คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #198 : [MiyaFuri] Maji
Title : Maji
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Miyaji x Furihata
Notes : S // สวัสดีจ้า! มาถึงหนึ่งในสองได้อันดับสี่ในการโหวตมาแล้วจ้า!!! ขอให้สนุกกันเด้อ! และถ้าสงสัยว่ามิยาจิหายไปไหน ตอบง่ายๆ คือเราถีบลงฟิคไปแล้วเหมือนตอนฮานะยันนั้นแหละจ้า!!! WWW
.....................................................................................
Maji
บนดาวเคราะห์สีฟ้าสดใสหากแต่บนพื้นดินกลับไม่สดใสอย่างที่เห็นภายนอกเนื่องจากสงครามระหว่างเผ่าเดียวกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองด้วยความโลภ หรือแม้แต่การฆ่าพวกเดียวเองอย่างการล่าผู้แปลกแยกจากคนอื่นที่เรียกว่า ‘ผู้ใช้เวทย์’ หรือ ‘พ่อมดแม่มด’ ทำให้เกิดความวุ่นวายที่ยากจะแก้ไขเป็นเวลาหลายร้อยปี จนกระทั้งมาถึงยังจุดๆ หนึ่งที่ทำให้สงครามสิ้นสุดลงแล้วคนกลุ่มหนึ่งก็ทำการแบ่งแย่งประชากรโลกออกเป็นอาณาจักรต่างๆ เพื่อลดความขัดแย้งและความวุ่นวายลงพร้อมแต่งตั้งคนที่น่าจะสามารถดูแลอาณาจักรต่างๆ จนรอดได้ขึ้นมา
อาณาจักรบนโลกถูกแบ่งออกเป็นหกอาณาจักรได้แก่ เซย์ริน ชูโตกุ โทโอว ไคโจว โยเซ็นและราคุซัน ซึ่งแต่ล่ะอาณาจักรนั้นถูกปกครองโดยตระกูลผู้ใช้เวทย์มนต์ที่เหลือรอดจากในอดีตและนั้นทำให้ในยามนี้โลกสงบสุขเนื่องจากแต่ล่ะตระกูลต่างเกื้อหนุนกันทำให้ไม่มีความหมาดหมานระหว่างดินแดนเกิดขึ้น
แต่แล้ว ณ อาณาจักรแห่งหนึ่งที่สงบสุขแห่งหนึ่งท่ามกลางผืนป่าสีเขียวขจีนามว่าชูโตกุ ความสงบนั้นก็ได้ถูกทำลายลงด้วยสงคราม หากแต่สงครามในคราวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากมนุษย์กับมนุษย์อย่างครั้นในอดีต แต่เป็นสงครามระหว่างกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘อสูร’ ทำให้ทุกอาณาจักรต้องส่งตัวแทนมาช่วยในการสู้รบครั้งนี้ก่อนที่เหล่าอสูรจะกระจายวงกว้างกว่านี้
และแน่นอนว่าพื้นที่ส่วนหนึ่งภายในอาณาจักรชูโตกุก็ต้องกลายเป็นสนามรบอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งจุดที่ว่านั้นยังเคราะห์ดีที่เป็นบริเวณรกร้างและไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ทำให้ไม่ต้องอพยมคนออก ถึงอย่างนั้นสถานการณ์สงครามก็น่าหวาดหวั่นอยู่ดีกับการต่อสู้ที่ดูราวกับจะไม่มีวันจบ...และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่สงครามยังดำเนินต่อไป
เคร้ง...เคร้ง...
เสียงปะทะกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในสนามรบระหว่างมนุษย์และอสูร ทั้งสองฝ่ายต่างห่ำหันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร โดยฝ่ายหนึ่งก็ต้องการปกป้องสิ่งที่เป็นของตน อีกฝ่ายก็ต้องการจะได้ดินแดนนี้เป็นของตน ทำให้ในสงครามครั้งนี้ดำเนินมาเป็นระยะเวลานานหลายปีและไม่มีท่าทีจะจบลงง่ายๆ
“มิยาจิซัง! ระวังหลังด้วย!” เด็กหนุ่มผมดำตะโกนขึ้นมาเมื่อมีอสูรที่ส่วนบนเป็นหมูส่วนล่างเป็นมนุษย์พุ่งเข้าคนผมสีน้ำผึ้ง
“รู้แล้วน่า!” คนผมสีน้ำผึ้งหรือก็คือมิยาจิ คิโยชิทหารมือดีของอาณาจักรชูโตกุขานรับพร้อมกับตวัดดาบฟาดฟันสิ่งที่เข้ามาทำร้ายตนอย่างรวดเร็ว “ให้ตายเถอะ! มาไม่หมดไม่สิ้นจริงๆ!”
“อย่ามัวบ่นน่า มาอีกชุดแล้วนั้น” นายหัวแตงโม (ฉันควรปลงกับคำเรียกของเธอสินะ? // คิมุระ) ผู้เป็นรองแม่ทัพของอาณาจักรบู้ใบ้ไปทางเหล่าอสูรที่กำลังยกกำลังมาโจมตีพวกตนเพิ่ม
“กะสู้ให้ตายไปข้างหนึ่งเลยหรือไง!?” คนผมสีน้ำผึ้งอีกคนสบถออกมาดบาๆ
“พวกมันคงไม่หมดง่ายๆ หรอกครับ...” เด็กหนุ่มผมเขียวถอนหายใจออกมาเบาๆ
“สถานการณ์แบบนี้ยังใจเย็นได้อยู่เนอะ!” มิยาจิแยกเขี้ยวใส่คนผมเขียวที่จริงๆ แล้วไม่ควรมาอยู่ที่นี่เนื่องจากเป็นผู้ปกครองอาณาจักร แต่ดันดื้อตามมาร่วมสู้กับพวกตนเล็กน้อนพอเป็นพิธี
“ชินจังก็เป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ครับ” เด็กหนุ่มผมดำยิ้มลันลาสุดแสน
“นายเองก็อารมณ์ดีจนน่าโมโหเกินไปแล้วเฟ้ย!” มิยาจิโวยใส่คนผมดำก่อนที่จะหันไปหาคนผมเขียว “เมื่อไหร่จะหาตัวคนตามคำทำนายบ้าๆ ของนายได้ห๊า!? มิโดริมะ!”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ เพราะผมก็ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใช้เวทย์ตระกูลเหลือรอดนอกจากพวกผู้ปกครองอาณาจักรเหมือนกัน” มิโดริมะ ชินทาโร่ที่เป็นทั้งผู้ปรองและผู้ทำนายประจำอาณาจักรถอนหายใจออกมาเบาๆ ...บางทีถ้าไอ้ผลการทำนายนั้นไม่ใช่ ‘ถ้าหากหาตัวมนุษย์ผู้ใช้เวทย์อีกตระกูลทีหลงเหลืออยู่พบ สงครามจะสิ้นสุดลงทันที’ เขาอาจหาทางหยุดสงครามบ้าๆ นี้ได้ตั้งนานแล้วก็เป็นได้
“หวังว่าไอ้ที่น่าคำนายว่าจะช่วยเราได้คงไม่ใช่ผีนะ ไม่งั้นหลอนน่าดู” มิยาจิ ยูยะเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ...ก็ไอ้ตระกูลผู้ใช้เวทย์ที่เขารู้มันเหลือแค่นี้นี่หว่า ไอ้อีกตระกูลมันจะโผล่มาจากไหนเนี่ย
“ถ้าใช่ฉันคนลมจับคนแรกเลย...” มิยาจิบ่นขึ้นมาเบาๆ พลางต้านรับที่ศัตรูที่เข้ามาและการต่อสู้นี้ก็ไม่กินแรงเท่าไหร่เหมือนการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้นเมื่อ...จุดที่คนผมสีน้ำผึ้งยืนอยู่ดินเกิดทรุดขึ้นมาและจุดที่เจ้าตัวยืนอยู่ดันเป็นริมหน้าผาเสียนิ “เหวอ!”
“เฮ้ย! มิยาจิ! / มิยาจิซัง! / พี่!!!” ...เสียงตะโกนอย่างตื่นตนกเป็นสิ่งที่มิยาจิ โยชิได้ยินก่อนที่ร่างจะร่วงหล่นลงไปยังผืนป่าเบื้องล่าง
จิ้บๆ
เสียงนกเสียงกาที่ร้องประสานกันเสียจนน่ารำคาญดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปลุกให้คนที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นฟื้นตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา
...ที่นี่คือ?...
คนผมสีน้ำผึ้งค่อยๆ ขยับตัวเล็กน้อยแล้วสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเจ็บแปล๊บทั่วร่างกายในเวลาต่อมา ดวงตาสีเดียวกันพร้อมยามลืมขึ้นมาอย่างยากเย็นด้วยอาการบาดเจ็บทางกาย สมองก็พลันพยายามประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
...อา...เขาตกหน้าผามานี่หว่า? แถมสูงเสียด้วย...
...นี่เขา...กำลังจะตายเหรอ?...
...ไม่! เขายังตายที่นี่ไม่ได้! เขายังมีชาวเมืองที่ต้องปกป้องอยู่นะ!!!...
มิยาจิเมื่อคิดได้ดังนี้ก็พยายามฝืนตัวเองลุกขึ้นยืน หากแต่ว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือ...
“อึก!” ...อาการเจ็บปวดที่มากกว่าเดิมจนทำให้ทรุดลงกับพื้นอีกรอบ ทำให้เจ้าตัวอดหงุดหงิดกับร่างการตนเองที่ไม่ยอมทำตามที่สมองสั่งเสียมิได้ “บ้าเอ้ย!”
แซก...แซก...
ในเวลาเดียวกันเสียงเดินแหวกพุ่มไม้ดงหญ้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่องบ่งบอกถึงการเดินฝ่าป่าฝ่าหญ้ามาของบางสิ่งและกำลังพุ่งตรงมาทางคนเจ็บ
...เฮ้ยๆ คงไม่ซวยเจออสูรหรือหมีเข้านะ? ไม่งั้นตายของแท้แน่!...
มิยาจิเหงื่อตกนิดๆ ดวงตาสีน้ำผึ้งจับจ้องไปยังต้นเสียงและ...เอ๋อกินในเวลาต่อมา เมื่อสิ่งที่โผล่มาไม่ใช่หมีหรืออสูรอย่างที่ตนคิด แต่เป็นร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งที่ดูยังไงก็ไม่น่าเป็นทหารและไม่น่ามาอยู่ใกล้ๆ เขตพื้นที่สงครามได้เลยแม้แต่น้อย
“อ่ะ!” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลหลุดอุทานออกมาพร้อมรีบพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วเสียคนเจ็บสะดุ้งโหยง ดวงตาสีน้ำตาลใสมองสำรวจสภาพอีกฝ่ายด้วยท่าทางวิตก “คุณบาดเจ็บนี่!? เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ!?”
“เออ...น่าจะไม่...มั้ง?” มิยาจิตอบอย่างเอ๋อๆ กับท่าทางของอีกฝ่ายและถึงกับขมวดคิ้วไม่เข้าใจกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายพยายามพยุยร่างตนขึ้น “นายจะทำอะไร?”
“พาคุณกลับไปรักษาไงครับ” คนผมน้ำตาลตอบหน้าซื่อ
“...ไม่มีใครเคยบอกเหรอว่าไม่ควรพาคนแปลกหน้าเข้าบ้านน่ะ” มิยาจิถาม...ถ้าเป็นบ้านเขาพาคนแปลกหน้าเข้าบ้านนี่เถียงกันตายไปข้างเลย
“เคยครับ แต่พาเจ็บเข้าบ้านคงไม่เป็นไรมั้งครับ” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลส่งยิ้มแห้งๆ กลับมา
“ซะที่ไหนล่ะ...” มิยาจิบ่นขึ้นมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ทักทวงอะไรเพิ่มเติมด้วยความที่ยังไม่อยากนอนรอความตายกลางป่าเสียเท่าไหร่นักและการมีคนมาช่วยแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีเสียด้วยในสภาพนี้...
...คนคนนี้ดูไม่เลวร้ายเท่าไหร่ ลองตามน้ำไปคงไม่เป็นไรมั้ง?...
“นี่พูดจริงเหรอชินทาโร่?” เสียงถามที่เต็มไปด้วยความเครียดดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมแดงชวนให้ทุกคนที่อยู่รอบกายอึดอัด และอาจมีคนเป็นลมไปแล้วด้วยถ้าไม่ติดว่า ณ ตอนนี้มีแต่คนไม่ปกติอยู่ล่ะก็นะ...เพราะตอนนี้ในห้องนี้เป็นการประชุมของผู้นำแต่ล่ะอาณาจักรที่มารวมตัวกันขับไล่อสูรยังไงล่ะ
“อื้ม...” คนผมเขียวพยักหน้ารับ “...มิยาจิซังตกหน้าผาไปน่ะ”
“เอากำลังคนไปตามหาหรือยัง?” คนผมสีเพลิงหรือคางามิ ไทกะแห่งเซย์รินถาม
“ยังและถึงอยากทำก็ทำไม่ได้ด้วย ตรงที่มิยาจิซังตกไปเป็นป่าหวงห้ามที่ไม่มีใครเข้าไปได้น่ะสิ” มิโดริมะถามหายใจออกมาเบาๆ ...ที่จริงพอหาทางไล่พวกอสูรไปได้แล้วเขาก็รีบไปป่าด้านล่างและพยายามเข้าป่าไปหลายรอบแล้ว หากแต่ก็โดนบางอย่างกันไว้ไม่ให้เข้าไปตลอดนี่สิ
“แม้แต่นาย?” คนเกรียมผมน้ำเงิน (เอาดีๆ เซ่! // อาโอมิเนะ) อาโอมิเนะ ไดกิจากอาณาจักรโอโทวถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ใช่...ฉันเองยังหาทางเข้าป่านั้นไม่ได้เลย” ถึงไม่อยากยอมรับ แต่มิโดริมะก็ไม่คิดจะปกปิดความจริงข้อนี้
“แล้วเอาไงล่ะทีนี้?” เด็กหนุ่มผมเหลือง...คิเสะ เรียวตะแห่งไคโจวทำหน้าเครียดไม่ต่างจากคนอื่น
“ไม่ยาก...” อาคาชิ เซย์จูโร่จากราคุซัน...ผู้ได้รับฉายาว่าแกร่งที่สุดในหมู่ผู้ใช้เวทย์เอ่ยหน้าตาย
“ทำอะไรน่ะอาคาจิน?” คนม่วงยักษ์...มุราซากิบาระ อัตสึชิจากโยเซ็นถามขึ้นเมื่อเห็นคนผมแดงวาดวงเวทย์กลางอากาศพร้อมกับหยิบกระดาษที่ตัดรูปร่างเหมือนมนุษย์ออกมา
“ตรวจสอบว่ามิยาจิซังยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าน่ะ...” อาคาชิเอากระดาษรูปคนวางกลางวงเวทย์และจากนั้นไม่นานกระดาษแผ่นนั้นก็เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเขียว “...ดูท่าจะยังอยู่นะ”
“งั้นโล่งใจได้เปาะหนึ่ง” มิโดริมะถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก...อย่างน้อยรายนี้บอกอะไรก็ไม่เคยพลาดล่ะ “ปัญหาคือจะพามิยาจิซังออกจากป่ายังไง แถมยังมีเรื่องพวกอสูรอีก”
“นั้นสิ แค่ทหารฝึกหัดสักร้อยคนคงไม่เท่ามิยาจิซังคนเดียวเลยมั้ง แถมยังเป็นการเสี่ยงเกินไปอีก” คางามิรู้ว่าถึงแม้เป็นสงครามมิโดริมะก็ไม่อยากเสียใครไปทั้งนั้นเอ่ย “งั้นฉันลงจัดการอสูรแทนแล้วกัน ส่วนนายก็ไปหามิยาจิซังซะ”
“จะให้ฉันทิ้งหน้าที่ทางนั้น?” มิโดริมะขมวดคิ้วเป็นปม
“ไม่ใช่สักหน่อย แค่เปลี่ยนหน้าที่กัน” คางามิยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
“อีกอย่างทหารทางฝ่ายนายก็หาทางไล่นายกลับไปอยู่ที่ปลอดภัยแทนอยู่แล้วนิ?” อาโอมิเนะเอ่ยเสริมพลางบิดตัวไปมาคล้ายคนอยากออกแรงบ้าง
“...” มิโดริมะนิ่งเงียบไปเนื่องจากเถียงไม่ออก
“งั้นถือว่าตกลงตามนี้ ชินทาโร่ไปตามหามิยาจิซังซะ ส่วนทางด้านอสูรพวกฉันจัดการเอง” อาคาชิเอ่ยสรุปพร้อมส่งสายตาประมาณว่า ‘อย่าหาทางปฏิเสธเสียให้ยาก’ มาให้
“อื้ม” มิโดริมะสุดท้ายก็ได้เพียงพยักหน้ารับเนื่องจากไม่เคยขัดอะไรรายนี้ได้อยู่แล้วและ...
...หวังว่าพวกนี่...จะไม่พังดินแดนของเขาไปเป็นแถบนะ ยิ่งบ้าพลังกันอยู่เนี่ย...
...อื้ม...จะว่าพูดไม่ออกหรืออะไรดีเนี่ย?...
...ไม่คิดเลยว่าบนโลกนี้...จะมีใครที่ไหน...
...ซื่อบื้อขนาดนี้มาก่อนในชีวิตเลย!!!...
มิยาจิ คิโยชิยามนี้เกิดอาการเหมือนคนไมเกรนขึ้นจนถึงขีดสุดเมื่อคนผมน้ำตาลที่เก็บตนกลับมาบ้านดันโชว์เอ๋อออกมาให้เห็นนับครั้งไม่ถ้วนตลอดสามวันที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเกือบทำชั้นวางของล้มทับตัวเอง สะดุดขาตัวเองล้ม เดินชนประตูหรือแม้แต่ทิ้งคนแปลกหน้าอย่างเขาไว้ในบ้านคนเดียวแล้วออกไปหาสมุนไพรเมื่อของขาดแบบไม่กลัวตนขโมยของแม้แต่น้อย...ถึงความสามารถในการรักษาคนระดับเทพจนเขายอมรับว่าพวกหมอในอาณาจักรเขายังไม่เก่งกาจขนาดนี้ แต่ความระวังตัวนี่สิต่ำกว่าเด็กเล็กๆ เสียอีก!
...หมอนี้รอดมาจนปานนี้ได้ไงฟะ!?...
“เป็นอะไรไปเหรอครับ? ยังเจ็บตรงไหนอยู่เหรอ?” คนที่ถูกนินทาในใจถามอย่างห่วงใยเมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ ของคนผมสีน้ำผึ้ง
“เปล่า” มิยาจิปฏิเสธหน้าตายทันควัน “นี่นายอยู่คนเดียว?”
“ครับ พอดีพี่ผมออกไปเที่ยวและปานนี้ยังไม่กลับมาเลย...ไม่รู้เที่ยวจนลืมผมแล้วหรือเปล่าเนี่ย” คนผมน้ำตาลพูดอย่างติดตลกน้อยๆ
“ถ้าลืมจริงๆ ฉันว่าพอเจอพี่นายครั้งถัดไปนายถีบพี่ตัวเองสักทีเถอะ” พอได้ยินแบบนี้มิยาจิก็ถึงกับคุมขมับ...พี่หมอนี่กล้าปล่อยหมอนี่ไว้คนเดียวได้ไงฟะ!?
“คงยากเกินไปนะครับนั้น” คนผมน้ำตาลหัวเราะแฮะๆ
“อาจจะ” มิยาจิที่ไม่รู้จักพี่รายนี้ขานรับไปส่งๆ “ว่าแต่...นี่นายชื่ออะไรเนี่ย?”
...ยังไงก็ต้องอยู่รักษาแผลอีกหลายวันพอดูเอาแน่เรียกนายๆ คงไม่เหมาะเท่าไหร่มั้ง (เพิ่งนึกออกหลังผ่านไปสามวันแล้วเนี่ย? // s , ช่างฉันเถอะน่า // มิยาจิ) ...
“ผมฟุริฮาตะ โคกิครับ” ฟุริฮาตะตอบ
“ส่วนฉันมิยาจิ คิโยชิ” เมื่ออีกฝ่ายแนะนำตัวมาคนผมน้ำผึ้งก็แนะนำกลับอย่างไม่มีโกง (?) ก่อนที่จะถามในเรื่องที่ตนสงสัยอีกเรื่อง... “แล้วนี่...นายมาอยู่ในป่าหวงห้ามได้ไงเนี่ย?”
...ถึงแม้จะตกลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่มิยาจิก็รู้ว่าจุดนี้น่าจะเป็นป่าส่วนไหน...เพราะถ้าตนไม่ตกลงมาในเขตหวงห้ามที่ไม่เคยมีใครเข้ามาได้เนี่ยปานนี้ไอ้หัวเขียวๆ บางคนคงตามตนกลับตั้งนานแล้ว
“ป่าหวงห้าม?” ฟุริฮาตะทำหน้างงๆ
“นายไม่รู้เหรอว่าที่นี่โดนเรียกแบบนั้นตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนน่ะ?” มิยาจิเอ่ย
“ไม่รู้ครับ และผมก็อยู่ที่นี่มาสิบหกปีแล้วด้วยครับ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าวืด
“อยู่มาตั้งแต่ก่อนที่ที่นี่จะกลายเป็นเขตหวงห้ามสินะ” มิยาจิไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนมาอยู่ในที่แบบนี้แทนในเมืองมาก่อนเลยจริงๆ
“ประมาณนั้นแหละครับ” ฟุริฮาตะยักไหล่น้อยๆ “และนี่มิยาจิซัง...คุณขยับตัวมากเกินจนผ้าพันแผลหลุดอีกแล้วนะครับ ผมมัดเงื่อนตายเลยดีไหมครับเนี่ย?”
“อุ๊ย...โทษที...” มิยาจิสะดุ้งน้อยๆ เมื่อเจอคำพูดนี้เข้า “...แล้วนี่อีกกี่วันฉันถึงจะหายดีล่ะ?”
“สักสามวันครับ...ดีนะครับเนี่ยที่คุณฟื้นตัวเร็วแถมอึดเนี่ย ถ้าเป็นคนอื่นคงได้แต่ร้องโอดครวญไม่ได้มาจ้อแบบนี้หรอกครับ” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกใสเบาๆ กับคนที่เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย
“ก็ดีไหมล่ะ?” มิยาจิถามกลับ
“ก็ดีครับ อย่างน้อยก็ไม่น่าห่วงอะไร” ฟุริฮาตะตอบ
“ตอบตรงไปนะนาย...” มิยาจิกรอกตาไปมา “...แต่ที่นี่...ไม่ได้รับผลกระทบจากอสูรเลยเหรอ?”
...ไอ้ป่านี้ใกล้กับวงสงครามจะตายไป ทำไมถึงดูชิวล์จังวะ?...
“หื้อ? อสูรทำไมเหรอครับ?” ฟุริฮาตะทำสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ
“นายไม่รู้เหรอว่าอสูรกับอาณาจักรชูโตกุกำลังทำสงครามกันน่ะ?” มิยาจิถาม...เล่นทำสงครามเสียงดังป่าแบบนี้นี่มาหลายปียังไม่รู้ตัวเลยเหรอ...
...แต่ถ้าไม่รู้ก็คงไม่แปลกแฮะ ขนาดที่นี่เป็นป่าหวงห้ามยังไม่รู้เลยนิ...
“ห๊า!?” ฟุริฮาตะพอเจอคำถามนี้ก็หลุดอุทานออกมาเสียงดังลั่น ทำให้มิยาจิพลอยสะดุ้งโหยงไปด้วยอีกคน “นี่เกิดสงครามขึ้นเหรอครับ?! จะบ้าหรือไงครับ! ปกติพวกอสูรมีกฎว่าห้ามทำรายมนุษย์นี่นา?!”
“ปกติห้ามทำร้ายมนุษย์?” คราวนี้ตามิยาจิเอ๋อบ้าง...ทำสงครามด้วยตั้งนานเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าปกติอสูรห้ามทำร้ายมนุษย์
“ครับ! คุโรโกะกับมายุสุมิซังออกกฎแบบนี้ครับ!” ฟุริฮาตะขานรับอย่างลืมตัว
“คุโรโกะกับมายุสุมินี่ใครเนี่ย?” มิยาจิกรอกไปมากับชื่อของบุคคลที่ตนไม่รู้จักสองคน ที่ตนรู้แน่ๆ มีแค่คงใหญ่ในหมู่พวกอสูรพอดู
“เพื่อนผมครับ...” ฟุริฮาตะที่เริ่มทำใจให้เย็นลงได้ตอบเสียแผ่ว “...ให้ตายเถอะ คงต้องออกไปนอกป่าเสียแล้ว...หากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นต้องเกิดเรื่องกับสองคนนั้นแหง แต่แบบนี้จะโดนพี่บ่นไหมเนี่ย?”
“...” มิยาจิขมวดคิ้วน้อยๆ “...พี่นายห้ามออกจากป่าเหรอ?”
“ครับ พี่ผมบอกห้ามออกจากป่าจนกว่าพี่จะกลับมาน่ะครับ” ฟุริฮาตะตอบ
“ทำไมห้ามออกจากป่าล่ะ?” มิยาจิถาม...หวังว่าคงไม่ได้เป็นอย่างที่เขากำลังคิดตอนนี้นะ...
“พอดี...มีเหตุผลนิดหน่อยน่ะครับ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มแห้งๆ ให้
“นี่นาย...” มิยาจิจ้องมองคนผมน้ำตาลตาแป๋ว “...เป็นผู้ใช้เวทย์ได้สินะ?”
“พ...พูดอะไรของคุณน่ะครับ? ผ...ผมไม่ได้เป็นพวกผู้ปกครองเมืองเสียหน่อย...”
“มีใครเคยบอกไหมว่านายโกหกห่วยมาก?” มิยาจิถอนหายใจออกมาเบาๆ กับการโกหกไม่เนียนของคนผมน้ำตาล
“ประจำครับ” ฟุริฮาตะตอบกลับทันควัน คล้ายกับชินกับคำถามนี้มากมาย
“เฮ้อ...” มิยาจิถอนหายใจอย่างปลงๆ ...สรุปที่เขาคิดไว้นี่ถูกสินะ? ยังไงเสียคนธรรมดาคงไปรู้จักอสูรเองได้ยากอยู่แล้ว ขนาดเขาถ้าไม่มีสงครามยังไม่รู้เลยว่าอสูรมีตัวตนอยู่จริงเนี่ย แต่ตอนนี้ที่สำคัญกว่านั้น... “...แล้วนายจะโกหกเพื่อ?”
“ก็การที่ยังมีตระกูลผู้ใช้เวทย์คนอื่นเหลืออยู่มันแปลกเกินไปไงครับ แบบนั้นจะทำให้ชาวบ้านวุ่นวายเปล่าๆ” ฟุริฮาตะเมื่อเห็นว่าคงปกปิดไม่ได้แล้วตอบไปตามตรง
“ทำไมคิดงั้น?” มิยาจิถาม
“ก็คนอื่นเขาใช้ไม่ได้นี่ครับ อาจทำให้คนอื่นกลัว...” ฟุริฮาตะทำหน้าราวชิวาว่าหงอย (?)
“นี่ฟุริฮาตะ...มานี่สิ...” พอได้ยินคำตอบนี้มิยาจิก็กวัดมือเรียกคนผมน้ำตาลพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมๆ
“ครับ...โอ้ย! ดีดหน้าผากผมทำไมครับเนี่ย?!” ฟุริฮาตะที่เดินเข้าไปหาอย่างใสซื่อโวยลั่นเมื่อพอเข้าไปใกล้แล้วก็โดนคนผมสีน้ำผึ้งดีดมะกอกใส่กลางหน้าผากทันที
“ก็ตอบอะไรน่าโมโหเองนี่หว่า...นายเคยลองไปใช้เวทย์โต้งๆ ให้ชาวบ้านดูแล้วเหรอถึงคิดว่าจะทำให้คนอื่นกลัวน่ะ?” มิยาจิกรอกตาไปมา...เห็นหมอนี่ทำหน้าหงอยแล้วหงุดหงิดเฟ้ย!
“ไม่ครับ ส่วนใหญ่ผมใช้แบบเนียนๆ เหมือนที่ใช้กับมิยาจิซังเนี่ย” ฟุริฮาตะเอ่ยพลางลูบหน้าผากตนอย่างเจ็บๆ
“ใช้กับฉัน?” มิยาจิขมวดคิ้วเล็กน้อย “นี่นายใช้เวทย์รักษาผสมกับสมุนไพรเหรอ?”
“ครับ นี่คุณคิดจริงๆ เหรอครับแค่สมุนไพรจะทำให้คนตกหน้าผาสูงขนาดนั้นแผลจะหายได้ในหนึ่งสัปดาห์?” ฟุริฮาตะถามกลับ
“ไม่คิด...” ...ก็คิดอยู่ว่าแปลกๆ ที่แผลหายเร็ว
“เพราะงั้นนี่แหละครับเวทย์ที่ผมใช้บ่อยสุด” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“แล้วแบบนี้ยังคิดว่าจะมีคนกลัวนายเหรอเนี่ย?” มิยาจิกล้าพูดเลยว่าถ้าทำแบบนี้ชาวบ้านเขาไม่กลัวกันหรอก มีแต่จะแห่มาขอความช่วยเหลือจากรายนี้มากกว่า
“ครับ...ถึงที่จริงที่ส่วนใหญ่จะกลัวไม่น่าใช่ผม แต่เป็นพี่ผมมากกว่าครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“พี่นาย?” มิยาจิเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ครับ พี่ผมแบบ...” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ คล้ายกับไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี “...เกินคนไปนิดน่ะครับ ประมาณว่าซัดคนเป็นสิบทีมีอาวุธได้โดยไม่ใช้อาวุธด้วยตัวคนเดียวอะไรแบบนี้น่ะครับ แถมแรงช้างสารด้วย”
“แบบเดียวกับพ่อแม่ฉันเลย...” มิยาจิพอได้ยินแบบนี้ภาพพ่อแม่ตัวเองที่ปานนี้หนีไปเที่ยวเล่นส่วนไหนของโลกแล้วไม่รู้ก็แว่บเข้ามาในหัวกันเลยทีเดียว “...แม้แรงไม่น่ามากเท่าพี่นาย แต่ก็ถล่มทั้งเมืองได้ล่ะ”
“...ผมเข้าใจความรู้สึกคุณอยู่นะครับ” ฟุริฮาตะว่าก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองจะพากันถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ฉันว่าเลิกพูดอะไรชวนปวดสมองดีกว่า แล้วมาพูดเรื่องอสูรต่อเถอะ...” มิยาจิรีบปัดเรื่องชวนหลอนสำหรับตนออกจากสมองทันที “...นายพอมีวิธีหยุดพวกอสูรไหม?”
“พอมีครับ แต่ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับว่าต้นเหตุของสงครามมาจากอะไร?” ฟุริฮาตะถาม
“ไม่รู้สิ รู้แค่อยู่ๆ มันก็โผล่มาแล้วโจมตีเมืองเท่านั้นเอง” มิยาจิตอบ...ถ้าพวกเขารู้คงหาทางจบสงครามบ้าๆ นี่ได้ตั้งนานแล้ว
“อยู่ๆ โผล่มา? แบบนี้คงต้องจับซักฟอกแต่ล่ะฝ่ายยาวๆ แล้วสิเนี่ย...” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ
“ไอ้คำว่าซักฟอกกับท่าทางนายดูไม่เข้ากันเลย” มิยาจิกล้าพูดเลยว่าท่าเอียงคอปานลูกหมางงกับคำพูดนี่ไม่เข้ากันเลย
“ช่างผมเถอะครับ” ฟุริฮาตะทำแก้มป่องเมื่อโดนว่า “เอาเป็นว่าหายดีแล้วช่วยพาผมไปยังจุดที่สู้กันด้วยนะครับ ผมจะหาทางหยุดเรื่องนี้ก่อนที่จะลามปามไปมากกว่านี้”
“ได้เลยพวก” มิยาจิที่ไม่คิดจะขัดประสงค์อีกฝ่ายในเรื่องนี้พยักหน้ารับ “เออ จริงสิ...นายใช้ได้แต่เวทย์รักษาเหรอ?”
“เปล่าครับ ที่จริงเวทย์โจมตี ป้องกันหรืออะไรพวกนี่ก็ทำได้ครับ แต่มันไม่ได้ใช้เท่าไหร่...จะมีแต่เวทย์ซ่อมแซมนี่แหละครับที่ใช้ประจำเพราะมีคนทำบ้านพังบ่อยๆ น่ะครับ” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่พี่ตนทำพังแต่ล่ะอย่าง...ที่คนปกติไม่น่าทำได้และไม่น่าคิดทำพังเอาเสียเลย
“...ถ้าฉันมีเวทย์คงได้ใช้เวทย์ซ่อมแซมบ่อยเหมือนกันแหละ” มิยาจิเอ่ยและ...จากนั้นไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นว่าทั้งสองได้จับกลุ่มนินทาถึงครอบครัวตัวเองกันเสียอย่างนั้น
สามวันผ่านไปหลังจากที่มิยาจิได้รับการรักษาจากฟุริฮาตะ คนผมสีน้ำผึ้งก็หายดีเป็นปกติ สมารถเดินได้วิ่งได้ไม่ต้องนอนเป็นผักอยู่แต่บนเตียงอย่างหลายวันที่ผ่านมานี้...
“ในที่สุดก็ได้เดินเสียที...” ...และนี่ดูท่าจะเป็นสิ่งที่มิยาจิ คิโยชิดีใจที่สุดที่ไม่ต้องอยู่เฉยๆ แล้ว
“คุณเป็นพวกไม่ชอบอยู่นิ่งๆ สินะครับ” ฟุริฮาตะหัวเราะเบาๆ กับท่าทางของอีกฝ่าย
“ประมาณนั้น...” ...ก็รอบๆ มีแต่ตัวป่วนนี่หว่า ก็เลยติดนิสัยอยู่ไม่สุขมาด้วยเนี่ย
“ไปกันเถอะครับ ถ้านานกว่านี้มีแววว่าเมื่อกลับไปเพื่อนคุณจะเข้าใจว่าคุณเป็นผีเอา” ฟุริฮาตะพูดอย่างติดตลกเล็กน้อย
“ลองคิดงั้นจริงๆ สิ พ่อจะเอาสับปะรดปาหัวเสียให้” มิยาจิพอนึกภาพพวกตัวป่วนแต่ล่ะตัวเข้าใจว่าตนเป็นผีกันแล้วเนี่ย...มันอยากเอาสับปะรดประเคนถึงหัวจริงๆ
“เดี๋ยวได้มีเลือดอาบกันไปข้างหรอกครับ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าไปมา
“ไม่หรอก ทำบ่อย” มิยาจิมั่นใจว่าแค่สับปะรดไม่ทำให้เพื่อนตนตายได้สักคนแน่นอน “แล้ววงเวทย์นี่?”
“เวทย์เคลื่อนย้ายครับ พอดีที่ทางออกป่ามันไกลน่ะครับ” ฟุริฮาตะที่เป็นคนเสกวงเวทย์ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ลากตัวคนผมสีน้ำผึ้งเข้าไปตรงกลางวงตรงหน้า
“สะดวกดีแฮะ” มิยาจิเกาหัวนิดๆ “แล้วทำไมไม่ตรงกลางวงสงครามเลยล่ะ?”
“ผมไม่เคยไปนี่ครับ จะไปไงล่ะครับ มนมีข้อจำกัดว่าต้องเคยไปมาก่อนนะครับ” ฟุริฮาตะอธิบาย
“อ๋อ” มิยาจิพยักหน้ารับอย่างเข้าใจพร้อมกันนั้นเองวงเวทย์ก็เรืองแสงขึ้นมาแสบตาจนมิยาจิต้องรีบหรี่ตาตนและเมื่อลืมตาขึ้นอีกที...ก็ถึงกับเอ๋อกินเมื่อเห็นว่าตนมาถึงยังทางออกป่าแล้วพบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีกำลังหาทางบุกเข้ามาในเขตหวงห้ามนี้อย่างเอาเป็นเอาตายกันอยู่
“ดูท่าพยายามพังบาเรียของพี่อย่างสนุกเลยนะครับ” ฟุริฮาตะถึงกับหลุดหัวเราะพรืดออกมาเมื่อเห็นคนๆ หนึ่งลองกระโดดถีบบาเรียแล้วหงายเก้งในเวลาต่อมา
“นี่ไอ้สาเหตุที่ป่านี้เข้ามาไม่ได้เพราะพี่นายเหรอ?” ในทีสุดมิยาจิก็ได้รู้สาเหตุที่ป่านี้เข้าไม่ได้เสียจนกลายเป็นเขตหวงห้ามแล้ว
“ครับ แต่ดูท่าพี่จะลืมกางบาเรียครอบไปถึงตรงที่คุณตกมาน่ะครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“...” ...สรุปคือเขาซวยเองใช่ไหมเนี่ย?
“รีบไปกันเถอะครับ จะมีคนแทะบาเรียแทนแล้วเนี่ย” ฟุริฮาตะบู้ใบ้ไปยังเด็กหนุ่มผมดำที่ทำหน้าเหมือนใกล้เป็นพิษสุนัขบ้าเข้าทุกที (?)
“นั้นสินะ” มิยาจิเองก็ไม่อยากเห็นเพื่อนตัวเองทำตัวบ้าๆ บอๆ มากกว่านี้ไม่งั้นมีแววได้ขำจนกรามค้างตายแน่ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ว่าแต่จะออกไปไงเนี่ย?”
“ออกพร้อมผมนี่แหละครับ พอดีพี่เขากำหนดว่าให้ผมกับพี่สามารถเดินเข้าออกได้ตลอดเวลาน่ะครับ” ฟุริฮาตะอธิบาย
“แล้วฉันจะออกได้?” มิยาจิถาม...ก็เขาเป็นคนนอกนี่หว่า ตอนตกลงมานี่คือความซวยของแท้ แล้วตอนออกจะออกได้เหรอ?
“แค่จับมือผมไว้ก็ออกได้แล้วครับ” ฟุริฮาตะไม่ว่าเปล่า คว้ามืออีกฝ่ายหมับแล้วลากออกนอกตัวป่า...มาตรงหน้าพวกคนที่กำลังหาทางพังบาเรียนี่แหละอย่างง่ายดาย “นี่ไงครับ”
“อื้ม แปลกดี...แต่ก็เข้าท่าแฮะ” มิยาจิไม่คิดว่าป่าหวงห้ามที่ชาวบ้านพยายามพังไอ้สิ่งที่คลุมป่านี้แทบตายจะเข้าออกง่ายขนาดนี้
“ม...” เหล่าคนที่พยายามเข้าป่าก่อนหน้านี่ชี้นิ้วสั่นๆ มาทางมิยาจิก่อนที่จะ...พุ่งตะคบเข้าใส่คนผมสีน้ำผึ้งอย่างรวดเร็ว “...มิยาจิ!!!! / มิยาจิซางงงงงงงง!!!”
“เฮ้ย! อะไรของพวกนายเนี่ย!?” มิยาจิดันหน้าพวกที่เกาะปานด้วงออก ส่วนฟุริฮาตะนั้น...ไปหลบมุมอยู่วงนอกเนื่องจากไม่อยากขัดเวลาซาบซึ้งของชาวบ้าน (?)
“ก็หายไปไหนซะตั้งนานล่ะไอ้พี่บ้า! ผมเกือบต้องหาทางเรียกแม่กลับมาเพื่อตามพี่แล้วเนี่ย!” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งหรือมิยาจิ ยูยะแว๊ดใส่พี่ชายตัวเอง
“คนตกเขาจะให้หาทางออกง่ายๆ ได้ไงห๊า!? ไม่เดี้ยงก็บุญแล้วเว้ย! แล้วนี่ยังไม่ได้เรียกกลับมาจริงๆ ใช่ไหม!?” มิยาจิชักกลัวๆ แล้วสิ่งว่าอีกฝ่ายจะตามพ่อแม่ตกกลับมาจริงๆ ...ถ้ามานี่หายนะเลยนะเฮ้ย!
“ยัง!” ยูยะตอบคำเดียวสั้นๆ แต่ทำให้มิยาจิรู้สึกโล่งอกสุดแสน
“หยุดทะเลาะกันก่อนครับ...ว่าแต่นี้ปลอดภัยครบสามสิบสองดีใช่ไหมครับ?” นายหัวเขียวหรือมิโดริมะถามขึ้นมาเพื่อกันไม่ให้เกิดศึกระหว่างพี่น้องมิยาจิ...ที่ปกติมันก็เกิดขึ้นประจำขึ้น
“ยังอยู่ดี แค่ต้องนอนเป็นผักมาหลายวันแค่นั้นเอง” มิยาจิตอบคนที่ถามแบบไม่กวนโอ๊ยที่สุดตามตรง
“แล้วนี่นายตกเขาแล้วไม่เป็นไรเลยเหรอ?” รองแม่ทัพของชูโตกุที่ติดสอยห้อยตามผู้ปกครองเมืองตัวเองอย่างมิโดริมะมาด้วยถามอย่างแปลกใจทีคนผมสีน้ำผึ้งดูแข็งแรงที่ทั้งๆ ที่ตกหน้าผามา แถมออกไปทางแข็งแรงเกินอีก
“ถามแปลกๆ ...ใครตกหน้าผาสูงขนาดนั้นจะไม่เป็นไรเลยวะ! เกือบตายดิ!” มิยาจิแยกเขี้ยวใส่พร้อมเอื้อมมือไปคว้าคนผมน้ำตาลที่หลบมุมอยู่เข้ามาร่วมวงสนทนาของพวกตน “ถ้าหมอนี่ไม่ไปเจอได้นอนคุยกับรากต้นไม้ของแท้แหง”
“หมอนี่?” ทาคาโอะตัวป่วนประจำกลุ่ม (?) มองฟุริฮาตะตาแป๋ว “นี่ใครอ่ะ? มิยาจิซัง? ลักพาตัวมาจากไหนเนี่ย?”
“ลักพาตัวกับผีสิ! พูดแบบนี้ฉันเสียหายนะเว้ย!” มิยาจิเขกหัวทาคาโอะไปหนึ่งที
“อย่าเพิ่งฆ่าทาคาโอะสิครับ เดี๋ยวผมเป็นม่ายหรอก” มิโดริมะเอ่ยต่อหน้าตาย
“อย่าเล่นมุขหน้าตายแบบนี้สิชินจัง!” ทาคาโอะที่เพิ่งโดนเขกหัวมาหันไปแว๊ดใส่คนผมเขียวที่พูดอะไรไม่อายใครออกมาหน้าตาเฉย
“อย่าเพิ่งจีบกันสิ...ว่าแล้วนี่พามาจากไหนเนี่ยพี่?” ยูยะที่เห็นว่าความวุ่นวายของคนในกลุ่มมีแววจะเริ่มขึ้นอีกในไม่ช้าถามขึ้น
“เป็นคนที่ช่วยฉันในป่าและ...” มิยาจิเอ่ย “...เป็นคนในคำทำนายของมิโดริมะไงล่ะ”
“เอ๊ะ? หมอนี่เป็นผู้ใช้เวทย์?” คราวนี้คำพูดของมิยาจิเรียกความสนใจของทุกคน ที่ป่วนๆ กันอยู่ก็พากันหยุดการกระทำของตนและมองไปที่คนผมน้ำตาลเป็นตาเดียว
“ใช่ครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับ...ที่จริงถ้าเป็นปกติโดนจ้องขนาดนี้เขาคงหนีเข้าป่าอีกรอบไปแล้ว เสียแต่ตอนนี้ยังมีเรื่องที่ต้องทำนี่สิ “มีอะไรไว้ถามทีหลังเถอะครับ ตอนนี้กรุณาพาผมไปที่สนามรบก่อนได้ไหมครับ? พอดีมีเรื่องต้องซักถามบางผู้บางตนเสียหน่อยน่ะครับ”
“ต้องเป็นบางคนไม่ใช่เหรอ?” มิโดริมะเอ่ยแก้คำพูดของอีกฝ่าย
“ตนนั่นแหละครับถูกแล้ว ผมจะไปเค้นคออสูรน่ะครับ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มบางๆ ให้
“ขอพูดคำเดิม คำพูดกับท่าทางนายไม่เข้ากันเลยวะ” มิยาจิกรอกตาไปมา
“ช่างผมเถอะน่า” ฟุริฮาตะทำหน้ามุ่ยทันทีที่โดนมิยาจิว่า
“หึๆ” มิยาจิหัวเราะกับท่าทางที่รับพลางเอามือไปขยี้เรือนผมสีน้ำตาลอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะหันไปพูดกับคนผมเขียว “เอ้าๆ รีบไปกัน...มิโดริมะพาไปหน่อย”
“รับทราบครับ” มิโดริมะรับหน้าและเรียกวงเวทย์ออกมาใต้เท้าของทุกคนจากนั้นแสงที่แสนแสบตาก็สว่างขึ้นมาและเมื่อแสงนั้นจางลงดับลง...
“...นี่เล่นกลางวงเลยเหรอ!?” ...ก็ปรากฏว่าทุกคนมาปรากฏมันกลางสนามรบที่มีการสู้กันอยู่เลยเนี่ย
“ขอโทษครับ กะผิดไปหน่อย” มิโดริมะยิ้มแห้งๆ กับความเหวอที่นานๆ ทีจะปรากฏออกมาให้เห็นเช่นนี้
“...” ฟุริฮาตะที่ดูท่าจะไม่สนใจว่าตนโผล่มากลางวงสงครามเท่าไหร่นั้นมองการต่อสู้ระหว่างคนกับอสูรหน้าเครียด “อะแฮ่ม...หยุดก่อนครับ! หยุดดดดดด!!!”
“อูย~~~ เสียงแจ๋วมาก” มิยาจิเอ่ยเสียงแผ่วกับเสียงอันดังของคนผมน้ำตาลที่ทำเอาหูตนแทบดับ...แถมยังเสียงดังจนทุกชีวิตในสนามรบพากันหยุดชะงักกันไปเลยทีเดียว
“จะใช้เวทย์ขยายเสียงก็บอกกันก่อนสิ...” มิโดริมะรู้เลยว่าเสียงที่ดังแสบแก้วหูนี่มาจากเวทย์เสียงแน่นอน
“ขอโทษครับ...” ฟุริฮาตะขอโทษคนผมเขียวเล็กน้อยห่อนที่จะหันไปส่งยิ้มเหี้ยมๆ ให้อสูรที่อยู่ใกล้ตนที่สุดจนสะดุ้งโหยงแทน “...ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันครับ?”
“ท...ท่านฟุริฮาตะ...” อสูรที่รูปร่างเหมือนครึ่งคนครึ่งกระทิงเหงื่อแตกซิกๆ กับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มผมน้ำตาล
“ไม่ต้องกลัวออกนอกหน้าก็ได้ครับ ผมนะไม่ใช่พี่” ฟุริฮาตะส่งยิ้มหวานให้ แต่บรรกาศรอบตัวกลับทำให้คนและที่ไม่ใช่คนโดยรอบถอยกรูดกันเลยทีเดียว “แล้วนี่มาสู้กับมนุษย์ได้ไงครับ? จะผิดกฎของมายุสุมิซังกับคุโรโกะเหรอครับ? ถ้าใช่ผมขอบอกเลยว่าไม่ใช่สิ่งที่ฉลาดเลย”
“ป...เปล่าครับคือ...” อสูรตนเดิมเอ่ยด้วยอาการเหมือนกำลังจะตาย “...พวกข้าแค่...อยากทวงพวกท่านราชาคืนแค่นั้นเอง!”
“คุโรโกะกับมายุสุมิซังน่ะเหรอครับ? สองคนนั้นทำไมครับ?” ฟุริฮาตะถามด้วยท่าทางนิ่งๆ ในขณะที่มิโดริมะห้ามทัพตนไม่ให้โจมตีพวกอสูรทีเผลอ
“ก็พวกท่านราชาหายไป...” อสูรตนเดิมตอบ
“และตรวจสอบดูแล้วพบว่าประตูมิติเปิดขึ้นครั้งสุดท้ายที่นี่สินะครับ?” ฟุริฮาตะถามต่อ
“ครับ” คราวนี้เหล่าอสูรพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง
“และคิดกันไปเองว่าสองคนนั้นถูกคนในอาณาจักรนี้จับตัวไปสินะครับ?” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อพอคาดเดาถึงสาเหตุของเรื่องนี้ได้
“ก็มันเป็นไปได้มากสุดนี่ครับ” เหล่าอสูรตอบ
“บ้าสิ! สงครามเกิดขึ้นเพราะเรื่องแบบนี้เนี่ยนะ!?” มิโดริมะโวยลั่น...นี่ที่อาณาจักรเขาวุ่นวายมาหลายปีเพราะเหตุแบบนี้เนี่ยนะ!?
“เงียบไปเลยเจ้ามนุษย์หัวเขียว!” อสูรครึ่งคนครึ่งกระทิงแยกเขี้ยวใส่คนผมเขียว
“คุณนั้นแหละครับเงียบไปเลย!” ฟุริฮาตะแว๊กกลับทำให้คนและไม่ใช่คนที่เถียงกันเมื่อครู่สะดุ้งโหยง “นี่บุกอาณาจักรคนอื่นเพราะคิดแค่นี้เนี่ยนะครับ!? ไม่คิดตรวจสอบกันบ้างเหรอ!? ที่สำคัญอย่าลืมว่าสองคนนั้นจืดจางสิครับ! ขนาดพวกคุณยังจับตัวตนของสองคนนั้นไม่ค่อยได้คิดเหรอครับว่ากับคนปกติถ้าสองคนนั้นคิดจะหนีจะหนีไม่ได้น่ะครับ!?”
“แล้วพวกท่านราชาจะหายไปไหนล่ะครับ...” อสูรกระทิงทำเสียงแผ่ว
“ลองดูบนโต๊ะทำงานสองคนนั้นหรือยังครับ? ปกติไปไหนมักทิ้งจดหมายไว้นี่ครับ” ฟุริฮาตะถาม
“...” เหล่าอสูรนิ่งเงียบไป
“ยังสินะครับ?” ฟุริฮาตะเริ่มอยากงัดสมองพวกอสูรออกมาดูแล้วสิว่ายัดด้วยอะไรถึงพากันลืมกันทั่วหน้าเนี่ย
“เออ...จะตรวจสอบเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” อสูรกระทิงเอ่ยก่อนที่คนผมน้ำตาลจะพิโรธ...เห็นแบบนี้ถ้าโกรธจริงๆ น่ากลัวพอดูเลย “นี่แก...ไปดูสิ”
“ครับผม” อสูรนกที่โดนโยนหน้าที่ให้ขานรับ
“ให้เวลาห้านาทีนะครับ ถ้าช้ากว่านั้นพอพี่กลับมาผมจะบอกให้พี่ไปเล่นที่บ้านคุณนะครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ หากแต่เหล่าอสูรสะดุ้งโหยงกันเป็นแถบ
“ท่านเคียวมาก็เละทั้งบ้านทั้งเมืองสิครับ!” อสูรนกแว๊ดลั่นก่อนที่จะเปิดประตูมิติแว่บกลับไปยังโลกของตนอย่างรวดเร็ว และสามนาทีต่อมาก็กลับมาพร้อมจดหมายฉบับหนึ่ง “กลับมาแล้วครับ! เจอจดหมายจริงๆ ครับ!”
“กะแล้วเชียว...” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“...ให้ตายสิ เป็นสงครามที่งี่เง่าที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาเลย” มิยาจิไม่รู้ว่างานนี้เขาควรเอาหัวโขกหินตายหรือเอาหัวอสูรพวกนี่โขกหินให้หายบ้าเลย
“ยังดีที่สงครามครั้งนี้ไม่มีใครตาย...ถึงมีอสูรตายก็เถอะ” มิโดริมะที่ดูปวดจิตไม่ต่างกันคุมขมับ
“ชักอยากเรียกพ่อแม่กลับมาตื้บไอ้พวกนี่แฮะ” ยูยะบ่นอุบอิบ
“งี่เง่านี่เห็นด้วยครับ ส่วนอสูรที่พวกคุณจัดการไปไม่ต้องห่วงคนปกติแค่อาวุธธรรมดาฆ่าไม่ได้หรอกครับ อย่างมากก็แค่บาดเจ็บ และสุดท้ายถ้าที่คุณคิดจะเรียกพ่อแม่มิยาจิซังกลับมาขอบอกว่า...ตามใจครับ เพราะแบบนั้นก็แค่ให้ความรู้สึกว่ามีพี่ผมเพิ่มมาอีกคนสองคนเอง” ฟุริฮาตะเอ่ย
“แค่คนเดียวก็แย่แล้วครับท่าน!” เหล่าอสูรที่ดูจะกลัวพี่ชายรายนี้เหลือหลายต่างทำหน้าสยองกันอย่างไม่มีปิด
“ก่อเรื่องเอง ช่วยไม่ได้ครับ” ฟุริฮาตะยักไหล่น้อยๆ “แล้วใจจดหมายเขียวว่าไงครับ?”
“เขียนไว้ว่า... ‘สวัสดีครับ เมื่ออ่านจดหมายนี่ผมกับมายุสุมิซังคงไปไกลแล้วเพราะงั้นขออธิบายง่ายๆ นะครับว่าพวกผมจะไปช่วยเคียวซังที่คิดไปเล่นพิเรนท์จนติดในป่าวงกตไม่ทำป่าพินาทไปทั้งป่าเพราะงั้นอีกสิบปีจะกลับมานะครับ’ ลงชื่อคุโรโกะ เท็ตสึยะ” อสูรนกตัวเดิมเปิดจดหมายออกมาอ่านเสียงดังชัดเจน แต่นั้นก็ทำให้ทั้งคนทั้งอสูรต่างเงียบในบัดดลเนื่องจากรู้ดีว่าป่าวงกตที่ว่าอันตรายขนาดไหนก่อนที่จะเริ่มเหล่มองฟุริฮาตะอย่างพร้อมเพียง
“เออ...ท่านฟุริฮาตะ...อย่าหาว่าข้าปากเสียเลย แต่ป่าวงกตนี่อันตรายกับมนุษย์มากนะครับ แล้วท่านเคียว...” อสูรกระทิงเอ่ยเสียงแผ่วคล้ายกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจในคำพูดตน
“เนื้อความในจดหมายก็บอกอยู่นี่ครับว่าไปกันไม่ให้พี่ผมสร้างหายนะน่ะ ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เดี๋ยวก็กลับมาป่วนพวกคุณแล้ว” ฟุริฮาตะมั่นใจได้เลยว่าพี่ตนไม่เป็นอะไรแน่นอนเอ่ย “แล้ววันที่ในจดหมายนี่เขียนลงวันที่เท่าไหร่ครับ?”
“24 มีนาคม ปี ××× ครับ” อสูรนกตอบ
“มิยาจิซัง...วันนี้วันที่เท่าไหร่ครับ?” ฟุริฮาตะหันไปถามคนผมสีน้ำผึ้งต่อ
“น่าจะ 24 มีนา...เดี๋ยวนะ วันนี้ครบสิบปีตามจดหมายไม่ใช่เหรอ?” มิยาจิขมวดคิ้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้นั้นเป็นวันที่ครบสิบปีตามที่จดหมายบอกพอดี ในขณะที่เหล่าอสูรเริ่มเหงื่อกันพลั่กๆ
“ครับ และถ้าคุณจำวันไม่ผิดเดี๋ยวก็มีคนลากพวกนี่กลับโลกอสูรแล้วครับ” ฟุริฮาตะยิ่มร่า ในขณะนั้นเอง...วงเวทย์ที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นมาข้างตัวฟุริฮาตะพร้อมกับร่างของคนสามคนที่เพิ่มขึ้นมา ณ ที่แห่งนี้ “และ...ก็มาพอดีเลยครับ”
“นี่ทำบ้าอะไรกันอยู่วะ / ครับเนี่ย!?!” เด็กหนุ่มผมเงินและผมฟ้าสองคนเมื่อวงเวทย์สลายไปก็กระโจนมาสตั้นหน้าเหล่าอสูรหน้ามึนทั้งหลายทันที
“อะจึ๋ย! ท่านราชา!” เหล่าอสูรร้องลั่นพร้อมทำท่าเหมือนจะหาที่หลบ...ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าทหารฝั่งมนุษย์ที่ยืนอยู่ใกล้หน่อยย่อมกลายเป็นโล่อย่างเอ๋อๆ ไปโดยปริยาย
“ไม่ต้องมาโวยเลย! นี่มันเรื่องอะไรกันฟะ!?” คนผมเงินแยกเขี้ยวใส่พลางแงะอสูรที่เอาชาวบ้านเป็นโล่หน้าด้านๆ ออกมา
“กล้าทำผิดก้นอยากตายสินะครับ?” คนผมฟ้ายิ้มเหี้ยมๆ ชวนน่าขนลุก
“น่าๆ ใจเย็นๆ น่า” ชายหนุ่มผมน้ำตาลคนหนึ่งเอ่ยอย่างร่าเริงขัดบรรยากาศน่าอึดอัดก่อนที่จะลอย (?) ไปหาเด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่ยืนทำหน้าปลงอยู่ “โคกิ~~~~ พี่กลับมาแล้วจ้าาาาา”
“ครับๆ เห็นแล้วครับ” ฟุริฮาตะขานรับแล้วเอี้ยวตัวหลบพี่ชายตนที่หมายจะพุ่งเข้ามากอดทันที
“ง่ะ! หลบทำไมอ่ะ?!” คนผมน้ำตาลหรือนายฟุริฮาตะ เคียวทำแก้มป่อง
“ก็พี่แรงเยอะนี่ครับ ผมยังไม่อยากหลังหักนะ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มอ่อนใจให้พี่ตนก่อนที่จะหันไปพูดกับคนผมฟ้าและเงินที่แงะอสูรออกจากหลังชาวบ้านอยู่ “และฝากจัดการเรื่องพวกนี่หน่อยนะคุโรโกะ มายุสุมิซัง”
“ไม่บอกผมก็กะจัดการแบบเด็ดๆ อยู่แล้วครับ” คนผมฟ้า...คุโรโกะขานรับ
“ไม่ต้องห่วง จะจัดการแบบไม่ให้พวกนี่กล้าทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้อีกแน่” มายุสุมิชี้เหล่าอสูรอย่างเจาะจง...เล่นซะหลายๆ ตัวถึงกับหงอยเลยทีเดียว
“อย่าให้ถึงตายล่ะครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยเตือนเล็กน้อย
“จะพยายาม / ครับ” เด็กหนุ่มทั้งสองตอบ
“โคกิ พี่ว่าบอกให้พอมีศพให้ฝั่งง่ายกว่าไหมอ่ะ?” เคียวที่ลืมงอนน้องตัวเอง (?) ไม่คิดว่าคนหัวฟ้าๆ เงินๆ พวกนี้จะอ้อมมือหรอกเรื่องนี้น่ะ
“อาจจะครับ...พี่เองก็ไปช่วยพวกคุโรโกะเลยครับ เดี๋ยวผมไปคุยกับพวกทัพฝั่งมนุษย์เรื่องนี้ก่อนครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยกึ้งไล่พี่ตัวเอง
“พี่คุยด้วยดิ” เคียวทำเสียงอ่อย
“เพื่อกันไม่ให้ใครปวดจิตตายก่อน อย่าเลยครับ” ฟุริฮาตะมั่นใจเลยว่าถ้าคนปกติมาคุยกับพี่ตน...มีปวดจิตปวดหัวลามไปถึงตับกันก่อนแน่นอน
“นี่ปากร้ายขึ้นนะเนี่ย” เคียวทำแก้มป่องเมื่อโดนว่า...ซึ่งดูน่าถีบมากกว่าน่ารักชอบกล ก่อนที่จะโดดดึ๋งๆ ไปช่วยพวกเพื่อนน้องตัวเองแทนตามคำสั่ง
“...พี่นายดูเพี้ยนๆ ชอบกลนะ” เมื่อเคียวไปแล้ว มิยาจิก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“พี่เขาเป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้วครับ อย่าไปสนเลย” ฟุริฮาตะเอ่ยพลางมองมนุษย์แต่คนที่รอดจากการโดนอสูรเกาะแล้วกลับมารวมกลุ่มทางนี้เล็กน้อย “เอาเป็นว่าตอนนี้ไม่มีอสูรโผล่มาให้สู้ต่อกันแล้วแน่นอนกรุณาแยกย้ายกันกลับเมืองได้ไหมครับ”
“ได้น่ะได้ แต่อยากดูความวุ่นวายก่อนน่ะ” มิยาจิเอ่ยขณะที่มองเหล่าอสูรที่ตอนนี้โดนให้นั่งคุกเข่าฟังเทศอย่างขำๆ
“ดูให้หายแค้นเล่นหรือไงครับ?” ฟุริฮาตะกรอกตาไปมา “ผมแนะนำว่าอย่าเลยครับ เพราะถ้าเกิดพี่ผมนึกคึกเล่นด้วยเมื่อไหร่ได้หลบลูกหลงกันวุ่นเลยครับ”
“ลูกหลง?” มิยาจิคิ้วกระตุกนิดๆ ...พอได้ยินคำว่าลูกหลงทำไมสมองพาลคิดถึงพ่อแม่ทะเลาะกันทุกทีเลยวะ!?
“ก็อย่าง...” ฟุริฮาตะทำหน้าเหมือนอ่อนใจในขณะที่...หินก้อนเท่าบ้านคนหลังหนึ่งลอยผ่านหัวไป “...นั้นไงครับ”
“นี่มันแรงคนเหรอฟะ!?” มิยาจิ...รวมทั้งอีกหลายๆ คนแว๊กลั่นเมื่อมองไปยังจุดที่หินลอยมาและพบว่าตอนนี้ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลกำลังแงะหินมาโยนใส่เหล่าอสูรให้หลบเล่นอยู ขณะที่คนผมเงินกับผมฟ้านั่งชมพลางกินขนมกันหน้าตาเฉย...
...นี่มันบ้าพลังไปแล้วนะเฮ้ย! ไอ้สองคนนั้นก็ชิวล์เกินนนนน!!!
“ครับ พอดีพี่ผมแรงเยอะเกินไปหน่อยน่ะครับ” ฟุริฮาตะที่ดูจะชินกับเรื่องแบบนี้แล้วเอ่ย
“ไม่เรียกว่าหน่อยแล้วมั้ง!” มิยาจิแว๊ดกลับ
“ก็นะ” ฟุริฮาตะยักไหล่น้อยๆ “แนะนำรีบๆ ไปเถอะครับ ก่อนลูกหลงจะมากกว่านี้”
“โอเค” คราวนี้เหล่ากลุ่มกองทัพมนุษย์ทั้งหลายรีบใส่เกียร์หมาออกจากจุดอันตรายทันที เหลือเพียงคนผมสีน้ำผึ้งที่ยังไม่ทันหนีไปไหนคนเดียว
“อ่ะ จริงสิ...” มิยาจิเอ่ยขึ้นมา “...เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะมาหาที่นหน้าป่านะ มารอรับฉันด้วยล่ะ!”
“เอ๊ะ? อา...ครับ...” ฟุริฮาตะขานรับขณะที่มิยาจิเริ่มเผ่นตามคนอื่นไป “...ว่าแต่มิยาจิซังจะมาที่ป่าอีกทำไมหว่า?”
...อื้ม นี่คือสาเหตุที่มาที่นี่สินะ?...
ความคิดคล้ายคนปลงดังก้องภายในหัวเด็กหนุ่มผมน้ำตาลพลางมองเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่วิ่งร่าทั่วป่าในเขตบ้านตนปานเด็กมาทัศนศึกษา แถมคนเป็นพี่ตนดันไปร่วมก๊วนป่วนด้วยอีกต่างหาก...เรียกได้ว่าปั่นป่วนสุดๆ เลยในตอนนี้
“ตกลงที่มากันนี่คือพวกมิโดริมะอยากมาดูในป่าเหรอครับ?” ฟุริฮาตะหันไปถามมิยาจิที่เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ไปป่วนกับเขา
“เปล่าหรอก ไอ้พวกนี่ขอตามมาเองหลังจากรู้ว่าฉันจะมาที่นี่อีกรอบน่ะ” มิยาจิเกาหัวนิดๆ ...ที่จริงเขาไม่ได้จะยกทัพมาป่วนบ้านคนอื่นแบบนี้หรอก แต่ตอนที่จะมานี่ไอ้พวกผู้ปกครองเมืองติ๊งต๊องแต่ล่ะเมือง น้องเขา ไอ้หัวเหม่งทาคาโอะดันขอตามมาด้วยจนเหตุการณ์กลายเป็นอย่างนี่ไง
“แล้วทำไมถึงมาที่นี่อีกรอบล่ะครับ?” ฟุริฮาตะถามเรื่องที่สงสัยมาตั้งแต่เมื่อวาน
“ไม่อยากให้มาหรือไง?” มิยาจิทำเสียงเหมือนงอนเล็กน้อย
“เปล่าครับ แค่สงสัย” ฟุริฮาตะรีบส่ายหน้าวืด
“ก็ไม่มีอะไรมากแค่อยากมา...” มิยาจิยักไหล่น้อยๆ
“อยากมาเที่ยวป่าเหรอครับ?” ฟุริฮาตะถาม...ไม่คิดเลยแฮะว่ารายนี้จะมีอารมณ์เที่ยวป่าเล่นหลังสงครามสุดไร้สาระจบลงเนี่ย
“เปล่า อยากมาเจอนายต่างหาก” มิยาจิเอ่ยต่อหน้าตาเฉย
“...” ฟุริฮาตะเมื่อได้รับคำตอบแบบนี้ถึงกับเอ๋อกินในทันที “เอ๋? หมายความว่าไงครับ?”
“ความรู้สึกช้าชะมัดนายเนี่ย” มิยาจิกรอกตาไปมา “ฉันไม่บอกนายหรอก เอาเป็นว่าถึงเวลานายจะรู้เองแล้วกัน”
“ไหงงั้นล่ะครับ!?” ฟุริฮาตะโวยลั่น...มาทำให้เขาอยากรู้ทำไมเนี่ย!?
“โวยไปเถอะ ฉันไม่บอกนายหรอก” มิยาจิดีดหน้าผากคนผมน้ำตาลเบาๆ และ...
“แหม...หวานกันจังนะครับ”
“ช่วยอย่าทำเหมือนโลกนี่มีแค่พวกนายสองคนได้ไหมเนี่ย? เห็นใจคนโสดบ้างเถอะ” ...ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงสองเสียงก็ดังขึ้นมาพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มทั้งสอง...ที่มาอยู่ข้างๆ ฟุริฮาตะกับมิยาจิเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“เฮ้ย!” มิยาจิกับฟุริฮาตะสะดุ้งโหยง “มาเมื่อไหร่เนี่ย!?”
“พวกผมนั่งตรงนี้ตั้งนานแล้วครับ พวกคุณต่างหากมองข้ามพวกผมไปเอง” คุโรโกะตอบกลับหน้าตายสนิก
“นับวันยิ่งจืดจางหรือเปล่าเนี่ย!?” ฟุริฮาตะเริ่มปลงกับเพื่อนตัวเองแล้วสิงานนี้
“คงงั้นแหละครับ” คุโรโกะที่โดนว่าเช่นนี้จนชินยักไหล่น้อยๆ
“นี่นาย...” มายุสุมิละสายตาจากเพื่อนทั้งสองของตนที่เริ่มคุยปนเถียงกันแล้วในขณะนี้ “...กะจีบฟุริมันจริงดิ?”
“คิดว่าไงล่ะครับ?” มิยาจิถามกลับ
“ตามความคิดฉัน...จากสีหน้าแล้วนายเอาจริง แถมดูท่าจะจริงใจด้วยสิ” มายุสุมิหัวเราะออกมาเบาๆ ...ก็นะ เพื่อนเขานี่เป็นพวกน่ารักๆ แบบที่ทำให้คนมาชอบง่ายนิ แถมเท่าที่ได้ยินมาหมอนี่ถูกเพื่อนเขาดูแลมาเกือบสัปดาห์คงเข้าขั้นหลงแล้วมั้งเนี่ย “แต่ถ้าจะจีบฉันแนะนำว่านายควรไปตีสนิกกับไอ้เคียวมันก่อนดีกว่านะ ไม่งั้นเดี๋ยวมันมากีดกันนายจะยุ่งเอา”
...นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาดูคนเป็นเขาไม่ยอมให้จีบเพื่อนสุดแสนซื่อบื้อของเขาง่ายๆ แบบนี้นะขอบอก...
“ขอบคุณที่แนะนำครับ” มิยาจิเอ่ยขณะเดียวกันนั้นหูก็พลันได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังโครม ทำให้เจ้าตัวหันไปมองยังต้นเสียงและ... “เฮ้ย!”
...แทบอยากจะลมจับเมื่อเห็นชายหนุ่มผมน้ำตาลทำต้นไม้ขนาดสามคนโอบหักคามือเสียแล้ว
“ไอ้เคียวทำต้นไม้หักอีกแล้วสิน่า...” มายุสุมิตบบ่าคนผมสีน้ำผึ้งเบาๆ “...ยังไงก็พยายามเข้าล่ะ”
“ครับ...” มิยาจิเอ่ยเสียงแผ่วพลางมองคนที่ตนกำลังจะจบวิ่งไปปรามพี่ชายตัวเอง...นี่ถ้ารายนั้นเกิดอาการหวงน้องขึ้นมาจะทำไงดีฟะเนี่ย? “...เฮ้อ...จะรอดไหมฟะฉัน”
...ดูท่าก่อนจีบต้องตีสนิกว่าที่พี่สะใภ้ให้ได้ก่อนจริงๆ สินะเนี่ย...
End
Cr. かお
http://www.pixiv.net/
ความคิดเห็น