจไอ้พวกบ้านั้นเลย” เจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งที่ไม่ดีใจจนลืมหูลืมตาลืมสังเกตชาวบ้านแบบคนอื่นๆ หันมายิ้มให้เด็กหนุ่มทั้งสอง “แล้วนี่ไปเจอเจ้าหนูนั้นที่ไหนคะเนี่ย?”
“ร...ระหว่างทางเดินมานี่แหละครับ” ฟริฮาตะตอบทั้งๆ ที่สมองยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก
“ขอโทษนะครับ ขอถามกลับหน่อยว่าไหงกระต่ายตัวนั้นไปอยู่ตรงทางเดินได้ล่ะครับ?” ฮิมุโระตัดสินใจเมินเหล่าเจ้าหน้าที่ที่เฮ้กันยกใหญ่และเอ่ยถามกับเจ้าหน้าที่สาวที่ดูเป็นผู้เป็นคนที่สุด (?)
“ไม่ทราบเหมือนค่ะ แค่เอาออกมาใส่กล่องอื่นเพื่อทำความสะอาดกรงเท่านั้น หันมาอีกทีเจ้าหนูนี่ก็หายไปแล้วล่ะคะ” สาวเจ้าอธิบาย
“ช่ายยยย ผักต้มคุงนี่ยอดนักหนีตัวยงเลยยยยย” เจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่ง...หรือก็คือคนที่ฮิมุโระคว้าตัวมาก่อนหน้า เมื่อดีใจกันเสร็จและเอาเจ้าลูกกระต่ายเข้ากรงไปแล้วก็เดินมาสมทบกับเพื่อนรวมงานของตน
“อย่าเสียมารยาทต่อลูกค้าสิย่ะ” พนักงานสาวฟาดหน้าอีกฝ่ายไปทีหนึ่งก่อนที่จะส่งยิ้มการค้าให้เด็กหนุ่มทั้งสอง “เพื้อเป็นการขอบคุณที่พาเจ้าหนูนี้มาส่ง ทางเราจะขอให้บริการพาชมฟาร์มแห่งนี้ฟรีทุกอย่างคะ”
“เออ...ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยอย่างเกรงใจ
...แค่พาลูกกระต่ายมาส่งตัวเดียว ไหงถึงขนาดพาเที่ยวชมฟรีได้เนี่ย?...
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ไป...ไปกันเถอะ!” เจ้าหน้าที่สาวไม่สนใจคำค้านพร้อมเอ่ยขึ้นมา
“อย่าปฏิเสธยัยนี่ให้ยากเลยพ่อหนุ่ม ไม่ฟังใครหรอก” ชายคนเดิมที่ถูกฟาดหน้าไปทีหนึ่งเอ่ย จากนั้น...ก็เจอฝาเท้าพิฆาตเตะเข้าที่ของรักของหวงเต็มๆ จนเจ้าตัวถึงขั้นไปชักดิ้นชักง้อกับพื้นเลยทีเดียว
“เฮ้อ...โดนประจำไม่เข็ดจริงๆ นะนายเนี่ย” พนักงานหนุ่มอีกคนเอาเท้าเขี่ยๆ เพื่อนร่วมงานตนที่ชักกระแด๊วๆ อยู่กับพื้นด้วยท่าทีเคยชิน ส่วนทางผู้กระทำเองก็ตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนกับเหตุการณ์ก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น
“เรารีบไปเถอะเนอะ?” สาวเจ้าแม้ยังมีรอยยิ้มการค้าประดับบนใบหน้า แต่กลับทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองขนลุกเสียดื้อๆ
“ค...ครับ” เด็กหนุ่มทั้งสองที่เห็นว่าไม่ควรไปลองดีกับเจ๊แกพยักหน้ารับและสุดท้ายก็ยอมให้คุณเธอพาเที่ยวชมสถานที่อย่างง่ายดาย
“สนุกดีจังเนอะวันนี้” เสียงเอ่ยถามเบาๆ ดังออกจากปากคนหน้าสวยขณะที่กำลังเดินออกจากฟาร์มกระต่าย
หลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่สาวของที่นี่มัดมือชกพาเที่ยวชมไปทุกซอกทุกมุมชนิดที่ว่าบางส่วนที่ไม่ปล่อยให้คนธรรมดาเข้าไปยังให้เข้า จนเด็กหนุ่มทั้งสองเริ่มรู้สึกว่าจะโดนจับมาทำงานที่นี้ขึ้นมาตงิดๆ กระทั่งถึงยามเย็นทั้งสองถึงโดนปล่อยตัว (?) ออกมาพรอมกับของขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่คาดผมรูปหูกระต่ายหรืออะไรพวกนี่มาเป็นของแถมด้วย
“นั้นสิครับ” คนผมน้ำตาลพยักหน้ารับ “และจะดีกว่านี้...ไม่ติดว่าผมโดนกระต่ายรุมรอบสองน่ะ”
“ช่วยไม่ได้นะเรื่องนั้น...ดูท่านายจะเป็นที่ชื่นชอบของเหล่ากระต่ายน่าดู” ฮิมุโระหัวเราะเบาๆ พลางนึกภาพตอนที่อีกฝ่ายโดนกระต่ายทั้งฝูงรุมรอบสอง...เล่นซะคนพาชมสถานที่ต้องรีบช่วยก่อนมีคนจมกระต่ายตายเลยล่ะ
“อย่างหัวเราะสิครับ” ฟุริฮาตะทำหน้ามุ่ยลงเล็กน้อย “เออ จริงสิ...ถึงจะถามช้าไปหน่อย แต่ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับว่าทำไมถึงชวนผมมานี่ล่ะครับ?”
“อ๋อ เรื่องนั้นเหรอ...แค่ฉันอยากสนิกกับนายเลยคิดว่าถ้าได้เที่ยวด้วยกันสักครั้งคงสนิกกันขึ้นน่ะ” ฮิมุโระตอบ
“เอ๊ะ?” ฟุริฮาตะชี้ที่ตัวเองอย่างงงๆ “อยากสนิกกับผมเนี่ยนะ?”
“ใช่ ฉันอยากสนิกกับนายมากๆ จะได้ขอ...” ฮิมุโระเอ่ยด้วยท่าทีกนะอัดกระอวยเล็กน้อย พลันลิ้นเกิดแข็งขึ้นมาดื้อๆ เสียอย่างนั้น...
...โว้ย! ไอ้ปากบ้า! แค่บอกว่าจะขอเป็นแฟนแค่นี้ทำไมพูดไม่ออกเนี่ย?!...
“ขอ?” ฟุริฮาตะทวนคำพูดอีกฝ่าย
“ขอ...ขอ...” ฮิมุโระพูดคำเดิมซ้ำราวคนติดอ่างเสียจนเจ้าตัวเองรำคาญ จนตัดสินใจลองเปลี่ยนคำพูดที่จะพูดดู “...ขอนายมาเป็นน้องน่ะ แฮะๆ”
...ทีนี่พูดได้นะ! ไอ้ปากไม่รักดี!...
“แบบคางามิน่ะเหรอครับ?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ
“ประมาณนั้น” ฮิมุโระเออออตาม
“ถ้าแค่นั้นขอแต่แรกก็หมดเรื่องนี่ครับ” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อรู้ถึงจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายชวนตนมาเที่ยวเล่นด้วย
“แสดงว่านายยอม?” ฮิมุโระเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เนื่องจากไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมง่ายขนาดนี้
“ก็ไม่เสียหายอะไรนี่ครับ คิดเสียว่ามีพี่เพิ่มขึ้นมาอีกคนแค่นั้นเอง...และผมมั่นใจว่าไม่มีใครทำผมปวดหัวได้เท่าพี่ผมอีกแล้วล่ะครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“งั้นเหรอ?” ฮิมุโระยิ้มร่า “อ๋อ และฉันขอเรียกนายว่าโคกิได้ไหม? ส่วนนายจะเรียกฉันเหมือนไทกะก็ได้นะ”
“ตามสบายครับ ส่วนผมขอเรียกคุณตามเดิมดีกว่า” ฟุริฮาตะไม่คิดว่าตนจะเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างสนิกสนมแบบเพื่อนตนได้ง่ายๆ หรอก
“ตามใจนายเลย” ฮิมุโระเอ่ย...
...เอาเถอะ เวลายังเหลืออีกเยอะ เดี๋ยวค่อยๆ จีบไปก็ได้...ยังไงคราวนี้ก็มีโอกาสตีสนิกมากขึ้นแล้วล่ะ...
“แล้วนี้คุณจะกลับอากิตะเลยไหมครับ?” ฟุริฮาตะเปลี่ยนเรื่องถามต่อหลังจากที่ได้รับรู้คำตอบที่ต้องการแล้ว
“เปล่า กะแวะไปพักห้องไทกะน...” ฮิมุโระอ้าปากตอบ แต่ไม่ทันเอ่ยจบประโยค...
“โว้ย! ไอ้บ้าอาโอมิเนะ! นี่มันที่สาธารณะนะเว้ย!” ...ก็ดันมีเสียงอันคุ้นหูดังขึ้นมาขัดเสียก่อน ทำให้ฮิมุโระหันขวับไปยังต้นเสียงแทน...และก็พบว่าต้นเสียงคือคนที่ตนคาดไว้จริงๆ เมื่อเห็นผมสีเพลิงอันคุ้นตาของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังแว๊ดใส่เด็กหนุ่มผมน้ำเงินแสนเกรียม (?) อยู่
“ไม่เห็นเป็นไรเลย นิดๆ หน่อยๆ เอง” คนข้างๆ ต้นเสัยงเมื่อครู่เอ่ยพลางแอบเนียนโอบเอวคนผมเพลิงสะกิดต่อมยัวะของคนหน้าสวยได้เป็นอย่างดี
“เสียงนี้มัน...” ฟุริฮาตะที่มองไปยังต้นเสียงอีกคนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “...คางามิ? อาโอมิเนะ? สองคนนั้นทำอะไรกันน่ะ?”
“ฉันว่าฉันพอรู้นะ...” ฮิมุโระยิ้มเหี้ยมๆ “โคกิ...รอนี่แป๊ปนะ เดี๋ยวขอจัดการอะไรหน่อย”
“...ครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับแม้ยังไม่เข้าใจสถานการณ์นัก...แต่ที่รู้แน่ๆ คืออีกฝ่ายกำลังโกรธหรืออะไรอยู่แน่
“ดีมาก เดี๋ยวมา” ฮิมุโระเอ่ยพลางเดินไปยังเด็กหนุ่มที่ห่างออกไปเล็กน้อย แล้วเอื่อมมือไปบีบไหล่คนผมน้ำเงิน...อย่างแรงเสียด้วย “อาโอมิเนะคุงงงงง ทำอะไรอยู่เอ๋ย?”
“อะจึ๋ย! มาไงเนี่ย!?” คนผมน้ำเงินสะดุ้งโหยงกับเสียงเหี้ยมราววิญญาณอาฆาต (?)
“ท...ทัตสึยะ!?” คนผมเพลิงหลุดร้องออกมาอีกคน
“เห็นเป็นใครล่ะ?” ฮิมุโระถามกลับอย่างกวนๆ ก่อนที่จะหันมาอาฆาต (?) คนผมน้ำเงินต่อ “นายกล้ามากนะอาโอมิเนะ...ลวมลามน้องฉันกลางแจ้งแบบนี้อยากตายมากสินะ?”
“ด...เดี๋ยว เรื่องนี้อธิบายได้นะ...” อาโอมิเนะมองซ้ายมองขวาหาทางหนีจากคนโหดเกินหน้าตา
“ไม่ต้องมาแก้ตัว! ตายซะเถอะอาโอมิเนะ!!!” ฮิมุโระไม่ฟังอะไรทั้งสิ้นและเริ่มทำการตื้บคนที่บังอาจมาลวมลามน้องชายตนทันที
“แว๊กกกก! ช่วยด้วย!!!” อาโอมิเนะส่งสัญญาณ sos ให้คนผมสีเพลิง
“หยุดก่อนทัตสึยะ! ฆ่าคนผิดกฏหมายนะ!!!” คางามิรีบห้ามกัปตันแห่งทีมโยเซ็นก่อนที่อีกฝ่ายจะฆ่าคนเข้าจริงๆ
“...” ฟุริฮาตะที่ยืนดูห่างๆ ทำเพียงส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ “...ดูท่าฮิมุโระซัง...ก็คงพอๆ กับพี่แฮะ แค่บ้าน้อยกว่าเยอะแค่นั้นเอง”
...ยังไงเสีย...งานนี้ขอให้รอดนะ อาโอมิเนะ...
End
CR.かお
https://www.pixiv.net/member_illust.php?mode=manga&illust_id=51994724
ความคิดเห็น