คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #207 : [NijiHai] batsu game
Title : batsu game
Fandom : Kuroko no Basket
Paring :Nijimura x Haizaki
Notes : …
.....................................................................................
batsu game
กึก...กึก...
เสียงเครื่องจักรภายในนาฬิกาเครื่องเก่าดังขึ้นอย่างช้าๆ ประสานกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย เด็กหนุ่มผมเทาวิ่งตามเส้นทางภายในรถไฟเก่าๆ ที่ยังแล่นอยู่นี่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขณะเดียวกันนั้น...เสียงของบางอย่างก็ดังไล่ตามหลังมาทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง
...บ้าเอ้ย! นี่เขามาติดในที่บ้าๆ แบบนี้ได้ไงกัน!?...
เด็กหนุ่มผมเทา...หรือก็คือไฮซากิ โชโงะแห่งทีมบาสฟุคุดะคิดอย่างไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตนมาอยู่ในที่แห่งนี้ เรื่องที่ทรงผมเดธร็อกของตนแปรเปลี่ยนเป็นรังนกสีเทา (?) ดังเช่นสมัยม.ต้น หรือแม้แต่สิ่งประหลาดที่ตามหลังตนมานี่...
...สิ่งที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ที่ถูกเผาไหม้จนเหลือแค่ซากดำๆ ซึ่งกำลังกรีดร้องโหยหวนและกำลังไล่ตามเขามาราวกับจะลากเขาลงขุมนรกด้วยกันนี่ด้วย
“จะตามไปถึงไหนกัน!? ไปให้พ้นนะ!!!” ไฮซากิแว๊ดสุดเสียงเมื่อสิ่งที่ตามหลังตนมาเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นมาจับชายเสื้อตนไว้ได้ และนั้นทำให้ไฮซากิจำต้องสละเสื้อนอกตนทิ้งไปแล้วเริ่มวิ่งต่อแม้เหนื่อยแทบตายแล้วก็ตาม
...ต้องหนี...หนีให้พ้น...
...ต้องหนีให้ได้...ถ้าไม่อยากตาย...
...แต่ทำไม...ในใจมัน...
...รู้สึกอยากตายล่ะ?...
ไฮซากิคิดอย่างสับสนในตัวเองทั้งๆ ที่ฝีเท้านั้นยังคงก้าวไปไม่หยุด...ทั้งๆ ที่เขายังหนีเอาชีวิตรอดอยู่แต่ทำไมถึงไม่อยากมีชีวิตอยู่ด้วยล่ะ? อีกอย่างทำไมเขาถึงรู้สึกบ้าๆ แบบนั้นด้วยฟะ!? ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากตายง่ายๆ แบบงี่เง่าแบบนี้ฟะ!?
“ไฮซากิ!” ระหว่างที่กำลังโวยกับตัวเองในใจอยู่นั้นก็มีเสียงหนึ่งที่คุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับ...ร่างคนคนหนึ่งวิ่งสวนทางตนไปหาร่างไหม้ๆ ที่ตามมาและ...
...เอาท่อนเหล็กจากไหนไม่รู้ฟาดใส่เต็มๆ เลย
“อะ...” ไฮซากิหันกลับไปมองคนที่วิ่งใส่ตนไปซัดสิ่งประหลาดนั้นอย่างงงๆ อีกฝ่ายนั้นเป็นชายหนุ่มผมดำอายุน่าจะราวๆ ยี่สิบปีซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาแปลกๆ ทั้งๆ ที่ตนมั่นใจว่าไม่รู้จักคนอายุเท่านี้ที่หน้าตาแบบนี้แท้ๆ และในระหว่างที่สงสัยนั้น...ชายหนุ่มคนนั้นก็หยุดการโจมตีสิ่งประหลาดนั้นแล้วหันมาวิ่งเข้าคนผมเทา จับมือเด็กหนุ่มไว้แล้วลากวิ่งต่อซะงั้น “...ด...เดี๋ยวสิ!”
“เดี๋ยวอะไรล่ะ? อยากโดนไอ้นั่นจับกินหรือไง?” ชายหนุ่มถามกลับด้วยน้ำเสียงเหมือนหัวเสียเล็กน้อย
“...ไม่รู้สิ” ไฮซากิที่ยังคงสับสนในตัวเองอยู่นั้นตอบกลับไปและ…ถูกมืออีกข้างของชายหนุ่มตีหัวเข้าจังๆ ทั้งๆ ที่ยังวิ่งกันอยู่แบบนี้ “โอ้ย! เจ็บนะเฟ้ย!”
“ใครให้พูดจาน่าโมโหก่อนล่ะ!? ไอ้เด็กบ้าเอ้ย!” ชายหนุ่มสบถออกมาเบาๆ “พูดจากเหมือนคนไม่แน่ใจในชีวิตตัวเองนี่ไม่สมเป็นน่าเลยนะเอ้ย! ไฮซากิ!”
“อย่าพูดเหมือนรู้ดีสิ! แล้วนี่คุณเป็นใครฟะ!?” ไฮซากิสวนกลับทันควัน
“นี่นายจำฉันไม่ได้เหรอฟะ!?” ชายหนุ่มสบถออกมาเบาๆ “คงต้องหาที่นั่งคุยหน่อยแล้วสิ”
“นั่งรอให้ไอ้นั่นมากัดหัวเหรอ!?” ไฮซากิถามกลับ
“บ้าสิฟะ!” ชายหนุ่มลากอีกฝ่ายวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดหนึ่ง...ซึ่งเป็นรอยต่อขบวนเจ้าตัวก็รีบลากคนผมเทาข้ามขบวนแล้วรีบกดปุ่มปิดประตูทันที
โครม!
และนั้นทำให้สิ่งที่ตามมาวิ่งชนประตูอย่างจัง และดูท่ามันจะไม่รู้วิธีเปิดประตูทำให้ได้เพียงตะกายประตูอย่างเจ็บใจเท่านั้น
“อย่างน้อยก็รอดไปช่วงหนึ่งล่ะ” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ “มานั่งนี่เลยไฮซากิ...เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ไม่กลัวไอ้นั้นเข้ามาหรือไง?” ไฮซากิบู้ใบ้ไปยังตัวที่ข่วนประตูอยู่
“เอาเป็นว่าฉันรู้ว่ามันไม่เข้ามาง่ายๆ แล้วกัน” ชายหนุ่มกรอกตาไปมา “แล้วนี่นาย...จำฉันไม่ได้จริงๆ? สมองหายระหว่างวิ่งหรือไง?”
“สาบานว่าปาก?” ไฮซากิแยกเขี้ยวใส่ “สมองหายเปล่าไม่รู้หรอก รู้แค่ว่าจำอะไรไม่ค่อยได้แค่นั้นแหละ”
“จำอะไรไม่ค่อยได้?” ชายหนุ่มทวน “แล้วนายจำอะไรได้บ้าง?”
“จำได้แค่เรื่องตัวเอง กับโดนลากเข้าเรื่องชมรม...” ไฮซากิกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่ตนจำได้แต่แล้ว...
“เดี๋ยว! ชมรมอะไร!? นี่นายพอจบม.ปลายนายก็ไม่ได้เข้าชมรมแล้วนะ!” ...ชายหนุ่มก็เอ่ยแย้งด้วยท่าทีตกใจ
“ฉันเพิ่งอยู่ม.ปลายปีหนึ่งนะเฮ้ย!” ไฮซากิทำท่างุนงง...เขาจำได้เพิ่งเข้าม.ปลายเองนะเอ้ย! อย่าเพิ่มอายุกันหน้าตาเฉยสิ!
“มั่วแล้ว! ตอนนี้นายอยู่มหาลัยปีหนึ่งต่างหากล่ะไอ้เด็กเพี้ยน! ตอนเลือกมหาลัยนายยังเถียงกับโชจิซังอยู่เลยนะเฮ้ย!” ชายหนุ่มแว๊ดลั่น
“นายต่างหากที่เพี้ยน! แล้วนี่นายรู้จักพี่ได้ไงฟะ!?” ไฮซากิถามกลับ
“จะไม่รู้ได้ไงฟะ!? ไปคุยเรื่องนายประจำเนี่ย!!!” ชายหนุ่มขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย “ฉันนิจิมุระ ชูโชไงวะ! จำได้หรือยังไอ้เด็กบื้อ!”
“ห๊า!?” ไฮซากิอ้าปากค้าง “นี่นิจิมุระซังเหรอ!? จริงอ่ะ!?”
...แต่ถ้าเป็นงั้นจริง...มันก็อธิบายเรื่องแปลกๆ นอกจากเรื่องไอ้ตัวที่ไล่ตามเขาได้แทบทั้งหมดน่ะสิ!?...
“เออดิวะ! โอ๊ย...นี่ไหงความจำนายย้อนกลับไปตอนเพิ่งขึ้นม.ปลายได้วะ!?” นิจิมุระคุมขมับ
“จะไปรู้เหรอ!?” ไฮซากิเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นงี้ไปได้
“พูดดีๆ กับรุ่นพี่สักครั้งจะตายไหมห๊า!?” นิจิมุระแยกเขี้ยวใส่รุ่นน้องสมัยม.ต้นของตน
“ไม่ตายเว้ย!!!” ไฮซากิเถียงกลับ และในขณะนั้นเอง...เสียงกระแทกบางอย่างก็ดังขึ้นพร้อมกับ...
โครม...โครม...
“ดูเหมือน...มันจะพังประตูเข้ามาแล้วล่ะวะ” ...ร่างที่ทั้งคู่หนีมาก่อนหน้านี้ค่อยๆ ใช้มือแง้มประตูให้เปิดออห
“...ต้องหนีอีกแล้วเหรอ?” ไฮซากิทำท่าเหมือนอยากจะเป็นลม
“คงต้องเป็นงั้นแหละ” นิจิมุระรีบคว้ามือคนผมเทาแล้วเริ่มพาวิ่งอีกรอบ “รีบไปเร็ว”
“รู้แล้วน่า!” ไฮซากิขานรับ สองขาก็วิ่งตามรุ่นพี่หน้านก (เอาดีๆ นานๆ หน่อยก็ไม่ได้เนอะ! // นิจิมุระ) ก่อนที่สมองจะทันสั่งการเสียอีก หากแต่ในตอนนั้นเองเจ้าตัวก็นึกสงสัยขึ้นมาเรื่องหนึ่งว่า...
...ปกติมือนิจิมุระซังเย็นขนาดนี้เลยเหรอ?...
หนุ่มๆ ทั้งสองพากันวิ่งตามทางเดินอันแสนยาวเหยียดของขบวนรภไฟนี่ไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีร่างประหลาดร่างหนึ่งคอยตามมาไม่ห่างทำให้ทั้งสองถึงแม้จะเหนื่อยแทบตายยังไงก็ไม่อาจหยุดพักได้เลย
“ให้ตายสิ...” เด็กหนุ่มผมเทาสบถออกมาเบาๆ “...มันจะตามไปถึงชาติหน้าเลยหรือไงวะ!?”
“อย่ามัวบ่นให้เสียแรงแล้ววิ่งต่อไป๊!” คนผมดำแว๊ดใส่คนอายุน้อยกว่าเล็กน้อย
“แต่เหนื่อยใจจะขาดแล้วเว้ย!” ไฮซากิยอมรับเลยว่าตอนนี้เหนื่อยยิ่งกว่าการซ้อมแบบหฤโหดของไอหัวแดงๆ บางคนเสียอีก “มีวิธีจัดการไอ้นี่บ้างไหมวะเนี่ย!?”
“ไม่รู้เฟ้ย!” นิจิมุระถึงแม้จะเหนื่อยเช่นกัน แต่ก็ยังบ้าจี้ตอบ
“ลองปีนหน้าต่างรถไฟแล้วโดดหนีดีไหมฟะ!?” ไฮซากิลองเสนอความเห็นขึ้นมา
“ไม่...ไม่ดีที่สุดเลย!” นิจิมุระตอบด้วยเสียงหนักแน่น “นายลองมองออกไปนอกหน้าต่างดีๆ สิฟะ!”
“หือ?” ไฮซากิหันไปมองทางหน้าต่าง...และแทบหลุดร้องลั่นออกมาเมื่อเห็นมือแห้งๆ ราวกิ่งไม้เหมือนกับไอ้ตัวที่ตามหลังพวกตนมาจับนวนมากเกาะหน้าต่างอยู่! “ฮ...เฮ้ย! ม...มียกทัพเลยเว้ย!”
“ก็เออดิ! เพราะงั้นมีตามมาตัวเดียวนี่ก็บุญแล้ว!” นิจิมุระกล้าพูดเลยว่าระหว่างหนีไอ้ตัวประหลาดตัวเดียวกับยกฝูงเนี่ย ตัวเดียวดีกว่าเห็นๆ!
“โธ่เว้ย! เหนื่อยเว้ย!” ไฮซากิสบถออกมาอีกรอบ
“หยุดบ่นเสียที! เดี๋ยวพ่อปั๊ดปิดด้วยปากเสียนิ!” นิจิมุระที่รำคาญเสียงบ่นบวกกับกลัวว่าคนผมเทาจะหมดแรงแล้วโดนไอ้ที่ตามหลังมานี่ลากไปกินเสียก่อนโวยขึ้นมา
“...” คราวนี้ไฮซากิถึงกับนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง หากแต่ขาก็ยังทำหน้าที่วิ่งต่อไปได้อย่างดี “พ่นบ้าอะไรออกมาฟะไอ้รุ่นพี่เน่า!”
“ก็ตามนั้นแหละ! อยากโดนไหมล่ะ!?” นิจิมุระถาม...ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าตนทำจริงดั่งพูดแน่ แม้ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบนี้ก็ตาม
“ไม่!” ไฮซากิปฏิเสธทันควัน
“งั้นวิ่งต่อเงียบๆ ซะ!” นิจิมุระดุใส่
“...” พอเจอแบบนี้ไฮซากิก็ถึงกับปิดปากเงียบ หยุดโวยวายแล้ววิ่งต่อไปพลางหันไปมองสิ่งที่ตามหลังตนมา...ซึ่งพอมองกลับไปคราวนี้ทำให้คนผมเทาที่ตอนแรกกะเงียบตามประสงค์ของรุ่นพี่จอมโหดเริ่มเปิดปากพูดอีกครั้ง “นิจิมุระซัง...”
“อะไรอีกล่ะ?” นิจิมุระถาม...ถ้าคราวนี้ไม่ใล่เรื่องท่มีสาระล่ะก็พ่อจะซัดเข้าให้
“มัน...หายไปแล้วครับ...” ไฮซากิเอ่ย
“เอ๊ะ?” นิจิมุระรีบหันขวับไปมองข้าง...และพบว่าไอ้สิ่งที่ไล่ตามพวกตนนั้นได้หายไปแล้ว “หายไปไหนวะ!?”
“ไม่รู้ หันไปก็ไม่อยู่แล้ว” ไฮซากิตอบด้วยน้ำเสียงกวนโอ๊ยสุดแสน
“ไอ้นี่...” นิจิมุระกรอกตาไปมาพลางชะงักฝีเท้าลง...ตอบดีๆ สักครั้งจะตายไหมวะ? “...มันไม่อยู่จริงๆ แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะเลิกตามง่ายๆ แบบนี้นะ”
“ผมก็ว่างั้น...” ไฮซากิพยักหน้ารับพลางกวาดสายตาไปรอบๆ และไปสะดุดเข้ากับป้ายๆ หนึ่งเข้า “...แล้วนี่อะไรเนี่ย?”
“หื้อ? อะไร? ‘จุดพักมีผลสิบห้าชั่วโมง’ งั้นเหรอ?” นิจิมุระอ่านข้อความบนป้ายอย่างงุนงง “อย่าบอกนะว่าที่ไอ้ตัวบ้านั้นหายไปเพราะไอ้จุดพักนี่ด้วยน่ะ?”
“แล้วฉันจะไปถามใครเล่า...โอ๊ยๆ เจ็บนะ!” ไฮซากิบ่นเบาๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นร้องโอดครวญเมื่ออีกฝ่ายเขกหัวตนอย่างไม่มีอ้อมแรงแม้แต่น้อย
“คำสุภาพ...” นิจิมุระเอ่ยเสียงเหี้ยมคล้ายกับว่าถ้าอีกฝ่ายไม่แก้เรื่องคำพูดเจอเขกหัวอีกรอบแน่
“ขอโทษครับเพ่!” ไฮซากิที่ไม่บ้าพออยากโดนเขกหัวแทบแตกอีกรอบรีบเอ่ยออกมาทันที
“ให้ตายเถอะ...” นิจิมุระถอนหายใจออกมาเบาๆ “...จะเอาไงต่อ? พักหรือวิ่งกันต่อ?”
“พักเถอะ เหนื่อยจะตายแล้ว...” ไฮซากิตอบ...แค่ยืนนี่ก็จะลงไปกองกับพื้นแล้ว อย่าให้วิ่งต่อเลยเถอะ
“โอเค ตกลงตามนั้น” นิจิมุระสรุปสั้นๆ “ปัญหาต่อไปคืออาหารสินะ?”
“นั้นสินะ...แต่ถ้าเดินต่อไปก็ไม่รู้จะเจออะไรอีกแหละ” ไฮซากิไม่คิดว่าในที่แบบนี้จะหาอาหารได้ง่ายๆ หรอก แถมเดินมั่วๆ อาจเจอแจ๊ตพ๊อตอะไรก็ไม่รู้อีก และในระหว่างที่คนผมเทาคิดอยู่นั้นเอง...
แว่บ...
“อะไรอีกล่ะวะ?” ...ก็มีแสงสว่างวาบออกมาจากหน้าต่างบานหนึ่งเสียดื้อๆ
“เหมือนจะเป็นเครื่องอะไรสักอย่างที่เป็นระบบสัมผัสนะ” นิจิมุระมองหน้าต่างที่ปรากฏภาพที่เหมือนกับพวกบริการถามตอบตามห้างหรืออะไรพวกนี่อย่างพินิจ
“ปัญหาคือทำไมอยู่ๆ มันปรากฏขึ้นที่หน้าต่างมากกว่า!” ไฮซากิเกาหัวตัวเองอย่างหัวเสีย ในขณะที่จอแสงนั้นค่อยๆ ปรากฏข้อความออกมา
“อะไรอีกล่ะ? batsu game? เกมลงทัณฑ์?” นิจิมุระอ่านข้อความบนหน้าต่างนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เท่ากับ...ชีวิตงั้นเหรอ!? อย่ามาล้อเล่นนะเฮ้ย!” ไฮซากิโวยวายขึ้นเมื่ออ่านข้อความต่อไป...ซึ่งพอโวยวายแบบนี้ข้อความบนนั้นก็เปลี่ยนไป
“...ไม่ได้ล้อเล่น...ตกลงนี่ไอ้มันฟังเราออกจริงดิ?!” นิจิมุระทำหน้าเหวอ
“มันตอบว่าใช่แฮะ” ไฮซากิคุมขมับ...ตั้งแต่หลงมาที่นี่มีอะไรที่มันเข้าใจง่ายๆ บ้างวะเนี่ย!? เจอแต่เรื่องชวนสติแตกเนี่ย!
“...” นิจิมุระนวดขมับคล้ายพยายามเรียกสติตัวเองเข้าร่าง “มีวิธีออกจากที่นี่ไหม?”
“ไปที่ห้องคนขับโดยไม่ถูกจับได้...มันอยู่อีกไกลไหมวะ?” เมื่อหน้าต่างที่กลายเป็นเครื่องตอบคำถามอัตโนมัตให้คำตอบแก่นิจิมุระ ไฮซากิก็ทำการถามต่อทันที “วิ่งแทบขาดใจแล้วหยุดแบบนี้อีกสามรอบเลยเหรอ!?”
“มีทางเลือกอื่นไหม?” นิจิมุระที่เห็นท่าว่าคนผมเทาคงไม่ไหวถามต่อ “ประกอบรถไฟฟ้าที่ซ่อนใต้เบาะนั่งแล้วขับหนีไปจนถึงห้องคนขับเอา? แต่ไอ้สิ่งที่ตามมาจะเพิ่มความเร็วขึ้น?”
“ระหว่างวิ่งจนขาดใจกับมันเพิ่มความเร็วขึ้นอันไหนดีกว่ากันเนี่ย?” ไฮซากิกรอกตาไปมา
“...มันเพิ่มความเร็วขึ้นเท่าไหร่?” นิจิมุระเมินคำบ่นเมื่อครู่แล้วถามต่อ “เท่าตัว? งั้นใช้รถไฟฟ้าน่าจะดีกว่าสินะ?”
“สรุป เราต้องประกอบรถไฟฟ้าสินะ...” ไฮซากิถอนหายใจออกมาเบาๆ “...แล้วนี่...มีอาหารให้เปล่าอ่ะ?”
“มันจะไป...” นิจิมุระทำท่าเหมือนจะโวย หากแต่หน้าจอแสงนั้นกลับให้คำตอบตัดหน้าคนผมดำไปเสียก่อน “...มีด้วยวุ้ย!”
“อยู่ที่บนชั้นเก็บของสินะ...” ไฮซากิลองเปิดจุดที่ได้รับคำตอบมาดู ก็พบว่ามีข้าวกล่องราวๆ สองสามกล่องอยู่จริงๆ และเมื่อไฮซากิเจอข้อที่ต้องการแล้วแสงตรงหน้าต่างก็ค่อยๆ ดับลงไปคล้ายหมดหน้าที่ “...ถึงอันตรายหรือเปล่าไม่รู้ แต่ก็ดีกว่าหมดแรงวิ่งถ้ามีเหตุฉุกเฉิกในวันพรุ่งนี้ล่ะ”
“ข้อนี้ฉันไม่เถียง” นิจิมุระเห็นด้วยว่าหาทางเก็บแรงไว้เผื่อฉุกเฉิกจริงๆ ทำให้ทั้งสองพากันซัดข้าวกล่องที่ได้มาจนเรียบด้วยเวลาอันรวดเร็ว
“ต่อไปเราต้องหาไอ้รถไฟฟ้าที่ซ่อนอยู่ด้วยใช่ไหมเนี่ย?” เมื่อทานข้าวเสร็จไฮซากิก็บิดขี้เกียจเล็กน้อยพลางมองไปรอบๆ ที่ยามนี้สลัวๆ ดูน่ากลัว
“ตามนั้นแหละ และฉันหวังว่าจะหาเจอง่ายหน่อยนะ ไม่งั้นถ้าเกิดหาหรือประกอบเสร็จไม่ทันได้วิ่งกันอีกรอบแน่” นิจิมุระรีบรื้อหาตามเบาะทันที...ซึ่งดูเหมือนนายหน้านกของเรา (เอาอย่างอื่นนอกจากนกบ้างเถอะ! // นิจิมุระ) จะมีดวงพอดู เนื่องจากเปิดเบาะแรกก็เจอเลย
“ก็หวังว่างั้น” ไฮซากิเอ่ยพลางเดินไปช่วยนิจิมุระเอาส่วนประกอบรถออกมาจากใต้เบาะแล้วช่วยกันหาทางประกอบรถไฟฟ้าที่จะออกมาในรูปไหนไม่รู้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ... “ประกอบยากชิบเลยเว้ย!”
...ความอดทนในการประกอบของนายไฮซากิ โชโงะก็หมดลง
“อย่าอาลวาดเซ่! เดี๋ยวชิ้นส่วนหายล่ะยุ่งเลย!” นิจิมุระแว๊ดใส่คนผมเทา “ถ้าไม่ช่วยไปนอนตรงนู้นเลยไป!”
“ไปก็ได้เชอะ!” ไฮซากิทำหน้างอแล้วเดินไปนอนที่เบาะนั่งตรงจุดที่นิจิมุระชี้ไป
“ให้ตายเถอะ...” นิจิมุระถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะทำการประกอบรถไฟฟ้าต่อโดยเมินท่าทางของคนผมเทาไป และเมื่อผ่านไปอีกพักใหญ่ๆ ...เจ้าตัวก็สามารถประกอบรถขึ้นได้ด้วยตัวคนเดียวพร้อมกับเพิ่งนึกได้ว่าเสียงของคนผมเทานั้นเงียบนานเกินกว่าที่ควรเป็นทำให้เจ้าลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาไฮซากิที่ตอนนี้นอนหันหน้าเข้าหาเบาะนั่งอยู่ “...ไฮซากิ?”
...ตกลงมันงอนฉันจริงดิวะ?...
“ไฮซากิ...” นิจิมุระเรียกอีกรอบพลางดึงร่างที่นอนอยู่ให้หันมาทางตน...และเพราะทำแบบนั้นทำให้นิจิมุระถึงกับชะงักในเวลาต่อมากับใบหน้าของคนผมเทาที่ยามนี้หลับตาพลิ้วอย่างสบายอารมณ์
“คร่อก...” และไฮซากิคร่อกออกมาเบาๆ เป็นของแถมอีกต่างหาก
“...นี่มันงอนจนหลับไปเลยเหรอวะ?” นิจิมุระยิ้มอย่างอ่อนใจพลางเอานิ้วเกี่ยผมสีเทาที่ปรกหน้าอีกฝ่สยออก “ให้ตายเถอะ...ยังเป็นเด็กบ๊องเหมือนเดิม”
แว่บ...
“อะไรอีกล่ะ? อย่าทำอะไรให้มันยุ่งยากกว่าเดิม? หมายความว่าไงฟะ?” นิจิมุระเกาหัวนิดๆ กับหน้าต่างที่ก่อนหน้านี้ดับไปแล้วสว่างขึ้นมาอีกครั้งพลางถามออกไปเช่นนี้...ซึ่งนั้นทำให้มีข้อความที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ “อา...ก็จริงล่ะนะ”
‘ก็รู้อยู่แก่ใจนี่ว่านาย...อาจไม่ได้ออกจากที่นี่กับเจ้าเด็กนั้นก็ได้...’
“ไฮซากิ...ตื่นได้แล้ว” เสียงเรียกติดดุเล็กน้อยดังออกมาจากปากคนผมดำ ดวงตาดูดุดันจ้องยังร่างที่ยังนอนแผ่อยู่บนเบาะนั่งอย่างไม่วางตา
“ขอเวลาอีกห้านาที...” เด็กหนุ่มผมเทาที่นอนอยู่เอ่ยอย่างัวเงีย
“ได้ที่ไหนล่ะ ตื่นได้แล้ว! จะครบเวลาที่กำหนดแล้วเว้ย!” นิจิมุระ ชูโชอดีตกัปตันทีมบาสเทย์โควและอดีตรุ่นพี่สมัยม.ต้นของรายนี้ตะโกนเสียงดีงลั่นพร้อมกับส่งกำปั้นเข้ากลางกระหม่อมสีเทาๆ ของใครบางคนไปด้วย
“โอ๊ย! ปลุกกันดีๆ ก็ได้!” ไฮซากิลุกพรวดขึ้นพลางกุมหัวตนเองอย่างเจ็บๆ
“ก็ไม่ยอมตื่นเองนี่หว่า” นิจิมุระยักไหล่น้อยๆ พลางบู้ใบ้ไปยังรถคันหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนรถกอฟ “ไปกันได้แล้วจะได้ทดสอบความเร็วไอ้นี่ด้วย ฉันกลัวว่าถ้าหมดเวลาปุ๊บไอ้ตัวเมื่อวานจะพุ่งเข้าใส่ปั๊บยังไงไม่รู้”
“อย่าพูดเป็นลางเซ่!” ไฮซากิโวยเล็กน้อย
“ก็มันจริงนี่หว่า...เอา! รีบขึ้นรถได้!” นิจิมุระเอ่ย
“ครับๆ” ไฮซากิขานรับส่งๆ ก่อนที่เดินขึ้นตรงที่ข้างที่นั่งคนขับ ทางนิจิมุระเมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ทำการขึ้นที่นั่งคนขับและ...
บรืนนนนนน!!!
...ซิ่งออกไปในทันใด
“เว้ย! ผีเด็กแว้นเข้าสิงหรือไงครับนิจิมุระซัง!?” ไฮซากิรีบคว้าราวจับเอาไว้ก่อนที่ตนจะหงุดร่วงออกจากรถที่วิ่งด้วยความเร็วสูง
“ใช่ที่ไหนวะ! แค่ทดสอบเครื่องเว้ย!” นิจิมุระตอบด้วยสีหน้าอารมณ์ดีสุดแสน...ช่างเข้ากับคำว่าวิญญาณเด็กแว๊นเข้าสิงของไฮซากิเสียเหลือเกิน
“ไม่ต้องทดสอบเร็วขนาดนี้ก็ได้ครับ!” ไฮซากิโวยลั่น...ใช่ว่าเขาไม่เคยแว้นนะ แต่ไม่เคยเจอไอ้บ้าที่ไหนแว้นอย่างไม่กลัวตายขนาดนี้มาก่อนเลยต่างหาก!
“ก็เผื่อๆ ไว้ไง...” นิจิมุระหัวเราะหึๆ พลางมองด้านหลังผ่านกระจกมองหลัง “...และดูท่า...พอหมดเวลาที่กำหนดแล้วมันจะโผล่ตามมาจริงๆ ล่ะนะ”
“ทำไมดูน่าสยองกว่าเมื่อวานอีกวะเนี่ย!?” ไฮซากิแทบอยากซ็อกตายเมื่อหันกลับไปมองด้านหลังแล้วพบว่าไอ้ซากดำๆ ที่ไล่ตามตนเมื่อวานในคราวนี้ไล่ตามพวกตนด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมในสภาพที่เริ่มมีน้ำหนองไหลชวนขนลุก แถมตายังวาววับเป็นสีแดงอีก
“ไม่รู้ อัพเลเวลมามั้ง” นิจิมุระตอบส่งๆ ไป
“อัพมาแบบนี้ไม่เอานะเฮ้ย! ขี้โกง!” ไฮซากิโวยวายขึ้นมา
“มันใช่เวลาบ่นไหมเนี่ย?” นิจิมุระกรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ “จับแน่นๆ นะไฮซากิ...จะซิ่งล่ะ!”
“นี่ยังไม่ซิ่งอีกเหรอ!? เหวอ!!!” ไฮซากิรีบเกาะที่เกาะแน่นกว่าเดิมราวมือเป็นตุ๊กแกเมื่อนิจิมุระเหยียบคันเร่ง เพิ่มความเร็วขึ้น “ตีนผีมาเกิดหรืออะไรเนี่ย!?”
“เวลาแบบนี้ใครอยู่หลังพวงมาลัยก็กลายเป็นตีนผีหมดนั้นแหละ” นิจิมุระแว๊ดกลับ
“โอเค ไม่เถียง” ไฮซากิเหล่มองไปด้านหลังอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งประหลาดนั้นยังตามพวกตนไปทัน ก่อนที่จะเอ๋อในเวลาต่อมา “เออ...มันอัพเลเวลขึ้นอีกขั้นแล้วอ่ะ”
“หื้อ? ยังไง?” นิจิมุระถาม
“มันบินได้...” ไฮซากิเอ่ยพึมพำเหมือนละเมอ
“หา!?” นิจิมุระบมองผ่านกระจกส่องหลังทันที...และพบว่ายามนี่ไอ้สิ่งที่ตามพวกตนมามันเปลี่ยนจากวิ่งมาเป็นลอยตามแทนแล้ว “ชิบ! เรือหายแล้วไง!”
“เอาไงต่อดี!?” ไฮซากิที่เริ่มตั้งสติได้ถาม
“เอาบาซูก้ามายิงมั้ง! หนีสิเว้ย!” คราวนี้นิจิมุระเหยียบคันเร่งมิดเลย “เกาะดีๆ อย่าร่วงลงไปล่ะ!”
“ถ้าร่วงลงไปตอนนี้มีแต่ตายแล้ว!” ไฮซากิมั่นใจเลยว่าเหยียบเกินสองร้อยแบบนี้ร่วงลงไปมีแต่ตายกับตาย
“ไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า” นิจิมุระเอ่ย
“ไม่ตายหลอกๆ น่ะสิ!” ไฮซากิแว๊กลับและ...การเถียงกันระหว่างทั้งสองก็เริ่มขึ้นอีกระรอบ ทั้งสองพากันหนีปนเถียงกันไปเรื่อยๆ จนกระทั้งอยู่ๆ รถก็หยุดกึกไปพร้อมกับป้ายจุดพักที่คุ้นตาปรากฏขึ้นมาตรงหน้าพร้อมกับที่ร่างดำๆ นั้นหายไปดั่งเช่นคราวก่อน “ในที่สุด...ก็มาถึงจุดพัก...”
“คราวนี้มาถึงเร็วดีว่าไหม?” นิจิมุระถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อสามารถหนีไอ้สิ่งนั้นมาได้อีกครั้ง
“ซิ่งมาขนาดนี้ไม่ถึงเร็วให้มันรู้ไป” ไฮซากิขยี้หัวตัวเองนิดๆ “แล้วนี่...ไอ้หน้าจอตอบคำถามมันยังอยู่ไหมเนี่ย?”
แว่บ...
แสงสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นที่หน้าต่างทันทีที่คนผมเทาถามจบนั้นแทนคำตอบของคำถามเมื่อครู่ได้อย่างดี
“ยังอยู่วุ้ย” ไฮซากิที่ตอนแรกเอ่ยขึ้นมาเล่นๆ ไม่คิดว่าจะเป็นจริงมองภาพตรงหน้าอย่างประหลาดใจ “งั้นก็ดี...ขอถามหน่อยว่าไอ้ตัวประหลาดนั้นมันอัพเลเวลตัวเองได้เหรอ?”
“...จะอัพความสามารถตัวเองทุกครั้งที่ถึงจุดพัก? แล้วมันมีกี่จุดเนี่ย?” นิจิมุระอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นมาก่อนที่จะถามต่อ “สามจุด? เรามาถึงนี่เป็นจุดที่สองแสดงว่าเหลืออีกหนึ่ง?”
“ใช่แฮะ...” ไฮซากิถอนหายใจออกมาเบาๆ “...งั้นแสดงว่ามันจะเก่งขึ้นอีก? แล้วพอมีอุปกรณ์เสริมอะไรให้พวกฉันใช้ได้บ้างไหม?”
“ที่ใต้เบาะนั่งคราวนี้มีปืน? โอเค...ชักเหมือนเกมออนไลน์ขึ้นทุกทีล่ะ” นิจิมุระนวดขมับตนเองอย่างเพรียๆ
“แต่อย่างน้อยก็ดีกว่ายืนบื้อๆ ให้โดนจับกินล่ะ” ไฮซากิคิดว่าแบบนี้ดีกว่าหนีโดยไม่มีอะไรเยอะเลย
“ก็นะ...แล้วนี่ยังไงก็ถึงจุดพักแล้ว พักหน่อยไหม?” นิจิมุระถาม
“พักดิ เมารถจะตาย...มียาแก้เมารถไหมเนี่ย?” ไฮซากิถามขึ้นมาลอยๆ หาดแต่เจ้าหน้าต่างสีฟ้ากลับตอบคำถามนั้นออกมาเสียได้ “เ-อกมีอีก!”
“มันมีทุกอย่างใช่ไหมเนี่ย?” นิจิมุระชักกลัวไอ้หน้าจอนี่ขึ้นมาตงิดๆ แล้วสิ...ข้อมูลจะเยอะไปไหนวะ!?
“ยังดีที่มันไม่ได้ตอบว่าใช่” ไฮซากิถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อหน้าต่างสีฟ้าเขียนคำตอบกลับมาว่า ‘เกือบ’ แทนที่จะเป็นคำว่า ‘ใช่’
“นั้นสินะ...แล้วนี่มีที่ชาตร์ไฟรถไฟฟ้าไหม?” นิจิมุระถาม...ซึ่งคำตอบที่ได้รับจากหน้าต่างสีฟ้าคือ ‘มี อยู่ใต้เบาะด้านซ้ายใกล้ๆ ประตู’ ทำให้นิจิมุระรีบไปหยิบสายชาร์ทที่ว่ามาต่อกับรถไฟฟ้าเป็นการชาร์ทพลังงานทันที “...ยังไงก็ได้พักแล้วก็รีบๆ ชาตท์พลังก่อนไปกันต่อเถอะ”
“คร้าบบบ” ไฮซากิขานรับเสียงยาวจนน่าถีบ
“ตอบไม่กวนบ้างจะเป็นไรไหมห๊า?” นิจิมุระแยกเขี้ยวใส่
“ไม่เป็น แต่ไม่สนุกครับ” ไฮซากิยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่ลืมที่จะถอยห่างจากคนผมดำกันถูกถีบ “ว่าแต่นิจิมุระซัง...ขอถามอะไรหน่อยดิ”
“ว่ามา” นิจิมุระเอ่ย
“ตอนนี่...ตัวผมตอนมหาลัยนี่ได้อยู่กับคุณหรือเปล่า?” ไฮซากิถาม
“ห๊า?” นิจิมุระถึงกับงงกับคำถามที่ได้รับหลุดร้องออกมา
“ก็อยากรู้นี่หว่าว่าคุณที่อยู่ๆ หนีไปอเมริกาอย่างคุณกลับมาแล้วโผล่มาเจอหน้าผมอีท่าไหนนี่หว่า” ไฮซากิเอ่ยแบบ...คล้ายเหน็บอีกฝ่ายที่อยู่ๆ หนีหายไปดื้อๆ ไปกลายๆ ด้วย
“...เออ...เอาเป็นว่าง่ายๆ นะ...ตอนกลับมาครั้งแรกแกโดดถีบฉันเลยวะ” นิจิมุระออกอาการเหงื่อตกเล็กน้อยเมื่อโดนเหน็บ...ก็เรื่องเมื่อคราวนั้นเขาผิดจริงๆ นี่หว่าที่ไปโดยไม่บอกรายนี่ แถมเขายังโดนเอาคืนแล้วด้วย อย่าถามให้รู้สึกผิดกว่าเดิมได้ไหมเนี่ย?
“พรวด!” ไฮซากิถึงกับสำลักน้ำลายตัวเองในทันใดที่ได้รับคำตอบ “เอาจริงดิ!!?”
“เออ! ส่วนได้อยู่ด้วยไหมนั้น...เอาตามจริงเลยคือฉันแชร์ห้องอยู่กับแกนั้นแหละ” นิจิมุระเกาหัวตัวเองนิดๆ
“แล้วผมยอมให้อยู่” ไฮซากิไม่คิดว่าตนที่ถึงขนาดถีบอีกฝ่ายจะยอมให้รายนี่มาอยู่ด้วยง่ายๆ หรอก
“ตอนแรกไม่ แต่ตอนหลังยอม” นิจิมุระตอบ
“ขู่เอาสินะ...” ไฮซากิบ่นนิดๆ ก่อนที่จะโดนคนผมดำเดินมาเขกหัวในเวลาต่อมา “...โอ๊ย! เจ็บนะ! ทำอะไรของคุณเนี่ย?!”
“ก็พูดไม่คิดเองนี่หว่า” นิจิมุระหัวเราะเบาๆ กับท่มทีกวนบาทาไม่เคยลดของอีกฝ่าย...ตั้งแต่ม.ต้นจนปานนี้ ตั้งแต่สมองยังปกติมาจนความจำลืมบางส่วนยังกวนเหมือนเดิม “เอาเป็นว่าฉันไม่ได้ขู่นาย แต่นายปลงฉันที่ดื้อไม่ยอมไปไหนจนยอมเองต่างหาก”
“สรุปคือปลงว่างั้น” ไฮซากิเดาได้เลยว่าในเรื่องที่ตนจำไม่ได้นั้น การที่ยอมให้รายนี่มาอยู่ด้วยง่ายๆ นั้นคงไม่พ้นโดนตามตื้อจนใจอ่อนไปเองแน่
“ประมาณนั้น” นิจิมุระยักไหล่น้อยๆ ...จากนั้นทังสองก็พากันพูดคุยปนเล่นกันอย่างรีแลกสุดๆ แบบไม่เหมือนคนที่กำลังหนีตายจากสิ่งมีชีวิตหรือเปล่าไม่รู้มาเลยแม้แต่น้อย
ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปจนใกล้ครบสิบห้าชั่วโมงตามกำหนด คนผมเทาและดำก็ทำการขึ้นรถไฟฟ้าเพอเตรียมหนีจากสิ่งที่จะตามไล่ล่าพวกตนในไม่ช้า โดยก่อนขึ้นรถคนผมเทาไม่ลืมหยิบปืนหลากชนิดที่เก็บที่ได้ข้อมูลมาว่าอยู่ใต้เบาะนั่งมาด้วย
“คราวนี้ขอล่ะ...ขออย่างน้อยผมคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนแล้วค่อยออกรถนะ...” ไฮซากิเอ่ยอย่างกลัวว่าอยู่ๆ อีกฝ่ายจะเหยียบคันเร่งแทบมิดแบบคราวก่อน
“รู้แล้วน่า จะทำอะไรก็รีบทำเลย ใกล้เวลาแล้ว” นิจิมุระกรอกตาไปมา
“ครับๆ” ไฮซากิรีบคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างรวดเร็วและลองดึงเช็กสองสามทีว่ามันจะไม่หลุดง่ายๆ “โอเค ออกรถได้ครับ”
“จัดไป...” นิจิมุระเริ่มออกรถในทันใด “...หวังว่าไอ้ตัวนั้นที่เลเวลอัพคงไม่น่ากลัวกว่าเดิมนักนะ”
“ผมว่าข้อนั้นคงยาก” ไฮซากิมั่นใจเลยไอ้ที่มานี่ต้องน่ายองกว่าเดิมแน่ ขณะเดี๋ยวกันหูก็ได้ยินเสียงกรีดร้องบางอย่างที่เดาได้ไม่ยากเลยว่าต้องเป็นของไอ้ตัวที่ไล่ตามพวกมานานแล้วเป็นแน่
“ก็จริง” นิจิมุระไม่เถียงในความจริงข้อนี่พร้อมกันนั้นเอง...เจ้าตัวก็รู้สึกถึงแรงสะเทือนเบาๆ เหมือนแผนดินไหว ทำให้เจ้าตัวมองข้างหลังผ่านกระจกและแทบอยากเป็นลมให้รู้แล้วรู้ไปเลยเมื่อ... “...ไหงคราวนี้มีโยนแท่งเหล็กใส่วะ!?”
...ไอ้ตัวที่ไล่ตามมานั้นดันเสกแท่งเหล็กยาวกว่าเมตรมาจากไหนไม่รู้พยายามขวางใส่อยู่ และนั้นทำให้นิจิมุระจำต้องขับหลบราวกับขับรถวิบาก
“อันตรายกว่าเดิมหลายเท่าเลยเว้ย!” ไฮซากิชักปืนพกออกมายิงใส่สิ่งตามหลังมาราวกับฉากหนีตายจากซอมบี้ในหนัง “เอาไปกินซะ!”
“ดูท่าจะพอทำให้มันชะงักได้นะ” นิจิมุระเอ่ยเมื่อท่อนเหล็กหยุดปามาช่วงขณะ
“คงงั้น แต่ก็ได้ไม่นานหรอกครับ” ไฮซากิเอ่ยพลางมองสิ่งที่กำลังจะโยนแท่งเหล็กมาที่พวกตนอีกครั้ง
“ทำไมไปๆ มาๆ เริ่มรู้สึกมันเหมือนเกมออนไลน์ขึ้นเรื่อยๆ เนี่ย?” นิจิมุระบ่นขึ้นมาเบาๆ กับสถานการณ์นี้
“ไม่รู้ครับ รู้แค่ว่านี่ไม่สนุกเหมือนเกมที่เคยเล่นสักนิด!” ไฮซากิกล้าพูดเลยว่าไอ้การหนีแบบนี้มันไม่สนุก แต่น่ากลัวเสียมากกว่าอีก!
“เอาชีวิตมาเสี่ยงแบบนี้สนุกก็บ้าล่ะ” ถ้าเกิดมีคนสนุกกับเรื่องบ้าๆ นี่จริงนิจิมุระเองก็อยากเขกหัวคนที่ว่านั้นสักทีจริงๆ “กระสุนยังเหลือไหม?”
“ปืนพกใกล้หมด แต่กระสุนปืนกลอีกเพียบครับ” ว่าแล้วไฮซากิก็ชักปืนกลออกมา
“งั้นจัดใส่มันไป อย่าให้เสีย” นิจิมุระเอ่ย
“รับทราบ” คนผมเทารีบซัดกระสุนใส่ตามที่คนอายุมากกว่าสั่ง “โดนขนาดนี้ยังต้านได้นิดเดียว...ชักอยากหาระเบิดน้ำมนต์มาปาใส่แล้วสิ”
“ฉันก็ว่างั้น” นิจิมุระเองก็อยากได้ของที่ว่าเหมือนกัน...อยากรู้ว่าไอ้ตัวประหลาดนั้นมันจะละลายเมื่อโดนน้ำมนต์หรือเปล่าน่ะ
“มันมีจุดอ่อนบ้างไหมวะ!?” ไฮซากิถามขึ้นลอยๆ
“จะไปรู้เหรอฟะ!?” นิจิมุระสวนกลับทันควัน
“โธ่เว้ย! ขัดใจเว้ย!” ไฮซากิสบถอย่างหัวเสียพลางคว้าปืนทุกกระบอกยิงเข้าใส่ตัวประหลาดด้านหลังไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง... “ในที่สุด...ก็มาถึงจุดพักที่สาม...”
...รถมาหยุดที่บริเวณที่มีป้ายแบบเดิม สถานการณ์แบบเดิมอีกครั้ง
“...และไอ้ตัวบ้านั้นในครั้งสุดท้ายนี่โหดกว่าเมื่อกี้แหง” นิจิมุระถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางลงจากลงมาเสียบซาร์ตไฟดังเช่นที่เคยทำที่จุดพักก่อนหน้านี่
“อย่าพูดให้รู้สึกหงอยสิครับ” ไฮซากิค้อนใส่เล็กน้อย
“ก็มันจริงนี่หว่า” นิจิมุระยักไหล่น้อยๆ
“แต่ไม่ต้องพูดก็ได้ครับ” ไฮซากิกรอกตาไปมา ก่อนที่จะมองไปที่หน้าต่างและ...แข็งทื่อในเวลาต่อมา “นิจิมุระซัง...ข้างนอกนั้นดูสยองกว่าเดิมหรือเปล่าครับ?”
“หื้อ?” นจิมุระหันไปมองนอกหน้าต่างอีกคน...แล้วสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาสีร่างไหม้ๆ ที่กำลังขึ้นอึดจำนวนมากำลังอ้าปากเหมือนโหยหวนอยู่ทำท่าเหมือนพยายามที่จะเข้ามาในขบวนรถไฟนี่ “...ไหงกลายร่างเป็นสภาพเดียวกับไอ้ตัวที่ไล่ตามเราหมดเลยวะ!?”
“จะไปรู้ไหม!?” ไฮซากิขนลุกซู่ขึ้นมาเมื่อเผลอไปสบสายตากับตัวที่อยู่นอกขบวนรถไฟเข้า “สยองชะมัด...”
“เห็นด้วยวะ” นิจิมุระพยักหน้ารับพลางหันไปรอบๆ “เฮ้...ไอ้เครื่องตอบอัตโนมัตยังอยู่ไหม?”
แว่บ...
“ยังอยู่สินะ?” นิจิมุระคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อกระจกบานหนึ่งเริ่มเรืองแสงสีฟ้าขึ้นอย่างที่เจอในจุดพักสองจุดก่อนหน้านี่ “นี่ถามหน่อย...ไอ้ตัวนั้นด่านสุดท้ายนี่จะเพิ่มความหฤโหดขนาดไหน?”
“เอาจริงดิ?” ไฮซากิเริ่มเหงื่อตกเมื่ออ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นบนกระจก “เพิ่มขนาดตัว ความเร็วเพิ่มอีกครึ่งเท่า มีกรงเล็บที่ฟาดทีทำลายทุกอย่างได้...นี่มาลาสบอสไปแล้ว!”
“มีอาวุธเพิ่มไหมเนี่ย?” นิจิมุระถามขึ้นลอยๆ หากแต่เจ้าหน้าต่างเรืองแสงสีฟ้าก็ยังคงส่งคำตอบกลับมา “มีกระสุนให้เพิ่ม มีดสั้น ระเบิดกับ...ลูกบาส เอ๊ะ?”
“เอามาทำไมวะ?” ไฮซากิพอเข้าใจว่าไอ้สามอย่างแรกเป็นอาวุธ แต่ไอ้ลูกบาสจะเอามาทำไมวะ?
“โยนอัดหน้ามันมั้ง” นิจิมุระเอ่ยอย่างติดตลกเล็กน้อย
“ไม่ฮานะนั้น...” ไฮซากิกรอกตาไปมา ขณะที่ข้อความที่เริ่มปรากฏบนจอสีฟ้าทำให้คนผมเทาคิ้วขมวด “...อะไร? เอามาเตือนความจำ?”
“...อย่าไปสนเลยไฮซากิ” นิจิมุระทำหน้าเครียดขึ้นฉับพลัน
“ทำไมล่ะ!?” ไฮซากิถาม...นี่รู้อะไรหรือไงถึงไม่ยอมบอกเขาเนี่ย!?
“เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเด็กไง” นิจิมุระดีดหน้าผากอีกฝ่ายๆ เบาๆ
“ฉันไม่ใช่เด็กนะเว้ย! โอ๊ยๆ เจ็บนะ!” ไฮซากิร้องเสียงดังลั่นเมื่อถูกสับเข้ากลางหัวสีเทาเต็มๆ
“คำสุภาพ” นิจิมุระแสยะยิ้มเล็กน้อย
“นิจิมุระซังป่าเถื่อน!” ไฮซากิที่ไม่อยากโดนอดีตกัปตันจอมโหดสมัยม.ต้นของตนตีหรืออะไรอีกเลยได้แต่หน้ามุ่ยแล้วยอมทำตามแต่โดยดี
“เออ ยอมรับ” นิจิมุระไม่เถียงคำพูดนี้...ก็เขาเถื่อนจริงๆ นั้นแหละ แต่เฉพาะกับไฮซากิล่ะนะ
“ให้ตายเถอะ...เรื่องอะไรถึงต้องปิดกันด้วยเนี่ย...” ไฮซากิบ่นอุบ
“เอาไว้ถึงเวลานายก็รู้เองน่า” นิจิมุระเริ่มเอื้อมไปขยี้หัวอีกฝ่ายอย่างมันส์มือ
“พูดเป็นคนแก่เลยวุ้ย” ไฮซากิปัดมืออีกฝ่ายออกเบาๆ
“ว่าฉันแก่นี่อยากโดนอีกทีใช่ไหม?” นิจิมุระแยกเขี้ยวใส่...ไอ้ปัดมือนี่ไม่โกรธหรอก แต่ว่าแก่นี่อดคิ้วกระตุกไม่ได้จริงๆ
“ไม่เอาครับเพ่!” ไฮซากิรีบถอยกรูด
“ถ้าไม่อยากโดนก็ไปกินข้าวซะไป” นิจิมุระส่งสีหน้าประมาณว่าถ้าไม่ทำตามได้มีฟัดกันสักรอบสองรอบเป็นแน่
“ครับๆ” ไฮซากิรีบเผ่นออกห่างคนผมดำทันทีก่อนที่จะต้องตีกันไปมากกว่านี้และฝ่ายพ่ายแพ้ที่ถึงแม้ไม่อยากจะยอมรับ...แต่ต้องเป็นตัวเองแหง
“นี่...” เมื่อไฮซากิเดินไปหยิบข้าวกล่องอย่างรู้จุดนิจิมุระก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา “...นายคิดว่าฉันควรทำไงดี...ก่อนถึงเวลานั้น”
แว่บ...
ข้อความจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนกระจก และข้อความนั้นทำให้นิจิมุระทำได้เพียงเผยรอยยิ้มเศร้าๆ ออกมา...กับข้อความที่ว่า...
... ‘ทำใจและ...เตรียมคำร่ำลาไงล่ะ เพราะเวลาของนายใกล้หมดลงแล้วนิจิมุระ ชูโช’
“นิจิมุระซัง...ผมสังหรณ์แปลกๆ อ่ะ” คำพูดหนึ่งดังออกมาจากปากคนผมเทาระหว่างที่นั่งอยู่ในรถไฟฟ้าคันเดิม ในคราวนี้ทั้งสองตัดสินใจที่จะเดินทางก่อนที่จะหมดเวลาพักเพื่อกันไม่ให้เจ้าสิ่งนั้นที่อัพเลเวลให้โหดขึ้นกว่าเดิมแล้วตามมาทัน
“อะไรอีกล่ะ?” นิจิมุระซึ่งเป็นคนขับถามกลับ
“เหมือนกับว่า...ไอ้ตัวประหลาดนั้นพอถึงเวลาปุ๊บมันจะโผล่มาในสภาพที่แทบตามจับไม่ทันน่ะ” ไฮซากิเอ่ย
“ปากหริอนั้น? จะพูดให้หลอนทำไมวะ!!?” นิจิมุระแยกเขี้ยวใส่
“ก็มันรู้สึกงั้นนี่หว่า!” ไฮซากิทำหน้ามุ่ย
“ไม่ต้องพูดก็ได้!” นิจิมุระแว๊ดกลับ...ไอ้คำพูดเมื่อกี้โคตรทำให้รู้สึกวิตกเลยเว้ย! “หวังว่าออกก่อนเวลาขนาดนี้จะไปถึงยังห้องคนขับได้เร็วๆ นะ”
“ผมก็ว่างั้น...” ไฮซากิพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “...นี่นิจิมุระซัง...ถามอะไรหน่อยสิ”
“ว่ามา” นิจิมุระพยักหน้ารับเชิงถามได้
“ความจริงแล้ว...สาเหตุที่พวกเรามาติดที่นี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?” ไฮซากิถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“...” นิจิมุระนิ่งเงียบไปกับคำถามนี้
“ที่จริงแล้วที่เรามาติดที่นี่เพราะ...”
“นายเริ่มจำอะไรได้แล้วเหรอ? เรื่องหลังจากตอนขึ้นม.ปลายน่ะ” ไม่ทันที่คนผมเทาจะพูดจบ นิจิมุระก็ถามแทรกขึ้นมา
“ก็ไม่เชิง ยังไม่ปะติดปะต่อเท่าไหร่นักหรอก” ไฮซากิเกาหัวตัวเองนิดๆ ...ความจริงเขาเริ่มจำได้ลางๆ เท่านั้นแหละ และเหมือนว่าเขาเจอเรื่องอะไรสักอย่างที่ใหญ่มากก่อนที่จะหลุดมาที่นี่ด้วย
“งั้นก็ดีแล้ว” นิจิมุระถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เอ๊ะ?” ไฮซากิหลุดร้องออกมาอย่างงุนงง
“ในเวลานี้อย่าเพิ่งนึกอะไรออกเลย” นิจิมุระเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่มีแววว่าจะล้อเล่นสักนิด
“ทำไมล่ะ?” ไฮซากิถาม...ทำไมเรื่องทั้งที่เป็นเรื่องของเขาแต่เขากลับไม่ควรรู้เรื่องเนี่ย
“...” นิจิมุระนิ่งเงียบไปเล็กน้อยกับคำถามนี่ “ไม่รู้สิ เพราะถ้านึกออกขึ้นมาอาจทำให้ใครบางคนเกิดหัวดื้อขึ้นมามั้ง”
“นี่หมายถึงผมใช่ไหมเนี่ย!?” ไฮซากิคิ้วกระตุกนิดๆ กับคำตอบที่ได้รับ
“นายพูดเองนะ” นิจิมุระหัวเราขึ้นมาเบาๆ พลางรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่คนผมเทาจะโวยวายใส่ตน “ว่าแต่คราวนี้รู้สึกทางมันยาวขึ้นหรือเปล่า?”
“นั้นสินะ ความเร็วรถก็เท่าเมื่อวานนิ” ไฮซากิเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าเวลาในการเดินทางครั้งนี้มันยาวขึ้นจริงๆ
“หวังว่ามันคงไม่ไกลถึงขนาดเท่ากับทางไปจุดพักสามจุดรวมกันนะ” นิจิมุระเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“อย่าพูดให้เสียวสิ! เหวอ!” ไฮซากิแยกเขี้ยวใส่คนอายุมากกว่าก่อนที่จะถึงกับหลุดร้องออกมาเมื่อพื้นเกิดการสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้มาก ทำให้คนผมเทาหันไปมองเบื้องหลังและภาพที่ปรากฏเข้าสู่สายตาคือร่างสีดำที่ไล่ตามพวกตนมาตลอดนั่นกำลังพุ่งตามมาโดยทุกสิ่งรอบตัวที่ร่างนั้นผ่านต่างถูกทำลายจนสิ้น ไม่ว่าจะเบาะนั่ง ข่าวของหรือแม้แต่พื้นกับผนังของรถไฟเอง แต่ที่น่าแปลกกว่าคือ...ร่างสีดำที่เหมือนตัวที่ตามมานี่ซึ่งตลอดมายืนรออยู่นอกขบวนรถไฟถึงแม้มีช่องทางให้เข้ามาได้กลับทำเพื่อยืนเกาะที่หน้าต่างเหมือนเดิม “มาแล้วเฮ้ย!”
“ถึงเวลาแล้วสินะ? ตามมาเร็วกว่าที่คิดแฮะ” นิจิมุระทำหน้าเตรียด “ไฮซากิ ยิงต้านเอาไว้ที”
“รู้แล้วน่า!” ไฮซากิตั้งปืนกลยิงใส่สิ่งที่ตามหลังมา แต่ทว่า...เจ้าสิ่งนั้นกลับยังคงตามมาอย่างไม่ลดละ แถมไม่มีท่าทีชะงักใดๆ เลยทั้งสิ้น “บ้าเอ้ย! คราวนี้ไม่สะท้นสะท้านเลย!”
“ลองระเบิดไหม?” นิจิมุระลองเสนอความเห็นขึ้นมาดู
“จัดไป” ว่าแล้วคนผมเทาก็หยิบระเบิดมาดึงสลัดออก้แล้วโยนใส่ร่างสีดำนั้นและจากนั้น...
ตูม!!!
...เสียงระเบิดดังสนั่นก็ดังขึ้นพร้อมกับควันที่ขโมงไปทั่ว
“แรงกว่าที่คิดแฮะ” ไฮซากิบ่นน้อยๆ กับแรงลมจากระเบิดที่แผ่ออกมาเสียจนผลักรถให้
แล่นความเร็วเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
“นั้นสินะ...” นิจิมุระเหล่มองผ่านกระจกหลังไป “...แต่ยังไม่พอให้มันชะงักเลยแฮะ”
“ถึกเกินไปแล้วนะเฮ้ย!” ไฮซากิสบถออกมาเสียงดังลั่น
“เห็นด้วยวะ” นิจิมุระไม่เถียงว่ามันถึกเกินไปจริงๆ งานนี้ “นั่น! เห็นห้องคนขับแล้ว!”
“เยี่ยม! รีบไปเร็ว!” ไฮซากิเมื่อเห็นทางรอดเอ่ยขึ้น
“รับทราบ!” นิจิมุระขานรับพร้อมกับเร่งเครื่องขึ้นไปอีกจนสุดท้าย...
ปัง!
...เจ้าตัวก็ขับรถทะลุประตูเข้าไปทั้งอย่างนั้นแหละ และเมื่อเข้ามาได้นิจิมุระก็รีบเหยียบเบลกจนหน้าทิ่มกันทั่วหน้าก่อนที่พวกตนจะทะลุกระจกหน้าออกไปเสียก่อน
“เฮ้อ...ในที่สุดก็มาถึง...” ไฮซากิถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางมองไปด้านหลังเพื่อหาร่างไหม้ๆ ที่ตามพวกตนมา...ซึ่งตอนนี้หายไปไหนไม่รู้เสียแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พยายามสู้ด้วยแทบตายแท้ๆ “...แล้วนี่...ต้องทำไงต่อเนี่ย?”
แว่บ...
“มาอีกล่ะ คราวนี้อะไร?” ไฮซากิมองกระจกที่กลายเป็นหน้าจอสีฟ้าที่มีข้อความขึ้นอีกแล้วพลางคิ้วขมวดเป็นปม “เสียใจ...นายคงได้ไปคนเดียวแล้วล่ะ? อะไรกันวะเนี่ย!?”
“ก็ตามที่พูดนั้นแหละนะ” นิจิมุระที่ได้อ่านข้อความเดียวกันไม่มีท่าทีตกใจอะไรเลยถอนหายใจออกมาเบาๆ
“หมายความว่าไงนิจิมุระซัง!?” ไฮซากิถามออกมาเสียงดัง...ไม่ตลกเลยนะ! จะให้เขาทิ้งรายนี่ไว้ที่นี่เนี่ยนะ!?
“หมายความว่า...ฉันออกจากที่นี่ไม่ได้แล้วไงในตอนนี้” นิจิมุระมองคนผมเทาแล้วรู้ได้ทันทีว่าคงเกิดอาการหัวดื้อ ไม่ยอมออกจากที่นี่ง่ายๆ แน่ถอนหายใจออกมาอีกล่ะรอบพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู
“นิจิมุระซัง! ม...มือ!” ไฮซากิถึงกับตัวแข็งทื่อไปเมื่อเห็นว่ามือของอีกฝ่ายามนี้กลายเป็นสีดำเหมือนถูกเผาจนไหม้...เหมือนกับสิ่งที่พวกตนหนีมาก่อนหน้านี้
“อย่างที่เห็น...ฉันจะกลายเป็นแบบ ‘พวกนั้น’ แล้ว” นิจิมุระส่งยิ้มเศร้าๆ ให้คนผมเทา
“ทำไมกัน...” ไฮซากิรู้สึกทั้งตัวหนักอึ้งไปหมดเมื่อได้ยินคำๆ นี้ ความสับสน ไม่เข้าใจนั้นถาถมเข้ามาเสียจนเกินรับไหว
“เพราะฉัน ‘ตายแล้ว’ ไงล่ะ” นิจิมุระเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ...ถึงเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ไปกว่านี้ แต่ถ้าไม่บอกเรื่องทั้งหมดมีหวังรายนี้ไม่ยอมออกจากที่นี่ไปคนเดียวตามที่เขาบอกแน่ “ส่วนนายแค่ก้ำกึ้งระหว่างความเป็นกับความตายเท่านั้น”
“บ้าน่า...” ไฮซากิรู้สึกซ็อกสัดขีดเมื่อได้ฟังประโยคนี้
‘และความจริงถ้าหมอนี่ไม่กลับไปช่วยนายคงออกไปทันเวลาแท้ๆ’ ข้อความที่เริ่มปรากฏขึ้นบนจอสีฟ้าอีกรอบยิ่งทำให้ไฮซากิรู้สึกซ็อกยิ่งขึ้นไปอีก
...เพราะเขา...ทำให้นิจิมุระซังออกจากที่นี่ไม่ได้เหรอ?...
“อย่าเพิ่งบอกอะไรไม่เข้าเรื่องสิ” นิจิมุระโวยใส่เจ้าตัวที่ส่งข้อความออกมา
‘ก็มันจริงนิ ถ้านายออกไปได้ก่อนที่ร่างในโลกเดิมจะทนไม่ไหวนายก็ไม่ตายแล้ว’
“ยังจะเถียงอีก” นิจิมุระกรอกตาไปมา “จะยังไงก็ช่างเถอะ นายรีบกลับไปได้แล้วไฮซากิ”
“ไม่...” คนผมเท่าเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว
“ห๊า?” นิจิมุระหลุดร้องออกมาเบาๆ
“ผมไม่ไปหรอก!” ไฮซากิตะโกนเสียงดังลั่น “ถ้าให้ออกไปคนเดียวสู้ตายกับนิจิมุระซังยังดีกว่าเสียอีก!”
“ไม่เอาน่าไฮซากิ อย่าดื้อสิ” นิจิมุระถึงกับคุมขมับ...เอาไงดีเนี่ยคราวนี้? “ถ้าอยู่ต่อเดี๋ยวกลายเป็นแบบพวกนั้นหรอก”
“จะเป็นก็เป็นไป! จะให้ไล่ตามชาวบ้านหรือเกาะเป็นปลิงที่หน้าต่างแบบนั้นก็เอา!” ไฮซากิเอ่ยอยางเด็ดขาดและไม่มีท่าทีว่าจะยอมง่ายๆ
“...เอาไงดี?” นิจิมุระถามขึ้นมาลอยๆ
‘ไม่รู้’ หน้าจอสีฟ้าแสดงข้อความง่ายๆ สั้นๆ ออกมา
“เฮ้อ...” นิจิมุระถอนหายใจออกมาเบาๆ “...ไม่เอาน่าไฮซากิ...โชจิซังเขารออยู่นะ”
“ช่างพี่เขาสิ” ไฮซากิเอ่ย
“ได้ที่ไหนล่ะ” ไฮซากิมั่นใจเลยว่าถ้าพี่อีกฝ่ายรู้ว่าตนเป็นต้นเหตุในคนผมเทาไม่ยอมกลับไปได้โดนเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งแน่ “ยอมกลับเถอะนะ ไฮซากิ...ระวังไอ้ตัวเมื่อกี้จะโผล่ออกไปเข้าร่างนายแทนนะ”
“หมายความว่าไง?” ไฮซากิถามกลับ
“หมายความว่าไอ้ตัวที่ไล่พวกเราเมื่อกี้คือพวกที่ไม่ยอมรับความตายไง และมันจะพยายามจะสิงวิญญาณนาย ควบคุมนายแล้วสุดท้ายเมื่อกลับไปมันจะกลายเป็นเจ้าของร่างแทนนายไง” นิจิมุระอธิบายเผื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมกลับง่ายๆ “ส่วนไอ้ที่เกาะหน้าต่างส่วนใหญ่ก็ยอมรับความตายได้แล้วหรือไม่ก็แค่ไม่อยากทำร้ายคนอื่นน่ะ”
“...” ไฮซากินิ่งเงียบไป “แต่ผม...ไม่อยากไป”
“ให้ตายเถอะ นายนี่นะ...” นิจิมุระถึงแม้จะรู้ว่าคนผมเทาเป็นพวกดื้ออยู่แล้วก็ยังอดปลงกับคำพูดนี้ไม่ได้ และด้วยความที่เริ่มขี้เกียจกล่อมให้เสียเวลาแล้วเจ้าตัวจึงเปิดประตูทางออกจากรถไฟภายในห้องคนขับออก...ซึ่งภายนอกจากประตูนั้นเป็นสีขาวสว่างเสียจนไม่เห็นอะไรอย่างอื่นต่างกับภาพภายนอกที่เห็นผ่านหน้าต่างมาตลอดทางพร้อมกับส่งลูกถีบใสกลางหลังคนผมเทาเต็มแรง “...รีบๆ กลับไปได้แล้วเฟ้ย! แล้วอยู่ต่อแทนฉันนานๆ นะเฮ้ย!!!”
“เฮ้ย! เดี๋ยว!!!” ไฮซากิร้องลั่นก่อนที่ร่างจะหายไปภายในแสงสีขาวและเงียบไปในที่สุด
‘แบบนี้ดีแล้วเหรอ?’ ข้อความบนหน้าจอสีฟ้าค่อยๆ ปรากฏขึ้นอีกรอบ
“ดีแล้วล่ะ...ขอแค่คนที่ฉันรักกลับได้ก็พอแล้วล่ะ” นิจิมุระส่งยิ้มเศร้าๆ ออกมา “ไปกันเถอะ...คุณยมทูต”
‘รู้แล้วล่ะน่า’ หน้าจอสีฟ้าค่อยปรากฏข้อความขึ้นก่อนที่จะหายไปและ...มีชายหนุ่มคนหนึ่งมุดตรงที่เคยเป็นหน้าจอออกมาราวซาดาโกะ (?) ออกมาแทนที่ “นายนี่ยอมรับที่จะไปกับฉันง่ายชะมัด ไม่เหมือนพวกนั้นเลยยยย ขนาดไล่จับตัวยังไม่ค่อยได้เลยด้วยซ้ำ”
“ก็นะครับ...” นิจิมุระหัวเราะเบาๆ กับยมทูตหนุ่มที่บ่นเป็นหมีกินผึ้งกับการที่ตนไล่จับวิญญาณที่ถึงที่ตายในที่นี่ไม่ได้นั่นเอง
...หนัก...
...หนักไปหมดเลย...
...เกิดอะไรขึ้นกับเขากัน?...
“โชโงะ...”
...เสียงนี่มัน...พี่เหรอ?...
“ตื่นเสียทีสิโชโงะ ขี้เซาไปแล้วนะเฮ้ย”
“อื้อ...” เด็กหนุ่มค่อยๆ ขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาสีเทาค่อยๆ ลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ และภาพที่ปรากฏเข้าสู่สายตาเป็นอย่างแรกคือเพดานสีขาว...เพียงเท่านี้ก็พอเดาได้ว่าแล้วว่ายามนี่ตัวไฮซากิกลับมายังโลกเดิมดั่งที่นิจิมุระบอกแล้ว ยิ่งประกอบกับเสียงเครื่องวัดชีพจรเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน
...อา...นี่เขากลับมาแล้วสินะ?...
...กลับมาเพียงลำพัง...
“โชโงะ!!!” เสียงตะโกนดังลั่นดังขึ้นพร้อมกับที่มีชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งตะคุบตัวคนเพิ่งฟื้นด้วยความเร็วแสง “ค่อยยังชั่ง...ในที่สุดนายก็ฟื้นเสียที!”
“พ...พี่...” ไฮซากิมองพี่ชายตนที่ส่งสีหน้าห่วงสุดแสนมาให้ “...นิจิ...มุระซัง...ล่ะ?”
“...” ไฮซากิ โชจินิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยเสียงแผ่ว “...หมอนั่น...จากไปแล้ว ไม่กี่นาทีก่อนนายฟื้นนี่เอง”
“อึก...” ถึงแม้รู้คำตอบอยู่แล้วแต่เมื่อได้ยินคำยืนยันคำนี้เจ้าตัวน้ำตาก็ไม่อาจกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ได้ ยิ่งเมื่อความจำที่เคยเลือนลางก่อนหน้าเริ่มกลับมาชัดเจนขึ้นยิ่งทำให้ไฮซากิ โชโงะไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ไปใหญ่...ทั้งเรื่องที่ความจริงตนอยู่มหาลัยแล้ว ทั้งเรื่องที่เขากลับมาเจอนิจิมุระ ชูโชอีกครั้งตอนม.ปลายปีสองและโดดถีบยอดหน้าอีกฝ่ายเต็มๆ เรื่องที่นิจิมุระง้อเขาจนสุดท้ายพวกเขากลายเป็นคนรักกัน เรื่องที่ก่อนจะไปยังโลกนั้นเขานั่งรถไฟใต้ดินแล้วรถไฟเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาจำเสียงกรีดร้องที่ดังไปทั่วได้ และ...
...เรื่องที่เขาเห็นนิจิมุระ...คนที่เขารักได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หนักชนิดที่ไม่เห็นแววว่าจะรอดแม้แต่น้อยและในเหตุการณ์นั้นทำให้เขาจากนั้นตัดสินใจหยิบเศษกระจกจากหน้าต่างขึ้นมาแทงคอตัวเองหมายปลิดชีพตามไปด้วย จนเป็นเหตุให้เขาไปติดในโลกนั้นกับนิจิมุระ
“บ้าที่สุดเลย...” ไฮซากิสะอื้นออกมาโดยมีพี่ชายตัวเองคอยปลอบอยู่ข้างๆ กับความจริงที่ตนกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้
...เกมลงทัณฑ์ต่อผู้โง่เขลาของจริงได้เริ่มขึ้นแล้ว...
...เกมที่โหดร้ายยิ่งกว่าที่เขาเคยเจอ...
...เกมลงทัณฑ์ที่เรียกว่าชีวิต...
...ชีวิต...ที่ไร้ซึ่งนิจิมุระ ชูโชอยู่เคียงข้าง...
End
ความคิดเห็น