คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #213 : [???] ไวรัส 2
Title : ไวรัส 2
Fandom : Kuroko no Basket , Kekkai Sensen
Paring : All + Shiko
Notes : หมดมุขจ้า เลยขอเขียนเรื่องยาวอีกแล้ว555 มีความมั่วความมึนความงงเหมือนเดิม กรุณาทำใจก่อนอ่านและขอลงวันนี้แทนเนื่องจากวันศุกร์ไม่ว่างจ้า ไม่ว่ากันเนอะ
ปล. ในคราวนี้พวกหนุ่มบาสอาจกลายเป็นตัวปลากรอบ (?)
ปลล. ในคราวนี้จะมีเรื่องอื่นมาแจมเยอะพอดูและคงอธิบายรายละเอียดตัวละครต่างๆ ไม่ละเอียดนัก (ขอโทษด้วยนะ ไม่รุ้จะบรรยายไงอ่ะ) เพราะงั้นควรไปศึกษาตัวละครและเรื่องย่อคราวๆ ของเรื่องพวกนี้ก่อนอ่านด้วยจ้า จะเอามาเขียนตามลำดับเลย
- Touken Ranbu (ผ่านมาแล้ว)
- Kekkai Sensen (ในตอนนี้)
- Gokuto Jihen (เป็นเกมRPG สยองขวัญ มีเป็นมังงะ)
- Attack on Titan
- Durarara!!!
- Bungou Stray Dogs
- Servamp
.....................................................................................
ไวรัส 2
ปรื้น...ปรื้น...
ภายในมหานครที่แออัดที่เจริญก้าวหน้า รถราต่างต่อแถวกันเป็นสาย เสียงจอแจจากเหล่าผู้คนดังออกมาอย่างไม่ขาดสายตามทางเดิน โดยไม่รู้เลยว่าภายในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไรผู้คนสัญจรผ่านไปมา...
“ชะแว๊ก!!!” ...ได้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ขึ้นมาสูงเหนือจากพื้นสองเมตรแล้วคายร่างของชายหญิงจำนวนหนึ่งลงมาสู่พื้นเบื้องล่าง
“โอ๊ย...เจ็บ...” เด็กหนุ่มหลายคนโอดครวญกับการตกจากความสูงสองเมตร ต่างจากหญิงสาวเพียงคนเดียวของกลุ่มที่พอลงมาก็ทำเพียงมองไปรอบๆ เท่านั้น
“เอาลงดีๆ สักครั้งก็ไม่ได้เนอะ” เด็กหนุ่มผมทองหม่นบ่นอุบราวหมีกินผึ้ง
“นั้นสิน่อ” เด็กหนุ่มตาตี๋ (เอาดีๆ เซ่! // หลิว) เด็กหนุ่มชาวจีนพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“แต่ที่นี่...” เด็กหนุ่มผมเหลืองหันมองไปรอบๆ เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ที่ตกมายังสถานที่ที่ไม่รู้จัก
“เฮ้ย! นั้นอ...” เด็กหนุ่มผมน้ำเงินเมื่อสังเกตเห็นว่าที่เดินผ่านไปมาที่ถนนใหญ่ห่างจากที่พวกตนอยู่ไม่เท่าไหร่นั้นมีสิ่งที่รูปร่างไม่เหมือนมนุษย์จำนวนมากเดินไขว้ไขว่ไปมาผสมกับมนุษย์ปกติถึงกับอุทานลั่น หากแต่ไม่ทันร้องจบประโยคก็โดยสาวเจ้าปิดปากเอาไว้เสียก่อน
“เงียบๆ ไว้สิพวก เดี๋ยวคนของที่นี่ก็แตกตื่นหรอก” สาวเจ้าหรือชิโกะ อาคากิผู้ดวงซวยต้องมาถูกส่งข้ามมิติพร้อมกับลากชาวบ้านมาซวยด้วยกัน (?) เอ่ย
“นั้นเรียกว่า ‘คน’ ได้ด้วยเหรอครับ?” คนผมฟ้าเหล่มองไปยังถนนใหญ่...ดูแล้วไอ้ที่ว่าเป็นคนจริงๆ อยู่น้อยมากเลย
“สำหรับที่นี่ก็...ใช่อ่ะนะ” ชิโกะถอนหายใจออกมาเบาๆ “ดูท่าเราจะหลงมาในโลกของ Kekkai น่ะ”
“Kekkai?” เหล่าเด็กหนุ่มทวนอย่างงงๆ
“ชื่อที่เราเรียกย่อๆ น่ะ ชื่อเต็มคือKekkai sensenเป็นโลกแนว...ออกไปทางวุ่นวายสักหน่อยน่ะ” ชิโกะอธิบายเท่าที่จำได้...ดันหลุดมาในเรื่องที่อาจมีหายนะลอยมาหาได้เสมอแล้วสิ
“แค่นี้ยังวุ่นวายไม่พออีกเหรอ...” อาโอมิเนะกรอกตาไปมา...แค่นี้ก็วุ่นแทบปวดจิตตายแล้ว! อย่ามาเพิ่มเรื่องให้กันเลยเถอะ!
“ก็นะ” สาวเจ้ายักไหล่น้อยๆ “เอาเป็นว่าที่นี่มีทั้งที่เป็นคนและไม่ใช่คนเดินเพนพล่านไปมาเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นถ้าเจอคนแปลกๆ ก็ไม่ต้องใส่ใจหรอก เป็นเรื่องปกติของที่นี่”
“แล้วภาษา...” อาโอมิเนะเอ่ยขึ้นเมื่อเสียงที่แววมานั้นไม่ใช่ภาษาที่คุ้นเคย
“ดูท่าที่นี่จะไม่ได้ใช่ภาษาญี่ปุ่นนะ” คิเสะมั่นใจว่าที่ได้ยินไม่ใช่ภาษาบ้านตนชัวท์ขมวดคิ้วเป็นปม
“นี่มันภาษาอังกฤษนิ?” พ่อเสือน้อยกลัวหมา...คางามิที่คุ้นเคยกับภาษาที่ได้ยินพอสมควรเอ่ย
“แล้วจะสื่อสารยังไงเนี่ย?” อาโอมิเนะที่เรียกได้ว่าบื้อด้านภาษาอื่นมากเกาหัวแกร่กๆ เช่นเดียวกับหลายๆ คนที่พูดภาษาอื่นนอกจากภาษาตนไม่ได้เช่นกัน...เว้นแต่พวกฉลาดเกินคนบวกพวกเก่งภาษากับพวกคนจากต่างประเทศที่ยังพอสื่อสารได้บ้าง
“เอานี่ไป” ชิโกะที่เข้าขั้นโง่ด้านภาษาอังกฤษมากหยิบสิ่งหนึ่งมากินก่อนที่จะยื่นถาดๆ หนึ่งให้เหล่าเด็กหนุ่ม
“อะไร? วุ้น?” คิเสะมองแผ่นวุ้นที่วางเรียงรายอยู่ในถาด...เอามาให้ทำไมฟะ!?
“วุ้นแปลภาษา...เราสร้างเลียนแบบจากการ์ตูนเรื่องหนึ่งน่ะ กินเข้าไปก็จะสามารถพูด อ่าน เขียนภาษาทางนี้ได้เลย...” ชิโกะอธิบาย “...ที่เราเสกน่าจะมีผลประมาณสามถึงห้าวัน...น่าจะพออยู่มั้ง”
“สะดวกดีแฮะ” เด็กหนุ่มต่างพาหยิบวุ้นมากินคนล่ะชิ้นและผลที่ได้... “เออ ฟังออกจริงๆ วะ”
...คือทุกคนสามารถฟังบทสนทนาโดยรอบออกจริงๆ
“นับวันยิ่งเสกของประหลาด...” ฟุคุอิถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อย่างน้อยไอ้นี่ก็ได้ใช้ประโยชน์ล่ะ” คาซามัตสึปลอบอีกฝ่าย ในเวลาเดียวกันนั้น...
ตูม!
...เสียงระเบิดก็ดังขึ้นมาไม่ห่างจากจุดที่กลุ่มเด็กหนุ่มยืนกันอยู่มากนัก ทำให้เกิดความโกลาหลกับผู้คนที่เดินข้างถนนใหญ่
“อะไรฟะ!?” ฟุคุอิสบถออกมาเบาๆ พลางมองเหล่าฝูงคนที่วิ่งหนีตายกัน
“อ๋อ เราลืมบอกไป...ที่นี่มีการก่อความวุ่นวายขึ้นทุกวันนะจ๊ะ หาความสงบไม่ได้หรอก” ชิโกะตอบด้วยรอยยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับระเบิดเมื่อครู่มากนัก คาดว่าคงเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้
“ชิบ!” เด็กหนุ่มทั้งหลายสบถออกมาเบาๆ กับความจริงที่เพิ่งได้รู้ว่าที่นี่อันตรายกว่าที่คิด
“เจี๊ยก!” เสียงร้องเบาๆ ที่ดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทำให้เหล่าเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงขึ้นมาแล้วหันไปมองต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง
“เอ๊ะ? ลิง?” คิเสะมองเจ้าลิงสีขาวหน้าดำที่โดดมาด้านบนลังไม้ใกล้ๆ จากไหนไม่รู้ “มาจากไหนเนี่ย?”
...ลิงไม่น่ามาอยู่กลางเมืองแบบนี้ได้นะ...
“อา เจ้านี่มัน...” ชิโกะทำท่าเหมือนจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่าง แต่...ไม่ทันที่สาวเจ้าจะพูดอะไรมากกว่านี้ก็มีคนที่รูปร่างเหมือนแมลงในร่างคน (?) วิ่งมาในซอยพร้อมกับ...
“อ้าวเฮ้ย! ยัยชิโกะ!!!” ...ล็อกคอชิโกะกับเจ้าลิงน้อยลากติดมือไปด้วย ก่อนที่ครึ่งคนครึ่งแมลงนั้นจะพาทั้งสาวเจ้าและลิงน้อยขึ้นรถแล้วขับออกไป
“แย่แล้ว! ชิโกะโดนลักพาตัวไปแล้ว!” ทาคาโอะโวยลั่นเมื่อเพื่อนสาวตนโดนลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตาพลางวิ่งตามไป เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ถึงแม้รู้ว่าไม่อาจวิ่งตามรถได้ทันก็ตาม ทำให้สุดท้ายเหล่าเด็กหนุ่มทำได้เพียงมองรถที่เริ่มขับห่างออกไป
“เอาไงดี!?” ฟุริฮาตะที่ตื่นตะนกไม่ต่างกันหันไปถามร่างคนผมแดงใกล้ๆ เสียงดังอย่างลืมกลัว
“เอาไงเหรอ!? ก็...” อาคาชิทำท่าจะตอบอะไรบางอย่างแต่...พูดไม่ทันจบประโยคก็มีเสียงดังขึ้นแทรกเสียก่อน
“โซนิสสสสส!!!” มอเตอร์ไซสคันน้อยที่มีคนขับเป็นเด็กหนุ่มผมน้ำตาลแล้วคนซ้อนเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำผมขาวคนหนึ่งขับผ่านแล้วตามรถคันที่ลักพาตัวชิโกะไป
“นี่เพ่! ขอติดรถตามนั้นไปหน่อยได้ไหม!?” อาโอมิเนะที่เห็นว่าต้องหารถกระโดดขวางทางรถคันหนึ่งที่ขับผ่านมา
“ห๊า? ทางนั้นมันอันตรายนะ” ชายหนุ่มภายในรถที่รูปร่างเหมือนหมีสีน้ำตาลแดง (?) เอ่ย
“รู้! แต่เพื่อนพวกผมโดนจับไปนี่หว่า!” อาโอมิเนะสวนกลับแบบไม่เกรงกลัวใคร เนื่องจากห่วงชิโกะมากกว่า...ห่วงว่าจะไปทำใครปวดจิตตายอ่ะนะ
“แต่...” ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะหาทางปฏิเสธ...
“เฮ้ย! เคลาส์! รีบไปกันได้แล้ว อย่ามัวเสียเวลาเลย! ให้เลโอตามคนเดียวเดี๋ยวก็เกิดเรื่องหรอก...ยิ่งซวยๆ อยู่” ...แต่หญิงสาวปมเหลืองผู้มีผ้าปิดตาข้างหนึ่งกลับเอ่ยเช่นนี้ขึ้นมาเสียก่อนพร้อมกับฉากระเบิดที่เกิดขึ้นไม่ห่างจากจุดที่แยู่กันยามนี้นักเป็นเอฟเฟกเสริม
“เฮ้อ...ก็ได้...” คนที่ถูกเรียกว่าเคลาส์ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางมองเด็กหนุ่มที่ดูจะไม่ยอมให้ทางพวกตนง่ายๆ “...จะขึ้นก็รีบขึ้น”
“รับทราบ!” เด็กหนุ่มหนุ่มรีบกรูดกันขึ้นรถแม้ว่ามันจะอัดเป็นปลากระป๋องกันแค่ไหนก็ตาม และจากนั้น...รถก็เริ่มซิ่งออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเบลกรถอย่างแรงจนหน้าทิ่มเมื่อมาถึงยังจุดๆ หนึ่งที่...
...มีซากรถที่ระเบิดจนเละคว่ำอยู่ และมีชายผมขาวกับเด็กหนุ่มผมน้ำตาลซึ่งขับมอเตอร์ไซค์มาก่อนหน้ายืนประจันหน้ากับครึ่งคนครึ่งแมลงสองคนที่คนหนึ่งล็อกคอลิงน้อยไว้ส่วนอีกคนล็อกคอหญิงสาวผมออกน้ำตาลคนหนึ่งไว้
“เฮ้ย! พาคนนอกมาทำมายยยยย!?” ชายหนุ่มผมขาวโวยลั่นเมื่อเห็นเหล่าเด็กหนุ่มออกมาจากรถ
“ชิโกะ!” เหล่าเด็กหนุ่มไม่สนใจคำโวยวายของใครทั้งสิ้น ตะโกนเรียกชื่อของสาวเจ้าที่ถูกจับตัวมาอย่างพร้อมเพรียง
“อ้าว? ไงพวก...” ทางคนที่กลายเป็นตัวประกันให้ชาวบ้านกลับส่งยิ้มให้ชาวบ้านแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด...ไม่มีแม้ความกลัวอย่างที่ควรเป็นเลย
“ไงพวกกับผีสิ! ใจเย็นเกินไปแล้วนะเฮ้ย!” อาโอมิเนะแว๊ดลั่นใส่สาวเจ้า
“เราว่าซอมบี้คราวก่อนยังน่าหยองกว่านี่นี่น่า” ชิโกะตอบกลับหน้าตาเฉย
“ถึงงั้นก็ดูสถานการณ์บ้างเถอะ!” อาโอมิเนะไม่เถียงว่าเหตุการณ์ในเมืองซอมบี้นั้นดูน่าสยองกว่า แต่สถานการณ์นี้ถ้าเทียบด้านความอันตราย ไอ้นี้อันตรายกว่าเยอะ!
“น่าๆ” ชิโกะโบกมือไปมาอย่างชิวท์
“เอาไงดีครับ?” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่หลับตาอยู่หันไปถามกับเคลาส์ที่เดินลงจากรถมาอีกคน
“อย่าขยับ! ไม่งั้นยัยเตี๊ยนี่ตาย!” ครึ่งคนครึ่งแมลงที่จับตัวชิโกะเป็นตัวประกันเอ่ยเสียงดังลั่น และ...ประโยชน์นั้นทำให้เหล่าเด็กหนุ่มหน้าซีดลงกันทั่วหน้าเพราะรู้ว่าคำนี้เมื่อพูดกับสาวเจ้าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ
“ห๊า?” ชิโกะคิ้วกระตุกน้อยๆ “ว่าใครเตี๊ยมิทราบ?”
“ชิบ! ไหงดวงเฮงพูดคำต้องห้ามของยัยชิโกะออกมาฟะ!?” ฮานามิยะที่ถูกลืม (?) สบลออกมาเบาๆ พลางมองซ้ายขวาหาที่หลบ เผื่อมีลูกหลงลอยมา
“คำต้องห้าม?” เคลาส์เอ่ยทวนอย่างไม่เข้าใจนัก
“ก็ถ้าพูดออกมาแล้ว...” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ พร้อมกับ...ที่สาวเจ้าเริ่มสะบับมือไปมาแล้ว...
โครม!
...มีเยลลี่ยักษ์ถล่มใส่ผู้ที่จับตัวสาวเจ้าเมื่อครู่ทำให้ชิโกะหลุดจากการเป็นตัวประกัน เท่านั้นไม่พอสาวเจ้ายังทำให้เยลลี่ยักษ์ที่ยามนี้ขังร่างของคนดวงซวยที่หลุดคำต้องห้ามเมื่อครู่ แถมพวงคนที่จับลิงน้อยเอาไว้ไว้ลอยขึ้นมากลางอากาศแล้วเขย่าไปมาราวกับเขย่าน้ำผลไม้ ส่วนเจ้าลิงน้อยนั้นสามารถโดดหนีออกมาแล้วไปหาเด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่ยืนหลับตาอยู่ได้ง่ายๆ เนื่องจากสาวเจ้าไม่คิดจะทำอะไรเจ้าตัวนี้แต่แรกแล้ว
“...ยัยนั้นจะคลั่งครับ” อาคาชิคุมขมับอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“เออ...ไอ้นั้นมันอะไรน่ะ?” ชายหนุ่มผมขาวเอ่ยอย่างเอ๋อๆ กับเยลลี่ยักษ์ที่ปรากขึ้นมาได้
“ก็แค่ความคิดบ้าๆ ของยัยนั้นน่ะครับ...” ฟุคุอิไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือสาวเจ้าเริ่มบ้าขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ “...เอาเป็นว่ารับรองได้อย่างเดียวว่ายัยนั่นไม่ทำใครตายแล้วกันครับ”
“ไม่ตายแน่นะ?” เด็กหนุ่มผู้ดูราวหลับตาตลอดเวลาถามอย่างหวั่นๆ
“ครับ เพราะแค่ตายไม่สาแก่ใจยัยนั้นครับ” ฟุริฮาตะที่รู้นิสัยสาวเจ้าดีเพราะโดนแกล้งบ่อยถอนหายใจออกมาเบาๆ
“...” คราวนี้คนในกลุ่มที่ให้เด็กนุ่มบาสยืมรถมานี่ต่างพากันเงียบในบัดดล
“เอาไงต่อดีครับ?” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลคนเดิมถาม
“ไม่รู้ รู้แค่งานเราโดนแย่งแล้วล่ะ” ชายหนุ่มผมขาวเกาหัวตัวเองแกร่กๆ
“แต่คงไม่ทั้งหมด” หญิงสาวตาเดียวชักปืนออกมายิงใส่บางอย่าง และไอ้บางอย่างที่ว่ากระโดดหลบลูกกระสุนได้อย่างรวดเร็ว
“พวกแกแสบมาก!” สิ่งที่หลบกระสุนเมื่อครู่โดดลงมาตรงหน้าชิโกะที่กำลังเขย่าชาวบ้านอย่างสนุกสนาน (?) แล้วตวาดออกมาเสียงดัง
“เหวอ!” ชิโกะสะดุ้งโหยง ดวงตาหลังกรอบแว่นเบิกกว้าง ตัวแข็งทื่อคล้ายกับตื่นกลัวอะไรบางอย่าง “ก...กบ!”
“อ่ะ ถ้าจำไม่ผิดหากชิโกะเจอกบ...” ฮายามะเริ่มหน้าซีดลงเมื่อนึกถึงได้ว่าสาวเจ้าเวลาเจอเจ้าตัวนี่จะ...
ฉับ!
“...ยัยนี่จะเชือดแหลก” ...มิยาจิเอ่ยต่อพลางมองหญิงสาวที่เรียกเคียวออกมาไล่ฟันใส่สิ่งมีชีวิตที่รูปร่างเหมือนกบหากแต่ตัวใหญ่และยืนสองขาราวมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง
“ขอโทษครับ ขอเปลี่ยนคำพูดคราวนี้ชิโกะจะฆ่าของจริงแล้วครับ!” ฟุริฮาตะที่รู้เรื่องอาการคลั่งนี้ดีร้องลั่น
“ให้ตายเถอะ! มีอย่างที่ไหนกลัวแล้วจะเชือดทิ้งเนี่ย!?” ฮานามิยะสบถออกมาเบาพลางก้มหลบลูกหลงที่เริ่มลอยมา
“ก็ชิโกะกลัวกบเป็นๆ นี่นา” มิบุจิที่ปลงกับสาวเจ้าแล้วเอ่ยออกมาเบาๆ
“เมื่อก่อนเคยคิดว่าอาการยัยซัทสึกิหนักสุดเสียอีก...” อาโอมิเนะเบ้หน้าน้อยๆ ...เมื่อเทียบกันแล้วเพื่อนสมัยเด็กหัวชมพูของเขาแสดงอาการกลัวออกมาทียังดีกว่าอีก!
“ถ้าเทียบกับชิโกะทุกคนก็ธรรมดาหมดล่ะครับ” คุโรโกะไม่คิดว่ามาตรฐานปกติจะสามารถเอามาใช้กับรายนี้ได้หรอก
“เฮ้ย! ใครก็ได้หยุดยัยชิโกะทีเว้ย! จะฆาตกรรมชาวบ้านแล้ว!” เนบุยะตะโกนขึ้นมาเผื่อมีคนใจดีมาช่วยชีวิตกบยักษ์ที่จะโดนสาวเจ้าฆ่าอยู่รอมร่อ
“ซาป! ไปช่วยห้ามผู้หญิงคนนั้นเร็ว!” เคลาส์ที่เริ่มกลัวเมืองจะพัง (?) เพราะลูกหลงจากสาวเจ้าเอ่ย
“ครับ~~~” เจ้าของชื่อขานรับพร้อมพุ่งเข้าไปกลางวงทั้งสอง
เคร้ง!!!
“ใจเย็นก่อนเว้ย!” ชายหนุ่มผมขาวเอาดาบสีแดงเลือดมาตั้งรับเคียวจากมือสาวเจ้า ทำให้เจ้ากบที่หลบคมจากเคียวเสียจนแทบหมดแรงรอดตายได้หวุดหวิด “แรงคนแน่เหรอวะ!? เล่นซะมือชาเลย...”
“นาย...” ชิโกะหรี่ตาลงเล็กน้อย “...ถ้าไม่อยากให้เราเชือดก็จับไอ้นั่นไปไกลๆ เราเลย!”
“แค่นี้ก็ไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว!” เจ้ากบยักษ์ที่เกือบตายมาหมาดๆ แว๊ดลั่น
“แน่ใจ?” ชิโกะถามย้ำ
“แน่!” กบยักษ์เอ่ยยืนยัน
“เขาไม่เข้ามาใกล้แล้ว เพราะงั้นเก็บเคียวเถอะนะ” ฟุริฮาตะเมื่อเห็นโอกาสเข้าไปใกล้ก็พยายามไกล่เกลี่ยสาวเจ้าไม่ให้คลั่งอีกรอบ “และรีบปล่อยพวกในเยลลี่นั้นออกมาเถอะ เดียวก็ตายกันจริงๆ หรอก”
“...” ชิโกะมองฟุริฮาตะนิ่งๆ ก่อนที่จะสะบัดมือน้อยๆ พลันเคียวในมือก็สลายหายไป เช่นเดียวกับเยลลี่ยักษ์ที่หายไปในพริบตา “อย่าเพิ่งออกลายชิวาว่าสิ เดี๋ยวเราก็อยากแกล้งหรอก”
“บอกกี่ทีแล้วว่าฉันไม่ใช่ชิวาว่า!” ฟุริฮาตะแยกเขี้ยวใส่
“กลับมาแกล้งมาแหย่คนแล้ว” เหล่าเด็กหนุ่มบาสพากันถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสาวเจ้ายกเลิกโหมดคลั่งของตัวเองแล้ว
“นี่พวกเธอ...” เคลาส์มองเหล่าหนุ่มสาวอย่างน่ากลัว “...ดูท่าเราต้องมีเรื่องต้องคุยกันนะ”
“...ครับ” เหล่าเด็กหนุ่มขานรับเสียงแผ่ว...ก็เพื่อนตนเล่นก่อเรื่องซะขนาดนี้ไม่โดนเรียกคุยนี่สิแปลก
“อย่างเครียดสิพวก” หากแต่สาวเจ้าตัวต้นเหตุกลับยังยิ้มร่าอย่างไม่รู้สึกรู้สา “แค่จัดการเจ้านี้แค่กลุ่มเดียวไม่ทำให้พวกนายว่างงานหรอกน่า”
“ฉันว่านั้นไม่ใช่ประเด็นนะ” อาคาชิถอนหายใจออกมาเบาๆ
“น่าๆ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ
“เลโอ...ตรวจสอบหน่อย” เคลาส์ตัดสินใจที่จะเมินบทสนทนาของหญิงสาวและเด็กหนุ่มผมแดง หันไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนหลับตาอยู่
“อ่ะ! ครับ!” คนที่ถูกเรียกว่าเลโอะขานรับก่อนที่จะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าที่...ราวกับไม่ใช่ตาของมนุษย์มีแสงเรืองออกมา แถมยังมรวงกลมๆ แปลกๆ สองวงปรากฏที่ตรงหน้าของชิโกะด้วย และนั้นทำให้เหล่าหนุ่มบาสตื่นตกใจพอสมควร แต่ก็ไม่มากนักเพราะเริ่มทำใจกับเรื่องแปลกๆ ในโลกนี้ได้แล้วบวกกับรู้ว่าไม่มีใครทำให้คนอย่างชิโกะตายได้แน่นอนในโลกที่ไม่ใช่ของเจ้าตัวนี่
“เป็นไง?” เคลาส์ถามเมื่อเห็นเลโอเริ่มขมวดคิ้ว
“เป็นคนบ้าครับ” เลโอตอบ
“ห๊า?” คำตอบนี้ทำเอาเคลาสหลุดร้องออกมาอย่างเอ๋อๆ เช่นเดียวกับอีกหลายๆ คนในกลุ่ม
“จากที่เห็น...คนบ้าชัดๆ ครับ บ้าวายด้วย” เลโอค่อยๆ ปิดตาคนด้วยสีหน้าหมือนคนปวดจิต ขณะเดียวกันวงกลมตรงหน้าชิโกะก็หายไป
“ฮาๆๆ! ดูออกตามคาด!” ชิโกะหัวเราะลั่นแบบไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น
“ชิโกะอย่าเพิ่งบ้าออกสิ” อาคาชิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...เล่นซะบรรยากาศเครียดๆ ก่อนหน้านี้หายไปหมดเลย
“ห้ามเราไม่ได้หรอกกกก” ชิโกะแล่บลิ้นใส่
“...บ้าของจริง...สินะ?” ซาปเอ่ยด้วยอาการคิ้วกระตุกคล้ายกำลังคิดว่าควรเอาดาบเฉาะหัวรายนี้ดีไหม
“สำหรับยัยนั้นก็...ใช่อ่ะครับ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มแห้งๆ ให้เป็นเชิงปลอบ
“และดูท่าไม่หยุดบ้าง่ายๆ ด้วยครับ” คุโรโกะเอ่ยต่อด้วยท่าทีปลงไม่ต่างกัน
“อาการบ้านี่เป็นอาการถาวรของยัยนี่ไปแล้วล่ะมั้ง” มายุสุมิมั่นใจว่าคงไม่มีทางแก้อาการบ้านี่ให้ลดลงได้แล้วล่ะ
“เฮ้ย!!!” เหล่ากลุ่มคนที่ยืนอยู่...รวมทั้งกลุ่มของหนุ่มบาสเองต่างสะดุ้งโหยงกับการปรากฏตัวของคนผมฟ้าและผมเงิน “มาเมื่อไหร่เนี่ย!?”
“ตั้งนานแล้วครับ” คุโรโกะตอบหน้าตาย...ไอ้คนของโลกนี้ตกใจน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้คนที่อยู่ด้วยกันนี่ช่วยอย่าลืมกันบ่อยนักได้ไหมครับ! แบบนี้มีเคืองนะ!
“เกิดมาจืดจางต้องทำใจน่อ” ชิโกะเดินไปตบหลังจืดจางทั้งสองดังป๊าบ เล่นซะคนโดนตีแทบหน้าทิ่มกันเลยทีเดียว
“ไม่ต้องมาเลียนแบบอั๊วเลย อาชิโกะ” หลิวโวยเล็กน้อยที่โดนแย่งคาแร็กเตอร์ (?)
“จ้าาาา” ชิโกะลากเสียงยาวอย่างกวนๆ
“ท่าทางกวนส้นมากรู้หรือเปล่า?” เด็กหนุ่มแต่ล่ะคนเริ่มคิ้วกระตุกกับสาวเจ้า
“คงงั้นอ่ะน้า~~~” ชิโกะยิ้มร่า และด้วยอาการอยากแกล้งคนหรือเปล่าไม่รู้ เจ้าตัวจึงสะบับมือน้อยๆ ...
“เอาอีกแล้วเหรอ!? ยัยบ้า!” ...หูและหางแมวต่างปรากฏขึ้นบนร่างของเหล่าเคะ (?) ภายในกลุ่ม
“ระหว่างปลงกับบ้าตามฉันควรทำอย่างไหนดีเนี่ย?” โมริยามะทำหน้าปวดจิตสุดแสน
“ปลงครับ อย่าบ้าตามเลย” อิสึกิที่ไม่อยากรับมือคนบ้าสองคนแทนรับมือแค่หนึ่งเอ่ย
“...เอาไงกับพวกนี่ต่อดีลูกพี่?” ซาปมองกลุ่มเด็กหนุ่มอย่างขำๆ ปนเห็นใจก่อนที่จะหันไปถามคนร่างใหญ่ผมสีน้ำตาลแดง
“คงต้องพากลับไปด้วย...และคุยกันยาวๆ เลย” เคลาส์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ขนาดที่มองเหล่าเด็กหนุ่มที่ไล่ถีบเด็กสาวที่หลบไวราวกับลิง
“เพราะดูท่าถ้าปล่อยอาจสร้างความวุ่นวายเพิ่มงานให้เราสินะ?” ซาปเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ
“ถูก” เคลาส์พยักหน้ารับพลางคิดหาวิธีที่จะลากเหล่าเด็กหนุ่มบวกอีกหนึ่งหญิงสาวกลับฐานโดยไม่ก่อความวุ่นวายได้อย่างไร...โดยเฉพาะหญิงสาวที่ดูท่าจะมีพลังที่คาดไม่ถึงอยู่ด้วย เลยกลายเป็นปัญหาที่คิดไม่ตกไป
“สรุป...พวกเธอมาจากต่างโลกและเพราะสาเหตุบางอย่างเลยตกมาที่นี่สินะ?” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงเอ่ยสนุปสั้นๆ หลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากหญิงสาวทีกว่าตนจะลากกลับฐานพร้อมกับพวกเด็กหนุ่มได้เล่นซะวุ่นวายไปนานสองนานเลย ทำเอาสาวเจ้าผมทองตาเดียว (?) รีบเผ่นไปทำงานอื่นต่อทิ้งความวุ่นวายไว้ที่นี่เนี่ย
“แม่นแล้วเด้อ” ชิโกะขานรับอย่างเริงร่าราวกับไม่ใช่เรื่องของตนเอง
“ฟังดูแล้ว...เหมือนว่าเธอนำความซวยมาให้พวกนี่เลยนะ” ซาปชี้ที่เหล่าเด็กหนุ่ม (ที่หูหางหายจากร่างเหล่าเคะแล้ว) อย่างเจาะจง
“ไม่แค่เหมือนล่ะครับ ยัยนี่นำความซวยมาให้ของแท้เลย” ฮานามิยะที่มักเป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ที่โดนสาวเจ้าแกล้งเอ่ย
“แหม พูดแบบนี้...อยากโดนแกล้งก็ไม่บอก เดี๋ยวเราจัดให้” ชิโกะแสยะยิ้มพร้อมทำท่าเหมือนจะเสกอะไรออกมาสักอย่างสองอย่าง
“อย่านะเฮ้ย!” ฮานามิยะรีบโดดไปหลบหลังเด็กหนุ่มผมสั้นเต่อสีน้ำผึ้ง
“แล้วมาหลบอะไรหลังฉันวะ!?” มิยาจิ ยูยะแว๊ดลั่นเมื่อต้องกลายร่างเป็นที่หลบภัยจำเป็น
“ขอยืมหลบหน่อยสิ!” ฮานามิยะเกาะยูยะแน่น
“เฮ้ยๆ! เนียนล่ะ...ออกห่างๆ น้องฉันเลยเว้ยไอ้บ้า!” คนผมสีน้ำผึ้งอีกคนหรือนายมิยาจิ คิโยชิเขกหัวฮานามิยะอย่างแรงก่อนที่จะจับอีกฝ่ายแยกออกห่างๆ น้องชายตน
“อย่าทะเลาะกันในสำนักงานสิ” ชายหนุ่มผมดำผู้รอยบากบนใบหน้ารีบห้ามปราม “แล้วนี่พวกเธอชื่ออะไรกันนะ?”
“เราชิโกะ” หญิงสาวที่ดังหัวหน้ากลุ่มเอ่ยแนะนำตัวคนแรก ก่อนที่จะตามด้วยห้าหน่อทีมบาสราคุซัน คู่แสงเงาแห่งเซย์ริน สามหน่อหล่อเสียของ (?) คู่กัปตันทีมบาสบวกคู่เอสของทีมบาสไคโจวและโทโอ สี่หน่อทีมโยเซ็น คู่หูคู่ฮาของทีมบาสชูโตกุ สองพี่น้องมิยาจิและปิดท้ายด้วยกัปตันแห่งทีมบาสคิริซากิไดจิเป็นคนสุดท้าย
“ส่วนฉันสตีเวนซ์.เอ.สเตรฟราซ” เมื่อหญิงสาวและเด็กหนุ่มพากันแนะนำตัวกันหมดแล้ว หนุ่มหน้าบากราวยากุซ่า (?) ก็แนะนำตัวเองต่อตามมารยาท
“ลีโอนาร์โด้ วอทชครับ” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลเอ่ยพลางชี้ที่เจ้าลิงสีขาวที่เกาะบ่าตน “ส่วนี่โซนิส”
“เจี๊ยก!” เจ้าลิงน้อยขานรับราวกับกำลังบอกว่านี่คือชื่อตนจริงๆ
“ซาปป เรนฟรอ” ชายหนุ่มผมขาวเอ่ยต่อ
“เชลน ซูเมรากิ” ตามด้วยหญิงสาวผมดำที่ดูเย็นชาสุดแสน
“ผมกิวเบรท เอฟ.อาสไตรเป็นพ่อบ้านครับ” ชายชราในสภาพเหมือนมัมมี่ (?) โค้งให้เล็กน้อย
“เคลาส์.วี.เรนเฮรซเป็นเจ้าของที่นี่” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงตัวใหญ่ยักษ์เอ่ยเป็นคนสุดท้าย “และที่นี่คือองค์กรไอบร้า”
“องค์กร?” เหล่าหนุ่มๆ บาสทวนอย่างไม่เข้าใจนัก
“ก็...” เคลาส์กำลังจะอ้าปากอธิบาย แต่...
“เป็นองค์กรที่คอยจัดการตัวก่อความวุ่นวายในเมืองนี้ไม่ให้หลุดออกไปภายในนอกโดมน่ะ” ...สาวเจ้ากลับเอ่ยขึ้นมาแทนเสียอย่างนั่น “เป็นองค์กรจัดการที่วุ่นวายกว่าตัวก่อความวุ่นวายด้วย...คล้ายๆ กับไอ้เคียวน่ะ”
“กรณีพี่ฉันต้องเปลี่ยนเป็นชวนจิตตกมากกว่า” ฟุริฮาตะคุมขมับเล็กน้อยเมื่อนึกย้อนไปถึงวีรกรรมที่พี่ตนเคยก่อ...เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าสาวเจ้าเลยล่ะ ยังดีที่พี่เขาไม่บ้าเท่า
“ก็นะ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ
“...ทำไมเธอรู้?” เคลาส์ถามอย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ทั้งที่ตนไม่เคยบอก
“เอาเป็นว่าเราพอมีข้อมูลของที่นี่แล้วกัน” สาวเจ้าขยิบตาให้เล็กน้อยก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา
“อย่าเพิ่งบ้าออกอีกรอบสิ” มิยาจิห้ามปรามก่อนที่สาวเจ้าจะเริ่มบ้าอีกรอบ
“จ้าๆ ขี้บ่นจัง” ชิโกะทำปากจู๋แบบไม่ใส่ใจนัก
“สมควรบ่นไหมล่ะ?” มิยาจิกรอกตาไปมา
“ใจเย็นกันก่อนสิ” เลโอะที่กลัวว่าจะมีเรื่องกันภายในนี้รีบห้าม...และแน่นอนว่าถ้ามีเรื่องกันจนที่นี่พังคนที่ต้องช่วยเก็บคงไม่พ้นเขาแน่
“เคลาส์ จะเอาไงกับพวกนี่ดี?” สตีเวนซ์หันไปถามคนที่เป็นหัวหน้า
“คงต้องหาที่พักให้ จะได้ไม่ไปป่วนที่ไหนล่ะนะ” เคลาส์เอ่ย...อย่างน้อยจับตาดูได้ก็ดีกว่าไปป่วนที่ไหนแล้วเขาตามจับไม่ทันล่ะ
“โดยเฉพาะยัยบ้านี่” ซาปชี้ที่สาวเจ้าอย่างเจาะจง
“ไม่ควรว่าผู้หญิงนะเฮ้ย” สตีเวนซ์เขกหัวซาปไปหนึ่งที
“แต่ยัยนี่ไม่สนใจหรอกครับ” ฮานามิยะโบกมือไปมาเป็นเชิงว่าไม่ต้องสนใจ
“ก็บ้าจริงนี่นา www” ชิโกะหัวเราะร่า
“...อยู่กับยัยนี่เหนื่อยไหม?” ซาปถามขึ้นมาลอยๆ
“มากครับ” เหล่าหนุ่มบาสตอบกลับมากันอย่างพร้อมเพรียง
“คงต้องทำใจล่ะนะ” เลโอรู้สึกสงสารพวกนี้ขึ้นมาจริงๆ แล้วสิ
“เริ่มปลงตั้งนานแล้วล่ะ” อาคาชิส่ายหน้าไปมา
“แล้ว...” ซาปเหล่มองยังสาวเจ้า “...ขอถามหน่อย...เด็กคนนี้คลั่งทุกคลั่งที่ได้ยินคำว่า...”
“อย่าพูดนะ!” เหล่าหนุ่มบาสทั้งหลายรีบวิ่งมาตะคุบปากอีกฝ่ายด้วยความเร็วแสง “ถ้าพูดออกมาชิโกะคลั่งอีกรอบแน่!”
“แปลว่าคลั่งทุกคลั่งที่ได้ยินคำว่า...เออ คำต้องห้ามสินะ?” เคลาส์ถามเมื่อเห็นสีหน้ากลัวเหลือหลายของเหล่าเด็กหนุ่ม
“ถูกต้องเลยครับ ถึงปกติชิโกะจะเอาไม่ถึงตายแต่บางทีก็หนักปานตายนะครับ” คุโรโกะเอ่ยอย่างจริงจัง
“ถ้านับตอนคลั่ง ของที่ร้ายแรงสุดที่ยัยนี่เสกมาก็...” อาโอมิเนะส่งยิ้มแห้งๆ ออกมาเมื่อนึกคราวที่ถูกส่งไปเมืองซอมบี้คราวก่อน
“พายุ พายุสายฟ้า คลื่นยักษ์...ภัยธรรมชาติครบสูตร” คิเสะหัวเราะเบาๆ คล้ายคนจิตหลุด
“เด็กคนนี้น่ากลัวชะมัด” สตีเวนซ์ถึงแม้ไม่รู้ว่าตอนชิโกะคลั่งจะเป็นไง แต่เท่าที่ดูๆ แล้วคงสยองมากน่าดู
“นี่ๆ อย่าเรียกเราเด็กสิ! เราโตแล้วนะ!” ชิโกะทำแก้มป่อง
“สำหรับฉันต่ำกว่ายี่สิบถือว่าเด็กแล้วกัน” สตีเวนซ์ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เออ...ขอโทษนะครับ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มแห้งๆ ให้ “คือ...ชิโกะเขาเลยยี่สิบมานานแล้วนะครับ”
“เอ๊ะ?” เหล่าคนในโลกนี้ต่างหลุดร้องออกมาอย่างงงๆ
“ยัยนี่มันยี่สิบสองแล้วครับ...ถึงหน้าไม่ให้บวกบ้าก็เถอะ” ยูยะถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเอ่ยเช่นนี้
“...” คราวนี้แต่ล่ะคนที่เพิ่งรู้ถึงอายุของสาวเจ้าถึงกับเงียบกันไปเป็นแถว เนื่องจากคนคนนี้นั้น...ดูอย่างไรก็ไม่น่าเกินยี่สิบได้เลย
“...ที่เขาว่าคนอารมณ์ดีมักหน้าอ่อนท่าจะจริงแฮะ” ซาปเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“คงงั้น...มั้ง?” เลโอไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกันงานนี้
“งั้นเราต้องอารมณ์เสียบ่อยๆ จะได้หน้าแก่ขึ้นสิ?” ชิโกะสวนกลับอย่างเริงร่า
“อย่าเลย แบบนี้ดีแล้ว...” มิบุจิรีบห้ามก่อนสาวเจ้าจะป่วนไปมากกว่านี้...ปกติไม่ค่อยโกรธใครง่ายๆ ก็ป่วนพอแรงแล้ว ถ้าเกิดเป็นพวกอารมณ์เสียง่ายขึ้นมามีหวังโลกแตกแน่ “...ผู้หญิงปกติต้องชอบให้หน้าอ่อนสิ อยากหน้าแก่ไปทำไมเนี่ย?”
“จะได้สมอายุไง ตอนตัดผมสั้นทีเดินผ่านโรงเรียนมัธยมทีไรโดนเข้าใจว่านักเรียนหนีเรียนทุกที” ชิโกะตอบ...ตอนนั้นแทบอยากถีบคนที่มาทักด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายอาวุโสกว่าเนี่ย
“นี่เธอเคยตัดผมด้วยเหรอ?” มิบุจิถาม...เธอคิดรายนี้ไว้แต่ผมยาวซะอีก ก็ตั้งแต่รู้จักกันมาผมยาวตลอดเลยนิ
“เคยสิ ซอยสั้นเลยด้วย...แต่หลังๆ ขี้เกียจไปตัดเลยปล่อยยาวเลย” ชิโกะตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“...ฉันว่าผมยาวแบบนี้แหละดีแล้ว” มิบุจิเอ่ย
“ใช่ๆ เหมือนซาดาโกะดี” ฮายามะเอ่ยต่อทำให้...
“พูดอะไรหัดคิดหน่อยเซ่!” ...โดนมิบุจิเขกหัวเต็มแรง
“แอ๊ก! เจ็บนะพี่เรโอะ!” ฮายามะโวยลั่น “ชิโกะยังไม่เห็นว่าอะไรเลย!”
“แต่ก็ไม่ควรย่ะ!” มิบุจิแยกเขี้ยวใส่
“เอ้าๆ ฉันว่าเลิกเล่นกันก่อนเถอะ” เคลาส์พยายามเอ่ยห้าม หากแต่...กลับไม่มีใครฟังเลย แถมดีกรีความวุ่นวายดูท่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เท่านั้น...
...นี่เขาตัดสินใจถูกไหมเนี่ยที่เอาพวกนี่มาใกล้ตัวเพื่อกันไม่ให้ก่อความวุ่นวายในเมือง แต่มาป่วนในสำนักงานแทนเนี่ย?...
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายจบลงด้วยดีไม่มีใครปวดหัวตาย (?) ภายในองค์กรไอบร้าทุกคนก็พาหญิงสาวกับเด็กหนุ่มอีกพรวนหนึ่งไปพักยังห้องที่กิวเบรทจัดให้และเรื่องที่เกิดหลังจากนั้นก็นับว่าไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไหร่นัก ถ้าไม่นับความบ้าของสาวเจ้าที่กำเริบบ่อยๆ (?) จนทำให้หนึ่งวันของกลุ่มคนจากต่างโลกถือว่าผ่านไปด้วยดี (มั้ง)
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เช้าที่แสนสดใสในขณะที่เคลาส์นั่งทำงานในยามเช้าอย่างปกติ เด็กหนุ่มจำนวนหนึ่งก็เดินเข้ามาภายในห้อง...ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมดของกลุ่มนี้แต่คนตื่นแล้วก็เป็นสองในสามของกลุ่มเลยล่ะ
“อรุณสวัสดิ์ ตื่นเช้าจังนะ” เคลาส์เอ่ยทักทายเหล่าเด็กหนุ่มที่ยังดูเป็นผู้เป็นคนดี (?)
“มันติดนิสัยน่ะครับ” มิโดริมะเอ่ยพลางดันแว่นของตนตามนิสัย “ว่าแต่เห็นชิโกะไหมครับ? เมื่อกี้ไปหาที่ห้องไม่เจอน่ะครับ”
“หือ? ไม่นิ...” เคลาส์ส่ายหน้าวืด และในเวลาเดียวกันนั้น...
“อรุณสวัสดิ์คร้าบบบบบ” ...เสียงทักทายแบบชังกะตายของใครสักคนก็ดังขึ้นมา
“อรุณส...เฮ้ย! ไหงกลายเป็นงั้นได้ล่ะเลโอ!?” เคลาส์มองไปทางผู้มาใหม่ก่อนที่จะแว๊กลั่นเมื่อเด็กหนุ่มผทน้ำคาลที่คุ้นเคยบัดนี้...มีหูหางแมวปรากฏขึ้นบนร่างกายเสียแล้ว
“โดนแกล้ง...ครับ” เลโอทำหน้าราวกับอยากร้องไห้ ทำให้เจ้าลิงสีขาวที่เกาะบนบ่าเอามือลูบหัวคล้ายปลอบ
“ชิโกะ...สินะ?” ฟุคุอิเอ่ย...ไอ้เหตุการณ์แบบนี้ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าฝีมือใคร
“ครับ” เลโอพยักหน้ารับ
“ถึงว่าไม่เห็นที่ห้อง ที่แท้รีบออกไปแกล้งคนนี่เอง” มิโดริมะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เออ ว่าแต่...” เลโอยกมือจับหูแมวบนหัวตัวเองเล่น “...ไอ้นี่เมื่อไหร่มันจะหายไปครับ?”
“ถ้าชิโกะในตอนนี้น่าจะสามวัน” อาคาชิเอ่ย...ถ้าจำไม่ผิดชิโกะบอกว่าตอนนี้ผลของสิ่งที่เสกออกมาอยู่ได้ไม่นานสินะ?
“นานไป มีวิธีอื่นไหม?” เลโอถามต่อ
“มี แต่จะกล้าหรือเปล่านี่สิ” เหล่าเด็กหนุ่มที่ต่างรู้วิธีแก้ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
“เอ๊ะ?” เลโอส่งสีหน้างงๆ ออกมา
“คือว่า...” คาซามัตสึไปกระซิบข้างหูเลโอบอกถึงวิธีแก้ไอ้การหูหางแมวโผล่ตามประสาคนเคยโดนเหมือนกัน “...แบบนี้แหละครับ”
“งั้นขอยอมเป็นแบบนี้ไปสามวันดีกว่า” เลโอถึงกับหน้าแดงวาบเมื่อรู้วิธีแก้ และแน่นอนว่าตนไม่บ้าหน้าด้านไปทำอะไรแบบนั้นกับใครแน่
“วิธีแก้มันปวดจิตมากเหรอ?” เคลาส์ถามอย่างสงสัย
“สุดๆ ครับ” เลโอยอมรับว่าไม่เคยได้ยินวิธีแก้ที่ชวนเหวอขนาดนี้มาก่อน
“อรุณสวัสดิ์...อ้าว? ไหงหูหางงอกแบบนั้นล่ะเลโอ?” ระหว่างที่กำลังคุยๆ กันอยู่นั้นหนุ่มหน้าบากก็เดินเข้ามาภายในสำนักงานพอดี
“โดนแกล้งน่ะครับ” เลโอตอบตามเสต็ป
“อื้ม น่ารักดีนะ” สตีเวนซ์ยิ้มคล้ายถูกใจกับหูและหางที่งอกขึ้นมาบนตัวอีกฝ่าย
“ไม่ค่อยอยากได้ยินเลยนะครับ” เลโอไม่อยากถูกว่าน่ารักหรืออะไรประมาณนี้นักหรอก
“เอาน่าๆ” เคลาส์เอ่ยปลอบ
“รุณหวัส...” คนหัวหงอก (?) เดินเข้ามาภายในห้องเป็นรายต่อไปก่อนที่ดวงตาสีฟ้าอมเทาจะหยุดที่เลโออย่างุนงง “...นายเล่นอะไรเนี่ยเลโอ?”
“เล่นบ้าอะไรล่ะครับไอ้คุณซาป ผมโดนแกล้งครับ” เลโอแยกเขี้ยวใส่คนที่พูดอะไรไม่ดูสถานการณ์...คิดว่าอย่างเขาจะหาหูหางมาใส่เล่นเองหรือไง!?
“อ้าวเหรอ...” ซาปทำหน้าไม่ใส่ใจนักแล้วค่อยๆ เบนสายตาไปยังกลุ่มเด็กหนุ่มจากต่างโลก “...แล้วนี่พวกนาย”
“ครับ?” เหล่าเด็กหนุ่มขานรับ
“อยากถามตั้งแต่เมื่อวานแล้ว...ในเมื่อพวกนายถูกส่งข้ามมิติมาแบบไม่รู้ตัวแล้วเอาเสื้อผ้ามาจากไหน?” ซาปถาม...ที่จริงถ้าไม่ติดว่าพวกนี่ใส่เสื้อผ้าต่างจากเดิมเขาคงคิดว่าซกมกใส่ซ้ำกันเฉยๆ ไปแล้ว
“อ๋อ ชิโกะหาให้น่ะครับ” อาคาชิเป็นคนตอบคำถามนี้ให้ชายหนุ่มผมขาว
“คืองี้...ชิโกะสร้างทางเชื่อมไประหว่างนี่...” อิมาโยชิเป็นคนอธิบายต่อ “...กับตู้เสื้อผ้าบ้านพวกผมน่ะครับ”
“...ในเมื่อสร้างทางเชื่อมได้ทำไมไม่ส่งพวกนายกลับเลยล่ะ?” ซาปถามต่อ...ถ้าสร้างทางเชื่อมกับเสื้อผ้าได้น่าจะส่งกลับได้สิ
“ลองแล้วครับ แต่สุดท้ายถูกส่งกลับมาคือเดิม” ฮานามิยะส่งสีหน้าประมาณว่า...คนที่ถูกส่งไปเป็นหนูทดลองคือตนนั้นแหละให้อีกฝ่าย
“อ๋อ” ซาปพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนที่จะ... “แอ๊ก!”
“อรุณสวัสดิ์...” ...ถูกสาวเจ้าผมดำที่โผล่มาจากไหนไม่รู้โดดเหยียบเข้ากลางหัวเต็มๆ ทำให้เจ้าตัวหน้าทิ่มลงกับพื้นทันที
“เธอเลิกโดดเหยียบหัวฉันสักทีเถอะ...” ซาปส่งเสียงออกมาเบาๆ เนื่องจากโดนเหยียบหน้าติดพื้นอยู่
“ไม่” เชลนปฏิเสธทันควัน คล้ายกับอยากจะบอกว่าตนไม่มีทางเลิกทำอะไรแบบนี้แน่ และนั้นทำให้...
“ฮาๆๆๆ!” ...หญิงสาวผมออกน้ำตาลที่โผล่เข้ามาในห้องเมื่อไหร่ไม่รู้หัวเราะก๊ากออกมาแบบหาความเป็นผู้หญิงไม่เจอสักนิด...แถมดูท่าเจ้าตัวจะไม่สนใจเลยด้วย
“สะใจไหม?” ซาปถามขณะที่เชลนโดดลงจากหัวตนเพราะโดนสตีเวนซ์สั่ง
“มาก” ชิโกะตอบกลับทันควันแบบไม่คิดจะถนอมน้ำใจสักนิด
“อย่าสนใจชิโกะเลยครับ” มิโดริมะมองคนขาวที่ดูท่าอยากเอาดาบออกฟาดหัวสาวเจ้าถอนหายใจออกมานิดๆ
“ไม่งั้นโดนแกล้งกลับขึ้นมาช่วยไม่ได้นะครับ” อาคาชิเอ่ยต่อ...เขามั่นใจเลยว่าถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ สุดท้ายคนถูกแกล้งไม่ใช่ใครหรอก นายซาปนี่แหละ
“...” ซาปเบ้หน้าน้อยๆ “แล้วนี่พวกนายจะอยู่ที่นี่กี่วัน?”
“ไม่รู้ หลุมมิติโผล่มาเมื่อไหนก็เมื่อนั้นแหละ” ชิโกะเป็นคนตอบแทนเหล่าเด็กหนุ่ม
“ช่วยทุกข์ร้อนสักนิด ให้เหมือนคนที่ถูกบังคับหน่อยเถอะ” ซาปกรอกตาไปมา
“เรื่องสิ” ชิโกะแลบลิ้นใส่ ทำให้ซาปเกิดเส้นกระตุกยกเท้าถีบไปหนึ่งที...ซึ่งแน่นอนว่าชิโกะตีลังกาหลบได้อย่างสวยงาม
“เฮ้อ...” เคลาส์ที่มองห่างๆ เริ่มเหนื่อยใจแทนซาปชอบกลแล้วสิงานนี้ “...ผู้หญิงคนนี้ไม่ทุกข์ร้อนของจริงหรือแค่ไม่แสดงออกกันแน่เนี่ย?”
“ไม่ทราบครับ...พวกผมเองก็ไม่เคยเดาชิโกะออกเหมือนกัน” อาคาชิส่ายหน้าวืด...ที่จริงถ้าเป็นคนอื่นต่อให้หน้าตายยังไงเขายังเดาท่าทีออกบ้าง แต่ชิโกะนี่เดาไม่เคยออกสักครั้ง คราวไหนเหมือนจะเดาทางถูกสาวเจ้าก็เปลี่ยนความคิดและการกระทำไวยิ่งกว่าสายลมจนเขาตามไม่ทันเลย
“แต่ก็ชินกับที่ยัยนี่เป็นแบบนี้แล้วแหละ” มายุสุมิที่โผล่มาในห้องเมื่อไหร่ไม่รู้เอ่ย ทำให้หลายๆ คนภายในห้องอดสะดุ้งโหยงน้อยๆ เสียมิได้
“เหรอ” เคลาส์พยักหน้ารับ ขณะเดียวกัน...เสียงอะไรสักอย่างระเบิดก็ดังขึ้น “ดูท่า...งานจะเข้าพวกเราอีกแล้วสิ”
“พวกเธอรออยู่นี่ เดี๋ยวพวกฉันขอไปทำงานก่อน...” สตีเวนซ์เอ่ยปานเป็นเจ้าของสำนักงานแทนเคลาส์ “...ไปกันเร็วทุกคน!”
“อื้ม / ครับ! / ค่ะ!” ทุกคนภายในหน่วยไอบร้าขานรับก่อนที่จะวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เหล่าเด็กหนุ่มบวกอีกหนึ่งหญิงสาวอยู่ภายในสำนักงานกันไป
“ช้ากันจังน้าาาา” ชิโกะลากเสียงยาวหลังจากรอเจ้าของสำนักงานกลับมานานสองนาน...นานเสียจนเจ้าตัวไล่แกล้งปลุกคนที่ตื่นสายจนหมดแล้ว แถมยังไล่แกล้งไล่ป่วนเสียงหมดทุกคนแล้วด้วยแต่คนที่ออกไปปานนี้ก็ยังไม่กลับมากันเลย
“นั้นสิเนอะ” อาโอเนะที่เป็นหนึ่งในคนโดนแกล้งเอ่ยเสียงแผ่ว
“ออกไปตามดูไหม?” ชิโกะเสนอความเห็นขึ้นมา
“แต่เคลาส์ซังบอกให้รอที่นี่นิ” ฟุคุอิเอ่ยแย้ง
“แล้วคิดว่าเราสน?” ชิโกะถามกลับพลางยักคิ้วกวนๆ
“บ้าๆ อย่างเธอคง...ไม่” เด็กหนุ่มทั้งหลายกล้าพูดเลยว่า...คนบ้าๆ อย่างชิโกะนั้นไม่มีทางสนใจคำห้ามหรืออะไรพวกนี้หรอก เว้นแต่เป็นเรื่องที่อันตรายหรือควรทำตามจริงๆ เท่านั้น
“ตามนั้นแหละ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ “ใครจะไปกับเราบ้าง?”
“ฉัน...จะได้ตามไปคุมไม่ให้เธอก่อเรื่อง” คาซามัตสึเอ่ยเสนอตัวเป็นคนแรก
“คาซามัตสึไปฉันก็ไป” อิมาโยชิแอบเนียนไปเกาะไหล่กัปตันแห่งทีมบาสไคโจว ก่อนที่จะได้ลูกถีบจากคนโดนเกาะกลับมา
“ขอไปด้วย เบื่อจะตายอยู่แล้ว” คิเสะที่ไม่อยากอยู่เฉยๆ แล้วตอนนี้เอ่ย
“เอาด้วยคนสิ” อาโอมิเนะที่มีอารมณ์ยามนี้ไม่ต่างจากคิเสะนักวาพลางหาวออกมาหวอดใหญ่ๆ
“งั้นเดี๋ยวพวกฉันอยู่เฝ้าที่นี่ให้แล้วกัน” เด็กหนุ่มคนอื่นๆ ที่ขี้เกียจออกไปข้างนอกบวกกับบางคนโดนบังคับให้อยู่ที่นี่กันออกไปก่อเรื่อง (?) เอ่ยขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
“ตกลงตามนี้ งั้นไปกันพวก!” ชิโกะรีบลากเด็กหนุ่มทั้งสี่ออกไปนอกสำนักงานอย่างรวดเร็ว ชายหญิงทั้งห้าเดินออกจากซอยเล็กๆ ที่เป็นที่ตั้งสำนักงานออกมายังถนนใหญ่...ที่ผู้คนต่างเดินไปมาอย่างวุ่นวายตามประสาคนในเมืองใหญ่เท่านั้น ไม่ได้มีท่าทีเหมือนวิ่งหนีอะไรสักอย่างหรือแววว่าเหตุร้ายยังคงอยู่เลย
“ดูตอนนี้เมืองก็สงบดี ทำไมพวกนั้นไปนานจังนะ?” อิมาโยชิถามขึ้นมาลอยๆ
“นั้นสินะ...ปกติแบบนี้คงมีใครสักคนกลับไปที่สำนักงานแล้วแท้ๆ” ชิโกะมองซ้ายมองขวาพลางเดินไปเรื่อยๆ จนสายตาหลังกรอบแว่นสะดุดเข้ากับบางอย่างเข้า “อ่ะ! ดูนั้นสิ!”
“นั้นมัน...” คาซามัตสึหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อมองไปทางเดียวกับที่สาวเจ้าชี้ “...เคลาส์ซัง? กำลังแงะอะไรอยู่น่ะ”
“เดี๋ยวก็รู้” ชิโกะว่าพร้อมกับ... “ทำอะไรกันอ่ะ?”
“เหวอ!” ...โดดไปโผล่กลางวงของพวกเคลาส์ด้วยความเร็วแสง ทำเอาทุกคนตกใจกันเป็นแถว “โผล่มาไงเนี่ย!?”
“เดินมาสิพวก ถามได้” ชิโกะตอบกลับอย่างกวนๆ “แล้วนี่เลโอ...ใส่หน้ากากทำไมอ่ะ?”
“ไม่ได้อยากใส่สักหน่อยครับ แต่มันเอาออกไม่ได้!” เลโอที่ยามนี้...สวมหน้ากากแบบเต็มหน้าสีขาวคล้ายๆ กับหน้ากากแฟนท่อมอยู่เอ่ย แถมเมื่อสังเกตดีๆ แล้วโดยรอบนอกจากเลโอแล้วยังมีคนที่สวมหน้ากากคล้ายๆ กันอีกหลายคน
“หน้ากากนี่มันเกี่ยวกับงานพวกคุณเหรอครับคราวนี้?” พวกคาซามัคสึที่วิ่งตามชิโกะมาเอ่ยถาม
“อื้ม” เคลาส์เมื่อเจอการถามแบบปกติ (?) ก็ตอบรับไปโดยง่าย “คราวนี้คนที่ทำระเบิด...คนที่ก่อความวุ่นวายในเมืองคราวนี้เล่นสร้างระเบิดแล้วไล่เอาหน้ากากแปะหน้าชาวบ้านไปทั่วแล้วดึงไม่ออกกันเนี่ยแหละ
“จะแปะหน้าชาวบ้านเพื่อ?” อาโอมิเนะไม่เข้าใจจริงๆ กับคนที่ยอมเป็นคนร้ายเพื่อแค่แปะหน้ากากใส่ชาวบ้านเนี่ย...สู้ตั้งชมรมคนชอบหน้ากากหรืออะไรแบบนี้แล้วชวนกันใส่เองไม่ง่ายกว่าเหรอ?
“ไม่รู้ ถามไอ้ตัวตนเหตุเองเถอะ” เคลาส์บู้ใบ้ไปยังจุดๆ หนึ่ง
“...เละขนาดนี้ยังพูดได้เหรอครับ?” คาซามัตสึมองจุดที่ชายหนุ่มชี้ไปและ...เห็นร่างที่คล้ายหุ่นในละครเชิงหุ่นซึ่งเหมือนกลายร่างเป็นหมึกบด (?) นอนแผ่อยู่กับพื้น
“ถ้ายังไม่ตายก็พูดได้แหละ” ซาปเอ่ยเขย่าตัวซาก (?) ไปพร้อมส่งสีหน้าประมาณว่า...กูนี่แหละเป็นคนตื้บมันให้คาซามัตสึ “เอ้า! นี่นาย! บอกสิว่านายเอาหน้ากากมาไล่แปะชาวบ้านทำไม!? และบอกวิธีเอาออกด้วย!”
“วิธีแก้ไม่มีหรอกเฟ้ย!” ร่างหมึกบด (?) ตะโกนเสียงดังลั่น “ยังไงไม่ว่าใครก็ใส่หน้ากากเข้าหากันอยู่แล้วนี่เนอะ ใส่ไปแล้วจะเป็นไรล่ะ?”
“หมายความว่าไง?” ซาปขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ไม่มีอะไร แค่...” เจ้าหมึกบด (?) เอ่ยด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อนอะไร “...อยากสร้างเมืองที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครแค่นั้นแหละ”
“หมายถึงจะให้ทุกคนใส่หน้ากากจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครงั้นเหรอ?” สตีเวนซ์ที่เงียบมานานถามขึ้นต่อ
“ถูกต้อง” หุ่นกระบอกที่กลายสภาพเป็นหมึกบด (?) พยักหน้ารับ
“แล้วจะทำเพื่อ?” เลโอที่ดันดวงซวยโดนจับใสหน้ากากกรอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจไอ้ตัวที่เอาหน้ากากแปะหน้าตนแม้แต่น้อย
“เพื่อให้ทุกคนใส่หน้ากากเข้าหากันได้เต็มที่ไง” เจ้าหมึกแสยะยิ้ม “ยังไงเสียไม่ว่าใครก็ใส่หน้ากากเข้าหากันอยู่แล้ว งั้นก็ใส่หน้ากากจริงๆ ไปเลยจะเป็นไร”
“เหตุผลง่าวซะมัก” อาโอมิเนะพอฟังแบบนี้แล้วก็อดพูดเช่นนี้ไม่ได้...ก็เขาเป็นพวกทำอะไรตรงๆ ไปเลยนี่หว่า ไอ้การทำแบบนี้มันเลยฟังดูงี่เง่าชะมัด
“ก็มันจริงนี่เฟ้ย!” เจ้าหุ่นกระบอกเถียงกลับ “คิดดูสิ ถ้าใส่หน้ากากจะเบ้หน้าหรือทำหน้าไม่พอใจก็ไม่มีใครรู้ แอบยิ้มในงานศพก็ไม่มีใครว่าไม่ดีหรือไง?”
“ไม่ดีเฟ้ย!” คราวนี้หลายๆ เสียงตอบกลับเป็นเสียงเดียวก่อนที่พร้อมใจกันขนลุกซู่ขึ้นมาเมื่อ...
“เห๋~~~ คิดงั้นเหรอ?” ...เสียงหวานๆ ฟังดูน่าขนลุกดังขึ้นทำให้ทุกชีวิตบริเวณนี้สะดุ้งเฮือกกันอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศโดยรอบเริ่มขุ่นมัวจนรู้สึกอึกอัด...ส่วนตัวต้นเหตุของบรรยากาศตอนนี้หัวเราะในลำคอเบาๆ ริมฝีปากเริ่มแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัวต่างจากยามปกติที่ดูราเริงและไม่จริงจังตลอด “ผู้คนที่ใส่หน้ากากแล้วทำหน้าที่ไม่ต่างจากหุ่นเชิงน่ะเหรอ? น่าขำเนอะ”
“เออ...ชิโกจจิ? เป็นอะไรไปน่ะ?” คิเสะเอ่ยถามสาวเจ้าที่เปลี่ยนไปราวเป็นคนล่ะคนอย่างหวั่นๆ
“เปล่านิ แต่ได้ยินเรื่องน่าหัวเสียนิดหน่อยเอง” ชิโกะตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉย
...ไม่หน่อยล่ะมั้ง!...
หนุ่มๆ ที่รู้จักกับสาวเจ้าต่างกรีดร้องกับเหตุการณ์นี้ที่จากหญิงสาวที่บ้าๆ กลายเป็นคนที่ราวกับฆาตกรโรคจิตในชั่วพริบตา แม้บนดวงหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มดังเดิมแต่รอยยิ้มนั้น...ต่างจากทุกทีอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งท่าทางด้วย...
...ท่าทางที่ราวกับ...คนตรงหน้านี้ไม่ใช่ชิโกะ อาคากิที่รู้จักกันอีกต่อไป
“นี่นาย...” ชิโกะเอ่ยเรียกเจ้าหุ่นกระบอกเสียงเย็นอย่างน่ากลัว “บอกว่าทุกคนต้องใสหน้ากากใส่กันใช่ไหม? แล้วรู้หรือเปล่า? ว่า...ไอ้หน้ากากง่าวๆ นั้นน่ะมันโคตรนาอึดอัดเลย”
“เออ...ชิโกะ...” อิมาโยชิพยายามเรียกดึงสติสาวเจ้ากลัวมา หากแต่...ดูท่าเสียงนั้นจะไม่เข้าสู้โซนประสาทของชิโกะ อาคากิเลยแม้แต่น้อย
“และหน้ากากที่ว่านั้น...เราฉีกมันทิ้งไปนานแล้วด้วย อย่าให้เราห้วนนึกถึงอดีตที่น่าหงุดหงิดแบบนั้นสิ” ชิโกะสะบัดมือน้อยๆ “ไอ้หน้ากากพรรค์นี้น่ะ...”
“เฮ้ย!!?” เสียวของคนหลายๆ คนดังขึ้นเมื่อหน้ากากที่ก่อนหน้านี้พยายามแงะออกแทบตายหลุดร่วงออกมาอย่างง่ายดาย และตกลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ
“...หายไปให้หมดยังดีซะกว่า” ชิโกะยิ้มเย็นยะเยือก
“อ...อ...” เจ้าหุ่นกระบอกเริ่มตัวสั่นงกๆ ด้วยความหนาวเย็นนั้นทำให้ขนลุกซู่ตั้งแต่ร่างกายไปถึงวิญญาณ
“แล้วนายล่ะ? อยากหายไปพร้อมหน้ากากพวกนี้ไหม?” ชิโกะถามพร้อมเตรียมที่จะทำอะไรบางอย่างใส่เจ้าหุ่นกระบอก
“เฮ้ย! พอแล้วยัยชิโกะ!!!” อาโอมิเนะรีบเข้าไปล็อกแขนสาวเจ้าไว้ก่อนที่เรื่องจะใหญ่ไปกว่านี้
“ใช่! พอเถอะ!” คิเสะเอาตัวไปขวางระหว่างชิโกะกับเจ้าหุ่นกระบอกไว้...เขายังไม่อยากให้เพื่อนตนฆ่าใครเพราะเรื่องแบบนี้หรอกนะ!
“ฆ่าคนผิดกฎหมายนะเฮ้ย!” คาซามัตสึเข้ามาเกาะแขนซ้ายชิโกะไว้
“เย็นไว้ก่อน เย็นไว้!” อิมาโยชิโดมาเกาะแขนอีกข้างของสาวเจ้า
“...” ชิโกะนิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไร หากแต่แววตานั้น...ยังคงไม่กลับมาเป็นชิโกะ อาคากิคนเดิม
“ชิโกจจิ!” คิเสะที่เห็นว่าสาวเจ้าคงไม่ยอมหยุดง่ายๆ จึงใช้มาตรการสุดท้าย...ที่รับรองว่าทำให้รายนี้ฟังพวกตนขึ้นมาแน่ “ถ้าหยุดฉันจะถ่ายคลิปตัวเองทำกับอาโอมิเนจจิให้ดู!”
“จริงดิ!?” พอได้ยินแบบนี้ต่อมบ้า (?) ของชิโกะก็เริ่มทำงานอีกระรอบ บรรยากาศขุ่นมัวก่อนหน้าหายวับไปกับตา
“ใช่ๆๆ” อาโอมิเนะรีบยืนยันเพื่อกระตุกต่อมบ้าให้ทำงาน (?)
“ขอแถมสองหน่อนี่ด้วยได้เปล่า?” ชิโกะถามกลับอย่างรื่นเริงเช่นปกติ
“เดี๋ยวเก...” คาซามัตสึทำท่าจะโวย หากแต่...
“ได้ตามขอเลย” ...กลับโดนอิมาโยชิเอามือปิดปากไว้แล้วเอ่ยหน้าตาย...ตอนนี้อะไรที่ทำให้ชิโกะกลับมาเหมือนเดิมเขาทำหมดแหละ! บ้าๆ ยังดีกว่าหลอนอย่างเมื่อกี้ล่ะวะ!
“แจ๋วเลย!” ชิโกะหัวเราะร่าอย่างไม่เกรงใจตามประสา ทำให้หลายๆ คนถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก
“กลับโหมดเดิมแล้ว” สตีเวนซ์ปาดเหงื่อนิดๆ หลังเกร็งกับอารมณ์ของสาวเจ้าเมื่อครู่...ซึ่งถ้าต้องสู้กันจริงๆ ขึ้นมาตามสันชาติญาณของเขาบอกได้เลยว่าอาจสู้ไม่ได้
“บางที...บ้าๆ แบบนี้แหละดีแล้วสำหรับรายนี้น่ะ” ซาปที่แทบต้องใช้ดาบตัวเองต่างไม้เท้าถอนหายใจอย่างโล่งอก
“นั้นสินะ” เคลาส์ถึงแม้ปกติไม่นินทาว่าร้ายใคร แต่งานนี้อดเห็นด้วยไม่ได้จริงๆ พลางนึกอิจฉาเชลนที่ไปทำงานอีกจุดหนึ่งแทนจริงๆ ที่ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้
“ไอ้เมื่อกี้สยองโคตรเลยครับ” เลโอเอ่ยขณะที่เจ้าลิงน้อยสีขาวค่อยๆ โผล่หัวออกมาจากเสื้อตน “คนบ้าเวลาโกรธน่ากลัวจริง”
“เห็นด้วยเลย” สามหนุ่มขานรับอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของเลโออย่างพร้อมเพรียง
“เออ...ขอโทษนะครับ” อิมาโยชิที่ลอย (?) มาหาเคลาส์เอ่ยแทรกบทสนทนาของเหลาคนในองค์กรไอบร้า
“มีอะไร?” เคลาส์ถาม
“แถวนี้มีม่านรูดไหมครับ?” อิมาโยชิถามกลับหน้าตาย
“ห๊า?” เคลาส์หลุดร้องออกมาอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมบอกไปแต่โดยดีแม้ไม่รู้จะถามไปทำไม...และจากนั้นอิมาโยชิก็เอ่ยขอบคุณก็ลากคาซามัตสึแยกตัวออกจากกลุ่มไปอย่างรวดเร็ว ทางอาโอมิเนะก็ลากคิเสะเช่นเดียวกัน ทิ้งให้ชายหนุ่มสามบวกเด็กหนุ่มหนึ่งยืนงงกันไป ส่วนชิโกะก็ถึงกับหลุดก๊ากอีกรอบกับสีหน้าของแต่ล่ะคนโดยไม่คิดอธิบายอะไทั้งสิ้น...
...ทางพวกเคลาส์กว่าที่จะรู้สาเหตุที่อิมาโยชินึกคึกถามหาม่านรูดก็คือเมื่อถึงยามเย็นที่พวกอิมาโยชิกลับมาแล้วและมีเด็กหนุ่มสองคนเนื่องจากปวดเอวนั้นเอง
“นี่ชิโกะ...” วันถัดมาที่แสนจะสดใส หญิงสาวผมออกน้ำตาลที่ตื่นมาอย่างชื่นมืนเนื่องจากได้ดูคลิปเด็ด (?) เมื่อคืนพอทำกิจวัตรยามเช้าของตัวเองเสร็จและเดินเข้ามาภายในสำนักงานเจ้าตัวก็โดนเด็กหนุ่มผมแดงเอ่ยเรียกขึ้นมาทันที
“ว่า?” ชิโกะถามกลับ
“ได้ยินว่าเธอคลั่งมาเหรอ?” อาคาชิถาม...ก่อนหน้านี่เขาไปถามเรียวตะว่าทำไมถึงยอมโดนไดกิกดง่ายๆ ทั้งที่เป็นโลกแบบนี้ และได้คำตอบว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนระงับอาการคลั่งของชิโกะ...
...และพอมาพูดมาถึงตรงนี้เหล่าคนในสำนักงานที่พบเจอเหตุการณ์นี้เมื่อวานก็พากันโอดครวญใส่เขาด้วยสีหน้าเหมือนสยองสุดแสน...ซึ่งพอฟังๆ แล้วเขาก็อดสยองตามเสียไม่ได้
“หื้อ? เปล่านิ...มีแค่โมโหนิดหน่อย” ชิโกะตอบกลับหน้าตาเฉย
“สาบานว่านั้นนิดหน่อย!?” ซาปโวยขึ้นมา “นี่เธอเล่นซะขนาดพวกฉันที่เจอเรื่องอันตรายมาเยอะยังกลัวเลยนะเว้ย!!!”
“งั้นเหรอ” ชิโกะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“จะว่าไป...ทำไมเธอถึงโกรธไอ้หมึดบด (?) นั้นล่ะ?” เลโอที่อยากรู้ประเด็นสำคัญมากกว่าฟังซาปบ่นถาม
“ก็พูดจาน่าโมโหก่อนนิ” ชิโกะทำแก้มป่อง
“ถ้าบอกว่าพูดจากวนตรีน ฮานามิยะมันยังกวนกว่าอีกนะ” คาซามัตสึซวยต้องโดนคนหน้าจิ้งจอกบางคนกดเมื่อวานถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไหงมาพาดพิงผมล่ะครับ!?” ฮานามิยะโวยเล็กน้อย
“นายเข้าข่ายสุดวะ” คาซามัตสึตอบกลับไปแบบไม่คิดถนอมน้ำใจแม้แต่น้อย
“ตกลงมันน่าโมโหตรงไหนเหรอ?” เลโอเมินการเถียงกันของเด็กหนุ่มทั้งสองแล้วถามต่อ
“คงเพราะเมื่อก่อนเราถูกกดดันจากระเบียบสังคมมากไปมั้งเลยอคติไปนิดน่ะ” ชิโกะทำท่าเหมือนจะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่ตนโกรธมาจากเหตุนี้หรือเปล่า
“ถูกกดดัน?” แต่ล่ะคนในห้องทวนอย่างไม่เข้าใจ...บ้าๆ แบบนี้เคยโดนกดดันกับเขาด้วยเหรอ?
“อื้ม เมื่อก่อนสมัยม.ต้นโรงเรียนระเบียบโคตรเคร่ง ชนิดแค่กระดิกนิดก็อาจผิดแล้วอะไรแบบนี้แหละ” ชิโกะทำหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “บางทีก็โดนเพื่อนแกล้งบ้าง โดนขโมยของหรือรื้อกระเป๋าจนเราต้องหากุญแจมาล็อกบ้าง แต่ไปบอกครูก็ไม่ได้เพราะครูไม่ดูใครผิดหรือถูกลงโทษมันหมดเลย อธิบายอะไรก็ไม่ฟัง เราเลยเลือกอยู่เงียบๆ ไม่พูดไม่แสดงท่าทางอะไรเรียนไปเรื่อยๆ จนจบนั้นแหละ”
“และพอหลุดจากม.ต้นเธอก็บ้าออกทันที?” อาคาชิเอ่ยต่อ...เขาเริ่มเดาที่รายนี้น็อกหลุดได้แล้วสิ สงสัยเครียดมากไปแหงกับเรื่องนี้
“ก็มันเก็บกดนี่หว่า พอม.ปลายเราเลยเลือกสายอื่น...คราวนี้ระเบียบอยู่ในระดับพอประมาณก็เลยโอเคอยู่ เราเลยเริ่มทำตามสิ่งที่เราอยากเป็นขึ้นมาแล้วจากนั้นไปๆ มาๆ ก็เป็นงี้แหละ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ
“...ไอ้หมึกบดนั้นซวยชะมัด” พอฟังจบเลโอก็อดเอ่ยเช่นนี้ออกมาเสียมิได้
“นั้นสินะ” ซาปพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“แต่ยังดีที่ไม่ทำใครตายจริงๆ ล่ะนะ” เคลาส์รู้สึกวาโชคดีจริงๆ ที่มีคนห้ามสาวเจ้าไว้ได้ก่อนที่เรื่องจะใหญ่โตไปกว่านั้น
“นี่ๆ เองเมื่อวานน่ากลัวมากเหรอ?” ทาคาโอะหันไปถามคาซามัตสึที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานและน่าจะเป็นคนที่คุยด้วยง่ายที่สุด
“จะว่าไงดีล่ะ...” คาซามัตสึเกาหัวแบบไม่รู้จะอธิบายความสยองที่ตนประสบพบเจอมาอย่างไรดี “...ชนิดที่ว่าผียังอายแล้วกัน”
“อย่าให้พูดถึงอีกเลยจะดีกว่านะ” ซาปเบ้หน้าน้อยๆ
“ทำไมอ่ะครับ?” ทาคาโอะเปลี่ยนเป้าหมายจากคาซามัตสึเป็นชายหนุ่มผมขาวแทน
“เพราะมันน่ากลัวสุดๆ น่ะสิ...น่ากลัวมากชนิดที่ทำเอาขนลุกเหมือนโดนจับแช่ช่องแช่แข็งเลย” ซาปเอ่ยความรู้สึกที่น่าจะใกล้เคียงที่สุดให้เด็กหนุ่มฟัง
“น่ากลัวยิ่งกว่าอาคาชิโยนกรรไดรบิน (?) ซะอีก” อาโอมิเนะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“พูดแบบนี้นายอยากโดนกรรไกรบินสินะ?” อาคาชิที่โดนพาดพิงชักกรรไกรออกมาเตรียมที่จะปาหัวใครบางคน
“ไม่เอาเฟ้ย!” อาโอมิเนะรีบหาที่หลบโดยเร็วก่อนที่จะมีอะไรลอยมาปักหัวจริงๆ
“เล่นอะไรอ่ะ เราร่วมวงด้วยสิ” ชิโกะพอเห็นเรื่องน่าสนุกก็กระโจนร่วมวงทันที
“อย่าก่อความวุ่นวายในสำนักงานคนอื่นเพิ่มเซ่!” ซาปโวยเล็กน้อย
“ไม่สนหรอก” ชิโกะแล่บลิ้นใส่
“...เฮฮาแบบนี้คงดีกว่าเมื่อวานจริงๆ นะครับ” เลโอมองสาวเจ้าที่เริ่มป่วนไปทั่วห้องพลางยิ้มแห้งๆ ออกมา
“นั้นสินะ” สตีเวนซ์พยักหน้ารับ “ที่เขาว่าคนบ้าเวลาโกรธน่ากลัวท่าจะจริงแฮะ”
“ต้องเป็นคนใจดีเวลาโกรธครับ” เลโอแก้คำพูดของอีกฝ่าย
“คล้ายๆ กันน่า” สตีเวนซ์เอ่ยยิ้มๆ “คนใจดีกับคนบ้าชอบยิ้มเหมือนกัน เพราะงั้นเหมาๆ รวมไปได้อยู่”
“...” ...ผมว่ามันคนล่ะทางกันเลยนะครับ!
“จีบอะไรตรงนี้จ๊ะ ทั้งสองคน?” ระหว่างที่สองหนุ่มกำลังคุยกันเล่นๆ ไปอยู่นั้นสาวเจ้าผมสีออกน้ำตาลก็เกิดป่วนเพื่อนตัวเองกับซาปจนเบื่อแล้วหรือไรก็ไม่ทราบโผล่ขึ้นมากลางวงของทั้งสอง ทำเอาทั้งเลโอทั้งสตีเวนซ์อดสะดุ้งโหยงไม่ได้
“ไม่ได้จีบกันครับ อย่าพูดให้ผมเสียหายสิ!” เลโอโวยขึ้นมาเล็กน้อย...ถ้ามีคนเข้าใจผิดเรื่องพวกเขาจะทำไง!?
“ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อยนิ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ
“เสียสิครับ!” เลโอเถียงกลับ
“เอ้าๆ อย่าเพิ่งแกล้งคนสิ...” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ กับคนที่เปลี่ยนเป้าหมายในการแกล้งได้เร็วเหลือหลาย
“ฉันว่าอย่างยัยนี่ห้ามไปก็เท่านั้นนะ” คางามิส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ
“แหม รู้ใจกันจัง” ชิโกะยิ้มอย่างร่าเริง
“ก็รู้ๆ กันอยู่” คางามิถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ฉันว่าเลิกป่วนแล้วหาอะไรอย่างอื่นเล่นดีกว่ามั้ง” มุราซากิบาระที่บทหายมานาน (?) เอ่ยขึ้นมาอย่างเบื่อๆ
“ก็ได้ เสนอมาสิ” ชิโกะที่เริ่มอยากเล่นอย่างอื่นเหมือนกันตอบกลับไป
“ให้ฉันคิดเหรอ?” มุราซากิบาระเอียงคอน้อยๆ “งั้นเล่าเรื่องสยองขวัญเหมือนเดิมก็แล้วกัน...ง่ายดี ชิโกะจินเล่าดีด้วย”
“ไม่เอานะเฮ้ย!” คางามิเอ่ยแย้ง “ยัยนี่เล่าแต่ล่ะเรื่องสยองจะตายชัก!”
“ที่น่ากลัวกว่าคือทุกเรื่องที่ยัยนี่เล่าคือเรื่องที่เคยเจอ” อาโอมิเนะทำหน้าประมาณว่าอยากให้เปลี่ยนเล่นอย่างอื่นแทนเอ่ย
“งั้นเหรอ? แบบนี้ชักอยากฟังแฮะ ขอร่วมวงด้วยสิ” ซาปส่งสีหน้าอยากรู้อยากเห็นมาให้
“จะไม่ไปทำงานหรือไงไอ้คุณซาป” เลโอถามคนผมขาว
“ตอนนี้ยังไม่มีงานไม่เป็นไรหรอกน่า” ซาปยักไหล่น้อยๆ
“งั้นสิ...ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วขอร่วมวงด้วยแล้วกัน” สตีเวนซ์ที่ปกติเอางานเอาการดีในคราวนี้ก็นึกคึกหรืออย่างไรไม่ทราบเข้าร่วมวงกะเขาด้วย
...เชื้อบ้าแพร่ไปทั่วสำนักงานแล้วสินะ...
เลโอถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางมองเหล่าหนุ่มสาวที่เริ่มล้อมวงเล่าเรื่องสยองขวัญกัน...และในเวลาต่อมาเจ้าตัวก็เลือกที่จะเผ่นออกจากสำนักงานเนื่องจากแต่ล่ะเรื่องที่ชิโกะเล่านั้นล้วนสยองเกินรับนั้นเอง
“หาว...” ในเช้าวันที่สี่ของการมาอยู่ในโลกนี้ของชิโกะ เสียงหาวเบาๆ ดังขึ้นมาจากเหล่าเด็กหนุ่มบวกชายหนุ่มอีกสองคนอย่างพร้อมเพรียง
“ง่วงหรือพวก?” หญิงสาวที่ดูราเริงอยู่คนเดียวเอ่ยอย่างเริงร่า
“แหงล่ะ...เล่นพอฟังเรื่องเล่าของเธอแล้วนอนไม่หลับกันเป็นแถวนิ” เคลาส์ที่เป็นหนึ่งในคนอดนอนเอ่ย...ถึงเขาไม่ได้ร่วมวงด้วย แต่เพราะต้องทำงานภายในห้องที่พวกนี่เล่นเล่าเรื่องสยองขวัญทำให้ต้องฟังเรื่องเล่าต่างๆ ไปอย่างช่วยไม่ได้
“แต่ล่ะเรื่องที่เล่านี่ทำเอาเธอเป็นนักล่าผีได้แล้ว” สตีเวนซ์ที่ยังดูปกติดี...ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องเล่าเหล่านั้นแม้แต่น้อย
“ไม่เอา เรากลัวผี” ชิโกะโบกมือไปมาเป็นเชิงว่าไม่เอาเด็ดๆ
“ไอ้ที่เธอเล่าก็เรื่องผีนะเฮ้ย” ซาปเอ่ยแย้ง
“แต่เราไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนเพราะงั้นไม่นับ” ชิโกะตอบหน้าตาเฉยพลางเงยหน้ามองนาฬิกาเหมือนรออะไรสักอย่าง
“ชิโกะ...มองนาฬิกาทำไมบ่อยๆ ล่ะวันนี้?” ฟุริฮาตะถามขึ้นเมื่อเห็นว่าชิโกะที่ไม่ค่อยสนใจเวลาเว้นแต่ยามที่นัดกับใครไว้นั้นมองนาฬิกาถี่กว่าปกติ
“รอหลุมมิติเปิด” ชิโกะตอบ
“ห๊า?” เหล่าเด็กหนุ่มหลุดร้องออกมาอยางพร้อมเพรียง
“ตามลางสังหรณ์เรามันน่าจะเปิดออกวันนี้แหละ” ชิโกะเอ่ยขณะที่...หลุดดำขนาดใหญ่เริ่มปรากฏขึ้นมาบนพื้นห้อง ทำให้เหล่าคนในสำนักงานต่างตื่นตนกไปชั่วขณะ “และ...มาแล้วจ้า!”
“มาปัจจุบันทันด่วนไปไหม!?” เหล่าหนุ่มๆ บาสโวยลั่นใส่หญิงสาวที่ยิ้มร่าอยู่
“ก็นะ” ชิโกะหัวเาะหึๆ “เอ้าๆ รีบลงไปก่อนถูกดูดไปแทนเถอะพวก”
“ไม่บอกก็รู้เฟ้ย!” เหล่าเด็กหนุ่มว่าพลางพากันโดดลงหลุดดำไป โดยก่อนโดดก็ไม่ลืมที่จะพูดทิ้งท้ายให้กับเหล่าคนในโลกนี้ “ขอบคุณสำหรับที่พักนะครับ!!!”
“ไปก่อนนะ...ไว้ว่างๆ เราจะมาแกล้งอีกนะ!” ชิโกะเอ่ยอย่างเริงร่า
“คนอื่นมาได้แต่เธออย่ากลับมาอีกเลยเถอะ!!!” เลโอที่รู้สึกเข็ดกับรายนี้ชอบกลสวนกลับไปทันควัน
“ไม่สนหรอกตัวเธอ! มาเมื่อไหร่จะมาแกล้งนายคนแรกเลย!” ชิโกะยักคิ้วกวนๆ ก่อนที่โดดหายเข้าไปหลุมดำอีกคน...จากนั้นเมื่อคนเข้าไปครบแล้วหลุมดำกลางห้องก็ค่อยๆ หดเล็กลงและหายไปในที่สุด
“...ไปแล้วสินะ?” สตีเวนซ์เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“คงงั้นแหละ” ซาปขานรับ
“ในที่สุดสำนักงานก็สงบสุขเสียทีสินะ” เคลาส์ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องกังวลแล้วว่าสำนักงานจะพัง (?) พร้อมขอให้เหล่าหนุ่มสาวเดินทางอย่างปลอดภัยในโลกต่อไป...และหวังว่าในโลกต่อไปที่พวกนั้นไปจะไม่ถูกทำให้ปั่นป่วนเท่าที่นี่นะ
TBC.
ช่วงตอบเม้นจ้า!
รินรดา เกียตริทนงค์ ซัง : เดี๋ยวก็รู้จ้า หุหุ
เนตรราชันย์มังกร ซาจิ ซัง : S // อย่า!!! , มิบุจิ // ดี เอามาเลยจ้า
อุ้มแอนมด ซัง : ตอนอ่านเม้นตอนแรกงงเลย เพราะในลิตท์ที่เราเขียนไว้นั้นกะไปป่วนเรื่องไททันอยู่แล้ว พอเลื่อนดู...ลืมพิมพิ์ชื่อเรื่องใส่ไป555
Lilina konome ซัง : แบ่งภาพให้เราด้วยจิ ตัวเธอ
กุหลาบสีดำ นิรนามทมิฬ ซัง : ทำแล้วไม่ได้ผลจ้า
ตรง ปล. อย่างน้องคุริจังก็โผล่หน่องนึงน้า
ตรง ปลล. แน่นอน ไม่มีพลาดจ้า
ตรง ปลลล. แหม ก็เราลงมือมันส์ไปหน่อยอ่ะ
ความคิดเห็น