คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #217 : [???] ไวรัส 6
Title : ไวรัส 6
Fandom : Kuroko no Basket , Bungou Stray Dogs
Paring : All + Shiko
Notes : หมดมุขจ้า เลยขอเขียนเรื่องยาวอีกแล้ว555 มีความมั่วความมึนความงงเหมือนเดิม กรุณาทำใจก่อนอ่านและขอลงวันนี้แทนเนื่องจากวันศุกร์ไม่ว่างจ้า ไม่ว่ากันเนอะ
ปล. ในคราวนี้พวกหนุ่มบาสอาจกลายเป็นตัวปลากรอบ (?)
ปลล. ในคราวนี้จะมีเรื่องอื่นมาแจมเยอะพอดูและคงอธิบายรายละเอียดตัวละครต่างๆ ไม่ละเอียดนัก (ขอโทษด้วยนะ ไม่รุ้จะบรรยายไงอ่ะ) เพราะงั้นควรไปศึกษาตัวละครและเรื่องย่อคราวๆ ของเรื่องพวกนี้ก่อนอ่านด้วยจ้า จะเอามาเขียนตามลำดับเลย
- Touken Ranbu (ผ่านมาแล้ว)
- Kekkai Sensen (ผ่านมาแล้ว)
- Gokuto Jihen (เป็นเกมRPG สยองขวัญ มีเป็นมังงะ) (ผ่านมาแล้ว)
- Attack on Titan (ผ่านมาแล้ว)
- Durarara!!! (ผ่านมาแล้ว)
- Bungou Stray Dogs (ในตอนนี้)
- Servamp
.....................................................................................
ไวรัส 6
“ชะแว๊กกกกก” ณ บริเวณอาคารร้างซึ่งไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดได้เกิดสิ่งที่รูปร่างหน้าตาคล้ายหลุมดำขึ้นที่กลางอากาศและคายร่างของมนุษย์จำนวนหนึ่งออกมา...ในความสูงร่วมสองเมตรทำให้แต่ล่ะชีวิตที่หลุดออกมาจากหลุมดำนั้นหลุดเสียงร้องดังสนั่น ก่อนที่เจ้าหลุมดำจะหดตัวเองหายไปราวกับว่าได้ชมการกรีดร้องของชาวบ้านจนพอใจแล้ว (?)
“ลงดีๆ สักครั้งมันไม่ได้เลยสินะ?” เด็กหนุ่มผมสีทองหม่นกัดฟันกรอดพูดออกมาอย่างหัวเสียกับการลงแต่ล่ะทีที่ไม่เคยจะดีเลยสักครั้ง
“คงงั้นน่อ” เด็กหนุ่มชาวจีนเอ่ยเสียงแผ่วด้วยความจุกจากการลงเมื่อครู่
“ว่าแต่ที่นี่?” คนผมแดงซึ่งฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนอื่นมองไปรอบๆ
“เดี๋ยวเราเช็คแป๊บ” สาวเจ้าเพียงคนเดียวในกลุ่มหยิบมือถือของตนออกมาพลางเปิดดูข้อมูลอะไรบางอย่างสักพักก่อนที่จะ...ฉีกยิ้มร่าออกมา “หึๆ คราวลงมาในที่ที่ดีพอดูแฮะ”
“ทำไมคำพูดกับท่าทางเธอดูไม่น่าไว้ใจเลยเนี่ย?” ฟุคุอิพอเห็นสีหน้าของสาวเจ้าถึงถอยไปวูบหนึ่ง
“ก็นะ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ ก่อนเก็บมือถือไป “เอ้า เรารีบไปกันเถอะ”
“ไปไหน?” เหล่าหนุ่มบาสทั้งหลายถาม
“บุกรังมาเฟีย...” ชิโกะตอบง่ายๆ สั้นๆ หากแต่สร้างความเหวอให้ชาวบ้านได้เป็นอย่างดี
“ห๊า!!?” เหล่าเด็กหนุ่มหลุดอุทานออกมาเสียงดังลั่น
“นี่เธอจะบ้าเหรอชิโกะ!?” ฟุคุอิแว๊ดใส่คนที่คิดพิเรนท์
“ไม่ใช่จะ เราบ้าอยู่แล้วต่างหาก” ชิโกะยักคิ้วกวนๆ “อย่าทำหน้าเหมือนจะขบหัวเราสิตัวเธอ”
“ก็มันสมควรไหมฟะ!!? คิดบ้าอะไรจะไปบุกรังมาเฟียเนี่ย!?” ฟุคุอิถาม
“ก็ไม่คิดอะไร แค่อยากแกล้งคน...” ชิโกะหัวเราะหึๆ ในลำคอ “...เอาเป็นว่าตามมาเดี๋ยวรู้เองแกละ”
“เออๆ” เหล่าหนุ่มบาสที่รู้ดีว่าท่าทางของสาวเจ้าในยามนี้หมายถึงว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์กรอกตาไปมา ทางชิโกะเมื่อได้คำตอบแบบนี้ก็ทำการเดินนำเด็กหนุ่มออกจากตัวอาคารร้างแล้วเดินเลาะตามเส้นทางที่เปล่าเปลี่ยวเสียจนน่ากลัวไปจนมาถึงยังที่แห่งหนึ่ง...
“ที่นี่...ท่าเรือ?” ...ซึ่งก็คือท่าเรือที่ดูรกร้างแห่งหนึ่งนั้นเอง
“ก็อย่างที่เห็น” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ ก่อนที่จะเดินเปิดประตูโกดังของท่าเรือแห่งนี้บานหนึ่งออกและทันทีที่เปิดนั้น...สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เหล่าเด็กหนุ่มหน้ามืดไปชั่วขณะ “โอ๊ะโอ๋? เจอแจ๊คพ็อกแฮะ อยู่กันตรึมเลย”
“ยังมาทำเป็นเล่นอีกยัยบ้า!!!” ฟุคุอิแว๊ดลั่น...ก็จะไม่ให้แว๊ดยังไงในเมื่อพอเปิดประตูมาก็เจอคนจำนวนมากภายในโกดังหันมาพร้อมเล็งปืนใส่เนี่ย!
“เอาไงดี?” อาคาชิถามิย่างใจเย็น...เขาไม่คิดว่าอย่างชิโกะจะบุกมาเล่นๆ จริงๆ หรอกถ้าหากคำนึงถึงคำพูดก่อนที่จะมาก่อนหน้านี้ของชิโกะแล้ว
“ไม่ต้องเอาไงหรอก เพราะ...” ชิโกะเอ่ย พร้อมกันนั้นเอง...
“หยุดก่อน!” ...ก็มีชายหนุ่มผมสีน้ำตาลส้มยักศกเล็กน้อยคนหนึ่งพุ่งพรวดออกมาห้าม ดวงตาสีน้ำเงินจับจ้องยังกลุ่มสาวเจ้าอย่างไม่วางตา
“...มีคนห้ามให้แล้วไง” ชิโกะส่งยิ้มให้ผู้มาใหม่
“ถ้าฉันไม่ห้ามเธอก็สร้างความเสื่อมโดยทั่วหน้าสิยัยบ้า!!!” คนผมน้ำตาลส้มแว๊ดใส่สาวเจ้าลั่น “แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้!? ปกติเธอไม่ค่อยโผล่มาป่วนฉันเป็นตัวเป็นตนในที่คนมากๆ นิ!?”
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ ขอพักด้วยหน่อยดิ นากาฮาระ ชูยะคุง~~~~” สาวเจ้าลากเสียงยาวอย่างกวนบาทาสุดแสน
“ทำไมต้องเป็นฉันล่ะวะเฮ้ย!?” คนที่ถูกเรียกว่าชูยะถามกลับ
“เพราะตอนนี้สำนักงานนักสืบปิดแล้วไง เลยมาหานายแทน” ชิโกะตอบกลัยไป...เล่นซะทำเอาคู่สนทนาแทบอยากเอาหัวโข่งผนังตายอยู่ร่อมร่อ
“มาหาช่วงอื่นก็ไม่ได้เนอะ! ตอนนี้เวลางานฉันเฟ้ย!” ชูยะโวยลั่น “วันนี้ฉันมีเจรจากับพวก×××เฟ้ย! และเธอน่าจะรู้นะว่าการเจรจาของพวกฉันมันเป็นไงน่ะ!?”
“อ้าวเหรอ?” ชิโกะเกาหัวนิดๆ ขณะเดียวกันนั้น...
ปังๆๆๆๆๆ
“อา? ดูท่าคู่เจรจางานของนายมาแล้วแหละ” ...เสียงปืนก็ดังขึ้นมาทำให้สาวเจ้าต้องเสกของขึ้นมาป้องกันตัว ดวงตาหลังกรอบแว่นเหล่มองกลุ่มคนแปลกหน้าที่มาถึงก็สาดกระสุนใส่อย่างไม่สนใจใคร
“มาก็ยิงกันเลยเหรอ!?” หลายๆ คนภายในโกดังสะดุ้งโหยงก่อนจะนึกแปลกใจในเวลาต่อมาเมื่อไม่มีกระสุนนัดใดกระเด็นมาถูกตนเลย
“ไม่ต้องกลัวน่า เรากางบาเรียให้แล้ว” ชิโกะหันไปบอกคนในกลุ่มตนรวมทั้งพวกของทางชูยะด้วยท่าทางชิวล์ๆ “ว่าแต่ชูยะ...เราเล่นกับพวกนี่ได้ไหมอ่ะ?”
“...เชิญ อย่าแจกลูกหลงมาแล้วกัน ขี้เกียจตามเก็บ” ชูยะเอ่ยเป็นเชิงว่าให้สาวเจ้าทำตามใจเพียงอย่าเอาเรื่องลอยมาหาตนด้วยก็พอ
“ที่ว่าตามเก็บนี่หมายถึงลูกน้องตัวเองใช่ไหม?” ชิโกะถามกลับ
“เออดิ เธอแจกลูกหลงที่มันปกติสักที่ไหนล่ะ?” ชูยะที่รู้ว่าลูกหลงจากสาวเจ้าเป็นไงเอ่ย...รับรองว่าถ้าโดนลูกหลงขึ้นมาจริงๆ กู่ไม่กลับแน่ หมายถึงจิตใจอ่ะนะ
“ก็นะ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ “ฝากพวกนี่หน่อยนะชูยะ ถ้าหากพวกนี่บาดเจ็บเราแกล้งนายนะเออ”
“รู้แล้วๆ” ชูยะขานรับไปทำให้สาวเจ้าเมื่อได้รับคำตอบรีบกระโจนไปฟัดกับพวกที่สาดกระสุนใส่ตนทันที พอเห็นแบบนี่ชูยะก็หันไปคุยกับเหล่าเด็กหนุ่มแทน “...นี่พวกนายไหงมาอยู่กับยัยนี่ได้?”
“ว่าไงดีครับ...ถ้าอธิบายแบบที่คนรู้จักชิโกะมักพูดก็...” ฟุคุอินึกไปถึงโลกก่อนที่ไปลงไปโลกที่สาวเจ้าเคยไปป่วนมาก่อน...คำอธิบายง่ายสุดก็คงไม่พ้น... “...เป็นกลุ่มคนดวงซวยโดนชิโกะป่วนตั้งแต่เริ่มบ้ามาจนปานนี้มั้งครับ?”
...เรื่องที่เกี่ยวกับความบ้าของสาวเจ้านั้นเอง
“...พวกนายโชคร้ายมาก...ขนาดฉันโดนป่วนไม่กี่ครั้งยังอยากเอายัยนี่ฝังดินวันล่ะสิบรอบเลย” ชูยะเอ่ยอย่างเห็นใจเมื่อได้ฟังแบบนี้
“อย่าว่างั้นสิชูยะ~~” เสียงกวนๆ ลอยแว่วกลับมาทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบประโยค
“ยังได้ยินอีก!!!” ชูยะหันไปแว๊ดคนที่สู้กับชาวบ้านอยู่แต่ก็ไม่วายส่งเสียงมากวนตน ก่อนที่จะคิดกระตุกใรเวลาต่อมาเมื่อเห็นชัดๆ ว่าสาวเจ้าเสกอะไรออกมาใช้สู้ “แล้วนั้นเสกบ้าอะไรออกมาฟะ!?”
“ตั๊กแตนตำข้าวไง ไม่รู้จักเหรอ?” ชิโกะถามขณะควบคุมให้ตั๊กแตงคำข้าวขนาดเท่าม้าไล่จัดการพวกที่เล่นงานตนอยู่
“รู้จักน่ะรู้! แต่ไม่คิดว่าเธอจะบ้าเสกของแบบนี้ออกมาต่างหาก!” ชูยะคุมขมับกับของที่ไม่ปกติสุดแสนจากสาวเจ้า...ไอ้แบบนี้เอามาใช้ได้ด้วยเหรอ!?
“เหรออออ งั้นเปลี่ยนอย่างอื่นก็ได้” ชิโกะสะบับมือน้อยๆ แล้วตั๊กแตงยักษ์ก็หายไปและแทนที่ด้วย...
“คราวนี้จะจัดงานฮาโลวีนหรือไง!?” ...ฝนฟักทองห่าใหญ่เลย เล่นซะชูยะแทบหน้ามืดกับความปวดจิตของรายนี้จริงๆ ถ้าไม่ติดว่าสู้ไปยังไงยัยนี่ก็หาทางแก้แค้นได้เขาคงอัดหญิงสาวให้นอนยาวไปแล้ว จะได้ไม่ทำอะไรน่าปวดหัวแบบนี้อีก
“...เกิดอะไรขึ้นครับ?” ระหว่างที่กำลังปวดหัวกับสาวเจ้าอยู่นั่น...เด็กหนุ่มผมดำซึ่งมีปลายผมสีขาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจากด้านหลังโกดัง ดวงหน้าดูเรียบเฉยกวาดมองสถานการณ์ในตอนนี้อย่างงงๆ
“อา...มาแล้วเหรอาคุตางาวะ?” ชูยะหันไปมองผู้มาใหม่ “ดูท่าคราวนี้เราคงไม่ต้องทำงานแล้วล่ะ ยัยบ้าโผล่มาป่วนแล้ว”
“หมายถึง...คนคนนั้น?” อาคุตางาวะชักสีหน้าเล็กน้อยคล้ายกับว่าไม่อยากให้เป็นคนที่ตนกำลังคิดถึงในตอนนี้
“อื้ม” ชูยะพยักหน้ารับ ทำให้อาคุตางาวะแทบจะเฉาทันที...ดูท่าไม่อยากเจอชิโกะเท่าไหร่นัก
“แล้วพวกนี่ล่ะครับ?” อาคุตางาวะที่ทำใจกับการมาของสาวเจ้าผู้แสนปวดจิตได้อย่างรวดเร็วเหล่มองเหล่าเด็กหนุ่มแทน
“คนที่ยัยชิโกะพามา บอกว่าถ้าเราเผลอทำพวกนี่บาดเจ็บจะแกล้งคืนน่ะ” ชูยะตอบ
“...คำว่าแกล้งนี่รับรองว่าไม่ปกติแน่ใช่ไหมครับ?” อาคุตางาวะกล้าพนันเลยว่าคำว่าแกล้งที่ว่าเนี่ย...หาคำว่าปกติไม่เจอชัวท์
“จะเหลือหรือ?” ชูยะยักไหล่น้อยๆ พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ เช่นเดียวกับอาคุตางาวะที่ทำท่าปลงไม่ต่างกัน
“ดูท่าที่นี่ชิโกะก็เคยป่วนไม่ยั้งมาสินะ” ฟุคุอิกระซิบกับรุ่นน้องคนเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางของคนในโลกนี้ทั้งสอง...ดูปลงไม่ต่างจากพวกเขาเท่าไหร่นักเลย
“คงงั้นแหละน่อ” หลิวพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยพลางแอบไว้อาลัยให้แก่คนในโลกนี้ที่จะโดนสาวเจ้าป่วนไปทั่วอีกแน่นอนจนกว่าจะถึงเวลาที่หลุมมิติเปิดขึ้นมาอีกครั่ง
“แล้วสรุปว่า...งานที่เสร็จเร็วนี่เพราะนี่สินะ?” เสียงนิ่งๆ ดังออกจากปากชายวัยกลางคนผมดำที่นั่งอยู่ภายในห้องโถงซึ่งยามนี้มีเด็กหนุ่มจำนวนมาก ชายหนุ่มหนึ่งและหญิงสาวอีกหนึ่งยืนอยู่ ดวงตาดูชั่วร้าย (?) มองแต่ล่ะคนภายในห้องนิ่งๆ
“ถูกแล้วจ้า พ่อหมอโลลิค่อน” สาวเจ้ายักคิ้วกวนๆ ให้ผู้อาวุโสสูงสุดภายในห้อง
“เลิกเรียกแบบประหลาดๆ จะขอบคุณมากเลย” โยไก โมริบอสใหญ่สุดของกลุ่มมาเฟียแห่งนี้แยกเขี้ยวใส่สาวเจ้า
“แล้วเอลิสจังของนายไปไหนล่ะ?” ชิโกะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย
“เข้านอนไปแล้ว” โมริที่เกิดบ้าจี้หรืออย่างไรไม่ทราบตอบกลับไป
“เออ...บอส ผมว่าเข้าเรื่องเถอะ เดี๋ยวออกทะเลมากกว่านี้” ชูยะที่เห็นว่าหญิงสาวเพียงคนเดียวภายในห้องจะชักนำให้ชาวบ้านออกนอกเรื่องแล้วเอ่ย
“โอเคๆ” โมริขานรับไป “ตกลงเธอมาที่นี่ได้ไง?”
“ก็แบบ...” ชิโกะพอโดยถามก็อธิบายเรื่องทั้งหมดกับเหล่ามาเฟียที่ภายในห้องนี้มีอยู่แค่สามคนไป “...เรื่องทั้งหมดก็ประมาณนี้ล่ะนะ”
“ซวย” โมริพอฟังเรื่องทั้งหมดจนจบก็ถึงกับคุมขมับ
“ซวยโคตรๆ” ชูยะที่มีสภาพไม่ต่างกันไม่รู้จะว่าไงเลย...หลงมาเพราะเครื่องมือที่ใช้ติดไวรัสเนี่ยนะ? ไม่รู้จะว่าไงเลย
“แต่ที่ซวยกว่าคือพวกนี้มากกว่าครับ” อาคุตางาวะคิดว่าคนซวยจริงๆ น่าจะเป็นพวกที่ติดรากแห่มามากกว่า
“ก็จริง” ชูยะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“แหม อย่าว่างั้นกันสิ~~~ เดี๋ยวแกล้งซะหรอก...” ชิโกะฉีกยิ้มร่าแล้วทำท่าเหมือนเตรียมบริการแกล้งคนถึงที่ในเร็วๆ นี้
“อย่านะเฮ้ย!!!” ชูยะรีบลากอาคุตางาวะไปหลบหลังเสาทันที
“ชิโกะ...อย่าเพิ่งแกล้งคนสิ” ฟุริฮาตะที่ไม่อยากให้เกิดความซวยใดๆ ทั้งสิ้นเกิดขึ้นอีกรีบห้าม...ก่อนที่สาวเจ้าจะสร้างความวุ่นวายมากกว่านี้
“น่าๆ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ พลางหยิบมือถือตนออกมาเปิดดูอะไรสักอย่าง “อ๋อ จริงสิ อาคุตางาวะ...”
“มีอะไร?” อาคุตางาวะขานรับ
“...ถ้านายไปห้องทำงานของกลุ่มกิ้งก่าดำตอนนี้จะเจอภาพเด็ดๆ ด้วยนะ” ชิโกะยิ้มร่าอย่างไม่น่าไว้ใจ
“หื้อ?” อาคุตางาวะเลิกคิ้วอันน้อยนิด (เอาดีๆ สิ! // อาคุตางาวะ) ขึ้นเล็กน้อย...ถ้าจำไม่ผิดพวกที่อยู่ให้ห้องทำงานของกลุ่มกิ้งก่าดำตอนนี้มี...
“ภาพเด็ด?” ชูยะทวนอย่างไม่เข้าใจนักว่าสาวเจ้าต้องการสื่ออะไรออกมา
“ไอ้ภาพเด็ดของเธอนี่...ไม่ปกติสินะ?” โมริกล้าพนันเลยว่าคำว่าปกติหาจากสาวเจ้าไม่ได้แน่
“ก็ไม่เชิง แค่...” ชิโกะยังคงยิ้มร่าอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรแม้ว่าโดนพูดเช่นนี้ใส่ก็ตาม
“แค่?” เหล่าหนุ่มๆ ภายในห้องทวนคำพูดของสาวเจ้า
“แค่กินจังน่าจะกำลังจะถูกลักหลับล่ะ” ชิโกะเอ่ย และทันทีที่พูดจบประโยค...ความรู้สึกชวนให้เสียวส้นหลังที่พุ่งพรวดออกมาจากเด็กหนุ่มผู้มีปลายผมสีขาว
“...” อาคุตางาวะคิ้วกระตุกนิดๆ “กระผมขอตัวสักครู่นะครับ”
“อา เชิญเลย” โมริที่รู้ดีว่าอาการของลูกน้องตนเป็นตอนนี้คืออะไรจึงอนุญาตให้อีกฝ่ายออกจากห้องได้ ทางอาคุตางาวะเมื่อได้รับอนุญาตก็รีบเดินออกจากห้องไปในทันที
“เธอไปพูดแบบนั้นได้ไงฟะ!!? ก็รู้อยู่ว่าอาคุตางาวะเป็นซิสค่อนนิดๆ น่ะ!” พออาคุตางาวะไปแล้ว ชูยะก็แว๊ดใส่สาวเจ้าเต็มแรง
“ก็บอกตามจริง...และไม่ต้องห่วง คนทำไม่ใช่ทาจิฮาระหรอก” ชิโกะหัวเราะหึๆ
“ถ้าเป็นไอ้บ้านั้นให้มันรู้ใจตัวเองก่อนเถอะ! และนั้นใช่ประเด็นที่ไหนฟะ!?” ชูยะโวยนิดๆ ...เออ เขารู้ว่ากินกับทาจิฮาระมีใจให้กันอยู่และห่วงว่ามันจะผ่านด่านพี่สะใภ้หรือเปล่าอยู่หรอก แต่นั้นมันใช่ประเด็นในตอนนี้ที่ไหนล่ะ!
“น่าๆ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ และ...
ตูม!!!
...ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงระเบิดแว่วมาแต่ไกล
“ดูท่าจะเจอภาพเด็ดแล้วล่ะ” ชิโกะหัวเราะก๊ากออกมา
“...วันหลังฉันจะไม่ให้กินทำงานกะดึกดีกว่าแฮะ” โมริถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าห้องทำงานของกลุ่มกิ้งก่าดำพินาทไปแล้วแน่นอน
“หรือไม่ก็ให้ทำงานเฉพาะตอนที่มั่นใจว่ายัยบ้านี่ไม่โผล่มากดีกว่าครับ...” ชูยะถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ที่จริงถ้าชิโกะไม่บอกอาคุตางาวะไปแบบนั้น ทางกินคงจัดการไอ้บ้าที่ว่านั้นเองแหละแถมไม่มีอะไรพินาทด้วย
“อย่าพูดงั้นสิ~~~” ชิโกะที่สร้างหายนะให้ชาวบ้านหน้าตาเฉยลากเสียงยาว
“...ดูท่าเราจะมาสร้างความพินาทให้ชาวบ้านซะแล้วแฮะ” เหล่าหนุ่มบาสแอบสวดให้เหล่าคนในโลกนี้ในใจกับการที่ต้องโดนป่วนโดยสาวเจ้า
“ฉันว่ารีบพาพวกนี่ไปพักเถอะชูยะคุง ก่อนที่ยัยนี่จะสร้างหายนะอะไรอีก” โมริที่กลัวว่าถ้าปล่อยไว้นานสาวเจ้าจะเอาเรื่องอะไรมาให้อีกเอ่ย
“ครับ” ชูยะที่ไม่อยากเจอเรื่องปวดหัวอะไรอีกเหมือนกันจึงรีบพาเหล่าเด็กหนุ่มบวกอีกหนึ่งสาวไปหาที่พัก...ที่มั่นใจว่าต่อให้สร้างความวายวอดให้เจ้าของที่พักจะไม่บ่นใส่ให้และเมื่อหาที่พักให้เหล่าหนุ่มสาวได้งานอันแสนน่าปวดหัวของชูยะก็จบลงเพียงเท่านี้
เช้าวันต่อมาอันแสนสดใจ เหล่าเด็กหนุ่มสาวต่างมานั่งเล่นกันภายในฐานมาเฟียที่เรียกอีกอย่างว่าฟอท์มมาเฟียหน้าตาเฉยและเช้าวันนี้เองที่เหล่าเด็กหนุ่มเพิ่งรู้ว่าที่ที่เหยียบอยู่ตอนนี้คือมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้จากปากชาวบ้าน...หากแต่ถึงแม้รู้แบบนี้เหล่าเด็กหนุ่มก็หาได้สนใจนัก เพราะตัวอันตรายจริงๆ น่ะ...
...คือสาวเจ้าในกลุ่มตนเสียมากกว่า...อันตรายกว่าพวกมาเฟียหลายเท่าเลย
“ทุกคน~~~ ไปป่วนสำนักงานนักสืบกัน~~~” หญิงสาวผู้แสนบ้าเอ่ยขึ้นมาในขณะที่เหล่าเด็กหนุ่มนั่งเล่นนอนเล่นกันอยู่ภายในห้องของบอสมาเฟีย ด้วยความที่ว่าโมริกลัวว่าจะมีคนสิ้นคิดมาหาเรื่องกลุ่มนี้เข้า
“สำนักงานนักสืบ?” เหล่าเด็กหนุ่มเอ่ยทวนอย่างไม่เข้าใจนัก
“โอเค ไป...” ชูยะที่โดนโยนหน้าที่ดูแลพวกชิโกะมาให้ตอบรับอย่างรวดเร็ว
“ทีงี้เร็วเชียวนะชูยะ” ชิโกะเอ่ยแซวชายหนุ่ม
“แหงสิ เธอจะได้ไปป่วนที่อื่นสักที...” ชูยะกรอกตาไปมา “...แค่เมื่อคืนเธอเล่นทำให้ห้องหายไปห้องหนึ่งเลยนะเฟ้ย”
“เราเปล่า อาคุตางาวะต่างหาก” ชิโกะเถียงกลับ
“แต่เธอเป็นคนบอกไม่ใช่หรือไงฟะ!? แถมใช้คำพูดชวนเข้าใจผิดอีก...รู้ทั้งรู้ว่าปล่อยไว้เฉยๆ กินก็จัดการได้เองแท้ๆ” ชูยะรู้ถึงฝีมือของคนที่เอ่ยถึงดี และเขามั่นใจว่าต่อให้อาคุตางาวะไม่ไปช่วย กินก็สามารถเอาตัวรอดได้ง่ายๆ แน่นอน
“ก็นะ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ
“เอาเถอะ...รีบไปกันเลยดีกว่า จะไปป่วนคนอื่นแทนสักที” ชูยะที่ขี้เกียจเถียงอะไรให้มากความเสี่ยงต่อการเกิดหายนะต่อสถานที่อีกรอบ (?) พร้อมรีบนำพาหนุ่มสาวทั้งหลายออกจากที่ทำการของฟอม์ทมาเฟียแล้วเดินทางตามข้างถนนไปเรื่อยๆ จนมาถึง...
“ที่นี่เหรอครับ?” ...ชั้นบนสุดของอาคารสี่ชั้นแห่งหนึ่งที่ดูไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ และถ้าไม่มีใครบอกคงดูไม่ออกเช่นกันว่าเป็นสำนักงาน
“อา...” ชูยะขานรับพร้อมเปิดประตูเข้าไปด้านใน ซึ่งด้านในมีโต๊ะ เอกสารและอุปกรณ์ต่างๆ วางเรียงรายอย่างที่สำนักงานทั่วไปมี หากแต่ภายในห้องยามนี้กลับมีบุคคลเพียงสี่ชีวิตอยู่เท่านั้น “...สวัสดี”
“เฮ้ย! คนจากฟอร์ทมาเฟีย!?” ชายหนุ่มผมเหลืองทองดูเจ้าระเบียบถึงกับร้องลั่นเมื่อเห็นหน้าของผู้มาใหม่
“มาไงเนี่ย?” ชายหนุ่มผมดำเอียงคอน้อยๆ ดวงหน้าดูยิ้มๆ คล้ายอิมาโยชิแสดงถึงความงุนงงอย่างชัดเจน หากแต่ดวงตาสีเขียวมรกตหาได้จับจ้องที่ชูยะแต่มองที่เหล่าเด็กหนุ่มด้านหลังรายนั้นต่างหาก
“สวัสดีชูยะ” ชายหนุ่มผมน้ำตาลเข้มที่พันผ้าพันแผลแทบทั้งตัวโบกมือทักทายอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเทาก้มหัวทักทายอย่างมีมารยาท แม้ดวงตาสีม่วงอำพันดูแปลกตาจะฉายแววสงสัยอย่างชัดเจนก็ตาม
“ไง...” ชูยะทักทายสั้นๆ
“มาทำอะไรที่นี่?” ชายหนุ่มผมทองเมื่อตั้งสติได้ก็ทำการยิงคำถามใส่อีกฝ่ายทันที
“เอาระเบิดมาทิ้ง” ชูยะเอ่ย
“ห๊า?” คนในสำนักงานนักสืบถึงกับหลุดร้องออกมาด้วยความงุนงง...ไม่ใช่เพราะคำพูดนะ แต่เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายที่เหมือนปวดจิตสุดแสนต่างหาก
“มาร่วมปวดหัวกับฉันซะดีๆ ล่ะ” ชูยะเอ่ยพร้อมดึงตัวสาวเจ้าที่ยืนด้านหลังสุดจนโดนบังเสียมิดออกมาอยู่หน้าตน
“สวัสดีจ้า!” ชิโกะยิ้มร่าพร้อมโบกมือให้แต่ล่ะคนในสำนักงาน
“...” ชายหนุ่มสามกับเด็กหนุ่มอีกหนึ่งถึงกับตัวแข็งโป๊กเมื่อเห็นหน้าสาวเจ้า...ซึ่งพวกตนรู้ดีว่ารายนี้เป็นใคร “ยัยชิโกะ!!?”
“แม่นแล้วจ้า!” ชโกะขานรับอย่างเริงร่า
“เอากลับไปเลยนะเฮ้ย!” ชายผมทองคนเดิมแว๊ดลั่นใส่ชูยะ
“เรื่องสิ ยัยนี่ทำห้องที่ฐานฉันพังไปห้องหนึ่งแล้ว...มาร่วมแบ่งปันหายนะซะดีๆ!” ชูยะเอ่ย...เขาไม่ยอมซวยคนเดียวหรอกเฟ้ย!!!
“...ทำไมฟังไป ฟังมาเหมือนชิโกะเป็นระเบิดเคลื่อนที่เลยล่ะ?” อิสึกิบ่นขึ้นมาเบาๆ
“ไม่รู้สิ” โมริยามะส่ายหน้าวืดเป็นเชิงว่าตนไม่รู้เหมือนกัน
“รู้แค่ว่าเราเริ่มอยากแกล้งคนแล้วล่ะ” ชิโกะกระตุกยิ้มเหี้ยมออกมา
“อย่านะเฮ้ย!” คราวนี้ทั้งชูยะทั้งคนของสำนักงานนักสืบร้องห้ามอย่างพร้อมเพรียง
“ไม่สนคำค้านหรอก” ชิโกะแล่บลิ้นใส่
“...ฉันไปทำงานก่อนล่ะ...ฝากจัดการที่เหลือด้วยนะ” ชายหนุ่มผมดำที่เห็นท่าไม่ดีรีบลากชายหนุ่มผมทองวิ่งสวนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวสิ! รัมโปซัง! คุนิคิดะซัง!” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเทาร้องลั่นเมื่อเพื่อนร่วมงานตนหนีไปหน้าตาเฉย
“ทำไมเลือกลากคุนิคิดะคุงไปล่ะครับบบบ!?” มนุษย์ผ้าพันแผล (?) ร้องโอดครวญ..เขารู้ว่ารัมโปไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้แต่ทำไมไม่เลือกที่จะลากเขาไปล่ะ!? เขาไม่อยากอยู่ปวดหัวกับรายนี้นะ!
“ให้ฉันตอบแทนไหม?” ชูยะถาทกลับอย่างกวนๆ ในขณะที่ชิโกะที่ถึงกับหลุดก๊ากกับสีหน้าของอีกสองหนุ่มที่เหลือถามกลับ
“ไม่ต้องเลย!” ชายหนุ่มผมน้ำตาลเข้มค้อนใส่วงเบ้อเร้อ...และแล้วการเถียงกันของสองหนุ่มก็เริ่มขึ้น
“...มาได้ไงเนี่ย? แล้วพวกด้านหลังนั้น?” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลเทาที่ดูจะปลงกับความซวยนี่เรียบร้อยแล้วถาม
“พอดีว่า...” ชิโกะทำการอธิบายเรื่องราวที่ตนหลมาที่นี่ทั้งหมดอีกรอบ “...ก็แบบนี้แหละนะ”
“สรุปคือซวย” เด็กหนุ่มผมน้ำาลเทาถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ก็ประมาณนั้นแหละพ่อเสือน้อย” ชิโกะยักคิ้วกวนๆ
“เลิกเรียกแบบนี้สักทีเถอะ” คนโดนเรียกว่าเสือน้อยกรอกตาไปมา
“ไม่สนหรอกจ้า” ชิโกะหัวเราะในลำคอเบาๆ “แล้วคู่นั้น...จะอีกนานไหมเนี่ย?”
“น่าจะนาน” หนุ่มๆ ที่เหล่มองคนผมน้ำตาลเข้มที่เริ่มกลายเป็นฝ่ายแกล้งชูนะเสียเองแล้วตอบได้อย่างพร้อมเพรียงว่า...อีกนานชัวท์
“งั้น...” ชิโกะฉีกยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจออกมาและ... “...ขอแกล้งสักหน่อยแล้วกันเนอะ~~~”
...เสกกะละมังใส่หัวของชายหนุ่มทั้งสอง
“โอ๊ย!!!” คนโดนกะละมังตกใส่หัวร้องโอดครวญ...แหงล่ะ สาวเจ้าเล่นเสกกะละมังเหล็กออกมานิ!!! “เจ็บนะ!!!”
“ก็ตั้งใจให้เจ็บน่ะสิ” ชิโกะตอบกลับอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร “พวกนายเลิกกัดกันได้แล้วน่า ชูยะ ดาไซ”
“ไม่ได้กัดกันสักหน่อยยยยย” คนที่พันผ้าพันแผลเกือบทั่วร่างหรือดาไซลากเสียงยาวอย่างกวนๆ
“ช่วยห้ามแบบปกติทีเถอะ” ชูยะกัดฟันกรอกใส่สาวเจ้า...เลยแบบนี้หากเขาความสูงลดลงจะทำไงห๊า!?
“ถ้าปกติได้คงยัยนี่ตัวปลอมล่ะ” อาโอมิเนะบ่นออกมาเบาๆ หลังจากชมเหตุวุ่นวายมาได้สักพัก
“ก็จริง” ชูยะที่ดันหูดี ได้ยินที่เด็กหนุ่มผมน้ำเงินพูดพยักหน้ารับ
“แหม พูดซะทำเอาเราอยากแกล้งอีกรอบเลย” ชิโกะกระตุกยิ้มนิดๆ ทำให้แต่ล่ะคนถอนห่างจากสาวเจ้าอย่างพร้อมเพรียงและนั้นทำให้สาวเจ้าหลุดหัวเราะก๊ากออกมา หลังจากหัวเราะจนพอใจแล้วชิโกะก็เริ่มตั้งประเด็นการถามอย่างต่อไป “แล้ววันนี้คนในนี้หายไปไหนหมดล่ะ?”
“ทำงานสิ” ดาไซตอบ
“ทั้งหมด?” ชิโกะถามต่อ
“ก็ไม่เชิง” ดาไซยักไหล่น้อยๆ
“เหรอ...” ชิโกะลากเสียงยาวพลางเหล่มองออกนอกหน้าต่างนิดๆ “...แต่ความจริงน่าจะมีคนเฝ้ามากกว่านี้นะ”
“ทำไม?” ดาไซถามอย่างสงสัย...ปกติการที่จะมีคนออกไปข้างนอกจนเหลือแค่นี้มันก็เรื่องปกตินิ?
“นั้นสินะ~~~” ชิโกะทำท่าไม่สนใจคำถามนักพลางกวักมือเรียกเหล่าหนุ่มบาสที่กลายเป็นตัวประกอบ (?) “พวกนายเข้ามาในนี้เร็ว”
“หื้อ?” เหล่าเด็กหนุ่มทำท่างงๆ หากแต่ก็ยอมเดินเข้าไปด้านในแต่โดยดี
“เธอจะทำอะไร?” ดาไซถามขึ้นมา
“เปล่า แค่...” ชิโกะยิ้มร่าและ...
โครม!!!
...จากนั้นไม่นานก็มีเสียงเหมือนอะไรสักอย่างชนประตูดังขึ้นมา
“ดักแกล้งคนน่ะ” ชิโกะมองเหล่าบุคคลแปลกหน้าที่พยายามเข้ามาด้านใน แต่ทำไม่ได้เพราะติดบาเรียที่ตนเสกเอาไว้อยู่อย่างขำๆ
“พวกนั้นคือ?” แต่ล่ะคนมองหลุ่มผู้มาใหม่อย่างไม่ไว้ใจ...ก็แหงล่ะ เล่นอาวุธครบมือกันทุกคนเลยนิ!!!
“คนที่กะบุกสำนักงานนักสืบวันนี้น่ะ...” ชิโกะตอบ “...เมื่อวานก็ฟอร์ทมาเฟียวันนี้สำนักงานนักสืบ...เลือกเล่นงานแต่ล่ะที่แบบไม่กลัวตายเลยแฮะ ฝีมือก็ไม่มี”
“พวกนี้ฝีมือน่ะฉันว่ามีนะ แต่เธอเข้าสูตรโกงไปไกลแล้วมากกว่า” ฟุริฮาตะเอ่ยแย้ง...เขาว่าแบบนี้ถ้าเป็นคนปกติไม่มีทางเอาชนะง่ายๆ เหมือนที่สาวเจ้าทำหรอก!!!
“ก็นะ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่คิดโต้เถียง...ก็พลังของตนโกงจริงๆ นี่นา
“เอาไงต่อ?” ชูยะมองพวกที่พยายามบุกเข้ามานิ่งๆ ...จะว่าโชคดีโชคร้ายที่พวกนี่มาตอนที่ยัยนี่มาพอดีเนี่ย?
“ไม่เรา ก็ชูยะหรือไม่ก็อัตสึชิจัดการ” ชิโกะตอบ
“...” ชูยะมองสถานการณ์รอบๆ แล้วนิ่งเงียบไป...แน่นอน เขาไม่ให้ชิโกะสู้ให้เสี่ยงต่อการปวดจิตแน่ เพราะงั้น... “ไปเลยอัตสึชิ”
“ใช่ๆ ไปเลยอัตสึชิคุง” ดาไซรีบสนับสนุนทันที
“ไหงเป็นผมล่ะครับ!?” เด็กหนุ่มตาสีม่วงอำพันที่อยู่ๆ โดนโยนงานมาให้ถามกลับ
“เพราะฉันสู้ไม่เป็น” ดาไซเอ่ยด้วยสีหน้าแอ๊บสุดแสน
“แหลล่ะ ไอ้ดาไซ...ส่วนฉันปวดจิตกับยัยชิโกะมาคืนหนึ่งแล้วเลยไม่อยากออกแรงน่ะ” ชูยะเอ่ยอย่างเหนื่อยๆ ใจ
“...ก็ได้ครับ” อัตสึชิพอได้ยินแบบนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินไปหาพวกที่ติดอยู่หน้าประตู...พร้อมกับที่มือค่อยๆ เปลี่ยนจากมือมนุษย์กลายเป็นมือของสัตว์จำพวกแมวแทน
“...ชิโกะ...ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ลักษณะของมิตินี้เป็นไงเหรอ?” เหล่าหนุ่มบาสที่เอ๋อกินกับภาพที่เห็นเล็กน้อยถามขึ้นมา...นี่ถ้าไม่ติดว่ามิติที่ผ่านมาแต่ล่ะที่ไม่ค่อยปกติทุกที่ล่ะก็พวกเขาคงสติหลุดไปแล้วแหง
“อ้าว? เรายังไม่ได้อธิบายเหรอ?” ชิโกพถามกลับ
“ยัง” เหล่าเด็กหนุ่มส่ายหน้าวืด
“โทษทีๆ งั้นอธิบายมันระหว่างรออัตสึชิสู้เสร็จนี่เลยแล้วกันเนอะ” ชิโกะเอ่ยและเริ่มอธิบายลักษณะโดยรวมของมิตินี้ให้เหล่าเด็กหนุ่มฟัง ส่วนอัตสึชิก็ปล่อยให้สู้ต่อไปโดยไม่คิดจะสนใจกันนักเพราะมั่นใจว่าสู้พวกที่มาได้ชัวท์
“โอเค พอเข้าใจล่ะ” พอฟังเรื่องทั้งหมดจนจบเหล่าเด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับเชิงเข้าใจ
“เข้าใจกันง่ายดีนะ” ชูยะเอ่ยขึ้นมา...จากทั่ฟังๆ เนี่ยดูเหมือนโลกที่พวกนี่จากมาต่างจากที่นี่พอสมควรเลย
“ลองอยู่กับยัยนี่นานๆ สิครับ ต่อให้แปลกประหลาดแค่ไหนก็รับได้” คาซามัตสึเอ่ยพลางชี้ตัวอย่างเจาะจง
“ก็จริง” ชูยะไม่เถียงวาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“จริงอย่างไม่ต้องสงสัย” ดาไซพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“แหมๆ ว่าแบบนี้เดี๋ยวแกล้งเสียหรอก” ชิโกะแยกเขี้ยวใส่...ไม่ว่าหน่อยเอาใหญ่เชียว
“อย่านะเฮ้ย” ดาไซ ชูยะและคาซามัตสึรีบไปหลบหลังโต๊ะอย่างรวดเร็ว
“หยุดแกล้งคนก่อนเถอะชิโกะ” อิมาโยชิที่ยังไม่อยากเจอเรื่องวุ่นวายกว่านี้เอ่ยห้าม
“กรุณาเลิกเล่นกันแล้วมาช่วยกันหน่อยสิครับ!!! ชักเยอะเกินแล้วนะ!!!” เสียงแว๊ดลั่นดังออกมาจากนอกห้องโดยเด็กหนุ่มตาสีเหลืองอำพันที่ถูกส่งไปเป็นหน่วยกล้าตาย (?) ซึ่งกำลัง...ถูกรุมอยู่ในขณะนี้
“โอ้ มาเพิ่มแฮะ” ชูยะมองบุคคลที่โผล่มามากกว่าเดิมสักสี่ถึงห้าเท่าจากตอนแรก
“คงต้องช่วยจริงๆ แฮะ” ดาไซบ่นเบาๆ ก่อนที่จะ...ถีบชายผมสีน้ำตาลแดงออกไปร่วมรบ (?) กับชาวบ้าน “ไปเลยชูยะ!”
“แกเห็นฉันเป็นโป●มอนหรือไง!? แล้วทำไมแกไม่ไปเองฟะ!?” ชูยะแว๊ดใส่คนที่ถีบส่งตนพลางถีบคนที่พุ่งเข้าหาตนทันทีที่ออกนอกเขตบาเรีย
“พลังฉันใช้สู้แบบนี้ได้ที่ไหนล่ะ นายก็รู่นิ” ดาไซส่งเสียงไปกวนโอ๊ย และสิ่งที่ได้กลับมาเสียงด่าจากนายนากาฮาระ ชูยะ
“ไม่ช่วยเหรอชิโกะ?” มายุสุมิที่โผล่มาข้างสาวเจ้าเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบถามขึ้น
“ก็...” ชิโกะทำท่าเหมือนจะเดินออกนอกบาเรียไปอีกคนแต่...
“อย่ามานะเว้ย!!!! / กรุณาให้ชิโกะอยู่เฉยๆ ไปเถอะครับ!!!” ...สิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงร้องห้ามดังลั่นจากคนที่กำลังสู้อยู่ในยามนี้พร้อมกับความเร็วในการกวาดล้างเริ่มเร็วขึ้นราวกับกลัวว่าหากช้าสาวเจ้าจะออกมาช่วยจริงๆ
“ก็แบบนี้อ่ะนะ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ
“สงสัยกลัวปวดจิตกัน” มายุสุมิส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ...แต่ก็ไม่แปลกใจนักหรอก ใครใช้ให้ชิโกะ อาคากิก่อหายนะ (ทางใจ) ให้ชาวบ้านไว้เสียเยอะล่ะ
“คงงั้น” ดาไซหัวเราะเบาๆ แล้วนั่งชมความวุ่นวายนอกสำนักงานไป แถมยังหยิบขนมมากินระหว่างที่ชูยะกับอัตสึชิสู้ไปโดยไม่คิดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย ส่วนทางเหล่าหนุ่มบาสก็นั่งดูชาวบ้านสู้ไปพลางห้ามความบ้าของสาวเจ้าไปพลาง
“เหนื่อยชิบ วันนี้” คำบ่นที่เสียงไม่เบาดังออกจากปากชายหนุ่มผมสีน้ำตาลส้ม
“นั้นสินะ...” ชายหนุ่มผมน้ำตาลเข้มที่พันผ้าพันแผลแทบทั้งตัวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“เห็นด้วยครับ...” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเทาเอาหน้าแปะโต๊ะอย่างเหนื่อยอ่อน
“ไม่เห็นเหนื่อยเลย” หญิงสาวผมสีออกน้ำตาลมองสาวหนุ่มแล้วยักไหล่น้อยๆ
“ก็ต้นเหตุมันมาจากเธอเองแล้วมันจะเหนื่อยได้ไงล่ะ!?” ชายหนุ่มสองบวกเด็กหนุ่มอีกหนึ่งโวยใส่สาวเจ้าเป็นเสียงเดียวกัน...หลังจากที่ทั้งสามได้จัดการกลุ่มที่มาหาเรื่องถึงสำนักงานนักสืบได้แล้ว สาวเจ้าเล่นป่วนต่อจนพวกเขาต้องเป็นคนคอยห้าม...
...ซึ่งกว่าจะห้ามได้ก็กินเวลาไปมากโข่งเลย...และแน่นอนว่าคนอย่างชิโกะ อาคากิไม่มีทางที่จะป่วนมันแค่รอบเดียวแน่จนทำให้ทั้งสามวุ่นไปอีกหลายรอบ ส่วนทางเหล่าหนุ่มบาสเองก็มีสภาพไม่ต่างจากสามหนุ่มในโลกนี้นักเพราะต้องเหนื่อยจากการห้ามปรามสาวเจ้าเช่นกัน
...กว่าความวุ่นวายจะจบลงได้ก็เมื่อมีคนหนึ่งเสนอให้มาหาอะไรกิน...นั้นแหละชิโกะถึงหยุดป่วนหรือสรุปง่ายๆ คือสาวเจ้าป่วนเพราะเจ้าตัวหิวนั้นเอง
“ก็นะ~~~” ชิโกะลากเสียงยาวอย่างไม่ใส่ใจนัก
“แล้วนี่...หิวก็บอกกันดีๆ เซ่ นึกบ้าอะไรถึงใช้วิธีป่วนเนี่ย?” คาซามัตสึบ่นอุบอิบขึ้นมา...นี่ถ้าไม่ติดว่าอัตสึชิเขาพามาที่ร้านอาหารที่ชั้นล่างสำนักงานแบบเร่งด่วนนี่สงสัยวายวอดกว่านี้แน่
“ไม่นึกอะไร แค่อยากทำ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“เธอบ้าของแท้” คาซามัตสึเบ้หน้าน้อยๆ
“ก็บ้าอ่ะสิ” ชิโกะตอบรับไปหน้าตาเฉย
“แล้วนี่ชิโกะ...” ดาไซมองหญิงสาวที่นั่งกินอาหารอย่างไม่สมหญิงเสียเลย “...อยากถามตั้งแต่แรกแล้ว...แล้วอาคุตางาวะคุงล่ะ? ปกติเธอไม่น่าลากชูยะมารับความป่วนคนเดียวนิ?”
...เพราะคนที่เธอชอบป่วนที่สุดก็มีฉัน อัตสึชิคุง อาคุตางาวะคุงและชูยะนิ...เพราะงั้นถ้าจะป่วนทีคงไม่พลาด ลืมพาอาคุตางาวะร่วมวงให้ปวดจิตด้วยนะ...
“ใครบอกล่ะว่าเราไม่ป่วนอาคุตางาวะล่ะ?” ชิโกะถามกลับ
“ห๊า?” หนุ่มๆ ทั้งหลายเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินหญิงสาวพูดแบบนี้
“เราป่วนมาแล้ว และ...” ชิโกะฉีกยิ้มร่าในขณะที่เวลานั้นเอง...
“ชิโกะ!!!” ...เด็กหนุ่มผมดำที่มีปลายผมสีขาววิ่งเข้ามาภายในร้านอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีดำสนิทดูน่ากลัวตวัดมองที่หญิงสาวราวกับกลัวว่าหากล่ะสายตาอีกฝ่ายจะหนีไปเสียก่อน
“...มาเพื่อโวยเราแล้วนี่ไง” ชิโกะเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ไม่ต้องมาพูดเลย! คิดบ้าอะไรมาวางกับดักในห้องกระผมเนี่ย!? กว่ากระผมจะออกมาได้ต้องรอให้กินมาช่วยตั้งนาน!” อาคุตางาวะที่โดนสาวเจ้าแกล้งแว๊ดลั่นพลางนึกอยากโจมตีอีกฝ่ายขึ้นมาตงิดๆ และเขาคงทำไปแล้วจริงๆ หากไม่ติดว่ารู้ดีว่ารายนี้สามารถหลบแล้วป่วนเขาคืนแบบคูณสองได้เนี่ย “แล้วนี่ยังแอบจิ๊กกระเป๋าตังค์กระผมมาอีก...เอาคืนมาเลยนะ!”
“...นี่เธอแกล้งอาคุตางาวะแบบนี้เองเหรอ?” ชูยะคุมขมับน้อยๆ ...ถึงว่าเมื่อเช้าเขาไม่เห็นอาคุตางาวะเลย ที่แท้ออกจาห้องพักตัวเองไม่ได้เหรอ? ว่าแต่ยัยนี่รู้ที่พักของอาคุตางาวะได้วะ?
“ก็นะ” ชิโกะยักไหล่น้อยพลางโยนกระเป๋าใบน้อยให้เด็กหนุ่มปลายผมสีขาว “อ่ะ! นี่!”
“นายโดนแกล้งหนักเหมือนกันนะ” อัตสึชิมองอาคุตางาวะที่รับกระเป๋าตังค์คืนแล้วเปิดตรวจเช็คว่าของในกระเป๋ายังอยู่ครบไหม
“อื้ม...” อาคุตางาวะเมื่อตรวจเช็คว่าไม่มีอะไรหายเรียบร้อยแล้วพยักหน้ารับพร้อมเก็บกระเป๋าตังค์ตนไป “...แล้วนายโดนป่วนหรือยังจินโกะ?”
“คิดว่าเหลือไหมล่ะ?” อัตสึชิถามกลับ
“ไม่” อาคุตางาวะกล้าพูดเลยว่าหญิงสาวไม่มีทางพลาดเรื่องแกล้งคนแน่
“ก็ตามนั้น” อัตสึชิตอบไป
“แล้วดาไซซังล่ะครับ?” อาคุตางาวะหันไปถามมนุษย์ผ้าพันแผล (?) เป็นรายต่อไป
“โดนเหมือนกัน แต่ถือว่าน้อยกว่าคนอื่นล่ะนะ” ดาไซตอบพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ
“เดี๋ยวแกล้งให้เท่าคนอื่นไหมล่ะ?” ชิโกะส่งยิ้มร่าให้พร้อมทำท่าเตรียมแกล้ง
“ไม่” ดาไซรีบลี้ภัยไปหลบใต้โต๊ะทันที
“ว้า แย่จัง...” ชิโกะทำหน้าเสียดายสุดแสน “...แต่ช่างเถอะ...ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่าการแกล้งดาไซเหมือนกัน”
“เรื่องน่าสนใจ?” หนุ่มๆ ทั้งหลายรีบชักสีหน้าทันที...เพราะรู้ดีว่าคำว่าเรื่องน่าสนใจของสาวเจ้านั่นย่อมนำเรื่องวุ่นวายมาแน่นอน
“ใช่” ชิโกะพยักหน้ารับ “เพราะงั้นใครสักคนช่วยพาไอ้พวกนี้กลับที เราอยากจะ ‘เล่น’ อะไรสักหน่อยน่ะ”
“เอ๊ะ? นี่เธอจะไล่พวกฉันกลับเหรอ?” อาคาชิเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ...ปกติจะป่วนยังไงก็ไม่สนพวกเขานิ?
“อื้ม เพราะงานนี้มีภาพที่ไม่เหมาะให้พวกนายเห็นเลยต้องให้กลับไปก่อนน่ะ” ชิโกะอธิบาย “ขอบอกไว้ก่อนนะใครเอาพวกนี้กลับที่พักได้ เราจะไม่แกล้งในวันพรุ่งนี้...”
“งั้นฉัน!” เด็กหนุ่มสองและชายหนุ่มอีกสองภายในโลกนี้พากันอาสาอย่างพร้อมเพรียง
“เราให้ไปคนเดียวนะ~~~” ชิโกะลากเสียงยาว
“งั้น...” หนุ่มๆ ที่เป็นคนในโลกนี้ต่างมองหน้ากันและ... “เป่ายิ้งฉุบ!!!!”
...เป่ายิ้งฉุบเพื่อตัดสินใจกันหน้าตาเฉยเพื่อป้องกันการมีคนโกงและคนที่ชนะ...คือนากาจิมะ อัตสึชินั้นเอง
“ไชโย!” อัตสึชิร้องโห่อย่างดีใจเมื่อสามารถรอดพ้นจากสาวเจ้าผู้แสนบ้า (?) มาได้
“หวา แย่จัง...” ดาไซยิ้มแห้งๆ เมื่อตนแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย
“คิดว่าจะรอดจากยัยบ้านี่แล้วเชียว” ชูยะเอาหน้าฟุบโต๊ะอย่างหม่นหมองสุดแสน
“ซวยอีกแล้ว...” อาคุตางาวะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ถือว่าดวงไม่ดีกันเองนะเออ” ขิโกะยักไหล่น้อยๆ พลางเสกแผนที่ออกมาแล้วโยนให้อัตสึชิ “เอ้า แผนที่...แล้วรีบพาพวกนี้กลับไปเลย ไม่งั้นเราจะแกล้งหมดทั้วหมู่แทนแล้วน้าาา”
“โอเค! งั้นไปล่ะ!!!!” ว่าแล้วทั้งอัตสึชิทั้งเหล่าหนุ่มบาสก็พากันเผ่นออกนอกร้านกันในทันทีด้วยความกลัวว่าจะโดนแกล้งนั้นเอง
“วิธีไล่คนของเธอนี่ได้ผลตลอดเลยนะ” ชูยะถอนหายใจอแกมาเบาๆ กับวิธีการไล่คนของสาวเจ้าที่ได้ผลชะงักเหลือเกิน...แต่ก็นะ ถ้าเป็นเขาหากสามารถเลี่ยงการแกล้งของยัยนี่ได้เขาก็ทำแบบเร่งด่วนแบบนี้เหมือนกันแหละ
“แน่นอน” ชิโกะลากเสียงยาว
“ฉันประชด...” ชูยะกรอกตาไปมา
“รู้อยู่” ชิโกะหัวเราะในลำคอเบาๆ “เอาล่ะ เล่นกันมากพอแล้ว...ตอนนี่เรารีบไปสะสางเรื่องกันเถอะเนอะ”
“สะสาง?” หนุ่มอีกสามหนุ่มที่ยังอยู่กับสาวเจ้าทวนอย่างงุนงง
“พวกที่มาบุกสำนักงานนักสืบวันนี้ไง” ชิโกะเอ่ย “เราจะไปจัดการรายนั้นให้เรียบร้อยจะได้ไม่ต้องมัวมาพะวงกันไง”
“แต่นั้นไม่ใช่สาเหตุจริงๆ ที่เธอจะไปจัดการใช่ไหม?” ดาไซเอ่ยอย่างรู้ทัน...อย่างชิโกะน่ะไม่ใจดีขนาดจะตัดการให้หรอกถ้าไม่มีเรื่องเกี่ยวกับตัวเองด้วย
“ใช่” ชิโกะพยักหน้ารับหน้าตาเฉย
“แล้วสาเหตุจริงๆ คือ?” ดาไซถามต่อ
“ตอนเราไปเก็บพวกที่อัตสึชิกับชูยะจัดการ ตัวที่ยังมีสติมันว่าเรากรรมพันธุ์เตี๊ย ไม่มีวันสูงตลอดชาติอ่ะ”
“โอเค เข้าใจแจ่มแจ้งเลย” เพียงคำตอบนี้จากหญิงสาว สามหนุรมก็เข้าใจถึงสาเหตุและเตรียมสวดให้กลุ่มที่ดันพูดจาไม่เข้าหูคนอย่างชิโกะ อาคากิทันที...ก็ดันพูดอะไรไม่พูด ดันพูดโดนคำต้องห้ามเสียได้ แถมคราวนี้ดันหนักกว่าทุกครั้งด้วยเพราะแทนที่จะจัดการเลยดันจะไปโค่นล้มถึงทั้งกลุ่มเนี่ย...
...ขอให้ไปสู่สุขตินะ...และตายอย่างสงบๆ ด้วย ชิโกะจัดการนี่รับรองว่าไม่ปกติชัวท์...
“เอาเป็นว่าเราไปกันเถอะ...ชูยะจ่ายตังค์ด้วยนะ” ชิโกะเอ่ยก่อนที่จะเผ่นออกไปรอนอกร้าน
“เดี๋ยว! ไหงฉันต้องเป็นคนจ่ายด้วยล่ะ!?” ชูยะแว๊ดลั่นเมื่อโดนโยนหน้าที่จ่ายค่าอาหารมาที่ตน
“...” ดาไซกับอาคุตางาวะมองหน้ากันก่อนที่จะเผ่นตามชิโกะกันไปอีกสองคน
“...นี่สรุปกูต้องจ่ายคนเดียวใช่ไหมเนี่ย!?” ชยะโวยลั่นร้าน แต่อนิจา...ไม่มีใครสนใจเลย ทำให้นายนากาฮาระ ชูยะจำต้องจ่ายค่าอาหารในมื้อนี้ไปแต่เพียงผู้เดียว
“พวกนายแสบมาก...”
“น่าๆ อย่าบ่นเลยชูยะ”
“ช่วยไม่ได้นะครับ ชิโกะเลือกแกล้งคุณนี่ครับ”
“ซวยเองนะ”
“พวกนายไม่ต้องพูดเลยเว้ย!!!!”
เสียงถกเถียงอย่างไม่เบาดังขึ้นมาจากกลุ่มสามหนุ่มหนึ่งสาวที่กำลังเดินตามทางที่รกร้างแห่งหนึ่งอย่างไม่มีความเกรงกลัวกับบรรยากาศไร้ผู้คนแม้แต่น้อย แถมยังอารมณ์ดีขนาดเถียงกันเล่นไปได้อีกต่างหาก
“ทำไมเธอไม่จ่ายเองฟะ? ทั้งๆ ที่โลกนี้เธอเสกเงินใช้เองได้แท้ๆ” ชูยะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงโยนหน้าที่จ่ายค่าอาหารให้คนสิบกว่าคนมาที่ตนทั้งๆ ที่สาวเจ้าก็สามารถจ่ายเองได้แท้ๆ
“อ๋อ แค่อยากแกล้งนายเฉยๆ น่ะ” ชิโกะตอบกลับเช่นนี้หน้าตาเฉย
“คำตอบกวนตรีนมาก” ชูยะแยกเขี้ยวใส่สาวเจ้า
“ก็นะ” ชิโกะยิ้มร่าพร้อมสะบัดมือน้อยๆ เพื่อรับบางอย่าง “และดูท่า...ของเล่นของเราจะมาแล้วนะ”
“อาหยา? ดักยิงกันเลยแฮะ” ดาไซหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นลูกกระสุนจำนวนมากที่สาวเจ้าทำให้หยุดลอยอยู่กลางอากาศ
“แล้วทำไมไม่ได้ยินเสียงปืนเลยล่ะ?” อาคุตางาวะขมวดคิ้วเล็กน้อย...ปกติถ้าในที่ที่เงียบขนาดนี้น่าจะได้ยินเสียงสักนิดสิ
“พลังพิเศษของฝ่ายตรงข้าม...ดีดลูกกระสุนได้ด้วยความเร็วร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง” ชิโกะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หาข้อมูลมาพร้อมเลยแฮะ” ชูยะกรอกตาไปมา “แต่เอาเถอะ...มาเริ่มจัดการเลยดีกว่า ก่อนไอ้พวกน่าสงสารนี่จะโดนชิโกะเล่นหนักๆ แทน”
“กระผมก็ว่างั้น” อาคุตางาวะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“รีบๆ กันเลย” ดาไซยอมรับเลยว่าพวกที่โดนชิโกะเล่นงานนี่คงน่าสงสารสุดๆ ไปเลย
“ไม่ต้องรีบหรอกตัวเธอ มีให้เล่นกันทุกคนนนนนนน” ชิโกะลากเสียงยาวอย่างน่าสยองน้อยๆ พร้อมกับเสกลมวูบใหญ่ออกมาและ...ร่างของมนุษย์จำนวนมากก็ร่วงลงมาจากต้นไม้ต่างลูกไม้ “พวกตรงกลางเราขอ! ส่วนจุดอื่นพวกนายก็จัดการไปแล้วกันเด้อ!”
“อาๆ” หนุ่มๆ ทั้งสามขานรับส่งๆ ไปพร้อมเริ่มจัดการฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้าหาราวหมาบ้า...และหวังว่าพวกตนจะสามารถจัดการพวกนี้ได้ก่อนที่สาวเจ้าจะลงมือ ไม่งั้นปวดจิตกันทั่วหน้าเป็นแน่
“เยอะกว่าที่คิดแฮะ” สิบนาทีต่อมาหลังสู้ไปได้สักพัก ดาไซก็บ่นพำพึมออกมาเบาๆ
“แบบนี้ไม่พ้นมีคนโดนชิโกะเล่นแหง...” ชูยะที่ตอนแรกกะจะจัดการให้หมดๆ ไปเร็วๆ สาวเจ้าจะได้ไม่ต้องมามีส่วนร่วมในการจัดการคนกับตนด้วยถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ควรเตรียมไว้อาลัยให้ไว้ก่อนเลยสินะครับ?” อาคุตางาวะถึงแม้ปกติไม่สนใจชาวบ้านเท่าไหร่ก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความสงสาร...สงสารตัวเองล่ะนะ ที่อาจโดนลูกหลงจากความปวดจิตที่สาวเจ้าจะสรรหามาให้เนี่ย
“คงงั้น...” ดาไซยักไหล่น้อยๆ สายตาเริ่มเหล่ไปยังสาวเจ้าผมสีออกน้ำตาลที่กำท่าครุ่นคิดมาพักใหญ่ๆ และกำลังสะบัดมือเรียกบางอย่างออกมา “...นั้นไง...ความปวดจิตมาแล้ว”
“เสกบ้าอะไรออกมาฟะเนี่ย?!” ชูยะที่หันไปมองด้วยความสงสัยคำพูดของดาไซเมื่อครู่แทบจะลมจับเมื่อเห็นวัตถุที่เหมือนผ้าที่พับเป็นรูปสัตว์กำลังวิ่งไล่ขวิดชาวบ้านอยู่
“ผีผ้า...มั้งครับ?” อาคุตางาวะเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก เนื่องจากความคิดของคนบ้าตนเองก็เดาไม่ออกเหมือนกัน
“อ่ะ! มีอวดดักปลาด้วย!” ดาไซมองของอย่างที่สองที่สาวเจ้าเสกออกมาอย่างแปลกใจ...แปลกใจที่เป็นของปกติอ่ะนะ
“คราวนี้จะว่าปกติหรือประหลาดดีเนี่ย?” ชูยะมองภาพตรงหน้า...จะว่าปกติก็ปกติล่ะนะ แต่จะว่าแปลกที่ชิโกะคิดอะไรปกติได้มันก็แปลกอ่ะ
“ไม่รู้ครับ รู้แค่อีกเดี๋ยวคงประหลาดกว่าเดิมแล้วครับ” อาคุตางาวะเอ่ยพลางมองสิ่งที่สามที่ชิโกะเสกออกมาด้วยอาการหน้ามืดเล็กน้อย “ชิโกะเสกตัวประหลาดออกมาแล้วครับ”
“ตัวบ้าอะไรฟะ!?” ดาไซกับชูยะถึงกับหลุดร้องลั่นเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่รูปร่างเหมือนกิ้งก่า หากแต่ตัวกลับมันๆ แปลกๆ กำลังวิ่งไล่ชาวบ้านให้แตกตื่นเล่น
“ซาลาแมนเด้อขนาดเท่าช้างไงพวก!” ชิโกะที่โดดมาอยู่ข้างๆ เหล่าหนุ่มๆ เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบเอ่ยขึ้นมา
“ประหลาดไปแล้วนะเฮ้ย!” ดาไซ ชูยะและอาคุตางาวะที่สะดุ้งโหยงกับการโผล่มาของสาวเจ้าเล็กน้อยหันไปโวยตัวต้นเหตุเป็นเสียงเดียวกัน
“ก็รู้นิสัยเราอยู่” ชิโกะแม้โดยโวยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก “ต่อไปเอาอะไรดีน้าาาา”
“ยังจะเอาอีกเหรอ!?” ชูยะอยากบ้าจริง...เขาควรสงสารพร้อมสวดส่งไอ้พวกที่ดันเล่นงานองค์กรเขากับสำนักงานนักสืบของไอ้ดาไซมันตอนนี้เลยดีไหมเนี่ย? ที่มันดันซวยมาเล่นงานตอนยัยนี่มาเนี่ย!!!
“อื้ม!” ชิโกะพยักหน้ารับหน้าตาเฉย “นึกไม่แฮะ งั้น...นี่แล้วกัน!”
“เหวอ!?” เสียงร้องโวยวายดังขึ้นมาทั่วสารทิศเมื่อสิ่งต่อไปที่สาวเจ้าเสกปรากฏขึ้นมา
“...คราวนี้ปกติดีเนอะ” ดาไซยิ้มแห้งๆ กับของที่โผล่ออกมา
“ดงงูเนี่ยถ้าเทียบกับแต่ล่ะอย่างที่ยัยนี่เสกออกมา...ก็ปกติจริงๆ นั้นแหละ” ชูยะถอนหายใจอย่างปวดจิตปวดใจสุดแสน...ใครก็ได้ เอายัยนี่ไปเก็บให้เขาทีได้ไหมเนี่ย?
“ชูยะซัง...น้ำกับยาแก้ปวดไหมครับ?” อาคุตางาวะที่รู้ว่าคนผมน้ำตาลส้มกำลังจะสติแตกหรืออย่างไรก็ไม่ทราบถามขึ้น
“ก็ดี” ชูยะตอบกลับไปเสียงแผ่ว
“ขอด้วยสิ อาคุตางาวะคุง” ดาไซเอ่ยขออีกคน
“ครับ” อาคุตางาวะพยักหน้ารับพร้อมส่งน้ำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนล่ะขวดพร้อมยาแก้ปวดคนล่ะเม็ด
“ให้ตายเถอะ...ปวดจิตได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ” หลังกินยาไปแล้วชูยะก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“นั้นสินะ” ดาไซพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย...ขนาดเขายอมรับได้แทบทุกอย่างยังปวดหัวแทบอยากเอาหัวโผล่พื้นตายนี่นะ และถ้าไม่ติดว่ากว่าจะโขกพื้นจนตายได้จริงๆ มันเจ็บเขาคงทำไปแล้ว
“คงได้แต่ปล่อยให้พวกนี้ไปตามกรรมล่ะครับ ส่วนพวกเรากระผมว่าไปหาที่หลบเถอะ” อาคุตางาวะเสนอความเห็นออกมาเมื่อตอนนี้ชิโกะเริ่มนึกคึก เสกของประหลาดออกมาเพิ่มอีก
“เห็นด้วย!” ชายหนุ่มทั้งสองลงมติเป็นเอกฉันท์ก่อนที่จะลากอาคุตางาวะออกจากวงต่อสู้ของหญิงสาวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ชิโกะต่อสู้...ไม่สิ เล่นต่อไปตามลำพัง
เวลาผ่านไปราวๆ ยี่สิบนาทีหลังจากที่สามหนุ่มปล่อยให้ชิโกะจัดการทุกอย่างคนเดียวแล้วหนีมานั่งเล่นไพ่รอ (?) หญิงสาวก็เดินมาหาสามหนุ่มเป็นเชิงว่าตนจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เธอยังจัดการได้สุดๆ จริงๆ” ดาไซที่โผล่หน้ามาดูผลงานของสาวเจ้าเอ่ยขึ้นมา...นอนอึดกันแบบไม่มีที่เก็บ (?) เลยแฮะ
“แล้วนี่ยังไม่ตายกันใช่ไหม?” ชูยะถาม
“ยัง ก็รู้นิว่าเราไม่ฆ่า...เว้นจะทำเราฉุนขาดจริงๆ อ่ะนะ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ
“...ถ้าเธอฉุนขาดจะเป็นไงหว่า?” ดาไซถามขึ้นมาลอยๆ ซึ่งแน่นอนคนจากกลุ่มมาเฟียอีกสองเองก็อยากรู้ไม่แพ้กัน
“ก็ไม่ต่างจากปกตินักหรอก...มั้ง?” ชิโกะเกาหัวตัวเองนิดๆ “ถ้าอยากรู้ก็ไปถามคิเสะ อาโอมิเนะ อิมาโยชิและคาซามัตสึเอาแล้วกัน สี่คนนั้นเคยเห็นตอนเราฉุนขาดน่ะ”
“...เธอหมายถึงใครบ้างเนี่ย? บอกเป็นลักษณะมาแทนเถอะ” ชูยะกรอกตาไปมา...ลืมหรือเปล่าว่าในกลุ่มที่ยัยนี่พามาเขาไม่รู้จักชื่อสักคนน่ะ!
“คนที่เหมือนโกเด้นสีเหลือง คนที่หายไปกับความมืดได้ผมน้ำเงิน คนผมดำที่หน้าตาเหมือนจิ้งจอกและคนผมดำตาสีครามที่ดูจริงจังหน่อยน่ะ” ชิโกะเอ่ย
“...อธิบายลักษณะคนแบบดีๆ แค่คนเดียวเลยแฮะ” ชูยะบ่นนิดๆ ในขณะที่ดาไซถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ส่วนอาคุตางาวะเอ๋อไปวูบหนึ่ง...แต่มันก็ทำให้พวกเขาพอเดาออกล่ะว่าหมายถึงใครบ้างเพราะที่บอกมาเนี่ยลักษณะเด่นทั้งนั้น
“ก็นะ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ “ที่เหลือพวกนายจะจัดการกับแก๊งนี้ยังไงต่อ...พวกฟอร์ทมาเฟียอย่างพวกนายคงต้องจัดการกันเองนะ ส่วนเรากับดาไซขอกลับก่อนล่ะหรือพวกนายจะปล่อยไว้แล้วกลับพร้อมกันก็ตามแต่”
“งั้นขอจัดการเก็บกวาดก่อนแล้วกัน ปล่อยไว้มีแต่จะยุ่งยาก” ชูยะกับอาคุตางาวะเลือกที่จะไม่กลับไปพร้อมหญิงสาวเนื่องจากสถานการณ์โดยรวมดูแล้วหากปล่อยพวกนี่ไว้อาจมีเรื่องลอยมาหาพวกตนอีก เพราะงั้นตัดไฟตั้งแต่ต้นลมดูท่าจะเป็นความคิดที่ดีกว่า
“โอเค” ชิโกะพยักหน้ารับกับคำตอบของอีกฝ่ายและ...
“แว๊ด! กลับดีๆ ไม่ได้เหรอ!?” ...เสกหลุมดำขึ้นที่ใต้เท้าตนและดาไซทำให้ไม่กี่วิต่อมาร่างของทั้งคู่ร่วงลงสู่เบื้องล่าง
“ได้ แต่เราอยากลองใช้วิธีวาปดูน่ะ” ชิโกะตอบ...ความจริงคือตั้งแต่หลุดมาในมิติต่างๆ แบบไม่ใช่เพราะบทที่ถูกเขียนนี้ยังไม่เคยลองใช้วาปกับตัวเองเลย เลยอยากลองบ้างแค่นั้นแหละ
“จะลองก็ลองคนเดียวเซ่! อย่าลากฉันมาเอี่ยวด้วยสิ!” ดาไซโวยลั่ย
“ไม่รู้ไม่ชี้” ชิโกะเมินเสียงโวยวายและเวลาเดียวกันนั้น...ทั้งคู่ก็ร่วงลงมายังปลายทางของหลุ่มดำทันที “โอ๊ะ? พอดีเป๊ะเลยแฮะ”
“หน้าห้องพอดี...สินะ?” ดาไซพอหลุดออกมาจากหลุมดำได้ก็มองไปรอบๆ ซึ่ง...ดูยังไงก็เป็นเดินของที่พักที่ไหนสักแห่งเป็นแน่
“อื้ม” ชิโกะพยักหน้ารับพลางหยิบกุญแจจากไหนไม่รู้ขึ้นมาไขประตู ซึ่งเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว...กลับพบเพียงความมืด ไม่มีไฟดวงใดภายในห้องที่ถูกเปิดไว้เลย “มืดแฮะ สงสัยหลับกันหมดแล้วแหง”
“คงงั้น” ดาไซเอ่ยอย่างไม่แปลกใจ...ก็เอาเจ้าจริงกว่าจะเดินทาง แก้ปัญหาเรื่องที่ชิโกะป่วนไปทั่ว (เสียเวลามากสุดตรงนี้แหละ) และเรื่องที่สาวเจ้าจัดการชาวบ้านก็กินเวลาไปมากแล้วนี่นะ “ว่าแต่...เธอนอนกับพวกนี้?”
“เปล่า ชูยะแยกห้องเราไว้อีกห้องน่ะ...จะแยกทำไมก็ไม่รู้ ยุ่งยากจะตาย” ชิโกะเอ่ย
“ฉันว่าชูยะทำถูกแล้วล่ะ” ดาไซกรอกตาไปมา...นี่รายนี่ลืมหรือเปล่าเนี่ยว่าผู้หญิงคนหนึ่งนอนกับผู้ชายอีกฝูงหนึ่งเนี่ยไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเอาเสียเลย “เอาเป็นว่าเธอไปนอนเถอะ วันนี้เอาเป็นว่าฉันจะฉันกลับก่อนล่ะ ถือว่ามาส่งแล้วนะ”
“แล้วไม่เอาอัตสึชิกลับเหรอ?” ชิโกะถาม
“เอ๊ะ?” ดาไซหลุดสีหน้าเหวอๆ ออกมา...เขานึกว่าอัตสึชิคุงกลับห้องพักตัวเองไปแล้วเสียอีก! “เธอรู้ได้ไงว่าอัตสึชิคุงยังไม่กลับไปน่ะ?”
“เราแอบติดเครื่องส่งสัญญาณไว้”
...เอาไปติดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยแม่คุณ!...
พอได้คำตอบแบบนี้ดาไซก็อดโวยแบบนี้ในใจไม่ได้จริงๆ “...งั้นเปลี่ยนใหม่...เป็นเดี๋ยวฉันนอนกับเพื่อนๆ เธอและอัตสึชิคุงที่นี่สักคืน ส่วนเธอก็ไปนอนซะเถอะ อย่าไปป่วนไหนอีกเลย”
“ก็ด้ายยย” ด้วยความขี้เกียจหรืออะไรก็ตามแต่ ชิโกะยอมพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วเดินไปประตูห้องข้างๆ หยิบกุญแจอีกดอกออกมาแล้วไขเปิดเข้าไปในอีกห้องแทน “งั้นราตรีสวัสดิ์”
“อื้ม ราตรีสวัสดิ์...” ดาไซโบกมือลาสาวเจ้า และเมื่อสาวเจ้าเข้าห้องพักตัวเองไปเรียบร้อยแล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “...เฮ้อ...ส่งข้อความบอกคุนิคิดะคุงเอาไว้ดีกว่าแฮะว่าอาจไม่ได้ไปทำงานพรุ่งนี้...มีแววโดนชิโกะลากเล่นด้วยต่อนี่สูงพอดูเลย”
...ถึงไม่อยากอยู่ก็คงโดนชิโกะตามแกล้งแหง...อิจฉาอัตสึชิคุงชะมัดที่ดวงดีไม่โดนชิโกะตามแกล้งในวันพรุ่งนี้เนี่ย!!!...
“เฮ้อ~~~~~” ดาไซถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ยามนึกถึงชะตากรรมที่ดูท่าจะหนีไม่พ้นในวันพรุ่งนี้
“นี่พวกนาย...” เสียงถามเบาๆ ดังออกจากปากชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงเรียกเด็กหนุ่มผมดำตาสีครามที่กำลังวอมท์ร่างกายเล่นเป็นการรับยามเช้าที่แสนสดใส...ในวันนี้สองหนุ่มจากฟอร์ทมาเฟียบวกอีกหนึ่งหนุ่มจากสำนักงานนักสืบนั่งเล่นภายในห้องพักของเหล่าหนุ่มบาสเนื่องจากโดนสาวเจ้าเพียงนางเดียวของกลุ่มลากให้อยู่ต่อตามคาด มีเพียงเด็กหนุ่มตาสีม่วงอำพันเท่านั้นที่ไม่โดนชิโกะแกล้งให้อยู่ต่อเพราะสัญญาณที่สาวเจ้าให้ไว้เมื่อวาน...
...หรือง่ายๆ คือตอนนี้ในสี่คนที่ชิโกะชอบแกล้งในมิตินี้...คนที่ไม่ต้องมารับชะตากรรมที่อาจโดนสาวเจ้าป่วนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้มีเพียงนายนากาจิมะ อัตสึชิเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ครับ?” เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกขานรับไปอย่างงงๆ ว่าอีกฝ่ายเรียกตนทำไม
“ได้ยินว่าเคยเห็นตอนชิโกะฟิวส์ขาด?” ชูยะเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“...ครับ” คาซามัตสึพยักหน้ารับ
“นี่...มันน่าสยองไหม? หรือพอๆ กับปกติ?” ดาไซที่อยากรู้เรื่องนี้เหมือนกันเกาหัวคนผมน้ำตาลส้มแล้วถามขึ้น
“อย่าถามแทรกสิวะ!” ชูยะหันไปถีบคนที่เกาะจนแทบทำให้ความสูงตกลดลง หากแต่เป้าหมายก็หลบได้อย่างทันทวนที
“เออ...” คาซามัตสึมองสองคนที่เริ่มทะเลาะกันด้วยอาการเหงื่อตกนิดๆ “...ขอไม่ตอบได้ไหมครับ? พอนึกถึงตอนนั้นมัน...สยอง”
“สยอง?” ชายหนุ่มทั้งสอง รวมทั้งเด็กหนุ่มปลายผมสีขาวที่นั่งเงียบๆ มาตลอดทวนคำพูดเมื่อครู่
“จะว่าไงดีล่ะครับ...แบบ...” คาซามัตสึยิ้มแห้งๆ คล้ายไม่รู้จะอธิบายเหตุการณ์ที่ตนประสบมาอย่างไร
“...รู้สึกราวบรรกาศรอบๆ หนักอึ้งแถมหนาวเสียน่าขนลุกขึ้นมาเฉยๆ อะไรแบบนี้แหละครับ” อิมาโยชิเมื่อเห็นศรีภรรยา (?) กำลังตกที่นั่งลำบากก็เอ่ยเสริมขึ้นมา
“ตอนโกรธนี่ชิโกจจิยังกับไม่ใช่ชิโกจจิเลย” คิเสะเมื่อได้ยินเรื่องนี้ถึงอดโอดครวญออกมาเบาๆ เพราะสมองดันไปคิดย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นเข้า
“พูดได้อย่างเดียวว่าบ้าๆ แบบตอนนี้ดีกว่าตอนโกรธเยอะ” อาโอมิเนะเอ่ยเสริมอีกคนพลางลูบหัวปลอบใจหมาน้อยสีเหลือง (?) ไป
“ขนาดนั้น?” ดาไซเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ...นี่ชิโกะสามารถน่ากลัวได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?
“ยิ่งกว่านั้นสิครับ” เด็กหนุ่มสี่คนที่ดวงกุดเคยได้ทัศนาความน่ากลัวของหญิงสาวที่ชื่อว่าชิโกะ อาคากิมาตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
“...” ดาไซนิ่งเงียบไปเล็กน้อย “งั้นอย่ารู้กันเลยดีกว่าแฮะ”
“เห็นด้วย” ชูยะไม่คิดว่าเหตุการณ์ที่ทำให้สี่คนนี้ทำหน้าราวกับสยองที่สุดในชีวิตแบบนี้จะเป็นการล้อเล่นหรอก
“ว่าไงว่าตามกันครับ” อาคุตางาวะพยักหน้ารับนิ่งๆ
“นี่~~~” หลังจากที่คุยกันเรื่องตอนที่สาวเจ้าเพียงนางเดียวของกลุ่มพิโรธเสร็จแล้ว เสียงร้องเรียกความสนใจแบบหลอนๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับ...ร่างที่ถูกม้วนในผ้าห่มราวโรตีก็กลิ้งมาหาเหล่าหนุ่มๆ เรียกสายตาแปลกใจจากชาวบ้านได้เป็นอย่างดี
“ทำอะไรน่ะชิโกะ?” มายุสุมิที่โผล่มากลางวงเมื่อไหร่ไม่รู้ถาม...ทำเอาคนโดยรอบสะดุ้งเฮือกกันเป็นแถว
“กลิ้งเล่น...เราเบื่ออ่ะ~~~” ชิโกะไม่ว่าเปล่ายังกลิ้งไปมาต่อเล่นอีก
“แล้ว?” มายุสุมิเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร
“หาอะไรมาให้เล่นหน่อย” ชิโกะเอ่ยหน้าตาเฉย
“จะหาอะไรให้เธอเล่นล่ะฟะ?” มายุสุมิกรอกตาไปมา
“เล่าเรื่องผีไหม?” ดาไซเสนอความเห็นขึ้นมา
“เสนอทำเพื่อ?” ชูยะค้อนใส่มนุษย์ผ้าพันแผลที่อยู่ๆ เสนอแบบนี้
“วันก่อนไปดูหนังผีกับอัตสึชิคุงมาและมันเกี่ยวกับตำนานเล่าเรื่องผีร้อยเรื่องพอดีน่ะ” ดาไซตอบ และคำตอบนี้เรียกเสียงถอนหายใจจากชูยะได้อย่างดี...สรุปคืออยากลองแบบในหนังว่างั้น?
“เออ...ไม่อยากขัดนะครับ แต่เรื่องผีกับยัยนี่อย่าเลยเถอะ” ฟุคุอิที่นั่งฟังห่างๆ มาตลอดเอ่ยขึ้นมา
“นั้นสิ” เหล่าหนุ่มบาสที่เหลือรีบสนับสนุนคำพูดของเด็กหนุ่มผมสีทองหม่นทันที
“ทำไมกันล่ะ?” ดาไซถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ก็เรื่องผีของยัยนี่แต่ล่ะเรื่อง...” ฟุคุอิเบ้หน้าน้อยๆ
“...มันเป็นเรื่องจริงที่ยัยนี่เคยเจอเสียส่วนใหญ่น่ะสิ” หลิวเอ่ยต่อด้วยสีหน้าผวานิดๆ
“จะเป็นนักล่าผีได้อยู่แล้ว เพราะงั้นอย่าเลยเถอะ” มิบุจิที่นับว่าเป็นหนึ่งในคนที่ดูมีความน่าเชื่อถือในกลุ่มหนุ่มบาสเอ่ยต่อ
“...” คราวนี้มาเฟียสองนักสืบหนึ่งถึงกับนิ่งเงียบไป...นี่แค่บ้าไม่พอใช่ไหม!? ยัยนี่ยังจะดึงดูดผีอีกเหรอ!?
“ไม่ได้เป็นสักหน่อย และเรื่องที่เราเล่าอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดด้วยนะ~~~” ชิโกะลากเสียงยาว “แต่เล่นเล่าเรื่องผีก็ไม่เลวนี่”
“ยังมีเรื่องให้เล่าอีกเหรอ!?” เหล่าเด็กหนุ่มบาสแว๊ดเป็นเสียงเดียวกัน...มีเรื่องเล่าเยอะไปไหม!?
“มี” ชิโกะตอบไปหน้าตาเฉย “ไม่ต้องห่วง คราวนี้จะเอาเรื่องที่ฟังจากคนในบ้านมาเล่าอีกทีแทนน่า”
“...รู้สึกเหมือนคิดผิดที่เสนอความคิดนี้แฮะ” ดาไซเริ่มรู้สึกว่าตนคิดผิดขึ้นมาตงิดๆ
“เพิ่งรู้ตัวเหรอ?” ชูยะแยกเขี้ยวใส่ ขณะเดียวกันนั้น...ไฟในห้องก็ดับพรึบไปในเวลาต่อมา “อะไร?”
“เราดับไฟเอง ไม่ต้องกลัว...ให้มันได้บรรยากาศเฉยๆ น่ะ” ชิโกะเอ่ยพลางเปลี่ยนจากที่กลิ้งไปมากับพื้นมาลุกขึ้นนั่งแทน
“...สรุปพวกกระผมต้องเล่นด้วย...ใช่ไหม?” อาคุตางาวะที่พอเดาชะตากรรมของตนต่อจากนี้ออกถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ถูก เพราะงั้นมานั่งล้อมวงเลย” ชิโกะกวักมือเรียกเป็นเชิงว่าให้มานั่งเร็วๆ
“...” ทางเหล่าหนุ่มๆ ทั้งหลายที่รู้ดีว่าขัดรายนี้ไปก็เท่านั้นมองหน้ากันเองเล็กน้อยก่อนที่จะพลางกันนั่งลงกับพื้นจนเกิดเป็นวงกลมขนาดใหญ่ขึ้น
“ใครเริ่มเล่าคนแรกดีล่ะ?” เมื่อทุกคนนั่งกันครบแล้ว ชิโกะก็ถามขึ้นมา
“ไอ้ดาไซเลย ข้อหาเป็นคนเสนอ” ชูยะโยนเรื่องไปให้ตัวต้นเหตุที่ทำให้ตนต้องมานั่งเล่าเรื่องผีทันที
“ไหงว่างั้นอ่ะ ชูยะ~~~” ดาไซลากเสียงยาวอย่างน่าถีบมากกว่าน่าสงสาร “ฉันไม่มีเรื่องจะเล่านะ~~~”
“ช่างหัวแกสิ” ชูยะสวนกลับไปทันควัน
“เออ...ผมว่าใช้วิธีหมุนขวดดีกว่าไหมครับ? ยุติธรรมดี” มิบุจิที่เห็นว่าชายหนุ่มสองคนภายในห้องกำลังจะทะเลาะกันแล้วรีบหาข้อเสนอขึ้นมาเพื่อยุติเรื่องวุ่นวายที่อาจจะตามมา
“ก็ได้ / ตามนั้นเลย!” ชายหนุ่มทั้งสองขานรับคำพูดของเด็กหนุ่มไปเนื่องจากขี้เกียดเถียงกันให้เสียเวลาเหมือนกัน
“งั้นสรุปใช้วิธีหมุนขวด” ชิโกะเสกขวดแก้วกลมๆ ออกมาแล้วจัดการหมุนกลางวงแบบไม่รอให้ใครตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น ขวดแก้วใบน้อยหมุนติ้วๆ อยู่กลางวงก่อนที่ความเร็วจะลดลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็หยุดลงที่... “อาหยา? คางามิคนแรกเลยแฮะ”
“ซวย” ...เด็กหนุ่มผมสีเพลิงผู้กลัวหมานั้นเอง
“หวังว่าเรื่องเล่าคราวนี้สุดท้ายไม่ใช่คุโรโกะอีกนะ” อิสึกิเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องตนเป็นคนได้เล่าเรื่องคนแรกก็เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้...ก็ทุกเรื่องที่เล่าล้วนมาจากเรื่องเข้าใจผิดว่าคุโรโกะเป็นผีตลอดนี่หว่า คุโรโกะเองก็เหมือนกันไม่รู้ว่าทำไมถึงกลายเป็นเรื่องผีกี่เรื่องกัน
“ไม่ทราบครับ อาจจะใช่ก็ได้” คุโรโกะที่เป็นดังตัวต้นเหตุเอ่ยหน้าตาย
“แต่ฉันโคตรหวังให้ผีในเรื่องนี่เป็นคุโรโกะเลย” คางามิบ่นขึ้นมาเบาๆ “เอ้าๆ มาเริ่มดีกว่า...เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งระหว่างเดินทางกลับบ้านฉันได้ยินเสียงเรียกชื่อลอยแว่วมาเบาๆ แต่เมื่อหันไปมองกลับไม่พบใครหรืออะไรอยู่ในบริเวณนั้นเลย เสียงเรียกก็ดังไม่หยุด”
“แล้วสุดท้ายแกทำไงวะบากะงามิ?” อาโอมิเนะถามขึ้น
“ใส่เกียร์หมาเผ่นกลับบ้านสิ จะอยู่เพื่อ?” คางามิตอบอย่างไม่มีอายแม้แต่น้อย
“หลอนใช้ได้แฮะ” ดาไซหัวเราะเบาๆ กับเรื่องเล่านี้
“เหรอ แต่ฉันว่าธรรมดาวะ” ชูยะทำหน้าไม่ยินดียินร้ายเท่าไหร่...ก็มาแค่เสียงจะกลัวอะไรล่ะ?
“สำหรับกระผมก็ถือว่าธรรมดาครับ” อาคุตางาวะเอ่ย...ถ้ามาแค่เสียงน่ะไม่เท่าไหร่หรอก
“...คางามิคุง...คุณเจอที่สวนสาธารณะใช่ไหมครับ?” คุโรโกะที่นั่งนิ่งมานานเอ่ยถามขึ้น
“ใช่...หรือว่า...” คางามิพอโดนถามแบบนี้ก็คิ้วกระตุกนิดๆ
“นั่นน่ะ...ผมเองครับ...” คุโรโกะเอ่ย
“กูกะแล้ว” คางามิแทบอยากเอาหน้าฟุบพื้นด้วยความโล่งใจปนกับปลงที่เดียว...โล่งใจที่ที่เขาเจอไม่ใช่ผี ส่วนปลงก็ปลงคู่หูตัวเองที่ทำตัวปานผีให้เขาหลอนได้ทุกวันเนี่ย
“กลายเป็นเรื่องผีเรื่องที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย?” อิสึกิที่กะไว้ว่าต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้วส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจ...ทำไมสุดท้ายลงอีกหรอบนี่ทุกรอบเลยวะ!?
“ไม่ได้นับครับ” คุโรโกะตอบกลับหน้าตาย
“แล้วตอนนั้นนายทำไมไม่โผล่มาฟะ?” คางามิถามต่อ...ตอนนั้นทำเอาเขานึกว่าผีและหลอนไปหลายวันเลยนะเฟ้ย!
“ติดบนต้นไม้ ลงไม่ได้ครับ...กว่าจะลงมาได้ก็ตอนฟุริฮาตะคุงมาช่วยผมนั้นแหละ” คุโรโกะเอ่ย
“อ๋อ ตอนนั้นน่ะนะ?” ฟริฮาตะเอ่ยเหมือนเพิ่งนึกออกเป็นตัวยืนยันว่าเป็นดั่งที่คุโรโกะว่าจริงๆ
“ปีนขึ้นไปทำไมล่ะนั้น?” อิสึกิคุมขมับ...เขาไม่คิดว่าอย่างคุโรโกะจะแค่อยากปีนขึ้นไปเล่นเฉยๆ หรอก
“โดนแมวขโมยของเอาไปไว้บนต้นไม้เลยตามขึ้นไปเอาครับ” คุโรโกะตอบ
“สรุปเรื่องของคางามิผีคือคุโรโกะสินะ” ชิโกะสรุปง่ายๆ สั้นๆ “มาต่อดีกว่า...ใครจะโดนคนต่อไปเอ๋ย?”
“ขอไม่ให้ไม่โดนพวกฉันแล้วกัน” ดาไซเอ่ย...ก็เขาไม่มีเรื่องผีให้เล่าจริงๆ นี่หว่า ถ้าโดนขึ้นมาไม่รู้จะเล่าอะไรเลย และเขาว่าชูยะกับอาคุตางาวะก็พอกันแหละ
“แล้วแต่ดวง” ชิโกะเอ่ยพลางทำการหมุนขวดอีกรอบ ซึ่งผลที่ได้คราวนี้...ปากขวดมาหยุดที่ตัวคนหมุนเองนี่แหละ “โอ๊ะโอ๋? โดนเราเองแฮะ”
“ฉันเตรียมอุดหูก่อนได้ไหม?” คางามิเบ้หน้าน้อยๆ ...เขาไม่ถูกกับเรื่องผีนะ! นี่ก็ขยันเอาเรื่องผีมาให้เขาฟังจัง! ถึงแม้ก่อนหน้านี้ในโลกก่อนๆ ยิ่งกว่าเรื่องผีอีกก็เถอะ...
“ไม่ได้จ้า” ชิโกะปฏิเสธทันควัน “ไม่ต้องห่วงน่า เราบอกแล้วไงว่าคราวนี้จะเล่าเรื่องที่ฟังมาจากคนในบ้านน่ะ”
“แต่มันคงน่าสยองพอกันนั้นแหละ!” เหล่าหนุ่มบาสเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน...ไอ้เรื่องเล่าของรายนี้มั่นใจได้เลยว่าหลอน!
“ไม่รู้สินะ” ชิโกะหัวเราะคิกคักกับท่าทางของเหล่าเด็กหนุ่ม
“ทำไมเริ่มลางไม่ดี?” ชูยะมองสาวเจ้าแล้วคิ้วกระตุกนิดๆ
“นั้นสิ” ดาไซพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“กับชิโกะเคยทำให้รู้สึกว่ามีลางดีด้วยเหรอครับ?” อาคุตางาวะเอ่ยขึ้นมา
“เออแฮะ” ชายหนุ่มทั้งสองพอได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที
“แหม อย่าว่างั้นกันสิ~~~” ชิโกะหัวเราะหึๆ ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องของตนด้วยความอยากแกล้งคนกลัวผีมากกว่าจะแก้แค้นที่อาคุตางาวะว่าตน “เราขอเริ่มเล่าเรื่องเลยนะ...เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดกับพ่อเรา แต่เพื่อความง่ายในการเล่าเราของแทนชื่อพ่อเราว่า T นะ”
“ตามใจเถอะ” ชูยะตอบรับไปส่งๆ ...ยังไงๆ เขาก็ไม่ค่อยกลัวผีอยู่แล้ว จะเล่ายังไงก็ช่างเถอะ
“โอเค งั้นต่อเลย...เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่ง T ซึ่งตอนนั้นอยู่ป.สองได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านญาติกับครอบครัวและค้างบ้านญาติหนึ่งคืน ในช่วงกลางวัน T ก็เล่นไปทั่วตามประสาเด็กทั่วไปและได้ขึ้นไปเล่นยังห้องใต้หลังคาของบ้านแล้วเกิดไปเห็นห่อผ้ากลมๆ เลยหยิบมาเล่น จากนั้นพอตกดึก T เกิดนอนไม่หลับเนื่องจากนอนผิดที่ก็เลยลุกขึ้นมานั่งเล่นแล้ว...” ชิโกะพยายามทำเสียงเนิบๆ ให้ชวนหลอนกันเล่น “...T ก็เห็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่คุ้นหน้านั่งอยู่ที่ข้างๆ ตู้เสื้อผ้า T ก็เลยถามไปว่านั้นใคร หากแต่เด็กคนนั้นไม่ตอบแต่หนีไปหลังตู้แล้วค่อยๆ โผล่หัวมามองจากบนหลังตู้...แต่เท้าของเด็กคนนั้นยังคงอยู่กับพื้นที่หลังตู้”
“เดี๋ยวนะ...อยู่หลังตู้แล้วทำไมเห็นเท้า?” มิบุจิถามแทรกขึ้นมา
“มันเป็นตู้ขาสิง (หมายถึงตัวตู้ยกสูงจากพื้น...ถ้านึกภาพไม่ออกนึกถึงขาตั่งไว้แล้วกันจ้า) น่ะ” ชิโกะตอบไป
“อ๋อ” มิบุจิพยักหน้ารับเชิงเข้าใจ
“ต่อนะ จากนั้น T ก็ร้องจ๊ากจนคนตื่นทั้งบ้าน ทางยายของ T ก็เหมือนจะรู้เรื่องทั้งที่ไม่มีใครอธิบายให้ฟังก็ตะโกนไปว่า ‘อย่าแกล้งหลานสิ! หลานมันกลัว!’ จากนั้นร่างของเด็กคนนั้นก็หายไป T ก็มารู้ทีหลังว่าเด็กคนนั้นคือน้องชายของทวด เอ้ย! ยายที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก ส่วนที่รายนั้นโผล่มาให้ T เห็นเพราะดันไปเล่นไอ้ห่อกลมๆ นั้นหรือก็คือกะโหลกเขาที่ถูกเก็บไว้ในบ้านนั้นเอง จบ” ชิโกะเล่าต่อแบบรวดเดียวจนจบ
“...หลอนวะ” คางามิกระดืบๆ ไปหลบหลังคนผมฟ้าที่ดูสนใจเรื่องเล่าของสาวเจ้ามากมาย
“เฮ้ คืนนี้ใครก็ได้นอนกับฉันทีนะ” อาโอมิเนะกับคิเสะที่กลมกันกลมชวนจิ้น (?) เอ่ยขึ้นมา
“เออๆ” ทางคนที่ไม่ค่อยกลัวผีเท่าไหร่ขานรับไปส่งๆ ทางคนกลัวผีก็พยายามจับกลุ่มกันไว้ราวกับกลัวว่าผีในเรื่องเล่าอีกฝ่ายจะโผล่มาเสียอย่างนั้น
“หลอนได้ใจจริง” ชูยะเกาหัวตัวเองนิดๆ ...จะว่าน่ากลัวก็ใช่อยู่ แต่นึกภาพเทียบกับตอนยัยชิโกะป่วน...
...เขาว่ายัยชิโกะน่ากลัวกว่าเยอะ อย่างน้อยผีน่ะแค่ทำให้ตกใจแป๊บๆ หาย ส่วนยัยชิโกะป่วนทีนี่ปวดจิตแบบติดแน่นทนนานแถมอาจโดนแกล้งอีก
“น่ากลัวเกินนะ” ดาไซที่เอาผ้าห่มจากไหนไม่รู้มาคลุมหัวเอ่ย
“ก็นะ...” ชิโกะที่มองท่าทางของหนุ่มๆ แต่ล่ะคนหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจ และ...
ครืน...
“เสียงอะไร?” ...ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมาทำให้ทั้งห้องสะดุ้งโหยงพลางหันซ้ายหันขวาหาต้นเสียง
“อ่ะโอ๋? รู้สึกมีเรื่องมาขัดจังหวะการเล่นของเราแล้วสิ” ชิโกะเอ่ยพร้อมโดดหลบไปบนตู้และ...ไม่กี่วินาทีต่อมาก็เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ขึ้นที่กลางห้องทำให้เหล่าหนุ่มบาสร้องเสียงหลงก่อนที่จะร่วงลงภายในหลุมดำนั้น ส่วนทางชูยะ ดาไซและอาคุตางาวะนั้นกลุ่มดำนั้นกลับเว้นที่ไว้ให้ทั้งสามนั่งอยู่อย่างน่าประหลาด
“ชิโกะ! นี่มันอะไรห๊า!?” ชูยะแว๊ดลันพร้อมพยายามทำตัวลีบๆ เข้าไว้ราวกับกลัวตกลงไปในหลุมดำแปลกๆ นี่
“ไม่มีอะไร แค่หลุมมิติโผล่มาส่งเราไปมิติต่อไปแล้วล่ะ” ชิโกะเอ่ยอธิบาย “ไปก่อนล่ะ! แล้วคราวหน้าจะมาเล่นด้วยใหม่นะ!”
“ไม่ต้องมาเลยยัยบ้า!” ชูยะเอ่ยไล่...ที่จริงถ้าเป็นไปได้เจ้าตัวอยากสาดเกลือไล่เลยด้วยซ้ำ
“จะมา! ไม่สนคำค้านหรอก!” ชิโกะแล่บลิ้นใส่พลางกระโดดลงไปในหลุมดำ และเมื่อสาวเจ้าลงไปแล้วหลุมดำก็ค่อยๆ หดตัวลงแล้วหายไปในที่สุด
“ให้ตายเถอะ...” ชูยะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ...มั้ง
“เออ...ชูยะซัง...” อาคุตางาวะเอ่ยเรียกคนผมสีน้ำตาลแดง
“อะไร?” ชยะถามกลับ
“บนหัว...” อาคุตางาวะชี้ไปที่บนหัวอีกฝ่าย
“หื้อ?” ชูยะลองยกมือจับหัวตัวเองและสัมผัสได้ถึงวัตถุนุ่มๆ บนหัวตนจึงรีบลุกไปคว้ากระจกมาส่องหน้าตัวเองในเวลาต่อมา...ซึ่งภาพที่สะท้อนออกมาคือภาพใบหน้าตนที่บนหัวมีหูแมวเพิ่มเติมขึ้นมา... “ยัยชิโกะ! ไปแล้วก็ไม่วายแกล้งกันอีกเนอะ!!! แล้วจะแก้ไงฟะ!?”
...ไม่ต้องคิดให้เปลื้องสมอง ชูยะก็รู้ได้ว่านี่เป็นฝีมือใคร
“ฉันว่าฉันรู้นะ” ดาไซที่เอาจดหมายจากไหนไม่รู้มาอ่านกระตุกยิ้มน้อยๆ แล้วขย้ำจดหมายนั้นทิ้งก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปอุ้มตัวคนที่กำลังจะอาละวาดเพราะมีหูแมวงอกขึ้นมาบนหัวด้วยท่าเจ้าหญิง “เพราะงั้นไปกันเถอะชูยะ”
“เฮ้ย! แกจะพาฉันไปไหน!?” ชูยะแว๊ดลั่นพลางเอามือดันหน้าคนที่อุ้มตนไว้
“ไปที่ที่มีเราแค่เราสองคนไง” ดาไซยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจก่อนที่จะพาคนผมน้ำตาลส้มเข้าส่วนที่ใช้เป็นห้องนอนไป
“โชคดีนะครับ ชูยะซัง” อาคุตางาวะที่เดาชะตากรรมของชูยะออกเอ่ยก่อนที่จะรีบหนีออกจากห้องนี้ด้วยความเร็วแสงด้วยความที่ไม่อยากฟังเสียงน่าอายของใครบางคนและไม่อยากกลายเป็น กขค. นั้นเอง
TBC.
ช่วงตอบเม้นจ้า!
A.Linz ซัง : แน่นอน เราไม่พลาดหรอกกกก
กุหลาบสีดำ นิรนามทมิฬ ซัง : ได้เลยจ้า!!! (#จับไททันมาทอดให้กิน)
เนตรราชันย์มังกร ซาจิ ซัง : กลับมาให้เราแกล้งก่อนนนนนน
เนื่องจากบางเรื่องอาจมีเชื่อมต่อกับที่เราเคยพิมพ์ที่อื่นด้วย เพราะงั้นในตอนไหนเป็นเรื่องที่เราเคยลากมาแสดง (?) เราจะลงลิกท์ (ใส่ลิทในข้อความนะ) เรื่องที่เคยพิมพ์ไว้นะจ๊ะ
เว็บ Ded-D
: [Fic Bungou Stray Dogs] Undou
เว็บ จอย ลดา (แนะนำถ้าจะอ่านอันนี้โหลดแอปอ่านในมือถือดีกว่า
ความคิดเห็น