คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #220 : [???] ไวรัส 9 END
Title : ไวรัส 9
Fandom : Kuroko no Basket , Servamp , ???
Paring : All + Shiko
Notes : หมดมุขจ้า เลยขอเขียนเรื่องยาวอีกแล้ว555 มีความมั่วความมึนความงงเหมือนเดิม กรุณาทำใจก่อนอ่าน
ปล. ในคราวนี้พวกหนุ่มบาสอาจกลายเป็นตัวปลากรอบ (?)
ปลล. ในคราวนี้จะมีเรื่องอื่นมาแจมเยอะพอดูและคงอธิบายรายละเอียดตัวละครต่างๆ ไม่ละเอียดนัก (ขอโทษด้วยนะ ไม่รุ้จะบรรยายไงอ่ะ) เพราะงั้นควรไปศึกษาตัวละครและเรื่องย่อคราวๆ ของเรื่องพวกนี้ก่อนอ่านด้วยจ้า จะเอามาเขียนตามลำดับเลย
- Touken Ranbu
- Kekkai Sensen
- Gokuto Jihen (เป็นเกมRPG สยองขวัญ มีเป็นมังงะ)
- Attack on Titan (ผ่านมาแล้ว)
- Durarara!!!
- Bungou Stray Dogs
- Servamp
.....................................................................................
ไวรัส 9
เช้าอันแสนสดใสเหล่าหนุ่มๆ กำลังนั่งเล่นบ้างกลิ้งเล่น (?) บ้างภายในห้องตามประสา มีวุ่นวายกันนิดๆ บ้างตามความบ้าของคนในห้องแต่โดยรวมก็ไม่มีอะไร...ตราบใดที่คนสุดป่วนยังไม่มาล่ะนะ...
“ไง พวก...” ...ว่าแล้วหญิงสาวที่อยู่ห้องข้างๆ ก็เปิดประตูเข้ามาหาอย่างไม่มีแม้แต่จะเคาะประตูสักนิด
“ไง...วันนี้ตื่นเร็วนิ” มิโดริมะทักหญิงสาวที่ในวันนี้ตื่นเองตามเวลาปกติแล้ว ไม่ได้นอนยาวเหมือนซ้อมตายดั่งเช่นเมื่อวาน
“ก็นะ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ พลางมองสามคนในกลุ่มที่ขอบตาดำเป็นแพนด้า “แล้วนี่ไหงขอบตาดำแบบนั้นล่ะ?”
“เพราะเธอนั้นแหละ” คางามิที่เป็นคนที่กลายเป็นแพนด้าบ่นงึมงำ
“หื้อ? เราทำไมเหรอ?” ชิโกะทำหน้างงๆ ...จำได้ว่าเมื่อคืนไม่ได้ไปแกล้งอะไรหมอนี่นี่หว่า?
“ก็เมื่อคืนเธอดันไม่รู้คุยกับใครคนเดียวนี่หว่า” คางามิตอบ
“แสงก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี มีแต่เสียงคุยหลอนๆ แว่วมาเป็นใครก็นอนไม่หลับล่ะวะ” อาโอมิเนะที่เป็นอีกคนที่ขอบตาดำเอ่ย
“ส่วนฉันมัวปลอบสองคนนี้อยู่” มาฮิรุที่สภาพไม่ต่างกับสองคนแรก แต่สาเหคุการมาของขอบดำใต้ตาต่างกันถอนหายใจออกมาเบาๆ “แล้วตกลงเมื่อคืนเธอคุยกับใครล่ะนั้น?”
“อ๋อ แซมน่ะ” ชิโกะตอบ และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือสีหน้างงๆ ของเหล่าหนุ่มบาส “คนที่ใส่ผ้าปิดตาในห้องสึบากิตอนที่เรามากันวันแรกไง”
“อ๋อ” หนุ่มบาสแต่ล่ะคนพยักหน้ารับหงึกๆ “แล้วไหงถึงมาคุยกับเธอได้ล่ะนั้น?”
“หมอนั้นมาหาสึบากิน่ะ แต่บังเอิญสึบากิหลับไปแล้วก็เลยจะกลับ...เราเห็นว่าหมอนั้นไหนๆ ก็มาแล้วเลยลากไปคุยเล่นกันเลยน่ะ” ชิโกะอธิบาย
“แซมนะแซม...บอกแล้วว่าไม่ต้องมา...” สึบากิกรอกตาไปมาเมื่อรู้ว่าคนของตนโผล่มาเมื่อคืนนี้แถมอาจได้รับความบ้าจากชิโกะไปแล้วเสียด้วย
“บูชานายขึ้นหิ้งแบบนั้นยังไงก็คงมาดูว่านายอยู่ดีอยู่หรือเปล่าเหมือนเดิมแหละ” ชิโกะสวนกลับทันควัน
“พูดซะเห็นภาพเลย...” ซาคุยะนึกภาพออกเลยว่าหากแซมเอาสึบากิขึ้นหิ้งได้คงทำไปแล้วแหง...ทุกวันนี้ที่จริงก็แทบเป็นงั้นแล้วนี่นะ
“แต่ยังดี...ที่เธอไม่ได้คุยกับผี...” คางามิเสือน้อยผู้กลัวผี (?) ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“คราวก่อนไปโลกวิญญาณมากแล้วเนี่ยไม่ทำให้หายกลัวน้อยลงเลยเหรอจ๊ะ?” ชิโกะแซวเล็กน้อย
“ไม่ และไอ้คราวนั้นมาสภาพคนดีๆ เพราะงั้นไม่นับ” คางามิตอบกลับหน้าตาเฉย...คราวนั้นมันแทบไม่ให้ความรู้สึกว่าเป็นผีเลยนี่หว่า
“นี่ไปมากระทั้งโลกของผีเหรอเนี่ย?” มาฮิรุบ่นออกมาเบาๆ
“ก็ตามนั้น” ชิโกะฉีกยิ้มร่า
“ข้าว่าอย่ามาเถียงกับนางให้เหนื่อยเลย ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวเช้ากันเถอะ” ฮิวที่เห็นท่าว่าปล่อยให้เถียงกันนานกว่านี้อาจมีใครเผลอไปกระตุกต่อมบ้าของสาวเจ้าแล้วความวายวอดจะตามมาเลยเอ่ยขัดขึ้น
“โอเค / จ้า / อื้ม” ทุกชีวิตภายในห้องขานรับไปก่อนที่จะแยกย้ายไปอาบน้ำกัน แล้วค่อยกลับมาทานมื้อเช้าที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายตามคาดเมื่อทานกันเสร็จและพนักงานในโรงแรมต่างมาเก็บจานชามเรียบร้อยแล้ว คราวนี้แต่ล่ะคนก็ได้นั่งคุยหรือกลิ้งเล่นกับพื้นกันไปด้วยความที่ว่าไม่รู้จะทำอะไรกันดี
“มาเล่นไพ่กันไหม?” โลวเลสที่ทนความน่าเบื่อนี่ไม่ไหวเอาไพ่มาจากไหนไม่รู้ถามขึ้นมา
“ดี / ตามใจเถอะ” แต่ล่ะคนที่ไม่มีอะไรทำต่างขานไปกัน พอได้รับคำตอบโลวเลสก็แจกไพ่และเริ่มเกมทันที...จากนั้นเมื่อผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง...
“...ฉันชนะ” คุโระทิ้งไพ่ในมือให้ทุกคนดู
“อา! นี่ซังอีกแล้วเหรอ!?” โลวเลสที่เป็นตัวต้นคิดแทบอยากเอาไพ่ในมือโยนทิ้งเลย...นี่เก่งไปไหม!? ชนะสิบรอบติดเนี่ย!
“นี่พี่ชายจอมเกียจคร้านเก่งเกินไปไหม!?” สึบากิโอดครวญ
“ดวงดีจนน่ากลัวเลยวุ้ย!” เบลเกียเบ้หน้าน้อยๆ
“เซ็งแฮะ” ทาคาโอะทำปากจู๋
“สามตาติดแล้วนะ...” ฮายามะบ่นอุบอิบ
“นีทขั้นเทพแบบฉันชนะก็ไม่แปลกหรอก” คุโระเอ่ยด้วยท่าทางเฉื่อยชาตามประสา
“ไม่เกี่ยวกันหรอกเฟ้ย!” มาฮิรุตบหัวคุโระไปหนึ่งที
“ว่าแต่นี่เมื่อไหร่จะไปที่อื่นกันเนี่ย?” สึรุงิหันไปถามสาวเจ้าที่เซ็งกับไพ่ในมือตัวเอง
“จะว่าไปก็จริงแฮะ” ยูมิคาเงะหันมาสนใจประเด็นที่สึรุงิเปิดขึ้นมาอีกคน
“คราวนี้จะกี่วันกันนะ~” คิเสะลากเสียงยาว...ก็แต่ล่ะที่ที่พวกเขาไปกว่าจะเดินทางไปที่อื่นไม่เท่ากันสักที่เลยนี่นา
“ไม่รู้ส...” ชิโกะที่กำลังอ้าปากตอบอยู่ๆ ก็ชะงักกึกไป
“เป็นอะไรไปชิโกะ?” ฟุริฮาตะมองคนที่ชะงักไปอย่างแปลกใจ
“อื้ม ความรู้สึกนีมัน...” ชิโกะควักมือถือของตนออกมาพิมพ์บางอย่างและ...จากนั้นก็มีบางสิ่งปรากฏขึ้นมากลางอากาศ ร่วงลงสู่มือของชิโกะพอดีเด๊ะ “...บิงโก! ตามคาด!”
“เอ๊ะ? นี่มันเครื่องหลักของเธอนิ?” ฟุริฮาตะที่จำไอ้เครื่องแท็บเล็ตเจ้ากรรมที่ทำเอาตนซวยทุกครั้งได้ดีเอ่ย
“ถูก!” ชิโกะยิ้มร่าพลางเปิดเครื่องแล้วเริ่มพิมพ์อะไรสักอย่างดู “ดูสิ...ว่าใช้ได้ไหมเอ๋ย~~~~”
“ชะแว๊กกกกก!!!” ทันใดนั้นก็เกิดหลุมดำขนาดใหญ่แทนที่พื้นภายในห้อง ทำให้ทุกชีวิตร่วงลงสู่เบื้องล่าง
“เดี๋ยวสิยัยชิโกะ! พวกฉันเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย!?” มิโซโนะร้องลั่นเมื่อพวกตนเองก็ตกลงมาในหลุมดำของหญิงสาวเช่นกัน
“ดึงพวกฉันมาด้วยทำไม!?” เบลเกียแว๊กลั่น
“ชิโกะเว้ย! ยัยชิโกะ!!!” ยูมิคาเงะแทบอยากส่งเท้าถีบสาวเจ้าเสียทีจริงๆ ...จะเอาพวกเขามาด้วยทำไมเนี่ย!?
“...โทษที เราลืมตัดพวกนายออกน่ะ ปกติเราเหมารวมคนที่รู้จักทั้งหมดมาด้วยเลยลืม” ชิโกะส่งยิ้มแห้งๆ ให้พวกที่กำลังโวยวายขณะที่เริ่มเห็นปลายทางของหลุมดำและ...
โครม!!!
“เหวอ!” ...เสียงตกลงสู่พื้นก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงพร้อมกับเสียงร้องของใครบางคนที่กลุ่มหนุ่มสาวร่วงลงมาตรงหน้าพอดี “พ...พวกเจ้า!?”
“ดูท่าจะใช้ได้จริงๆ แล้วแฮะ” ชิโกะที่เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ลงพื้นได้โดยสวัสดิภาพมองไปรอบๆ ก่อนที่จะมาหยุดที่ร่างชายหนุ่มผมสีเขียวที่คุ้นตาดี “โย่! ฮิสะมารุ! สบายดีไหม!?”
“จะสบายดีมากถ้าเจ้าไม่โผล่มาเนี่ย!” ฮิสะมารุรีบไปหลบหลังเสาทันที สีหน้าก็บ่งบอกถึงความที่ไม่อยากเจอรายนี่ขนาดไหน
“เกิดอะไรขึ้นน้องชาย...เสียงดังเชี...” ชายหนุ่มผมสีเหลืองอ่อนที่ได้ยินเสียงโวยวายและเดินตามมาดูถึงกับชะงักเมื่อเห็นคนจำนวนมาก...ที่ส่วนหนึ่งคือคนที่ตนรู้จักส่วนอีกส่วนคือคนที่ตนไม่เคยเห็นหน้าเลย แต่ก็คงไม่เป็นอันตรายอะไรตราบใดที่มากับสาวเจ้าผู้แสนบ้าล่ะนะ “...อาหย่า? ไง มากันอีกแล้วเหรอ?”
“ตามที่เห็นแหละจ้า!” ชิโกะขานรับอย่างเริงร่า
“เป็นไง ข้ามมิติสนุกไหม?” ฮิเกะคิริถามอย่างใจเย็น ต่างจากผู้เป็นน้องที่ดูจะอยากหนีเต็มแก่แล้ว ติดแต่ว่าหากหนีคงไม่พ้นการโดยตามแกล้งเป็นแน่
“ไม่รู้จะว่าไงเหมือนกัน” ชิโกะที่เป็นพวกเล่าหรืออธิบายเป็นคำพูดไม่เก่งนัก โดยเฉพาะเรื่องที่เพิ่งเจอมาไม่ถึงเดือนสะบัดมือน้อยๆ และ...แท็บเล็ตสีราวหินอ่อนเครื่องหนึ่งก็ร่วงลงมาใส่มือฮิเกะคิริ “เอานี่ไปเปิดดูเองแล้วกัน”
“นี่คือ?” ฮิเกะคิริมองสิ่งที่อยู่ในมือตนอย่างงุนงง
“แท็บเล็ตสำหรับดูอดีต...ลงวันเวลาที่ต้องการดูหรือลงว่าย้อนหลังกี่วันก็ได้ แล้วพิมพ์ชื่อของคนที่อย่างรู้ว่าผ่านอะไรมาบ้าง เพื่อดูเหตุการณ์ในอดีตน่ะ พอดีเราขี้เกียจอธิบาย” ชิโกะเอ่ย “ไปก่อนล่ะ! เราต้องกลับไปจ่ายค่าโรงแรม!”
“เดี๋ยวสิ! พาพวกฉันกลับไปด้วยสิยัยบ้า!!!” โลวเลสที่กลายเป็นเม่นเนื่องจากที่ที่ตนตกมาเป็นกลางแจ้งและมีแดดด้วยโวยลั่นใส่คนที่เปิดหลุมดำแล้วโดดเข้าไปในนั้น
“ไม่ทันแล้วล่ะ” เจเจในสภาพงูเอ่ยเสียงแผ่ว
“กลับมาอีกทีค่อยทวงก็ได้มั้ง” คุโระที่กลายเป็นแมวเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
“หวังว่านางจะไม่ลืมเอาเรากลับโลกเดิมจริงๆ นะ ไม่งั้นไม่รู้จะทำไงเลยแน่” ฮิวในร่างค้างคาวถอนหายใจออกมาเบาๆ
“นั้นสินะครับ” ลิลลี่ในร่างผีเสื้อเอ่ยอย่างเห็นด้วยก่อนบินไปเกาะหัวมิโซโนะ...และก็โดนปัดออกตามเสต็ป
“ให้ตายเถอะ ยัยนั่น...” ซาคุยะคุมขมับอย่างปลงกับความซวยของตนเองที่ดันโดนลูกหลงซะได้
“คนพวกนี่...” ฮิสะมารุมองเหล่าคนที่ตนไม่รู้จักเป็นเชิงถาม...ถึงแม้ความจริงคนทั่วไปควรตกใจเรื่องสัตว์พูดได้ก็เถอะ แต่ในที่นี่ใช่ว่าไม่มีสัตว์ที่พูดได้เสียหน่อยเพราะงั้นประเด็นคำถามเลยเปลี่ยนเป็นเรื่องนี้แทน
“คนดวงซวยที่โดนชิโกะแกล้งเหมือนพวกเราไง!” เหล่าหนุ่มบาสตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงแบบสั้นๆ แต่ก็ทำให้คนถามเข้าใจได้ไม่ยาก
“ชัดเจน...” ฮิสะมารุทำหน้าปลงสุดชีพพร้อมรู้สึกเห็นใจคนอีกกลุ่มที่โดยสาวเจ้าแกล้งเสียจริง
“น่าๆ อย่าปลงสิน้องชาย...” ฮิเกะคิริตบบ่าปลอบ “...เอาเป็นว่าข้าไปรายงานนายท่านก่อนนะ พวกปิโยะมารุก็พาพวกนี่ไปที่ห้องโถงก่อนแล้วกัน”
“ฮิสะมารุต่างหากท่านพี่!” ฮิสะมารุเอ่ยแก้ชื่อตนตามปกติ ขณะที่ฮิเกะคิริเผ่นแว่บไปรายงานถึงการมาของผู้มาเยือนจากต่างมิติกับนายตน
“ยังโดนเรียกผิดเหมือนเคยเลยนะครับ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มแห้งๆ ให้คนที่เริ่มหงอยเพราะโดนพี่ตัวเองเรียกผิด
“ก็นะ...ข้าควรชินสินะ...” ฮิสะมารุเอ่ยเสียงแผ่วก่อนที่จะพาแขกทั้งหลายไปยังห้องโถงเพื่อให้อธิบายเรื่องทั้งหมดกับนายท่านของตนที่จะต้องเดินไปรอที่นั้นหลังจากได้รับรายงานแน่นอน
“เอาง่ายๆ คือพวกท่านถูกลืม...สินะ?” หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจากผู้มาเยือนในคราวนี้ เด็กหนุ่มผมเงินผู้เป็นนายใหญ่ของเรือนแห่งนี้ถึงกับเห็นใจคนที่ถูกลืมจริงๆ ...อยู่กันดีๆ แท้ๆ โดนลากมาซวยเสียได้
“ตามนั้นเลยครับ” มาฮิรุที่ปกติสุดในกลุ่มที่โดนลากมาเอ่ย ดวงตาสีน้ำตาลมองทุกคนที่น่าจะอาศัยในเรือนนี้ที่ถูกลากเข้ามาภายในห้อง...ดูท่าคนที่อาศัยที่นี่จะเยอะกว่าที่คิดแฮะ
“แล้วไอ้เครื่องนี่นางเอาไว้ให้ดูอดีตเล่นๆ ไปพลางสินะ?” ซานิวะหนุ่มถามพลางมองของที่ก่อนหน้านี้ฮิเกะคิริเอามาให้
“ครับ” เหล่าผู้มาจากต่างโลกตอบรับไป
“...มันใช้ยังไงเนี่ย?” ซานิวะเอานิ้วจิ้มๆ เครื่องตรงหน้า
“เห็นว่าให้ตั้งเวลาเอา” อาคาชิตอบพลางชี้ที่เครื่องแท็บเล็ตตรงหน้าคนผมเงิน “ว่าไปแล้วก็ขอลองใช้หน่อยแล้วกัน”
“งั้นเอาไปเลย ข้าใช้ไม่เป็น” ซานิวะเอ่ยอย่างอายๆ นิดๆ พร้อมหยิบเจ้าเครื่องตรงหน้าให้เด็กหนุ่มผมแดง...ก็นอกจากของใช้ประจำวันเขาแทบไม่ยุ่งกับเทคโนโลยีอย่างอื่นเลยนิ
“จะเอาช่วงเวลาไหนล่ะ?” ฟุริฮาตะยื่นหน้ามาดูอย่างสนใจ
“ฉันอยากลองดูช่วงที่ชิโกะโกรธ...” อาคาชิเอ่ยหน้าตาเฉย
“อย่านะเฮ้ย! หลอนนะนั้น!” อาโอมิเนะพอได้ยินแบบนี้ถึงกับรีบห้าม...นึกถึงเมื่อตอนนั้นแล้วเขายังหลอนอยู่นะเฮ้ย!!!
“ใช่! หลอน! อย่าเลย!” คิเสะที่มีอาการไม่ต่างกันเอ่ยสนับสนุน
“เจอครั้งเดียวฉันก็ขอบายทั้งชาติแล้ว...” คาซามัตสึเบ้หน้านิดๆ
“หลอนจริง ไรจริงเลยล่ะ” อิมาโยชิเกิดอาการเหงื่อตกอย่างหาชมได้ยากยิ่ง
“ยัยนั้นโกรธแล้วเป็นไงหว่า?” จุนอิจิโร่บ่นพึมพำขึ้นมาเบาๆ
“เหมือนตอนว่าเรื่องความสูงมั้ง” โลวเลสในร่างเม่นรู้ว่าสาวเจ้าที่ตนเอ่ยถึงมีปมเรื่องนี้เอ่ย
“ไม่นะครับ รู้สึกว่าจะหนักกว่านั้นนะ...ตอนที่พวกคิเสะคุงเล่าน่ะ” คุโรโกะที่...อยู่ๆ โผล่มาข้างๆ โลวเลสเมื่อไหร่ไม่รู้แย้ง
“ชะแว๊ก! อย่าอยู่ๆ โผล่มาสิวะ!” โลวเลสร้องลั่นกับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มผมฟ้า
“ขอโทษแล้วกันนะครับที่อยู่ๆ โผล่มา” คุโรโกะเอ่ยหน้าตายสนิท
“ว่าแต่จอมันเล็กจัง ข้าอยากดูด้วยอ่ะ...” ฮิเกะคิริที่กระดึบ (?) มาร่วมวงดูสิ่งที่อยู่ในมือเด็กหนุ่มผมแดง...เขาอยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างชิโกะ อาคากิโกรธจะเป็นยังไง? ต่างจากที่เขาเคยเห็นหรือเปล่านะ?
“เดี๋ยวนะครับ...” อาคาชิเอ่ยพร้อมกับกดๆ เครื่องแท็บเล็ตไปก่อนที่จะ...มีแสงฉายออกมาจากเครื่อง “...ฉายเป็นมินิเตอร์ได้ตามคาด”
“แจ่มเลย” โลวเลสยกนิ้วให้เลย...ถึงจะยกในร่างเม่นจนดูตลกแปลกๆ ก็เถอะ
“ตั้งค่าได้ยัง?” มายุสุมิเอ่ยเป็นเชิงเร่งด้วยความอยากรู้
“ได้แล้ว...” อาคาชิตอบพร้อมกับ...ภาพของหญิงสาวที่รู้จักดีกับเด็กหนุ่มอีกสี่คนอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยคนแปลกๆ ฉายออกมา “...น่าจะช่วงนี้ล่ะมั้ง”
“อา ช่วงนี้แหละ” คาซามัตสึหัวเราะเหมือนปวดจิตนิดๆ “ว่าแล้วฉันขอเผ่นก่อนล่ะ ไม่อยากเจอเรื่องสยองเป็นครั้งที่สอง”
“ฉัน / ผมด้วย” อิมาโยชิ อาโอมิเนะและคิเสะทำท่าจะลุกหนีกัน แต่แล้ว...
“ไม่ต้องเลย! อยู่ด้วยกันก่อน!” ...แต่ล่ะคนก็ช่วยกันจับตัวคนที่คิดจะหนีไปเสียก่อนราวกับนัดหมายกันเอาไว้
“ปล่อยนะเว้ย! โมริยามะ! ปล่อยฉัน!!!” คาซามัตสึแว๊ดลั่นเมื่อเพื่อนหน้ามึนของตนพยายามจับตนให้อยู่ดูด้วยเป็นคนแรกราวรู้ทันว่าตนจะหนีอย่างไรอย่างนั้น
“ผมไม่ดูนะครับ!” คิเสะร้องลั่นกับแต่ล่ะคนที่รุมจับตนไว้
“ปล่อยน้าาาาาา” อาโอมิเนะร้องโหยหวน
“เรียวตะ ไดกิ...นั่งลงดูดีๆ ซะ” อาคาชิที่เริ่มรำคาญกับเสียงโหยหวนนี่เอ่ยเสียงเข้ม
“...ครับ” พอโดนอาคาชิสั่ง สองคนที่เคยอยู่ทีมปาติหาริย์ก็ถึงกับหง่อยแล้วนั่งลงแต่โดยดี
“พวกนายก็อยู่นิ่งๆ กันเลย” มายุสุมิที่โผล่มาจากความว่างเปล่าตีหัวอิมาโยชิที่พยายามเงียบๆ แล้วหนีไปกับคาซามัตสึโวยลั่นอย่างแรง ก่อนที่จะจับทั้งสองมัดด้วยความเร็วแสง
“เฮ้ย! ไอ้บ้ามายุสุมิ!” คาซามัตสึกับอิมาโยชิโวยใส่คนที่มัดตน
“...ยัยนั้นไปก่อวีรกรรมอะไรกันมาเนี่ย?” มิคุนิมองภาพความวุ่นวายนี่แล้วรู้ได้เลยว่า...สิ่งที่ชิโกะก่อไว้คงชวนหลอนมากแน่
“ไม่รู้สิ” เจเจ (ร่างงู) ที่เลื้อยขึ้นไปพันคอมิคุนิตามปกติเอ่ย
“และอย่ารู้เลยฉันว่าดีกว่ามั้ง” มิโซโนะเริ่มรู้สึกว่าหากไม่รู้เรื่องนี้คงจะดีกว่ายังไงไม่รู้แล้วสิ
“นั้นสินะครับ” ลิลลี่ที่ยังเป็นผีเสื้ออยู่บินไปมากลางอากาศ
“...เรียบร้อยกันแล้วกดเล่นเลยนะ” อาคาชิเอ่ย
“อื้ม / คร้าบบบบ” เหล่าคนภายในห้องตอบรับไปอย่างพร้อมเพรียง ทำให้กลบเสียงของอาโอมิเนะ คิเสะ อิมาโยชิและคาซามัตสึที่ร้องห้ามไปจนหมด
นาทีแรกทุกสายตามองไปภาพที่ฉายมาอย่างใจจดใจจ่อ นาทีที่สองยังคงจ้องมองต่อไป นาทีที่สามเริ่มเหงื่อตกกัน นาทีที่สี่เริ่มออกอาการผวา นาทีที่ห้าเริ่มทำการสวดให้ใครบางคนก่อนที่นาทีที่หกทุกอย่างจะจบลง
“...ยัยนั้นทำตัวสยองขนาดนี้ได้ด้วยเหรอ?” เบลเกียเอ่ยเปิดประเด็นขึ้นมาคนแรก
“น่ากลัวแฮะ” สึบากิเอ่ยต่อ
“ห้ามพูดเรื่องแบบนี้กับนางสินะ?” ฮิวเอ่ยพลางซุกลงบนผมของเท็ตสึ
“ช่วงก่อนยัยนี่บ้ามันเป็นไงกันเนี่ย?” โลวเลสบ่นอุบอิบ
“ไม่รู้สิ และฉันว่าอย่ารู้เลยน่าจะดีกว่ามั้งเนี่ย” ลิชท์ชักสังหรณ์ว่างานนี้ไม่รู้น่าจะดีกว่ายังไงไม่รู้สิ...ชักกลัวๆ ว่าหากชิโกะมารู้เรื่องที่พวกตนแอบดูอดีตของเจ้าตัวจะโดนเอาคืนชอบกล
“คงงั้นแหละ” มิโซโนะที่สังเกตถึงความผิดปกติของสิ่งรอบข้างภายในภาพได้เอ่ย “ว่าแต่ในที่ที่พวกนายไปตอนแรกมันดูแปลกๆ นะ”
“เห็นชิโกะว่าไอ้ที่เห็นนั้นคือเรื่องปกติของโลกนั้นน่ะครับ” คุโรโกะตอบกลับไป
“แต่ก็ดีกว่าโลกวิญญาณล่ะ” มายุสุมิเอ่ยต่อ
“เออ ว่าแต่...ช่วยลองเปิดช่วงเวลาของคนคนหนึ่งให้ดูหน่อยสิ” ฮานามิยะที่เมินต่อความน่าสยองกับสิ่งที่ได้ดูก่อนหน้านี้ไป
“ใครครับ?” อาคาชิที่เป็นคนตั้งค่าต่างๆ ของเครื่องถามกลับ
“นากาฮาระ ชูยะ...ในแดนก่อนที่พวกเราจะไปหาพวกนี่น่ะ” ฮานามิยะชี้ที่เหล่าเซอร์แวมพ์อย่างเจาะจง “อยากรู้ว่าหลังเรามานี่แล้วเป็นไงกัน...เอาหลังจากเราไปแล้วสักวันนะ สังหรณ์ว่าควรเอาแบบนั้น”
“โอเคครับ” อาคาชิพยักหน้ารับพร้อมตั้งค่าเครื่องที่ชิโกะให้มาใหม่ ก่อนภาพจะฉายรูปภาพของคนกลุ่มหนึ่งออกมา
‘ยัยบ้าชิโกะเอ้ย! เล่นกันได้นะ!!!’ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลส้มภายในภาพโวยวายด้วยสีหน้าหงุดหงิดสุดแสน
‘ใจเย็นๆ ครับชูยะซัง’ เด็กหนุ่มผมดำปลายขาวพยายามปรามให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
‘นายไม่ต้องพูดเลย! ไม่ช่วยฉันเลยนะอาคุตางาวะ!’ คนผมน้ำตาลส้มหรือชูยะโวยกลับ
‘งานนั้นช่วยไม่ได้จริงๆ นี่ครับ...’ อาคุตางาวะทำเสียงแผ่ว
‘น่าๆ ใจเย็นน่าชูยะคุง’ คนแก่ผมดำ (?) ผู้เป็นโลลิค่อน (?) เอ่ยด้วยรอยยิ้มแบบใจเย็นมากๆ
‘บอสก็พอกัน...ไหงปล่อยผมไปคุมชิโกะคนเดียวล่ะครับ!?’ ชูยะโวยลั่นใส่คนเป็นนายของตน
“รายนี่น่าสงสารจริง...” พอดูๆ ไปฮิสะมารุก็อดเอ่ยแบบนี้ออกมาไม่ได้เมื่อเห็นคนผมน้ำตาลส้มดูท่าจะรับศึกหนักที่มีสาเหตุมาจากสาวเจ้าผู้แสนบ้าแหง
“เป็นหนึ่งในคนที่โดนชิโกะแกล้งนี่นะ” ยูยะบ่นพึมพำออกมาเบาๆ
“อ่ะ ฉันจำหมอนี่ได้...หนึ่งในคนที่ชิโกะเคยให้บทฉันไปเล่นด้วย” โลวเลสเอ่ยขึ้นมา
“หมอนั่นด้วย...” เจเจมองคนในภาพอย่างครุ่นคิด
“รู้สึกขาดไปสองคนนะ” สึบากิลากเสียงยาวอย่างรื่นเริง
“นั้นสิครับ” ลิลลี่พยักหน้ารับ
“ว่าแต่ลองปรับไปตอนนางความจำเสื่อมหน่อยสิ ข้าอยากจะเห็น” อาโอเอะที่ดูท่าความบ้าของชิโกะจะไม่ส่งผลอะไรกับเจ้าตัวนักเอ่ยขึ้นมาเมื่อภาพที่ฉายเริ่มไปทางการเถียงกันจนไม่น่าสนใจอะไรนักแล้ว
“ข้าด้วยๆ” คะชูกับยามาโตะรีบเสริมขึ้นมาทันทีด้วยความอยากรู้
“จะว่าไปตั้งแต่ได้ฟังตอนนั้นก็อยากรู้จริงๆ เนอะ” คาเนะเอ่ย
“นั้นสินะครับ” โฮริคาวะยิ้มรับ
“...ไปรู้เรื่องนี้จากไหนครับ?” อาคาชิถามขึ้นมา...เรื่องนี้นอกจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่น่าจะมีใครรู้อีกนิ?
“ผมเป็นคนบอกเองครับ” คุโรโกะเอ่ย...เป็นอันว่ารู้ตัวคนทำได้อย่างดี
“ยัยนี่เคยความจำเสื่อมด้วยเหรอ?” มิยาจิที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นถามอย่างแปลกใจ...บ้าๆ อึด ถึก แบบนี้เนี่ยนะเคยความจำเสื่อม?
“เคย ถ้าจำไม่ผิดก็...” อาคาชิลองปรับๆ ดูแล้วเริ่มฉายภาพอดีตที่เคยเกิดขึ้นอีกระรอบซึ่งคราวนี้เป็นภาพที่ชิโกะโผล่แว่บมาแกล้งชาวบ้านตามปกติก่อนเกิดเหตุการณ์สุดเหวอที่ทำให้สาวเจ้าความจำเสื่อม
หลังจากชมรายการช่วงที่สาวเจ้าความจำเสื่อมกันไปแล้ว ทุกคนภายในห้องก็ต่างเงียบกันไปหมดคล้ายไม่รู้จะพูดอะไรออกมากันดี
“...หลอน” นี่เป็นคำพูดแรกที่หลุดออกมามาจากปากของมิยาจิหลังจากดูจนจบแล้ว
“เรียบร้อยจนน่ากลัว” ยูยะเอ่ยอย่างเห็นด้วยกับที่พี่ชายตนว่า...มันหลอนจริงๆ นั้นแหละ
“ดูปกติดี แต่...ข้าว่าข้าชินกับแบบบ้าๆ มากกว่า” ฮิสะมารุถึงแม้ไม่ค่อยถูกกับความบ้าของสาวเจ้าเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเทียบกับตอนนางเรียบร้อยแล้ว...เจ้าตัวคิดว่าแบบเดิมนี่แหละดีกว่าเยอะ
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ซานิวะหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“จะว่าไงดี...ดูแปลกๆ จนน่ากลัวชอบกล” จุนอิจิโร่ยอมรับว่าอีกฝ่ายดูเรียบร้อยแล้วมันขัดตาแปลกๆ ...หรือเขาเริ่มบ้าตามไปแล้วเลยรู้สึกว่าแปลกเนี่ย?
“ให้อารมณ์ประมาณสลีปปี้ แอชสลับนิสัยกับชิโรตะ มาฮิรุเลย” เบลเกียเอ่ย
“ไหงเอาฉันไปเอี่ยวล่ะ?” คุโระในร่างแมวดำที่เกาะหัวมาฮิรุอยู่ถามขึ้นมาลอยๆ
“ฉันขอลองเล่นบ้างนะ...” มิยาจิที่หลอนจนอยากเปลี่ยนประเด็นในการพูดคุยของคนในที่นี่ฉกเครื่องแท็บเล็ตจากมืออาคาชิมาตั้งเอง แลดจากนั้นไม่นานก็มีภาพ...ชายหนุ่มผมดำกับชายหนุ่มผมทองคนหนึ่งกำลังเก็บกวาดซาก (?) ของมนุษย์จำนวนมากที่นอนสลบอยู่
‘โว้ย! เมื่อไหร่จะกวาดหมดเนี่ย!?’ เสียงโวยวายดังออกมาจากปากคนผมดำในภาพ
‘หนวกหูน่าไอ้เห็บ เก็บๆ ไป’ ชายผมทองเอ่ยอย่างหงุดหงิดพร้อมแบกคนสิบกว่าคนไปวางกองไปจุดๆ หนึ่งไม่ให้เกะกะ
‘รู้แล้วๆ!’ คนโดนว่าทำหน้างอเล็กน้อย
‘อิซายะคุง~ ชิสึโอะคุง~ ทำอะไรเอ่ย?’ ชายหนุ่มผมน้ำตาลที่โผล่มาจากไหนไม่รู้เดินเข้ามาร่วมวงในจอภาพ
‘เก็บซากไอ้แก๊งค์บ้าๆ นั้นไงฟะ!’ ชายผมดำหรืออิซายะตอบกลับไปห้วนๆ
‘อ๋อ...แล้วพวกนั้นล่ะ?’ คนผมน้ำตาล...ชินระถามต่อ
‘กลับไปแล้ว’ อิซายะตอบกลับไป
‘งั้นเหรอ...โชคดีไป...’ ชินระถอนหายใจอย่างโล่งอก
‘ทำไม?’ อิซายะถามต่อ
‘พ่อฉันดันเห็นตอนเด็กคนนั้นเสกของแปลกๆ ออกมาก็เลย...’ ชินระส่งยิ้มแห้งๆ ให้
‘พอๆ พอเดาออกล่ะ...’ อิซายะทำหน้าปวดจิต
“น่าเบื่อแฮะ เปลี่ยนที่เถอะฮ้าฟ” ฮายามะที่ชมภาพของคนในโลกหนึ่งได้สักพักเอ่ยออกมาเช่นนี้ก่อนที่จะฉกเครื่องแท็บเล็ตจากมือมิยาจิไป
“อย่าแย่งจากมือสิฟะ!” มิยาจิไม่ได้แย่งของจากอีกฝ่ายคืนแต่เขกหัวคนผมสีคาราเมลไปหนึ่งที
“ขอโทษครับ!” ฮายามะลูบหัวตนอย่างเจ็บๆ ก่อนที่จะเริ่มตั้งค่าเครื่องอะไรสักอย่างก่อนที่ภาพจากเริ่มฉายอีดครั้ง...คราวนี้เป็นภาพของหญิงสาวผมสีออกน้ำตาลที่ทุกคนรู้จักดีกับชายหนุ่มผมน้ำตาลที่กำลังสามัคคีเผ่นจากนกจำนวนมากที่บินไล่ตามหลังมาติดๆ
‘บ้าอะไรกันฟะ!?’ ชิโกะในภาพสบถออกมาเสียงดังลั่นอย่างไม่สมหญิงเลยแม้แต่น้อย
‘จะไปรู้เหรอ!?’ ชายหนุ่มผมน้ำตาล...หรือสึยุกิ ชูเฮย์ตอบกลับก่อนที่จะหยิบตาข่ายไล่นก (?) ออกมาโยนใส่ฝูงนกที่ตามหลังมา
“...” แต่ล่ะคนที่ชมภาพนี่ต่างเกิดอาการกินจุดกันไปทั้งแทบ ก่อนที่มิคุนิที่ดึงสติกลับมาได้คนแรกจะเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ “...นั่นชิโกะ? แล้วก็...ชูเฮย์?”
“นายตั้งไปช่วงไหนเนี่ยฮายามะ?” มิยาจิที่ได้สติเป็นคนถัดมาถาม
“เวลาตอนนี้นั้นแหละฮ้าฟ พอดีสงสัยว่าทำไมชิโกะหายไปนานนักน่ะ” ฮายามะตอบ...เขาแค่คิดว่าที่ชิโกะหายไปนานๆ อาจลืมพวกตน ที่ไหนได้ไปโดนนกไล่เนี่ยนะ? แถมยังบ้าจนลืมว่าตอนนี้ตัวเองเขียนบทให้ตัวเองรอดจากนกได้อีกด้วยล่ะมั้งเนี่ย
“เกิดอะไรขึ้นล่ะนั้น?” อาโอมิเนะมองภาพที่ฉายอยู่ด้วยความไม่เข้าใจเนื่องจากตอนนี้...สิ่งที่ไล่ตามชิโกะเปลี่ยนจากนกเป็นหมาที่ดูจะบ้าเต็มที่ (?) เสียแล้ว
“ถ้าให้เดา...คงเป็นความซวยของชูจังนั้นแหละ” สึรุงิที่พอเดาได้ว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดภาพนี้มาจากอะไรเอ่ย
“แหงแซะ” ยูมิคาเงะมั่นใจเลยว่าเป็นอย่างที่สึรุงว่าแน่ๆ
“ความซวยประจำตัวของหมอนั้นแหง” จุนอิจิโร่ถอนหายใจด้วยความปลงสุดแสน
“อ่ะ! นั้น...” เมื่อมาถึงจุดๆ หนึ่ง โลวเลสก็เห็นว่าในภาพมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกสองคนและ...สองคนที่ว่าก็โดนหมาไล่เพิ่มไปอีกสอง
“แครนซ์! กิล!” ลิชท์มองชายหนุ่มผมทองกับคนในชุดมาสคอสวาฬสีน้ำเงินที่โดนหมาไล่เช่นเดียวกับชิโกะไปแล้วอย่างความรู้สึกที่บอกไม่ถูก...จะว่าสงสารก็สงสาร จะว่าปลงก็ปลงยังไงไม่รู้สิ
“โดนเพิ่มอีกสอง...” คุโระลากเสียงยาวอย่างไม่ยินดียินร้ายกับสถานการณ์ของคนโดนหมาไล่มากนัก
“ถึงรู้ว่ามักซวย แต่นี่...” มาฮิรุที่พอรู้กิติศัพท์ความซวยของชูเฮย์มาบ้างแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะพัฒนาจนลามไปถึงคนอื่นแบบนี้นะ
“มิคุนิ...นี่ถือว่าปกติไหมเนี่ย?” มิโซโนะที่เอ๋อกินเล็กน้อยถาม
“ถ้าสำหรับชูเฮย์...ก็ปกติล่ะนะ” มิคุนิตอบกลับไป
“ทำไมข้าขำ?” ฮิสะมารุรู้สึกขำจริงๆ ที่เห็นภาพคนโดนหมาไล่...ทั้งที่ปกติเขาไม่เห็นความซวยของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกนะ
“ไม่รู้สิครับ เก็บกดจากที่โดนชิโกะแกล้งบ่อยๆ พอเห็นชิโกะซวยบ้างเลยสะใจมั้งครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยตามความน่าจะเป็น
“อาจจะแฮะ” ฮิสะมารุคิดว่าเป็นไปได้สูงเลยที่ตนรู้สึกเช่นนี้อาจเป็นเพราะหนึ่งในคนที่ถูกไล่มีสาวเจ้าที่ชอบแกล้งตนประกอบอยู่ด้วยก็ได้
“น้องชายเจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกันนะเนี่ย~” ฮิเกะคิริแซวน้องชายของตน
“ทำไมข้าเริ่มรู้สึกมันออกทะเลชอบกล” ฮิวถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไม่รู้สิ...” เท็ตสึยักไหล่น้อยๆ แล้วไม่ตอบอะไรกลับมากกว่านี้ ทำเพียงชมภาพเหตุการณ์ที่ฉายให้ดูนี่ต่อไป
“...ซวยกันนานจริง” เมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ซานิวะหนุ่มก็อดเอ่ยออกมาเช่นนี้เสียมิได้เมื่อเห็นภาพคนกลุ่มหนึ่งหลังจากโดนหมาไล่ก็โดนฝูงหนูไล่ต่อ ต่อจากฝูงหนูก็เป็นผึ้ง หลังจากผึ้งก็...เฮ้อ ขี้เกียจนึกล่ะ เอาเป็นว่าโดนสารพันอย่างไล่ต่อกันเป็นทอดๆ ไปแล้วกัน
“ชูเฮย์มันก็ซวยนานแบบนี้แหละ” ยูมิคาเงะที่ดูจะชินกับเรื่องแบบนี้มากเอ่ย
“รอดมาจนปานนี้ได้ไงเนี่ย?” ฟุคุอิบ่นงึมงำ
“ก็รอดมาได้แบบนี้แหละ” มิคุนิที่ดันหูดีได้ยินคำบ่นตอบกลับไป “ฉันว่าเราเลิกดูเถอะ ถ้าเรื่องเกี่ยวกับความซวยของชูเฮย์คงอีกนาน...ฉันว่าเราไปหาอย่างอื่นทำกันเถอะ เริ่มเบื่อล่ะ”
“ก็ดีนะครับ” อาคาชิพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “ฮิเกะคิริซัง มาซ้อมดาบกันดีไหมครับ? สองครั้งก่อนยังไม่รู้ผลกันเลย”
“เอาสิ” ฮิเกะคิริตอบรับในทันใด
“หวังว่าคราวนี้จะไม่เกิดเรื่องอีกนะ” ยามาโตะบ่นนิดๆ ...ก็ทุกครั้งที่สองคนนี้สู้กันมักจะมีอะไรสักอย่างมาขัดจนไม่รู้ผลสักทีนี่หว่า
“ข้าก็หวังเช่นนั้น” คะชูพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“น่าสนุกดีนะ ผมขอลองด้วยสิ” สึบากิที่เห็นว่าเป็นเรื่องสนุกขอรวมวงด้วยหน้าตาเฉย
“ฉันด้วยๆ!” เบลเกียก็ขอตามไปเป็นลูกคู่กับสึบากิ
“ฮาๆ งั้นเดี๋ยวข้าเป็นคู่ซ้อมให้ดีไหม? โคกิคิทสึเนะก็มาร่วมวงด้วยสิ” มิคาสึกิหัวเราะเบาๆ อย่างใจเย็นสมเป็นปู่ (?)
“ข้าก็กะว่างั้นอยู่แล้ว” จิ้งจอกน้อย เอ้ย! โคกิคิทสึเนะเอ่ยด้วยท่าทีเริงร่า
“ฮาๆๆๆๆ แบบนี้สิถึงจะสนุก! ซาคุยะเองก็จะมาร่วมวงด้วยไหม?” สึบากิหัวเราะร่าก่อนหันไปชวนเด็กหนุ่มผมเขียวที่ทำหน้าตายไม่ห่างจากตนนัก
“ผมถนัดมีดกับเลื่อยมากกว่า เพราะงั้นขอผ่านครับ” ซาคุยะปฏิเสธไปแทบจะทันที
“ถ้าถนัดมีดก็ไม่เป็นไร ข้าก็ใช้มีด ฝึกกับข้าก็ได้นะ” ยะเก็นเอ่ยเสนอตัวขึ้นมา
“...งั้นเอาก็ได้” ซาคุยะถอนหายใจเบาๆ พลางนึกว่าไม่น่าใช้ข้ออ้างนี่ในการปฏิเสธสึบากิเลยไม่งั้นคงได้เป็นแค่ผู้ชมไม่ต้องเหนื่อยแล้ว
“ขอฉันด้วยๆ อยากฝึกกับคนอื่นนอกจากลิชท์เหมือนกัน!” เม่นน้อยโลวเลสงานนี้ดูท่าจะอยากร่วมวงกับเขาด้วยเช่นกัน
“เออ...เจ้าเป็นเม่นแล้วจะซ้อมดาบได้เช่นใดล่ะ?” มิทสึทาดะถามเจ้าเม่นตัวน้อย
“ฉันเปลี่ยนร่างเป็นคนได้นะ! แค่อยู่ในที่ที่ไม่มีแดดพอ!” โลวเลสตอบกลับไป
“งั้นเหรอ? ถ้างั้นเดี๋ยวข้าเป็นคู่ซ้อมให้เอาไหม?” มิทสึทาดะที่ถึงแม้จะแปลกใจนิดหน่อยที่เจ้าสัตว์ตัวน้อยบอกว่าแปลงร่างเป็นคนได้ หากแต่เมื่อนึกไปนึกมา...มันอาจไม่แปลกเท่าไหร่ก็ได้ล่ะมั้ง ที่นี่จิ้งจอกพูดได้ก็มีแล้ว มีแปลงร่างได้เพิ่มขึ้นมาคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“ดี!” โลวเลสขานรับอย่างเริงร่า...และเพราะดูร่าเริงเกินไปจนน่าหมั่นไส้หรือไงไม่ทราบลิชท์เลยจัดการเขวี้ยงเจ้าเม่นน้อยทิ้งเสียอย่างนั้น ร้อนถึงมิทสึทาดะที่ต้องไปตามเก็บกลับมา
“แหมๆ เห็นแบบนี้เล่นซะผมอยากซ้อมด้วยจัง เสียแต่ผมถนัดใช้เคียว...” ลิลลี่ในร่างผีเสื้อบินวนไปมา
“สู้กับข้าไหมล่ะ? ข้าเป็นง้าวคงพอสูสีกันอยู่นะ” อิวาโทชิเสนอตัวขึ้นมา...อย่างไรเสียเคียวกับง้าวระยะในการต่อสู้ก็น่าจะใกล้ๆ กันอยู่แล้วนี่นะ
“เอางั้นก็ได้ครับ” ลิลลี่ตอบรับ
“เจเจจะไปเล่นด้วยไหม?” เมื่อเห็นว่ามีหลายคนในกลุ่มตนไปร่วมซ้อมการต่อสู้แล้ว มิคุนิเลยถามคู่หูตนเองเช่นนี้
“ไม่ล่ะ...ขอเป็นผู้ชมดีกว่า” งูน้อยส่ายหน้าไปมา
“มาฮิรุก็ไปซ้อมด้วยสิ...ฝีมือต่อสู้นายห่วย...” คุโระที่เกาะบนหัวมาฮิรุเอ่ยเสียงยานอย่างเกียจคร้าน
“เงียบไปเลย!” มาฮิรุโวยใส่เจ้าแมวดำ
“จะว่าไปฝีมือเจ้าก็ไม่มีการยืดหยุ่นจริงๆ นั้นแหละ” ฮิวเอ่ยขึ้นมา
“มีใครใช้ไม้กวาดสู้เป็นบ้าง? สอนลูกพี่มาฮิรุหน่อย” เท็ตสึที่บื้อไปเสียนิดเอ่ยถามทั้งห้องแบบนี้หน้าตาเฉย
“เฮ้ย! เท็ตสึ!” มาฮิรุหันขวับไปทางเท็ตสึ ในขณะที่แต่ล่ะคนภายในห้องส่งสีหน้างงงวยออกมา
“ของชิโรตะนอกจากเป็นไม้กวาดแล้วมันเปลี่ยนเป็นหอกได้นิ? ถามว่าใครใช้หอกสู้ได้ดีกว่าไหม?” มิโซโนะถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ในกรณีอาวุธเขาว่าถามหาคนใช้หอกสู้ยังดีกว่าไม้กวาดเสียอีก!
“ถ้าแบบนั้นพวกข้าสามคนสอนได้นะ” สามหอกแห่งฮงมารุพอได้ยินแบบนี้ก็ถึงกับยิ้มร่าเพราะได้พวกใช้หอกเพิ่ม (?)
“ดูสนุกกันจังนะ” ซานิวะหนุ่มมองพวกศาสตร์ตราของตนที่ดูจะสนุกกับการที่จะได้ซ้อมกับคนภายนอกบ้างเหลือหลาย
“อยากเล่นด้วยจัง...” สึรุงิบ่นงึมงำขึ้นมาเบาๆ
“ไม่ต้องเลยแก บาดเจ็บคราวก่อนยังไม่หายไม่ใช่หรือไงฟะ!?” ยูมิคาเงะเขกหัวคนเจ็บไม่เจียมไปหนึ่งที
“ยูมิจังขี้บ่น! ภายนอกก็หายแล้วนิ!” สึรุงิทำแก้มป่อง
“แต่ภายในยังไม่โว้ย!” ยูมิคาเงะแยกเขี้ยวใส่
“เริ่มอีกแล้ว...” จุนอิจิโร่ที่กลายเป็นคนกลางแทบจะทุกครั้งถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่เริ่มห้ามปรามเพื่อนตัวเองดังปกติ
“นี่จัง มาเล่นด้วยกันสิ” ทางสึบากิที่นึกคึกอะไรไม่รู้เริ่มเอ่ยชวนคุโระที่เกาะหัวมาฮิรุอยู่
“ไม่เอา ขี้เกียจ” คุโระปฏิเสธทันควันด้วยเหตุผลง่ายๆ
“ใจร้าย” สึบากิทำหน้างอ
“จะว่าไปนายไปซ้อมด้วยก็ดีนะคุโระ” มาฮิรุเอ่ย
“แต่...” คุโระทำท่าจะเถียงกลับ ทว่า...
“ถ้าปฏิเสธงดโคล่า...” ...กลับถูกมาฮิรุเอ่ยดักเช่นนี้ขึ้นมาเสียก่อน
“งั้นก็ได้” คุโระที่รู้ว่าพูดแบบนี้มาฮิรุเอาจริงแหง จึงทำได้แต่ตอบรับไปอย่างช่วยไม่ได้
“มุขคล้ายๆ กับที่โมโมอิจจิใช้กับอาโอมิเนจจิเลย...” คิเสะที่ชมอยู่ห่างๆ หัวเราะออกมาเบาๆ พลางนึกไปถึงตอบที่เพื่อนสาวผมชมพูของตนหาทางลากอาโอมิเนะไปซ้อมชมรมเลย
“เงียบไปเลยไป!” อาโอมิเนะแยกเขี้ยวใส่คนผมเหลือง
“พวกเจ้าจะร่วมด้วยไหมล่ะ?” ยามาโตะที่เห็นว่าคนในกลุ่มหนุ่มบาสไม่พูดอะไรกันมากนักเริ่มเอ่ยชวน
“ไม่ล่ะครับ เจอเรื่องปวดหัวมาเยอะแล้วขอดูคนอื่นเล่นดีกว่าครับ” หนุ่มบาสทั้งหลายเว้นแต่อาคาชิปฏิเสธไปอย่างพร้อมเพรียงด้วยเหตุผลง่ายๆ สั้นๆ ...แต่ทำให้คนฟังรู้เลยว่าเรื่องปวดหัวที่ว่านั้นมาจากใคร
“งั้นเหรอ” ยามาโตะพยักหน้ารับเชิงเข้าใจ
“งั้นเชิญชมข้าล้มยาสุซาดะด้วยแล้วกันนะ” คะชูเอ่ยแบบกึ่งเล่นกึ่งจริง
“ใครว่าล่ะ ข้าต่างหากต้องเป็นคนชนะ” ยามาโตะหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนตน
“ข้าต่างหาก” คะชูสวนกลับทันควัน
“ข้าสิ” ยามาโตะยังคงเถียงกลับไป
“ข้า!” คะชูเองก็ไม่ยอมอีกฝ่ายง่ายๆ
“น่าๆ อย่าทะเลาะกันสิ” อิชิกิริมารุห้ามปรามสองคนที่มักทะเลาะกันได้ทุกเมื่อเชื่อวันด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“ไปๆ ไปห้องซ้อมกันเถอะ” อาโอเอะรีบต้อนยามาโตะกับคะชูไปห้องซ้อมโดยไวเพื่อกันไม่ให้ทั้งสองฟัดกันที่ห้องนี่แทน
“หวังว่าจะไม่มีเรื่องวุ่นวายแบบคราวก่อนนะ” คาเนะที่รู้ดีว่าทุกคราวที่คนผมแดงกับฮิเกะคิริสู้กันมักจะมีเรื่องอะไรสักอย่างตามมาถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ผมก็ว่างั้นแหละครับ” โฮริคาวะส่งยิ้มแห้งๆ ให้ก่อนที่ทุกชีวิตภายในห้องจะค่อยๆ ทะยอกกันไปยังห้องฝึกซ้อมกันในเวลาต่อมา
เกร้ง...เกร้ง...
เสียงปะทะของไม้ดังขึ้นไปทั่วภายในห้องโถงแห่งหนึ่งจากคนกลุ่มหนึ่งซึ่งพากันฝึกซ้อมฝีมือของตน ส่วนคนเป็นนายใหญ่ของที่แห่งนี้ก็ขอปรีตัวออกไปทำงานเพียงลำพัง...ตอนแรกก็เป็นอย่างนั้นล่ะนะ ต่อมาเมื่ออาคาชิกับฮิเกะคิริเริ่มแข่งกันนั้นแหละ ทุกชีวิตก็หยุดการกระทำของตนแล้วหันมานั่งดูแทนอย่างในตอนนี้ แม้แต่ซานิวะที่ขอตัวไปทำงานยังกลับมานั่งชมด้วยซะงั้น...
...การต่อสู้ของคู่นี้ดำเนินไปนานพอดูจนสุดท้าย...เมื่อดาบไม้ของทั้งสองปะทะกันอย่างสุดแรง ดาบของทั้งคู่ก็ต่างกระเด็นหลุดมือไปคนล่ะทาง ฮาเซเบะซึ่งโดนโยนหน้าที่เป็นกรรมการเลยตัดสินว่าทั้งคู่เสมอกันไป
จากนั้นด้วยความนึกคึกหรืออย่างไรก็ไม่ทราบเหล่าศาสตร์ตราแห่งฮงมารุจึงทำเหมือนงานประลองดาบเสียอย่างนั้น ซึ่งรอบนี้คนที่ลงแข่ง (?) คือชายหนุ่มผมดำที่ดูใจเย็นสุดแสนกับชายหนุ่มผมสีชมพู...หรือมิคาสึกิกับเบลเกียที่มาจับคู่กันมั่วๆ ได้ไงไม่รู้นั้นเอง
“ฝีมือดีนิ” มิคาสึกิยิ้มน้อยๆ ออกมาหลังสู้กันไปได้สักพัก
“ขอบใจที่ชมแล้วกัน!” เบลเกียพุ่งเข้าไปใส่ไม่ยั้งตามประสานิสัยบ้าๆ ของเจ้าตัว (?)
“แต่...” มิคาสึกิกลับดาบจากอีกฝ่ายอย่างพลิ้วไหว “...มุ่งทะลุไปหน่อยนะ”
“อ่ะ!” เบลเกียหลุดร้องออกมาเบาๆ เมื่อดาบไม้ของอีกฝ่ายกระแทกที่มือตนทำให้เผลอทำดาบในมือตนหลุดไป
“เจ้าแพ้ล่ะ” มิคาสึกิเอ่ยด้วยรอยยิ้มสไตร์คุณปู่ (?)
“หว่า แย่จังแฮะ” เบลเกียเกาหัวอย่างเซ็งๆ แต่ก็ไม่ว่าอะไรเพราะถ้าหากนี่เป็นการต่อสู้จริง...ตนจนบาดเจ็บไปหลายแผลแล้ว และรายนี้ถึงดูเรื่อยๆ แต่ท่าจะเก่งเอาเรื่องเลย
“รู้สึกเบลเกียจะพลาดตรงจุดนี้ประจำเลยนะครับ” ลิลลี่ที่พอรู้นิสัยนี่ของอีกฝ่ายเพราะเคยสู้กันมาเหมือนเอ่ย
“ก็มันนิสัยถาวรของหมอนี่นี่หว่า” ซาคุยะยักไหล่น้อยๆ ให้ลิลลี่
“อย่านินทากันต่อหน้าเซ่!” เบลเกียแว๊ดใส่คนหัวเขียวกับผีเสื้อที่นินทาตนแบบไม่แคร์อะไรสักนิด
“โอ๋ๆ อย่าอารมณ์เสียสิเบลจัง~ มา...เดี๋ยวกอดปลอบให้” สึรุงิทำท่าเตรียมกอดปลอบอีกฝ่ายจริงๆ อย่างที่พูด
“ไม่เอาเว้ย!” เบลเกียปฏิเสธทันควันพร้อมไปหลบคนที่อยู่ใกล้สุดหรือมิคาสึกินั้นเอง
“ไปไกลๆ ซับคลาสผมเลยไอ้คุณสึรุงิ” สึบากิแยกเขี้ยวใส่สึรุงิปานคุณพ่อหวงลูกสาว (?)
“หาเรื่องเจ็บตัวอีกแล้วนะเว้ยสึรุงิ!” ยูมิคาเงะล็อกคอสึรุงิไว้
“อย่าเพิ่งซ่าหาเรื่องชาวบ้านเซ่” จุนอิจิโร่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจกับคนไม่เจียมตัว...ขนาดยังบาดเจ็บอยู่ยังหาเรื่องใส่ตัวอีก!
“เอ้าๆ ต่อไปตาโคกิคิทสึเนะนะ” ฮาเซเบะที่กลัวว่าจะมีการวางมวยเกิดขึ้นรีบเปลี่ยนทันควัน
“ระหว่างผมสู้อย่าลวมลามเบลเกียล่ะ” สึบากิบ่นอุบอิบเนื่องจากรู้ว่าชื่อเมื่อครู่คือคนที่คุยๆ กันว่าจะแข่งกับตน
“ไม่รับปากนะ” สึรุงแล่บลิ้นใส่
“ไอ้...” สึบากิคิ้วกระตุกนิดๆ
“น่าๆ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวคุมให้” ยูมิคาเงะโบกมือไล่อีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจนักพร้อมรัดคอสึรุงิที่พูดหาเรื่องชาวบ้านไม่หยุดจนดิ้นพล่านๆ
“ก็ได้ๆ” สึบากิขานรับไปก่อนที่จะไปเตรียมตัวสู้กับจิ้งกลม เอ้ย! โคกี้ เอ้ย! โคกิคิทสึเนะ ส่วนทางเบลเกียกับมิคาสึกิก็กลับเข้าข้างโรงฝึกไป...โดยอยู่คนละด้านกับที่สึรุงิอยู่
จากนั้นไม่นานการต่อสู้ระหว่างสองตัว (เอาดีๆ เซ่! // โคกิคิทสึเนะ&สึบากิ) สองคนก็ได้เริ่มขึ้นโดยที่คู่นี้พูดได้เต็มปากเลยว่าสูสีไม่ต่างจากคู่ของอาคาชิกับฮิเกะคิริแม้แต่น้อย ทั้งสองต่างพลัดกันรุกรับไปอย่างมีชันเชิงทำให้หลายๆ คนนึกถึงจุดจบของการต่อสู่นี่ไม่ออกเลยทีเดียว
“เก่งนิ” โคกิคิทสึเนะยิ้มร่าอย่างถูกใจที่ได้สู้กับคนที่มีฝีมือทัดเทียมกับตน
“ก็นะ~” สึบากิลากเสียงยาว
“จะรู้ผลกันไหมเนี่ย?” โคกิคิทสึเนะถามขึ้นมาลอยๆ
“คงยาก” สึบากิยิ้มยียวนพลางหลบดาบไม้ที่ถูกแทงมาจากอีกฝ่ายหมายเผด็จศึกให้จบเกมโดยไวและ...
“อ่ะ!” ...เปลี่ยนร่างเป็นจิ้งจอกตัวน้อยโดดข้ามบ่าโคกิคิทสึเนะไป
“เฮ้ย! ผิดกติกา! สึบากิ! อย่าแปลงเป็นจิ้งจอกสิ!” มาฮิรุที่นับวันยิ่งเป็นตัวตบมุข (?) โวยลั่นเมื่อเห็นสึบากิมามุขนี้
“อ้าว? ไม่ได้เหรอ?” สึบากิถามกลับ
“ซ้อมดาบที่ไหนเขาให้ฟะ!?” มาฮิรุแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย
“เจ้าเป็นจิ้งจอกเหมือนกันเหรอเนี่ย?” โคกิคิทสึเนะมองจิ้งจอกสีดำสองหางตาแป๋ว
“ฮะๆ เอาเป็นว่าตานี้เสมอกันแล้วกันนะ” มิคาสึกิที่นับว่าใจเย็นแทบที่สุดในที่นี่หัวเราะเบาๆ พร้อมเอ่ยข้อสรุปง่ายๆ แทนฮาเซเบะที่ทำหน้าที่กรรมการแบบนี้ออกมา “ต่อไปมิทสึทาดะ”
“อื้ม” มิทสึทาดะพยักหน้ารับ
“เย้! ถึงตาฉัน!” เม่นน้อยโดดโลดเต้นอย่างดีใจที่จะได้ออกแรงเสียทีก่อนที่จะเปลี่ยนร่างเป็นเด็กหนุ่มผมสีเหลืองปลายดำวิ่งไปหามิทสึทาดะเพื่อเตรียมแข่งด้วย
“ขอให้แพ้กลับมาแล้วกันไอ้เม่นเวร” ลิชท์เอ่ยอย่างหมั่นไส้ที่เม่นของตนดี้ด้าจนน่าหมั่นไส้
“ไหงว่างั้นล่ะ!? เทนชิจังเย็นชาอ่ะ!” โลวเลสโวยวายใส่ตามเสต็ป
“อย่ามัวเถียงกันเลย ทางนู้นจะรอนานนะ” คุโระที่ขี้เกียจชมการเถียงกันของสองคนนี่ซึ่งอาจเปลี่ยนเป็นทะเลาะกันอีกเช่นเดิมเอ่ยไล่
“คร้าบบบบบ” โลวเลสลากเสียงยาวเป็นการตอบรับ ก่อนที่จะเริ่มเตรียมตัวซ้อมดาบกับมิสึทาดะ...สำหรับการต่อสู้ของคู่นี้ดูปกติกว่าของสึบากิกับโคกิคิทสึเนะเยอะ และสรุปสุดท้ายผู้ชนะในการดวงนี่ได้แก่โลวเลสเพราะเจ้าตัวไว้กว่ามิทสึทาดะมากโขกเลยทำให้สามารถชนะมาได้
“ต่อไปก็อิวาโทชิ” ฮาเซเบะเอ่ยเรียกคนต่อไปที่ว่าจะเป็นคู่ซ้อมให้ชาวบ้านเขา
“ตาข้าเสียที!” อิวาโทชิหัวเราะร่า
“แสดงว่าถึงตาผมด้วยสินะครับ” ลิลลี่เอ่ยพร้อมกับเปลี่ยนร่างตนกลับมาเป็นมนุษย์
“สู้ๆ นะลิลลี่~~~” มิคุนิลากเสียวยาวแบบ...น่าถีบมากมาย
“ฟังเสียงนายแล้วอยากถีบจริง” มิโซโนะแยกเขี้ยวใส่ผู้เป็นพี่ชายตน
“เห็นด้วย” เจเจที่เลื่อยพันคอมิคุนิอยู่พยักหน้ารับ
“อย่าว่างั้นสิ~~~~” มิคุนิทำแก้มป่องด้วยท่าทางแบ๋วๆ เสียจนมิโซโนะอดไม่ได้ที่จะถีบอีกฝ่ายไปจริงๆ
“อย่าทะเลาะกันสิครับ” ลิลลี่เอ่ยห้ามตามความเคยชินก่อนที่จะเริ่มไปหยิบแท่งไม้ที่ยาวกว่าดาบไม้ของคนก่อนหน้านี้มาก คาดว่าคงทำไว้เลียนแบบง้าวมาทั้งท่าเตรียมสู้ “ขอความกรุณาด้วยนะครับ”
“ทางนี้ก็เช่นกัน...” อิวาโทชิยิ้มร่า “...มีอะไรใส่มาให้หมดเลยนะ”
“ครับ” ลิลลี่พยักหน้ารับก่อนที่ฮาเซเบะจะให้สัญญาณเริ่ม...การสู้ในรอบนี้เรียกได้ว่าไม่สั้นหรือยาวจนเกินไปและผลของการแข่งในครั้งนี้ผู้ชนะได้แก่อิวาโทชิ “หว่า แย่จัง...แพ้ซะแล้วครับ”
“ฉันว่าสำหรับคนที่ถนัดใช้คาถาอย่างนายแค่นี้ก็โอแล้วล่ะ” คุโระที่รู้ความถนัดของรายนี้ดีเอ่ย
“...” เจเจเลื้อยลงจากมิคุนิก่อนที่จะกลับร่างเป็นมนุษย์แล้วลูบหัวลิลลี่ที่เดินกลับมาเบาๆ “ดี...แล้ว”
“ลิลลี่จ้าาาาา เหนื่อยไหม?” มิคุนิกระดึบมาแทรกกลางระหว่างลิลลี่กับเจเจแบบเนียนๆ ถามพลางแอบกอดคนผมสีเหลืองอ่อนตาสีแดง
“ไม่ต้องเลยเว้ย!” เจเจรีบล็อกคอคู่หูตน ส่วนมิโซโนะที่ก่อนหน้านี่อยู่ห่างๆ รีบมากันมิคุนิไม่ให้เข้าใกล้ลิลลี่ทันควัน
“ช่างพวกนี่เถอะ ต่อไปใครล่ะ?” ยูมิคาเงะที่ดูท่าจะชินกับภาพตรงหน้าพอสมควรถามขึ้นพลางล็อกคอสึรุงิไว้เพื่อไม่ให้รายนี้ไปก่อเรื่องเพิ่มอีกคน
“เอาเป็นยะเก็นแล้วกัน” ฮาเซเบะที่ตัดสินใจเมินการทะเลาะนี่เช่นกันตอบกลับไป
“งั้นก็ตาฉันสินะ...” ซาคุยะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อเห็นคนที่ไปยืนรอกลางโรงฝึก...หรือก็คือคนที่บอกว่าจะซ้อมกับตนนั้นเอง
“สู้ๆ นะซาคุยะ~~~” สึบากิเชียร์
“ครับ” ซาคุยะตอบอย่างง่ายๆ สั้นๆ และไร้เยื่อใย
“เย็นชา! เย็นชาอ่ะ!” สึบากิเมื่อโดนเด็กของตน (?) ตอกกลับเช่นนี้ถึงกับแทบจะไปกระซิกกับพื้นเลยทีเดียว
“พยายามเข้านะ” มาฮิรุโบกมือให้
“แน่นอน” คราวนี้ซาคุยะส่งยิ้มกลับไปให้
“ลำเอียง...ซาคุยะลำเอียงที่สุด!” สึบากิเริ่มโวยวายกับท่าทีที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวของเด็กหนุ่มผมเขียว
“ครับๆ” ซาคุยะยักไหล่น้อยๆ ก่อนที่จะเดินไปร่วมซ้อมแล้วหยิบไม้สั้นๆ คล้ายมีดด้วยอีกคน
“งั้น...เริ่มได้!” เมื่อเห็นว่าทั้งสองที่จะซ้อมกันประจำที่กันแล้ว ฮาเซเบะก็ให้สัญญาณเริ่ม...และทันทีที่สัญญาณเริ่มดังขึ้นยะเก็นก็พุ่งเข้าใส่ซาคุยะเลย
“หว่า!” ซาคุยะที่ไม่ทันตั้งถอยหลังไป...แถมตีลังกากลับหลังไปอีกหนึ่งตลบอีกต่างหาก
“โอ๊ะ! การเคลื่อนไหวแปลกดีแฮะ” ยะเก็นหัวเราะเบาๆ อย่างหลอนนิดๆ แล้วบุกเข้าไปต่อจากนั้นไม่นาน...ยะเก็นก็ได้รับชัยชนะไปในการซ้อมครั้งนี้
“...แพ้ตามคาด” ซาคุยะเกาหัวอย่างเซ็งเล็กน้อย
“น่าๆ ซาคุยะบุ๋นที่สุดในกลุ่มนินะ” สึบากิเอ่ยเป็นเชิงปลอบ
“หุบปากไปเถอะครับ” ซาคุยะค้อนใส่
“...ซาคุยะอ่ะ” สึบากิแทบหงอยลงทันทีที่โดนตอกกลับเช่นนี้
“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งหงอยสิ” ยูมิคาเงะเหล่มองไปด้านข้างตน “สึรุงิมันจะกระดึบไปหาซับคลาสนายแล้วแหน่ะ”
“อย่าไปบอกสิยูมิจัง! แอ๊ก!” สึรุงิที่ยอมเสียสละเสื้อคลุมตัวเองหนีออกมาแว๊ดลั่นก่อนที่จะร้องลั่นเมื่อโดนสึบากิที่พุ่งมาเขกหัว
“แหม...เผลอไม่ได้เชียวนะ!” สึบากิหยิบดาบไม้ของใครไม่รู้มาฟาดใส่ และแน่นอนว่าสึรุงิไม่บ้าพออยู่เฉยๆ ให้โดนตีรีบหลบอย่างทันทวนที
“ต่อไป...” ฮาเซเบะตัดสินใจเมินสึบากิกับสึรุงิไปเรียก...ไม่สิ เรียกว่าลากอาคาชิ คุนิยูกิผู้ที่นับว่าขี้เกียจที่สุดในกลุ่มมาลงสนามซ้อม เช่นเดียวกับคุโระที่ถูกมาฮิรุลากลงสนามเช่นกัน...
...และผลสรุปของการซ้อมในคู่นี้ทำเอาหลายๆ คนถึงกับเอ๋อกินเมื่อซ้อมไปได้สักพักทั้งคู่ดันขี้เกียจแล้วนอนกลิ้งกับพื้นทั้งคู่เสียนิ...เล่นซะมาฮิรุแว๊ดคุโระเสียยกใหญ่ ส่วนคุนิยูกิก็โดนโฮตารุมารุจับเขวี้ยงไปมาเป็นการลงโทษตามเสต็ป
หลังจบเรื่องวุ่นวายของคนขี้เกียจสองคนลงได้แล้วคู่ซ้อมแข่งคนต่อไปก็ไม่พ้นยามาโตะโนะคามิ ยาสุซาดะกับคะชู คิโยมิสึ...ซึ่งหลายๆ คนก็ไม่ค่อยสนใจคู่นี้มากนักเพราะสู้กันเองแทบจะทุกวันแล้วหันไปทำอย่างอื่นกันแทน ขนาดพวกหอกยังลากมาฮิรุไปสอนต่อสู้กันแท้เลย
พอจบการต่อสู้ของคู่ยามาโตะกับคะชูจบลงบางส่วนก็แยกตัวไปซ้อมต่อ บางส่วนที่ไปซ้อมกันตั้งแต่สองคนนี้สู้กันอยู่แล้วก็ยังซ้อมต่อไป รวมทั้งพวกคนนอกที่นึกสนุกร่วมซ้อมกับพวกดาบต่อไปด้วย...และเป็นเช่นนี้ไปจนกระทั่ง...
...เวลาผ่านไปจนถึงยามค่ำ...มิทสึทาดะก็ไล่แต่ล่ะคนไปอาบน้ำแล้วมารวมตัวกันที่ห้องโถงที่เก่าอย่างในยามนี้เพื่อรอใครบางคนนี่แหละ
“เหนื่อยอ่ะ...” เสียงแผ่วๆ ดังออกมาจากปากโลวเลสที่กลับร่างเป็นเม่นแล้วปีนไปนอนในฮู้ดของลิชท์
“เออ” ลิชท์ขานรับกลับไปห้วนๆ
“ว่าแต่ปานนี้ทำไมชิโกะยังไม่มาเนี่ย? จะค่ำแล้วนะ” คาซามัตสึบ่นขึ้นมาเบาๆ
“คงไม่ใช่ลืมพวกเราจริงๆ หรอกนะ?” ฟุคุอิเบ้หน้าน้อยๆ
“ไม่หรอก” มิยาจิพยายามปลอบพวกที่เริ่มทำท่าจะไปอยู่ในหลุดดำหากโดนสาวเจ้าผู้แสนบ้าลืมขึ้นมาจริงๆ
“แต่ก็ไม่แน่แฮะ” อิมาโยชิเอ่ยแย้งขึ้นมาก่อนที่จะโดนมิยาจิตีหัวเต็มแรงเนื่องจากพูดอะไรไม่คิดแถมทำเอาหลายคนหดหู่ตามไปด้วย
“...นี่ทุกคน” ในขณะที่มิยาจิกับอิมาโยชิกำลังจะตีกันอยู่นั้น มาฮิรุก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วราวคนจิตหลุด
“อะไร?” แต่ล่ะคนในห้องถามกลับเป็นเสียงเดียวกัน
“นู้น...นู้น...” มาฮิรุชี้ไปที่มุมห้อง
“หื้อ?” ทุกสายตามองตามที่นิ้วชี้ไปและ...พบว่าบนเพดานที่มุมนั้นเกิดหลุมดำขึ้นก่อนที่จะ ‘คาย’ ร่างของคนจำนวนหนึ่งออกมา “ยกขโยกคนจากไหนมาอีกล่ะเนี่ย!?”
“อ่ะ! พวกคนจากทุกมิติที่เราผ่านมานิ!!!” ฟุริฮาตะอุทานออกมาเมื่อเห็นว่าทุกร่างที่ร่วงลงมานี่คือเหล่าคนที่จากมิติต่างๆ ที่พวกตนผ่านมาทั้งสิ้น
“มาไงฟะ!!?” ยูยะขมวดคิ้วเป็นปม
“เราพามาไงพวก!” เจ้าสาวผู้แสนบ้าหรือชิโกะ อาคากิเจ้าเก่ารายเดิมที่โผล่มาจากหลังฝูงชนที่โผล่มาเมื่อครู่ตอบกลับไปอย่างรื่นเริง “แต่น่าเสียดายแฮะที่พาพวกจากแดนไททันมาไม่ได้ เราพยายามเปิดมิตินั้นยังไงก็ไม่ได้ แถมไปโผล่ที่อื่นอีก...แย่จังเนอะ”
“ยังไงก็ช่าง แล้วจะพามาทำไม!?” มายุสุมิตัมขมับอย่างปวดกับรายนี้ขึ้นมาตงิดๆ
“กะพามาเลี้ยงฉลอง! และขอยืมสถานที่หน่อยนะ!” ชิโกะตอบพร้อมหันไปขอยืมสถานที่กับซานิวะที่นั่งเงียบจนแทบไร้ตัวตนอยู่ในห้องโถงนี่
“พามาแล้วเพิ่งมาขอเนี่ยนะ...” ซานิวะหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางพยักรับเป็นเชิงอนุญาตอย่างขอไปที
“เธอนี่มัน...” มาฮิรุสงสารเจ้าของสถานที่จริงๆ งานนี่ที่โดนชิโกะป่วนเนี่ย
“เอาไงก็ช่างเถอะ รีบพาพวกฉันกลับเลยนะ!” เม่นน้อยโลวเลสโดดลงจากตัวลิชท์แล้วกลับร่างเป็นมนุษย์พร้อมโวยวายใส่
“ไม่เอา อยู่เล่นด้วยกันก่อนสิ” ชิโกะปฏิเสธทันควันก่อนที่จะลากเสียงยาวๆ ให้หลอนกันเล่นๆ
“ถ้าพวกเราเล่นหายตัวมายกหมู่แบบนี้เดี๋ยวก็วุ่นวายกันหรอก!” ฮิวที่ไม่อยากเจอความบ้านานกว่านี้พยายามหาข้อโต้แย้งช่วยโลวเลส
“ไม่ต้องห่วง ส่งข่าวบอกที่บ้านพวกนายแล้ว...ของทุกคนเลยด้วย” ชิโกะยิ้มประมาณว่า ‘เตรียมการมาหมดแล้ว อย่าหวังจะหนีซะให้ยาก’ มาให้
“สรุป...เราหนีไม่ได้แล้วใช่ไหม?” คุโระเดาชะตากรรมของพวกตนต่อจากนี้ออกเลย
“ถูก!” ชิโกะตอบทันควัน
“ทำใจเถอะพี่ชาย...” หญิงสาวผมม่วงที่โผล่มาจากกลุ่มผู้มาใหม่เดินมาตบบ่าคุโระเชิงปลอบ
“มาด้วยเหรอดิส มาเธอร์?” คุโระถามเมื่อเห็นคนมีศักดิ์เป็นน้องตนเดินมา
“โดนลากมาน่ะ...มาหลายคนด้วย” ดิส มาเธอร์ตอบพลางบู้ใบ้ไปยังหลายๆ คนที่มุดฝูงชนมาหา
“นายหนุ่ม~~~” ชายหนุ่มผมสีเหลืองอ่อนจนเกือบขาวซึ่งปิดผ้าสีดำไว้ที่ตาข้างหนึ่งพุ่งเข้าหาสึบากิ พร้อมกับหญิงสาวผมสีม่วงอ่อนและชายวัยกลางคนผมมีแดงเพลิงที่เดินตามมาติดๆ
“บอกกี่ทีแล้วว่าเลิกเรียกแบบนี้สักทีเถอะ!” สึบากิทำแก้มป่องคนในกลุ่มตนที่เดินมาหา
“สวัสดี...” เวิร์ลเอนด์โบกมือทักทายพร้อมลากหนุ่มแว่นผมน้ำตาลที่สภาพ...ปานตกท่อมาหาพวกสึรุงิ
“ไง นายก็มาเนอะ...และชูเฮย์มันไปโดนอะไรมาล่ะนั้น?” ยูมิคาเงะมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ...ถึงจากที่แอบดู (?) จะพอรู้ว่าโดนหมาไล่ก็เถอะ แต่สภาพมันไม่น่าเละขนาดนี้นะ
“อย่ารู้เลยครับ...แค่อยู่กับชิโกะแล้วเหมือนซวยยกกำลังสอง...” ชูเฮย์เอ่ยเสียงแผ่ว
“กิล! แครนซ์! ดีจังที่มาร่วมปวดหัว!” ทางโลวเลสกับลิชท์ที่เจอคนรู้จักที่มาร่วมชะตากรรมน่าปวดหัวนี่ด้วยทำหน้าระรื้นจนน่าถีบ
“ไม่ต้องมาพูดเลย” แครนซ์ดุใส่คนที่ทักตนเล็กน้อย หากแต่ดูจะไม่เป็นผลสักนิดทำให้คนใส่ชุดวาฬหน้าตาบ๊องแบ๋วต้องตบบ่าปลอบทีสองที
“ให้ตายเถอะ ทั้งที่ฉันมีงานแท้ๆ ...ยัยนี่กลับไปขอบอสแล้วลากฉันมานี่ซะได้...” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแดง...นากาฮาระ ชูยะซึ่งเป็นหนึ่งในคนจากอีกมิติที่สาวเจ้าชอบแกล้งเกาหัวตัวเองอย่างหัวเสีย
“ผมก็อารมณ์เดียวกันนั้นแหละครับ” อาคุตางาวะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงตอนที่ตนโดนลากออกมาจากห้องของตัวเอง
“น่าๆ น่าสนุกออก” ดาซังยิ้มร่าเริงอย่างไม่ทุกข์ร้อนที่โดนลากมาแม้แต่น้อย
“สนุกคุณคนเดียวสิครับดาไซซัง” อัตสึชิบ่นอุบอิบ
“ยัยบ้า...เล่นพามายกหมู่เลย...” คาซามัตสึมองผลงานของชิโกะที่สร้างความวายวอดให้ชาวบ้านแล้วอดปวดจิตไม่ได้จริงๆ
“คิดว่าจะไม่ต้องมาเจอะมาเจออะไรแบบนี้ทั้งชาติแล้วนะ” เหล่าคนจากโลก kekkai kenken ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“คิดบ้าอะไรลากพวกฉันมาด้วยเนี่ย?” เหล่า Gokuto ทั้งหลายที่รู้ความบ้าของสาวเจ้าดีได้เพียงส่ายหน้าไม่มาอย่างอ่อนใจ
“วุ่นวายแน่งานนี้” อิซายะจาก Drrr ทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้...ถึงเขาจะเกรียนแต่แบบนี้ก็เกรียนไม่ออกนะ! ซึ่งแน่นอนอีกสองหนุ่มกับหนึ่งสาวที่โดนลากมาก็คิดเช่นเดียวกัน
“น่าๆ อย่าบ่นแล้วไปกันเถอะ!” ชิโกะที่เกิดอยากแกล้งคนหรืออย่างไรก็ไม่ทราบทำการเสกหลุดดำที่ใต้เท้าทุกคนและ...ทำให้ทุกชีวิตร่วงลงไปก่อนที่จะมาโผล่อีกทีที่ใต้ต้นซากุระต้นใหญ่ต้นหนึ่ง
“ระยะทางแค่นี้จะวาปเพื่อ!?” ฮิสะมารุที่รู้ระยะทางจากที่ตนอยู่เมื่อครู่กับ ณ จุดนี่อดสงสัยไม่ได้จริงๆ
“เพื่อให้ยกมาได้ทั้งหมู่เฮาไง!” ชิโกะตอบเสียงใส
“เดินกันก็ได้ยัยบ้า!!!” ฮิสะมารุแยกเขี้ยวใส่
“ไม่รู้ไม่ชี้” ชิโกะกระดึบไปเกาะแขนคะเซ็นกับมิทสึทาดะไว้ “ไปกันเถอะ มิทสึทาดะ! คะเซ็น! ไปทำกับแกล้มบวกข้าวเย็นกัน!”
“เฮ้ย! เดี๋ยว...” ฮิสะมารุพยายามห้าม เสียแต่...ไม่ทัน สาวเจ้าพามิทสึทาดะกับคะเซ็นหนีไปพร้อมกับตนเสียแล้ว
“...ยัยนี่ยังบ้าเหมือนเดิม” เบลเกียที่คิดว่าตัวเองบ้าแล้วยังยอมรายนี่จริงๆ
“ทำไมรู้สึกว่าดูบ้าขึ้นเนี่ย?” อิซายะที่เรียกได้ว่าเข็ดกับรายนี้ไปตลอดชาติแล้วเบ้หน้าเล็กน้อย
“ตั้งแต่รู้จักรายนี้ก็บ้าไม่สางมาตลอดนั้นแหละ/ครับ ทำใจเถอะ/ครับ” แต่ล่ะคนในโลกที่รู้จักชิโกะดีเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
“นั้นสินะ~~~” ชินระที่เป็นเพื่อนอิซายะตบบ่าอย่างปลอบใจแบบไม่ทุกข์ร้อนกับความบ้าของสาวเจ้าแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นไปๆ มาๆ เหล่าคนที่เผชิญความบ้าของชิโกะ อาคากิกันมาก็พากันคุยกึ่งนินทาสาวเจ้ากันไปพลางๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อสาวเจ้ากับอีกสองคนที่โดนลากไปกลับมาพร้อมกับอาหารและเครื่องดื่มประเภทมีแอกกอฮอล์จำนวนมากทุกคนถึงหยุดนินทาแล้วเริ่มดื่มเริ่มกินกันอย่างสนุกสนาน
เวลาผ่านไป...ในท้ายที่สุดทุกคนก็เมาหลับไปตามเสต็ปเพราะจิโร่ทาจิดันจับเอาเหล้ากรอกปากชาวบ้านแบบไม่เว้นเด็กเว้นผู้ใหญ่ตามเดิมทำให้เหล่าคนที่ยังไม่เมาก็ต้องจัดการลากคนอื่นๆ ไปเก็บ เอ้ย! ค้างที่คืนกันที่ฮงมารุกันในคืนนี้แล้วค่อยส่งคนแต่ล่ะมิติกลับโลกเดิมของตัวเองในเช้าวันต่อมา
END
ช่วงตอบเม้นจ้า!
suzuno airu ซัง : คำตอบคือซวยกันหมดจ้า!!!
เนตรราชันย์มังกร ซาจิ ซัง :เปล่าสักหน่อยยยย
กุหลาบสีดำ นิรนามทมิฬ ซัง : หรือว่าอะไรจ๊ะ? 555
ความคิดเห็น