คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #222 : [KiFuri] 従兄弟
Title : 従兄弟
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Kisex Furihata
Notes : วันนี้เรารีบ เพราะงั้นขอไม่พูดพล่ามทำเพลงนะ ส่วนคิเสะเราถีบลงฟิคไปแล้วจ้า! ขอให้สนุกกันเด้อ!!!
.....................................................................................
従兄弟
“คุโรโกจจิ~~~ กลับบ้านด้วยกันนะ!” เสียงเอ่ยอย่างร่าเริงดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมสีเหลืองผู้มีหน้าตาหล่อเหลา รอยยิ้มสดใสส่งให้เด็กหนุ่มผมสีฟ้าที่ยืนหน้าตายอยู่ไม่ห่างจากตนนัก
“คงไม่ได้ล่ะครับคิเสะคุง วันนี้ผมต้องไปรับญาติน่ะครับ” คนผมฟ้าหรือคุโรโกะ เท็ตสึยะหนึ่งในตัวจริงทีมบาสของโรงเรียนมัธยมปลายเทย์โควเอ่ย
“เอ๋~ ไหงงั้นอ่ะ~~~” คิเสะ เรียวตะผู้เป็นหนึ่งในตัวทีมบาสเทย์โควเช่นเดียวกันทำเสียงโอดครวญจนน่าถีบใส่ “งั้นฉันไปด้วยสิ~!”
“คุณจะไปด้วยทำไมล่ะครับ? คุณไปชวนคนอื่นหรือกลับคนเดียวก็ได้นิครับ?” คุโรโกะปฏิเสธพร้อมไล่ให้อีกฝ่ายไปหาคนอื่นแทนอีก
“ก็พวกอาโอมิเนจจิไม่ว่างกันสักคนนิ และฉันไม่อยากกลับคนเดียวด้วย” คิเสะเอ่ยอย่างออดอ้อน “เพราะงั้นไปด้วยนะๆๆๆๆ”
“เฮ้อ...ครับๆ ก็ได้ครับ ญาติผมคนนี้ใจดีคงไม่ว่าอะไรล่ะมั้งครับ” คุโรโกะถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความที่รู้ว่าเถียงหมาน้อยสีเหลือง (?) คนนี้ไปก็เท่านั้น
“เย้” คิเสะยิ้มแฉ่ง
“ไม่ต้องเลยครับ” คุโรโกะดุใส่เพื่อนตนเล็กน้อย “แล้วนี่ที่ไม่อยากกลับคนเดียวนี่...ช่วงนี้โดยแฟนคลับตามตื้ออีกแล้วเหรอครับ?”
“ถูกเผงเลย!” คิเสะทำหน้าประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายเดาถูก
“...บางทีเป็นนายแบบนี้ก็น่าสงสารเหมือนกันนะครับ” คุโรโกะเริ่มสงสารคนผมเหลืองนิดๆ แล้ว...เท่าที่เขาจำได้อีกฝ่ายโดนแฟนคลับตามตื้อเป็นครั้งที่ห้าแล้วในเดือนนี้
“น่าๆ” คิเสะที่ชินกับเรื่องแบบนี้แล้วเอ่ย ทางคุโรโกะด้วยความที่ขี้เกียจต่อบทสนทนาให้ยาวหรืออย่างไรก็ไม่ทราบจึงจัดการลากคิเสะออกจากโรงเรียนเพื่อไปรับญาติของตนด้วยกัน
เมื่อมาถึงสถานีคุโรโกะก็มองหาญาติของตนที่ตนโดนใช้ให้มารับ ดวงตาสีฟ้าใสกวาดไปมาจนไปสะดุดเข้ากับร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลท่าทางใจดี อายุราวๆ ยี่สิบปลายๆ ซึ่งกำลังมองซ้ายมองขวาหาทางใครสักคนอยู่
“ฟุริฮาตะซัง! ทางนี้ๆ!” คุโรโกะตะโกนเรียกชายหนุ่มผมน้ำตาลหรือญาติตนหากแต่...อนิจา เสียงเจ้าตัวโดนกลบไปจนหมดแถมยังไม่สังเกตเห็นตัวตนของเด็กหนุ่มผมฟ้าเลยอีกต่างหาก
“ฟุริฮาตะซัง!” คิเสะที่เห็นว่าเพื่อนตนโดนมองข้ามอีกตามเคยตะโกนเรียกให้แทน...
“หื้อ?” ...และคราวนี้คนผมน้ำตาลหันมามองคิเสะอย่างงงๆ
“เจอล่ะ!” คิเสะเมื่อเห็นว่าญาติของคุโรโกะเป็นคนไหนก็ทำการลากคุโรโกะเดินไปหา “สวัสดีครับ”
“เออ...สวัสดี” ชายหนุ่มนามฟุริฮาตะขานรับไปอย่างเอ๋อๆ “ใครล่ะเนี่ย?”
“ยังตอบรับชาวบ้านง่ายเหมือนเดิมเลยนะครับฟุริฮาตะซัง” คุโรโกะถอนหายใจออกมาเบาๆ กับญาติตนคนนี้ที่ใสซื่อยิ่งกว่าเด็กเช่นนี้ด้วยความเหนื่อยใจ
“ชะแว๊ก!” ฟุริฮาตะร้องลั่นพร้อมเบนสายตาไปยังต้นเสียง...และพบเด็กหนุ่มผมฟ้าที่คุ้นเคยดียืนอยู่ “โธ่ เท็ตสึยะนี่เอง...ตกใจหมด”
“น่าจะชินได้แล้วนะครับ ผมก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” คุโรโกะเอ่ย
“ถึงชินก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดีนั้นแหละ” ฟุริฮาตะบ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเบนสายตากลับไปที่คิเสะอีกครั้ง “แล้วนี่เพื่อนเหรอ?”
“ครับ” คุโรโกะพยักหน้ารับ
“คิเสะ เรียวตะครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” คิเสะแนะนำตัวแก่คนอายุมากกว่าด้วยรอยยิ้มสดใสตามประสาเจ้าตัว
“ฉันฟุริฮาตะ โคกิ ยินดีที่ได้รู้จัก” ฟุริฮาตะเองก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน...หากแต่ไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่สดใสแบบเด็กหนุ่มผมเหลือง แต่เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเสียจนคนมองรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด “ว่าแต่ไหงคราวนี้เป็นนายมารับล่ะ? แล้วพี่ล่ะ?”
“เคียวซังมีงานด่วนบวกกับโดนหัวหน้าตัวเองจับอบรมความประพฤติอยู่น่ะครับ” คุโรโกะตอบพลางนึกถึงคนที่ใช้คนมา...หรือก็คือพี่ชายของอีกฝ่ายนี่แหละด้วยสีหน้าปวดจิตนิดๆ
“นั้น...อีกแล้วสินะ?” ฟุริฮาตะส่งยิ้มแห้งๆ ให้คุโรโกะเพราะรู้ดีว่าไอ้การที่พี่ตนโดนคุมความประพฤตินั้นสาเหตุมักจะมาจากอะไร
“ครับ อีกแล้วครับ” คุโรโกะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“มีอะไรกันเหรอ?” คิเสะที่ไม่เข้าใจบทสนทนาของทั้งสองถามขึ้นด้วยอารมณ์ประมาณว่า...อย่ากันเขาออกนอกวงคนเดียวสิ! ให้เขารู้ด้วยคน!
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอกครับ” คุโรโกะบอกปัดๆ ไป
“อย่ารู้ให้ปวดจิตปวดใจเปล่าๆ เลย” ฟุริฮาตะเอ่ยต่อ
“เอ๋~ ไหงงั้นล่ะครับ?” คิเสะทำหน้างอเล็กน้อย..,เขาอยากรู้อ่ะ!
“ก็ตามนั้นแหละครับ” คุโรโกะเมินท่าทางอนๆ ของเพื่อนตนไปแล้วหันมาคุยกับญาติตนแทน “เอ้าๆ ไปกันเถอะครับฟุริฮาตะซัง เดี๋ยวพาไปส่งที่ห้องพักของเคียวซังให้ครับ”
“ฉันไปเองได้น่า...” ฟุริฮาตะบ่นน้อยๆ ...ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมแต่ล่ะคนมักไม่ยอมให้เขาไปไหนมาไหนคนเดียวเนี่ย
“คราวก่อนเล่นหลงไปอีกฟากของเมืองใครมันจะกล้าปล่อยคุณไปคนเดียวล่ะครับ” คุโรโกะสวนกลับทันควัน
“แหม หลงนิดๆ หน่อยๆ น่า” ฟุริฮาตะเถียงกลับ
“ไม่นิดนะครับ เล่นซะสุดสายเลยเนี่ย” คุโรโกะสวนกลับทันควันด้วยประโยคที่เล่นซะคนผมน้ำตาลเถียงต่อไม่ออกเลยทีเดียว
จากนั้นเมื่อจบการโต้เถียงเล็กๆ น้อยๆ นี่ลงแล้วเด็กหนุ่มทั้งสองก็พาผู้อาวุโสกว่าไปยังอพาทเม้นแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก ก่อนที่จะขอตัวกันกลับบ้านทันทีเมื่อไปส่งฟุริฮาตะ โคกิชนิดที่ถึงห้องพักเรียบร้อยแล้ว
“คุโรโกจจิ...” ระหว่างที่เดินกลับด้วยกันนั้น คิเสะก็เอ่ยเรียกคนผมฟ้าเบาๆ
“อะไรเหรอครับ?” คุโรโกะถามกลับไป
“ญาตินายคนนี้ไม่รู้ว่าฉันเป็นนายแบบใช่ไหม?” คิเสะถาม...เขาว่ามันแปลกๆ ตั้งแต่ฟุริฮาตะ โคกิดูเฉยๆ เมื่อเห็นหน้าเขาและรู้จักชื่อเขาแล้วล่ะ ทั้งที่คนปกติมักทักว่าเขาเหมือนในโฆษณาหรืออะไรแล้วแท้ๆ
“ครับ พอดีฟุริฮาตะซังไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้เสียเท่าไหร่นักน่ะครับ” คุโรโกะเอ่ย...ความจริงญาติไม่ใช่แค่ไม่ใส่ใจหรอก แต่เขาว่าคงไม่สนใจเลยมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
“เหรอ ถึงว่าเป็นกันเองจัง” คิเสะหัวเราะเบาๆ
“นั้นเป็นนิสัยถาวรของฟุริฮาตะซังครับ” คุโรโกะไม่เถียงว่าญาติตนเป็นกันเองจริงๆ ...เป็นกันเองจนมากเกินไปเลยล่ะ “แยกกันตรงนี้นะครับคิเสะคุง ผมคงไม่ต้องไปส่งถึงบ้านหรอกใช่ไหมครับ?”
“อื้ม ไม่ต้องหรอก...พรุ่งนี้เจอกันนะ” คิเสะส่ายหน้าวืดก่อนที่จะโบกมือลาอีกฝ่ายเมื่อถึงทางแยก
“ครับ พรุ่งนี้เจอกันครับ” คุโรโกะโบกมือลาเช่นกันก่อนที่จะ...แว่บหายไปราวภูติผี เล่นซะคิเสะอดสะดุ้งน้อยๆ ไม่ได้ ทว่าด้วยความเคยชินกับการโผล่ๆ หายๆ ของคนผมฟ้าเจ้าตัวเลยไม่ใส่ใจอะไรมากมายแล้วเดินหน้ามุ่งกลับบ้านตนเองและในระหว่างนั้น...
ตึง...ตึง...
...เสียงฝีเท้าที่ดังตามหลังคิเสะมาทำให้เด็กหนุ่มชะงักก่อนที่จะหันหลังกลับไปดู...หากแต่ก็เจอแต่ความว่างเปล่า
...อะไรกันหว่า? มีคนตามมาอีกแล้ว...
คิเสะคิดในใจขณะที่หันกลับไปทางเดิมและเริ่มเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อรีบกลับบ้าน...เท่านั้นแหละ เสียงฝีเท้านั้นก็เริ่มดังกว่าเดิมเสียงอีก แถมยังเร่งฝีเท้าตามมาด้วย
...เฮ้ยๆ! ชักน่ากลัวแล้วนะเฮ้ย!...
ดวงหน้าหล่อเริ่มเหงื่อแตกซิกๆ แล้วรีบใส่เกียร์หมาวิ่งทันที เสียงฝีเท้าปริศนานั้นก็ดันวิ่งตามมาด้วยอีกทำให้นายแบบหนุ่มเกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมา ในหัวตอนนี้คิดแต่เพียงว่าต้องกลับถึงบ้านให้ได้ก่อนที่เสียงปริศนานี้จะตามจับตนได้ทัน
ครืน...ปัง!
“แฮ่ก...แฮ่ก...” คิเสะที่วิ่งเข้าบ้านมารีบปิดประตูล็อกอย่างแน่นหนาด้วยหัวใจที่เต้นระทึกราวกับจะหลุดออกมาจากอก “...โอ๊ย รู้งี้ให้คุโรโกจจิมาส่งถึงบ้านก็ดีหรอก”
ปังๆๆๆๆ!!!
เสียงเคาะประตูดังสนั่นเสียจนประตูสั่นสะท้านทำให้เด็กหนุ่มผมเหลืองที่ยังยืนบริเวณหน้าประตูบ้านอยู่สะดุ้งเฮือก ประตูบ้านสั่นไปมาอย่างน่ากลัวว่าผู้มาเยือนจะพังเข้ามาทำให้เด็กหนุ่มจำต้องคว้าของใกล้ๆ มือเตรียมฟาดใส่บุคคลที่ปริศนาที่อาจบุกเข้ามา
“ค...ใคร!?” คิเสะพยายามทำใจกล้าถามกลับไป แต่เมื่อถามไปนั้นเสียงเคาะประตูก็เงียบไป “ฉันถามว่าใคร!?”
“เรียวจัง! เกิดอะไรขึ้น!? เสียงดังเชียว...” เมื่อผ่านเหตุการณ์สุดระทึกไปได้แล้วหญิงสาวผมสีเหลืองหน้าตาสดสวยสองคนก็รีบวิ่งมาหาแบบลืมเก็กสวย (?)
“พี่...” คิเสะหันไปหาหญิงสาวสองคนที่วิ่งหน้าตื่นมาหาตน...คาดว่าสาเหตุคงมาจากที่ตนเสียงดังนี่แหละ “...โดนตาม...อีกแล้วล่ะครับ”
“อีกแล้วเหรอ? ไปแจ้งความไหม? คราวนี้ชักเยอะล่ะ” คิเสะ เรียวโกะผู้เป็นพี่คนรองของบ้านคิเสะถามอย่างห่วงน้องชายตนเอง
“ผมว่าไม่ต้องหรอกพี่ เรื่องใหญ่เปล่าๆ น่า” คิเสะเอ่ยเชิงว่าไม่เป็นไร
“แต่เล่นมาเคาะประตูถึงบ้านแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ แถมพรุ่งนี้พี่กับเรียวโกะต้องไปทำงานที่อื่นกันด้วย” คิเสะ เรียวกะผู้เป็นพี่คนโตเอ่ยด้วยสีหน้าเครียดๆ ...ปกติถึงมีคนตามมาก็ไม่เคยมีใครตามมาเคาะถึงหน้าบ้านแบบนี้เลยนะ
“ผมไม่เป็นไรหรอกพี่” คิเสะที่ไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เอ่ย
“แน่ใจนะ?” สองสาวถามอย่างหวั่นใจเล็กน้อย
“ครับ” คิเสะพยักหน้ารับ “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมหาทางจัดการเองได้”
...มันคงไม่ร้ายแรงอะไรหรอกมั้ง...
...โอเค คำพูดเมื่อคืนเขาขอถอนคำพูด...นี่มันบ้าอะไรกันฟะ!?...
ความคิดนี่เป็นความคิดแรกที่ลอยเข้ามาภายในหัวเด็กหนุ่มผมเหลืองทันทีในยามเช้านี้ เมื่อเปิดประตูบ้านออกมาเจอจดหมายที่มีเนื้อหาประมาณว่า ‘ระวังตัวให้ดี’ วางอยู่ที่พรมหน้าบ้าน
“เฮ้อ คราวนี้หนักแฮะ...” คิเสะถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มเดินทางออกจากบ้านไปเพื่อฝึกซ้อมยามเช้าดังเช่นทุกวัน ทว่า...ระหว่างเดินอยู่นั้นหูก็ดันได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลังมาเสียได้ “...เฮ้ยๆ ตามแต่เช้าเลยเหร...เหวอ!”
เคร้ง!
เสียงโลหะกระทบพื้นเสียงดังจากจุดที่นายแบบหนุ่มยืนอยู่เมื่อครู่...ที่จริงมันควรลงหัวเหลืองๆ ของเจ้าตัวไปแล้วด้วยซ้ำหากไม่ติดว่าหลบทัน คิเสะมอง ‘ท่อเหล็ก’ ในมืออีกฝ่ายก่อนไล่มองไปยังคนถือที่เป็นคนร่างเล็กที่ระบุเพศไม่ได้เนื่องจากสวมชุดวอร์มและสวมหน้ากากปกปิดหน้าตาอยู่จะเห็นจุดเด่นก็เพียงเส้นผมสีเขียวสะท้อนแสงดูเตะตาเสียจนไม่คิดว่าจะมีคนกล้าทำสีนี้ ดวงตาอีกฝ่ายที่ดูเหม่อลอยมองมายังนายแบบอย่างไม่วางตาก่อนที่จะ...
“อันตรายนะเว้ย!” ...ฟาดท่อเหล็กใส่อีกครั้งและแน่นอนว่าเห็นจะๆ แบบนี้คิเสะก็ไม่บ้ายืนอยู่เฉยๆ รีบใส่เกียร์หมาวิ่งหนีทันที แต่ไอ้ที่ตามมาก็ตามมาไม่เลิกเสียอีก
...เรือหายแล้วไง! เอาไงดีวะ!!?...
“อ่ะ!” ระหว่างที่หนีอยู่นั้นด้วยความที่ลืมมองทางทำให้นายแบบหนุ่มวิ่งไปชนกับคนที่เดินมาพอดี
“ขอโทษครับ!” คิเสะเอ่ยขอโทษพลางระแวงมองไปด้านหลังตนว่าไอ้ที่ตามตนมาเมื่อครู่ตามมาถึงหรือยัง...ทว่าดูเหมือนไอ้คนเมื่อครู่จะไม่ต้องการให้คนนอกเห็นเลยหายตัวไปไหนก็ไม่รู้เสียแล้วทำให้คิเสะถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อ้าว? คิเสะนี่นา...” เสียงทักคุ้นหูดันขึ้นทำให้คนผมเหลืองมองอีกฝ่ายชัดและพบว่าอีกฝ่ายนั้น...
“ฟุริฮาตะซัง!? ไหงมาอยู่นี่ได้ล่ะครับ!?” ...คือฟุริฮาตะ โคกิผู้เป็นญาติของเพื่อนตนที่เพิ่งเจอไปหมาดๆ เมื่องานนี้เอง
“หลงทาง” ฟุริฮาตะตอบง่ายๆ สั้นๆ แต่สร้างความเหวอได้อย่างดีกลับมา
...ขอประทานโทษนะ...นี่มันไกลจากที่พักคุณเมื่อวานพอดูเลยนะครับ! หลงมาไงเนี่ย!?...
คิเสะแอบคิดในใจอย่างปลงปนเหวอเล็กน้อยที่อีกฝ่ายหลงมาทางบ้านตนได้เพราะแถบนี้เป็นจุดที่รถสารธารณะไม่ผ่าน แถมยังอยู่ลึกจากถนนใหญ่รวมทั้งที่พักที่ตนพาไปส่งกับเพื่อนเมื่อวานพอสมควรอีกด้วย
“แล้วนี่หนีอะไรมาเหรอ?” ฟุริฮาตะไม่สนใจท่าทีเหมือนปลงโลกของคนผมเหลืองแล้วถามกลับไปเช่นนี้
“เออ...” พอเจอคำถามนี้คิเสะก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับไป...จะตอบยังไงหว่า? เขาไม่ค่อยอยากให้คนอื่นมาเจอเรื่องแย่ๆ แบบเขาด้วยสิ “...ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ผมกำลังจะไปซ้อมชมรมสายเฉยๆ แฮะๆ”
“ตอนตีห้าเนี่ยนะ?” ฟุริฮาตะถามกลับ
“...” คิเสะชะงักเล็กน้อยเพราะลืมนึกถึงเรื่องเวลาไป...เวลาแบบนี้แน่นอนว่าต่อให้กระดึบไปโรงเรียนยังไม่มีทางจะสายเลยด้วยซ้ำ และเพราะเหตุนี้ทำให้คิเสะต้องหาทางเปลี่ยนบทสนทนาอย่างเร่งด่วน “ว่าแต่ฟุริฮาตะซังหลงมานี่ได้ไงกันครับ?”
“เดินตามแมวมาและรู้ตัวอีกทีก็อยู่นี่แล้วล่ะ ฮาๆ” ฟุริฮาตะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม โดยไม่รู้เลยว่าคำตอบที่ตนตอบมาทำเอาอีกฝ่ายรู้สึกเหวอขนาดไหน...
...เป็นเด็กหรือไงครับ!? ตามแมวจนหลงทางเนี่ย!?...
“งั้นเหรอครับ? ถ้างั้นเดี๋ยว...” ...ผมจะไปส่ง นี่คือสิ่งคิเสะกำลังจะพูดกลับไปแต่ไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาเสียงก่อน
“โคกิ~~~!!!” เสียงตะโกนพร้อมกับร่างของชายหนุ่มผมน้ำตาลคนหนึ่งวิ่งมาหาด้วยความเร็วที่...ดูเหมือนจะเกินคนไปสักนิด “เจอตัวสักที”
“อ่ะ? พี่ออกเวรแล้วเหรอครับ?” ฟุริฮาตะเอ่ยทักผู้มาใหม่
“อื้ม” ชายหนุ่มหรือนายฟุริฮาตะ เคียวพยักหน้าให้น้องชายตัวดีของตนเอง “พี่บอกแล้วใช้ไหมว่าอย่าไปไหนมาไหนคนเดียว ยิ่งชอบหลงทางอยู่”
“ผมโตแล้วนะครับ ไม่ต้องห่วงกันมากเกินไปก็ได้นะ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“ถ้าไม่บื้อเกินแบบนายก็ไม่ห่วงหรอก” เคียวยักคิ้วอย่างกวนส้นเล็กน้อย
“พี่อ่ะ!” ฟุริฮาตะทำแก้มป่องปานหนูแฮมเตอร์
“หึๆ” เคียวหัวเราะเบาๆ เมื่อแกล้งน้องตัวเองจนสมใจแล้วก่อนที่จะตวัดสายตาไปยังเด็กหนุ่มผู้ถูกลืมเสียชั่วขณะจนสะดุ้งโหยง “ว่าแต่หมอนี่ใครอ่ะ?”
“เออ...สวัสดีครับ ผมคิเสะ เรียวตะครับ” คิเสะเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ...เฮ้ๆ ไหงรังสีหวงน้องออกมาเลยล่ะครับ!? ผมยังไม่ทันทำอะไรเลยนะ!
“เพื่อนของเท็ตสึยะน่ะครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยต่อ
“อ๋อ” เคียวพยักหน้ารับก่อนที่รังสีน่าอึดอัดจะหายไปทันควันอย่างน่าเหลือเชื่อ “ว่าแต่คิเสะ เรียวตะนี่...คนที่เป็นนายแบบดิ?”
“ครับ” คิเสะพยักหน้ารับอย่างเอ๋อๆ กับคนที่เปลี่ยนการกระทำของตัวเองเร็วเสียยิ่งกว่าอะไร
“เอ๊ะ? นายเป็นนายแบบเหรอ?” ฟุริฮาตะทำหน้าตกใจ...บ่งบอกได้อย่างดีว่าเพิ่งรู้จริงๆ ว่าเด็กหนุ่มเป็นนายแบบ
“ครับ” คิเสะแทบจะน้ำตาตกใน...เขาเคยคิดว่าหากมีคนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นนายแบบจริงๆ ก็คงดีแต่พอเจอจริงๆ แทบกระอักเลยเว้ย!
“นายหัดสังเกตหน้าชาวบ้านในโฆษณาหรืออะไรพวกนี้บ้างก็ดีนะน้องเลิฟ” เคียวหัวเราะเอาๆ ก่อนที่จะจัดการโยนบางสิ่งออกไปยังเสาไฟที่อยู่ใกล้ๆ “ว่าแต่...พวกนายแบบนี่เขาบอกว่าจะมีพวกสโกตเกอร์ตามกันบ่อยๆ ท่าจะจริงแฮะ”
“หว่า!” คิเสะสะดุ้งโหยงเมื่อมีก้อนหินก้อนใหญ่โยนกลับมาก่อนที่จะเห็นแผ่นหลัง...ของคนที่มีลักษณะเหมือนคนที่วิ่งทำร้ายตนก่อนหน้านี้กำลังวิ่งออกจากหลังเสาที่เป็นที่ซ่อนเมื่อครู่แล้วหนีไป
“โอ๊ะ! สวนกลับมาด้วยล่ะ!” เคียวหัวเราะร่า
“อย่าเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ สิพี่!” ฟุริฮาตะดุใส่พี่ตนที่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก...นี่ถ้าคิเสะหลบหินเมื่อกี้ไม่ทันเนี่ยเลือดได้อาบเลยนะ!
“น่าๆ” เคียวยักไหล่น้อยๆ ก่อนที่จะ...แว๊บไปจับไอ้คนที่ปาหินใส่ชาวบ้านเมื่อครู่ได้อย่างรวดเร็ว “ดูสิ เราจับใครได้เอ๋ย?”
“...” ฟุริฮาตะส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ กับท่าทางเล่นๆ กับคนเป็นพี่ก่อนที่จะก้มเก็บหินที่ถูกโยนมาเมื่อครู่ขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกมัดติดกับก้อนหินมาด้วย เจ้าตัวดึงกระดาษออกมาคลี่ดู ดวงตาสีน้ำตาลกวดมองข้อความบนกระดาษแล้วถึงขั้นทำหน้าปลงโลกทันที “พี่ฮะ ดูท่านี่จะไม่ใช่สโตเกอร์ของคิเสะแล้วล่ะ”
“หื้อ?” เคียวเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ อย่างสงสัย ทำให้ฟุริฮาตะต้องเดินไปเอากระดาษข้อความที่ได้รับไปยื่นให้พี่ชายตนซึ่งกำลังเอาเชือกจากไหนไม่รู้มามัดคนก่อเหตุเมื่อครู่ “อ้าว พวกนี่เป็นพวกที่ตามเล่นงานคนที่เข้าใกล้นายเหรอโคกิ?”
“จากข้อความนี่...ดูท่าจะเป็นงั้นแหละครับ” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เออ...ขอโทษนะครับ พูดเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย?” คิเสะที่ถูกลืมถามอย่างเอ๋อๆ เนื่องจากตามบทสนทนาของสองหนุ่มไม่ทัน
“อ่านดูเองเถอะ อธิบายยากน่ะ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มแห้งๆ ให้
“หื้อ?” คิเสะทำหน้าแปลกก่อนที่จะเดินไปหยิบแผ่นกระดาษในมือฟุริฮาตะมาอ่านอีกคนและ...แทบอยากเอาหัวโขกเสาไฟตายเลยทีเดียวเมื่ออ่านข้อความจบ “ซวยอีกแล้วสินะเนี้ย...”
...ซวยไม่เคยหมดไม่เคยสิ้นสิน่า!...
คิเสะแทบน้ำตาซึมกับข้อความที่ได้อ่านเมื่อครู่เสียจริง...กับไอ้ข้อความที่บ่งบอกถึงการคุมคามอย่างชัดเจน แถมเห็นลางความซวยมาแต่ไกลเลยว่า...
‘ออกห่างจากชิวาว่าสีน้ำตาลของพวกฉันซะ ไม่งั้นไม่รับรองความปลอดภัย’
...แค่คำว่าพวกฉันก็รู้แล้วว่ามีอีกหลายคนชัวท์! และความซวยที่หล่นทับเนี่ยไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน!
“ใช่ และดูท่านายกลายเป็นเป้าหมายของพวกนี่แล้วล่ะ” เคียวยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก “เอาเป็นว่าเราเปลี่ยนคุยเถอะ คนเริ่มมามองกันแล้ว”
“ครับ” คิเสะขานรับเมื่อเห็นว่าเริ่มมีคนที่เดินผ่านไปผ่านมามาหยุดดูพวกตนแล้วพยักหน้ารับด้วยความไม่อยากกลายเป็นหัวข้อนินทาของชาวบ้าน...และพอได้รับคำตอบแบบนี้เคียวก็ทำการ ‘แบก’ คนสามคน (คิเสะ ฟุริฮาตะและคนที่เคียวจับมัดไว้อยู่) หนีสายตาชาวบ้านทันทีด้วยกำลังที่มหาสารแบบไม่สนใจเสียงร้องโวยวายด้วยความตกใจของคิเสะแม้แต่น้อย
...อา ดูท่าเข้านี้เขาจะไม่ได้ไปซ้อมซะแล้วสินะ?...หวังว่าอาคาชิจจิจะไม่ตามมาลงโทษเขาย้อนหลังนะ...
“สรุป...ตอนนี้มีคนที่ค่อยทำร้ายทุกคนที่เข้าใกล้ฟุริฮาตะซังอยู่สินะครับ?” เด็กหนุ่มผมเหลืองถอนหายใจออกมาเบาๆ หลังจากที่ฟังเรื่องทั้งหมดจากปากคนแรงเยอะเกินคนอย่างเคียวภายในโรงพัก...ใช่ อ่านไม่ผิดหรอกโรงพักนี่แหละ เพราะแบกมาอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่นี่เนื่องจากเป็นที่ที่ปลอดภัยบวกกับเป็นที่ทำงานของชายหนุ่มผมน้ำตาลหน้าทะเล้นผู้เป็นพี่ชายของฟุริฮาตะ โคกิที่มาดไม่ให้ว่าเป็นตำรวจสักนิดเนี่ย!
...นับวันโลกยิ่งอยู่ยากเสียจริง...
คิเสะคิดอย่างปลงๆ กับเรื่องชวนปวดหัวที่ลอยมาหาตนในคราวนี้จริงๆ “และผมก็ดูท่าจะดวงซวยโดนพวกนั้นหมายหัวเพราะเข้าใกล้ฟุริฮาตะซังสินะครับ?”
“ตามนั้นแหละ” เคียวยักไหล่เล็กน้อย “ไม่คิดว่าแค่ติดงานและให้เท็ตสึยะไปรับโคกิจะทำให้เกิดเรื่องได้แฮะ...ความจริงตอนแรกให้เท็ตสึยะไปรับโคกิเพราะว่าเห็นว่าจืดจางน่าจะโดนมองข้ามไปเลยคิดว่าไม่เป็นไร ไม่คิดว่าบังเอิญคราวนี้เท็ตสึยะจะพานายไปด้วยนี้หว่า เห็นปกติไปคนเดียว”
“...” ...เขาควรดีใจที่รับความซวยมาแทนเพื่อนผู้แสนจืดจางดีไหมเนี่ย? อย่างน้อยรายนั้นก็คงไม่โดนเล่นงานแน่ๆ เพราะความเด่นของเขาบังตัวตนของรายนั้นซะมิดเลยเนี่ย
“ขอโทษนะ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มแห้งๆ ให้คนผมเหลือง
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ คนเสียหายมันคุณนะครับ” คิเสะกรอกตาไปมา...มันไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของเรื่องแบบนี้หรอกน่า! ว่าแต่คนเสียหายจะขอโทษเพื่อ!?
“แล้วคราวนี้จะเอาไงดี? ฉันว่าพวกนั้นหากหมายหัวหมอนี่แล้วต่อให้ออกห่างโคกิตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะ” เคียวเอ่ยขึ้นมา “และฉันดูแลทั้งนายทั้งโคกิพร้อมกันไม่ได้ด้วย”
...หนึ่งเป้าหมายหนึ่งคนกลายเป็นตัวต้นเหตุให้ถูกชาวบ้านหมายหัว...ไม่ว่าทางไหนก็สมควรคุ้มกันไว้ทั้งคู่เลย! แต่เขาก็แยกร่างดูแลสองคนในสถานที่ไม่ได้นะ!!!...
“ไม่รู้สิครับ” คิเสะกับฟุริฮาตะส่ายหน้าวืดอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเช่นกัน
“งั้นเอาง่ายๆ ...เอาหมอนี่ไปส่งโรงเรียน และนายกับน้องนายก็ขอเป็นครูสอนพิเศษไปสอนในโรงเรียนหมอนี่ซะก็หมดเรื่อง” ชายหนุ่มผมสีดำผู้แสนธรรมดาที่เป็นคนคอยช่วยเคียวจัดการเรื่องวุ่นวายที่แบกคนมาโรงพักในสภาพพิสดารก่อนหน้านี้เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก
“พูดง่ายแต่ทำไม่ง่ายนะเว้ยไอ้เซย์!” เคียวแยกเขี้ยวใส่คนพูด
“แต่ก็ทำได้นี้หว่า คราวก่อนแกก็ทำตอนคิโยมิซังขอให้ไปคุ้มกันลูกเจ๊แกนิ?” เซย์ยักคิ้วกวนๆ ใส่
“ไอ้นั้นน่ะลองไม่ทำสิได้ตายอย่างเขียงแน่!” เคียวเถียงกลับ
“ก็นะ” เซย์ไม่เถียงว่าไอ้ที่เคียวพูดนั้นจริง
“แต่เอาตามที่อันเซย์บอกก็ดีนะ” ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินมองคนอายุน้อยกว่าสองคนที่เริ่มเถียงกันนอกเรื่องก่อนดึงกลับมาในประเด็นเดิม “สรุปเอาตามนี้แหละ”
“ไม่ถามความเห็นกันเลยเหรอครับ!?” เคียวโวยวายใส่
“ไม่ล่ะ” คนผมน้ำเงินส่ายหน้าวืดแล้วส่งสีหน้าประมาณว่ายังไงตนก็ไม่เปลี่ยนความคิดต่อให้โวยแค่ไหนก็ตามไปให้ ทำให้เคียวที่อ่านสีหน้านั้นออกทำได้เพียงทำหน้างอแล้วยอมให้อีกฝ่ายแต่โดยดี “เอาๆ รีบไปก่อนเถอะ...ไม่งั้นคิเสะได้เจอมารกรรไกรแดงแน่”
“ครับ คุณลุง” คิเสะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“เดี๋ยวๆ ไดสึเกะซัง...รู้จักกันเหรอครับ?” เคียวถามชายหนุ่มผมน้ำเงิน
“หมอนี่เพื่อนลูกชายฉัน” ไดสึเกะตอบง่ายๆ สั้นๆ “เอ้า รีบไปกันเถอะ! อันเซย์ฝากตอบคำถามชาวบ้านด้วยล่ะ!”
“ไหงเป็นผมทุกทีเลยล่ะครับ!?” เซย์ที่อยู่ๆ ถูกโยนหน้าที่ให้โวยลั่น...ทำไมเป็นเขาล่ะเว้ย!?
“ก็แกแก้ต่างให้เคียวมันบ่อยคงอธิบายหรือตอบอะไรชาวบ้านหลายๆ ครั้งโดยไม่รำคาญได้ไง!!!” ไดสึเกะตอบกลับหน้าตาเฉยๆ ก่อนจัดการลากสามหนุ่มออกจากสถานีอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจเสียงบ่นที่ตามหลังมาเลยแม้แต่น้อย
สี่ชีวิตที่หนีออกจากโรงพักมา (ทำไมมันฟังแปลกๆ ? // คิเสะ , คิดไปเองมั้งตัวเธอ // s) ยังโรงเรียนมัธยมต้นเทย์โควอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวว่าจะเสียเวลาบวกกับกลัวเรื่องลอยมาหา ในยามนี้ผู้ใหญ่สามเด็กหนุ่มอีกหนึ่งพากันเดินไปที่โรงยิมแห่งหนึ่งที่มีเสียงคนจำนวนมากดังออกมาแว่วๆ
“อรุณสวัสดิ์...” คิเสะเปิดประตูโรงยิมเข้าไปแล้วสะดุ้งโหยงเมื่อ...
“มาสายนะ เรียวตะ” ...เสียงนิ่งๆ ฟังดูทรงอำนาจจนน่ากลัวดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมแดงในทันที “คงมีเหตุผลดีๆ มาอธิบายใช่ไหม?”
“ชะอุ๋ย!” คิเสะถึงกับหดคอวูบ
“อย่าเพิ่งส่งรังสีาฆาตสิ สยองน้าาาา” เคียวยื่นหน้าเข้ามาภายในโรงยิมเป็นคนที่สองพร้อมน้ำเสียงสุดจะกวนโอ๊ย
“เคียวซัง?” เด็กหนุ่มผมฟ้าที่กำลังซ้อมกับคนผมน้ำเงินอยู่เอ่ยขึ้นมาอย่างงงงวยเมื่อเห็นหน้าทะเล้นๆ ของเคียว
“รู้จักเหรอเท็ตสึยะ?” อาคาชิถาม
“ญาติผมครับ” คุโรโกะตอบ “แล้วมาทำอะไรที่นี่ครับ?”
“มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ ให้ผู้เฒ่าอ...แอ๊ก! เจ็บนะครับ!” เคียวเอ่ยก่อนที่จะแทบหน้าทิ่มในเวลาต่อมาเมื่อชายผมน้ำเงินเดินมาตบเข้าที่กลางหัวอย่างจัง
“ว่าใครว่าผู้เฒ่าล่ะฟะ!?” ไดสึเกะแยกเขี้ยวใส่คนผมน้ำตาลที่กวนส้นใส่ตน...เขายังไม่เฒ่านะเฮ้ย! แค่ลูกหนึ่งเอง!
“อะจึ๋ย! พ่อ!?” เด็กหนุ่มสีน้ำเงินถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นพ่อบรรเกิดเกล้าของตนเดินเข้ามาภายในโรงยิม
“อย่าเพิ่งเล่นกันสิครับ คนอื่นเขางงกันหมดแล้วนะ” ฟุริฮาตะที่เห็นว่าหากปล่อยไว้ พี่ตนกับไดสึเกะคงไม่เลิกเล่นกันง่ายๆ แน่เอ่ยขึ้น
“อ่ะ! โทษทีๆ” สองหนุ่มที่กัด เอ้ย! เถียงกันเมื่อครู่หยุดการกระทำของตนแล้วหันไปยิ้มแห้งๆ ให้ฟุริฮาตะ
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวอธิบายนะ...ว่าแต่อาจารย์ประจำชมรมอยู่ไหน?” ไดสึเกะที่กลับเข้าสู่โหมดทำงานเอ่ยเสียงด้วยท่าทีจริงจัง
“อยู่นี่ครับ” ชายหนุ่มหน้านิ่งราวกับทำกาวหกใส่หน้า (?) ตอบพร้อมเดินมาหาชายหนุ่มที่อยู่ๆ โผล่มาที่โรงยิมหน้าตาเฉย
“โอเค งั้นขอพูดตรงไปตรงมาเลยนะ...” ไดสึเกะที่ไม่ใช่พวกชอบท้าวความอะไรมากมายเอ่ย “...มีพวกเพี้ยนจ้องทำร้ายหมอนี่อยู่เพราะงั้นฝากสองคนนี้แฝงตัวเป็นครูในโรงเรียนหน่อยนะครับ”
“นี่นายโดนโรคจิตตามอีกแล้วเหรอ?” พอได้ยินแบบนี้เด็กหนุ่มผมเขียวที่ถือกระปุกออมสิน (?) เดินมาก็หันไปยังเด็กหนุ่มผมเหลือง
“ประมาณนั้นล่ะนะ” คิเสะพยักหน้ารับ
“คิเสะจินซวยจังนะ” หมียักษ์สีม่วง (?) เอ่ยด้วยน้ำเสียงยานๆ ...ถ้าเขาจำไม่ผิดคิเสะในเดือนนี้มาเรื่องลอยมาหาห้ารอบแล้วนะ
“ว่าแต่ให้สองคนนี้มาแล้วพ่อล่ะ? ไม่ร่วมกับเขาด้วยเหรอ?” คนผมน้ำเงินที่หายไปกับความมืดได้หรืออาโอมิเนะ ไดกิถามผู้เป็นพ่อของตน
“อย่างฉันคิดว่าจะสอนใครได้เหรอ? ขนาดแค่แกฉันยังทำให้หัวดื้อแบบนี้เลย” ไดสึเกะตอบกลับทันควัน...ขนาดลูกตัวเองเขายังทำให้กวนส้นได้ขนาดนี้ ถ้าเกิดเขาทำให้ลูกคนอื่นกวนส้นตามจะทำไงล่ะวะ?
“พ่อก็พอกันนั้นแหละ!” อาโอมิเนะที่โดนว่าหัวดื้อโวยวายใส่อีกฝ่าย
“เอ้าๆ อย่าเถียงกันๆ” อาจารย์หนุ่มเอ่ยด้วยท่าทางเหมือนปวดหัวสุดแสนเพราะรู้ว่าไดสึเกะทำอาชีพอะไรจากข้อมูลนักเรียน และรู้ด้วยว่าที่พูดมานี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ “ผมว่าเรื่องนี้ไปขอผ.อ. ดีกว่าครับ ผมคงไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไหรอกครับ”
“โอเค เดี๋ยวผมไป...” เคียวทำท่าจะเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่ทว่า...
“อย่า!” ...กลับถูกคนสามคนได้แก่ฟุริฮาตะ โคกิ , อาโอมิเนะ ไดสึเกะและคุโรโกะ เท็ตสึยะห้ามเอาไว้เสียก่อน ราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรต่อจากนี้
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง! แกอยู่เฉยๆ เถอะ!” ไดสึเกะเอ่ยก่อนที่จะรีบวิ่งออกจากโรงยิมไปเนื่องจากรู้ว่าหากช้านายเคียวจะกระทำการบางอย่างให้ชาวบ้านปวดหัวเป็นแน่
“ผ.อ. ท่านอาวุโสแล้วกรุณาอย่าทำอะไรเสี่ยงให้คนอื่นหัวใจวายตายเลยเถอะครับ!” คุโรโกะรีบห้ามเสียงดังเสียจนหลายๆ คนที่รู้นิสัยคนผมฟ้าดีอดสงสัยเสียไม่ได้
“พี่อยู่นี่แล้วดีแล้ว!” ฟุริฮาตะจับตัวพี่ตนไว้กันอีกฝ่ายแว่บไปก่อเรื่อง
“...” ทุกชีวิตภายในโรงยิมมองภาพความวุ่นวายตรงหน้าอย่างไม่เท่าใจนัก โดยเฉพาะเหล่าพวกตัวจริงทีมบาสที่เห็นหน้าตื่นๆ ของเด็กหนุ่มผมฟ้าผู้นิ่งเฉยได้ทุกสถานการณ์อย่างคุโรโกะ แต่ก็ไม่มีใครถามอะไรจนสุดท้ายความวุ่นวายก็จบลงโดยการที่ไดสึเกะที่ไปคุยกับผ.อ.โรงเรียนเทย์โควเรียบร้อยมาลากตัวฟุริฮาตะ เคียวตัวต้นเรื่องวุ่นๆ ในยามนี้กับฟุริฮาตะ โคกิไปนั้นเอง
เอาเป็นว่าเรื่องราววุ่นวายในยามเช้าสุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี สุดท้ายคิเสะก็ไม่ได้ซ้อมตอนเช้าตามคาดแล้วไปเข้าเรียนตามปกติ...การเรียนของคิเสะในวันนี้ก็เป็นดังเช่นทุกวันจนกระทั่งมาถึงชั่วโมงวรรณกรรม...
...ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้สุดจะเอ๋อ (?) ที่คิเสะรู้จักดีเดินเข้ามาภายในห้องด้วยอาการสั่นนิดๆ เหมือนตื่นเต้น ดวงตาสีน้ำตาลในกวาดมองไปรอบๆ ห้องก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมา
“ทุกคน ยินดีที่ได้รู้จักนะ...ผมเป็นครูที่มาทำงานที่นี่ชั่วคราวชื่อฟุริฮาตะ โคกิ...” ฟุริฮาตะที่พยายามสงบสติอารมณ์ตนจนสำเร็จเอ่ยขึ้นมา “...ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ช...” เด็กหนุ่มคนหนึ่งมองฟุริฮาตะแบบตาไม่กระพริบ “...คุณชิวาว่าสีน้ำตาลนิ! ตัวเป็นๆ เลย!”
“กรี้ดดดดด! หนูเป็นแฟนผลงานคุณนะคะ!” เด็กสาวอีกคนกรี๊ดตามขึ้นมา
“ขอลายเซ็นหน่อยครับ!” เด็กหนุ่มอีกคนรีบถลาเข้าไปหาฟุริฮาตะที่อยู่หน้าห้อง
“ฯลฯ” จากนั้นนักเรียนภายในห้องส่วนหนึ่งก็ไปรุมล้อมฟุริฮาตะเช่นเดียวกัน
“...” คิเสะมองความวุ่นวายที่บังเกิดขึ้นมาภายในห้องอย่างงุนงง...
...ไอ้ชิวาว่าสีน้ำตาลมันอะไรกันวะ!?...
“อะไรกันหว่า...” มุราซากิบาระที่นั่งเบื่ออยู่ด้านหลังคิเสะเอ่ยเสียงง่วงขึ้นมา “...นี่ ทำไมพวกนั้นดูตื่นเต้นจังอ่ะ?”
“ก็เจอนักเขียนคนโปรดกันนิ จะตื่นเต้นก็ไม่แปลกหรอก” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ คิเสะเอ่ยตอบขึ้นมา
“นักเขียน?” คิเสะกับมุราซากิบาระทวนขึ้นมาอย่างงงๆ
“อื้ม” เด็กหนุ่มคนเดิมพยักหน้ารับก่อนที่จะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้คิเสะที่อยู่ใกล้ตนที่สุด “นี่ไง...”
“...วรรณกรรมนี่...ที่ติดอันดับหนึ่งในร้านหนังสือ?” คิเสะมองหนังสือในมือแล้วจำได้ว่าเคยเห็นว่าอยู่ในชั้นวางหนังสือยอดนิยม แถมติดอันดับหนึ่งมาตลอดเลยด้วย
...ไอ้ชิวาว่าสีน้ำตาลนี่นามปากกาเหรอ? เขากับตัวดีแฮะ...
“เขียนเล่มหนาขนาดนี้ได้คงเก่งพอดู” มุราซากิบาระเอ่ยเสียงยานยาว
“ฉันว่าคงเก่งมากเลยมากกว่า...” คิเสะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ พลางมองความวุ่นวายต่อไปโดยไม่คิดจะช่วยคนที่โดนรุมแม้แต่น้อย
หลังจากชั่วโมงวรรณกรรมสุดแสนจะวุ่นวายด้วยการที่เหล่านักเรียนภายในห้องมัวแต่วิ่งขอลายเซ็นนักเขียนคนโปรดกันจบลงแล้ว ภายในห้องก็กลับสู่ความสงบก่อนที่ความวุ่นวายใหม่จะตามมาเมื่อฟุริฮาตะออกจากห้องไปแล้ว...
“ชะแว๊กกกก!!!” ...ดันมีชายหนุ่มผมน้ำตาลที่คิเสะรู้จักดีอีกคนดันโผล่เข้ามาทางหน้าต่างแทนประตูแบบมนุษย์มนาเขานี่สิ “นี่มันชั้นสามนะเพ่! มางายยยย!?”
“สวัสดี! ฉันฟุริฮาตะ เคียวเป็นครูสอนชั่วคราว! ยินดีที่ได้รู้จักนะ!” เคียวเอ่ยทักทายอย่างเริงร่าแบบไม่สำนึกเลยว่าเกือบทำชาวบ้านหัวใจวายตายขนาดไหน
“ไม่ต้องมาไงเลยครับ! ไหงมาทางหน้าต่างได้ครับเนี่ย!?” คิเสะแว๊ดลั่นใส่นายเคียวที่โผล่มาได้ไงก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่คนปกติไม่น่าจะสามารถเข้ามาได้แท้
“ก็โดดมาเอาไง...แบบนี้” เคียวไม่ว่าเปล่ายังโดดลงจากชั้นสามโชว์ด้วยอีกต่างหาก ทำให้ทั้งห้องถึงกับร้องจ๊ากกันเลยทีเดียว
“เฮ้ย!!!” ทุกชีวิตภายในห้องรีบวิ่งไปเกาะหนาต่างมองลงไปเบื้องล่างและ...พบว่าเคียวนั้นยืนอย่างปกติดีอยู่พื้นเบื้องล่าง ไม่มีแม้แต่บาดแผลใดเลย ทำให้นักเรียนทั้งห้องต่างอ้าปากค้างกันเป็นแถวพร้อมกับสติที่ตื่อตึงไปหมด
“ก็อย่างนี้ล่ะนะ” เคียวที่ปีนกลับขึ้นมาที่ห้องเรียนอีกครั้งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เรียกเสียงกรี้ดจากชาวบ้านอีกละรอบ “เอ้าๆ มาเริ่มเรียนกันดีกว่า เดี๋ยวฉันโดนบ่นเอา”
“ค...ครับ / ค...ค่ะ” นักเรียนทั้งห้องที่เอ๋อกินกับพฤติกรรมนี้ของเคียวต่างพยักหน้ารับแล้วกลับไปนั่งที่ใครที่มันแล้วเริ่มเรียนทั้งๆ ที่สมองยังไม่เข้าที่เข้าทางนั้นแหละ
ตกเย็นหลังจบการเรียนและการซ้อมกีฬาในวันนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิเสะก็ทำการเก็บข้าวของเตรียมตัวบ้านอย่างเช่นทุกวัน...ในวันนี้คิเสะนั้นต้องกลับบ้านคนเดียวอีกตามเคยเนื่องจากทุกคนติดธุระบวกกับคิเสะเองก็ไม่อยากให้เพื่อนๆ ตนเองโดนเล่นงานจากพวกที่จ้องทำร้ายตนอยู่ด้วย
“คิเสะ...” พอเด็กหนุ่มผมเหลืองเดินออกจากห้องก็พบกับชายหนุ่มผมน้ำตาลสองคนยืนดันรออยู่ที่หน้าห้องแล้ว “...วันนี้นายจะเอาไงต่อล่ะ? จะให้ฉันกับพี่ไปพักบ้านนายหรือนายมาพักกับพวกฉัน?”
“เอ๊ะ?” คิเสะหลุดร้องออกมาอย่างงุนงง
“ไม่ต้องมาเอ๊ะเลย นายเป็นเป้าหมายของพวกนั้นนะ ต้องจับตาดูตลอดเวลาสิ” เคียวเอ่ยด้วยท่าทางกวนบาทาสุดแสน
“อา แฮะๆ” คิเสะยิ้มแห้งๆ ให้อีกฝ่าย “งั้นเอาบ้านผมแล้วกัน ช่วงนี้พวกพี่ผมไม่อยู่ด้วย”
“โอเค ต...” เคียวยิ้มร่ากับคำตอบนั้น...
ปัง!!!
...เวลาเดียวกันนั้นเสียงดังคล้ายประทัดดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงโวยวายของคนที่ยังหลงเหลืออยู่
“หว่า คราวนี้อันตรายแฮะ” เคียวที่โผล่มาข้างคิเสะเมื่อไหร่ไม่รู้ทำการหยิบแผ่นเหล็กจากไหนไม่รู้มาปัดบางอย่างทิ้งไป
“...” คิเสะนิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นเคียวปัด ‘กระสุนปืน’ ได้หน้าตาเฉย พร้อมกับพุ่งไปจับคนที่หมายจะยิงตนเมื่อครู่อย่างรวดเร็วราวสัตว์ป่าอีก
...ไอ้ที่อันตรายน่ะมันคุณมากกว่ามั้งครับ! ทำอีท่าไหนปัดกระสุนได้เนี่ย!?...
“คิเสะ อย่าเพิ่งปวดจิตตายกับพี่นะ” ฟุริฮาตะเขย่าตัวคิเสะที่ทำาจะสติหลุดไปจริงๆ “ยังมีให้ปวดจิตอีกเยอะ อย่าเพิ่งมาซ็อกตายกับเรื่องระดับนี้สิ”
“ยังมีมากกว่านี้อีกเหรอครับ!?” คิเสะที่ดึงสติกลับมาทันควันแว๊ดลั่น...ยังมีอะไรชวนเหวอมากกว่านี้อีกเหรอ!?
“ก็ใช่น่ะสิ” ฟุริฮาตะหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่มองพี่ชายตนกำลังไล่เก็บแต้ม (?) อยู่ห่างออกไปอย่างขำกึ้งปลงนิดๆ
...บางทีที่อันตรายที่สุดคงเป็นเคียวซังมากกว่าพวกนี้แล้วสิ...
คิเสะอดคิดเช่นนี้ไม่ได้เมื่อมองตามสายตาของฟุริฮาตะไปแล้วพบภาพชวยสยองอย่างการที่นายเคียวกำลังปีนตึกปานผีในหนัง (?) ...ว่าแล้วเจ้าตัวก็เตรียมสวดให้คนที่โดนเคียวไล่ตามไปด้วยเลยก็แล้วกัน
วันเวลาผ่านไป...ผ่านไปจนร่วมสัปดาห์ บัดนี้ทั้งฟุริฮาตะทั้งคิเสะก็ยังคงโดนไล่ตามโดนกลุ่มที่ไม่ทราบจุดประสงค์เหมือนเดิม ทางเคียวที่รู้ตัวกลุ่มคนทำทั้งหมดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากโดนหัวหน้าตัวเองจับตามองอยู่ก็เลยได้แต่เฝ้าระวังไปเท่านั้น ส่วนทางด้านความสัมพันธ์ของคนที่ซวยต้องอยู่ด้วยกันแล้วนั้น...
...ก็สนิทกันมากแล้วล่ะ...สนิทกันมากจนเหมือนรู้จักมาเป็นปีเลย ไม่รู้ว่าเพราะคิเสะเข้าหาคนง่ายเลยสนิทกับชาวบ้านได้เร็วหรือฟุริฮาตะดันใจดีเกินจนคิเสะต้องพยายามตีสนิทเพราะไม่อยากให้อึดอัดกันแน่
“ฟุริฮาตัจจิซัง อย่านอนกลางบ้านสิฮะ” คำบ่นอย่างอ่อนใจดังออกจากปากเด็กหนุ่มผมเหลืองเมื่อเห็นคนผมน้ำตาลนอนกลางบ้านเป็นครั้งสามในรอบสัปดาห์...เขาก็เพิ่งรู้นี่แหละว่านักเขียนมันลำบากขนาดไหน และเขาคงไม่รู้เลยถ้าฟุริฮาตะไม่ย้ายงานตัวเองมาทำที่บ้านตนเนี่ย “นี่ปั่นต้นฉบับจนสลบอีกแล้วนะครับ ผมว่าหัดดูแลตัวเองมากกว่านี้หน่อยก็ดีนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันชินกับเรื่องแบบนี้แล้วล่ะ” ฟุริฮาตะที่สามารถฟื้นสภาพได้อย่างรวดเร็วลุกพรวดขึ้นมาปานซอมบี้ “นี่กี่โมงคิเสะ?”
“สามทุ่มครับ” คิเสะตอบอย่างเคยชินเนื่องจากทุกครั้งที่รายนี้ตื่นขึ้นมามักจะถามถึงเวลาก่อนเป็นอย่างแรก
“หลับไปราวๆ สามชั่วโมงสินะคราวนี้~” ฟุริฮาตะบิดขี้เกียจเล็กน้อย “ไม่มีใครบุกมาใช่ไหม?”
“เคียวซังเล่นเฝ้าปานบอดี้การด์ในหนังเนี่ยคงมีคนบ้าบุกมาหรอกครับ” คิเสะเอ่ย...ก็เล่นมีคนเฝ้าที่โหดเกินคนไปไกลเนี่ยใครมันจะกล้าล่ะ
“เคยมีนะ” ฟุริฮาตะเอ่ยแย้ง
“เอ๊ะ? ใคร?” คิเสะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“พวกเพื่อนที่ฝึกต่อสู้ที่เดียวกับพี่แล้วก็อาจารย์ของพี่เขาน่ะ” ฟุริฮาตะตอบ
“...” ...ลูกศิษย์ยังโหดขนาดนี้ อาจารย์จะโหดขนาดไหนหว่า?
“นี่~~ โคกิตื่นหรือยัง~~~?” ระหว่างที่คุยๆ กันอยู่นั้นเสียงลากยาวพร้อมกับร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็เดินเข้ามาภายในห้องที่ทั้งสองกำลังนั่งจ้อกันอยู่
“ตื่นแล้วครับ!” ทั้งคิเสะทั้งฟุริฮาตะตอบกลับไปอย่างพร้อมเพรียง
“งั้นก็ดี ถ้างั้นช่วยอยู่เงียบๆ และระวังตัวกันหน่อยนะ เดี๋ยวฉันต้องออกไปรายงานความคืบหน้ากับพวกหัวโบราณหน่อย” เคียวเอ่ยด้วยท่าทีเซ็งๆ ...ก็พวกตาแก่หนังยานเล่นชอบตามระเบียบนู้นระเบียบนี่ไม่มีหยวนๆ กันบ้างเลย! ขนาดเขาต้องกันภัยให้สองคนนี้ยังมาเรียกให้ออกห่างอีก!
“เลิกเรื่องเจ้านายตัวเองแบบนั้นสักทีเถอะพี่” ฟุริฮาตะดุพี่ชายตนที่ชอบเรียกเจ้านายตนแบบแปลกๆ เสียเหลือเกิน
“น่าๆ” เคียวยักไหล่น้อยๆ ก่อนที่จะรีบออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วคล้ายว่าอยากรีบไปรีบกลับ
“...แล้วคราวนี้จะเอาไงต่อดี?” พอเคียวไปแล้ว ฟุริฮาตะก็หันไปถามเด็กหนุ่มผมเหลืองที่นั่งเอ๋ออยู่
“ไม่รู้สิครับ หาที่ซ่อนมั้ง” คิเสะตอบกลับไป
“ก็ด...” ฟุริฮาตะที่กำลังจะตอบรับ เอ่ยไม่ทันที่จะจบประโยคก็มีเสียงเหมือนคนพยายามพังเข้ามาในบ้านดังขึ้นมา “...ดูท่าเราจะหาที่ซ่อนไม่ทันแล้วล่ะ”
“ให้ตายสิ...เคียวซังออกไปไม่ถึงสามนาทีเลยนะ! นี่เล่นเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยหรือไง!?” คิเสะสบถออกมาเบาๆ “เอาไงต่อดีเนี่ย!?”
“ถ้าสถานการณ์นี้มีแค่สองทางคือสู้หรือหนีแค่นั้นแหละ” ฟุริฮาตะไม่คิดว่ามีทางเลือกมากนักหรอกกับสถานการณ์แบบนี้ “เอาข้อไหนล่ะ?”
“แน่นอนว่าต้อง...” คิเสะกระตุกยิ้มน้อยๆ หยิบรองเท้ามาใส่อย่างใจเย็น ก่อนที่จะ...จับฟุริฮาตะขึ้นบ่าแล้วใส่เกียร์หมาวิ่งฝ่าพวกที่ดักรออยู่ไปดื้อๆ เสียอย่างงั้นเลย “...หนีสิครับ! จะอยู่ทำอะไรล่ะ!?”
“เหวอ!” ฟุริฮาตะที่จู่ๆ โดนแบกหลุดร้องออกมาเสียงหลง “ฉันวิ่งเองได้นะคิเสะ!”
“แต่วิ่งช้ากว่าผมนี่นา!” คิเสะเถียงกลับทันควัน
“นั้นมันก็...” ฟุริฮาตะที่ทำกังลังจะเถียงกลับถึงกับชะงักเมื่อเห็นพวกที่ตามพวกตนอยู่นั้น... “...เฮ้ย! พวกนั้นเล่นขับรถตามมาแล้ว!”
...ขโมยรถใครไม่รู้มาขับจี้ตามเฉยเลย
“ชิบ! เล่นงี้!?” คิเสะรีบเบนทิศทางการวิ่งเข้าไปยังตรอกเล็กๆ ขนาดแค่พอคนหนึ่งคนผ่านเพื่อหลบหนี “ยังตามมาอยู่ไหมครับ!?”
“ตามมาติดๆ เลย!” ฟุริฮาตะตอบเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ละความพยายามแล้วยังคงตามมาเช่นเดิม แถมยัง...
ตูม!!!
...ปาบางสิ่งมาแล้วมีเสียงบางอย่างระเบิดเป็นเอฟเฟคเสริมอีกต่างหาก
“แถมมีระเบิดด้วย...” ฟุริฮาตะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนปวดจิตสุดแสน
“นี่มันเล่นหนักไปแล้วนะ!” คิเสะร้องลั่น
“แบบนี้หาที่ซ่อนเถอะ!” ฟุริฮาตะที่มองดูรูปการณ์แล้วคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้อันตรายเกินไปที่จะจัดการกันเองแล้วเอ่ย
“รับทราบ!” คิเสะขานรับ พลันดวงตาสีเหลืองสดใสก็กวาดมองหาที่ซ่อนก่อนที่จะไปสะดุดเข้ากับรถส่งขนคันหนึ่งที่จอดเอาไว้และเตรียมที่จะออก...แล้วนั้นทำให้คิเสะตัดสินใจพาฟุริฮาตะเข้าไปในรถสินค้าคันนั้นทันทีที่พนักงานส่งของเผลอพร้อมมุดไปซ่อนหลังสิ่งของเพื่อไม่ให้โดนไล่ลงจากรถ “เล่นมาแอบในนี้คงรอดแล้วมั้ง...”
“เข้าใจเลือกนะ ซ่อนในรถส่งสินค้าเนี่ย” ฟุริฮาตะเอ่ยขณะที่ประตูตู้สินค้าถูกปิดลง
“ก็นะครับ” คิเสะยิ้มรับพร้อมกับรถเริ่มที่จะเคลื่อนไหว “รถออกล่ะ”
“หวังว่าพวกนั้นจะไม่ตามมาเจอนะ” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ถ้าให้เลวร้ายกว่านั้นหน่อยคือพวกเราซวยมาหลบในรถของพวกนั้นล่ะครับ” คิเสะเอ่ยพลางบิดตัวไปมาเตรียมเผ่นหากเจอเรื่องไม่คาดฝันเข้า
“อย่าพูดเป็นลางสิ” ฟุริฮาตะดุเล็กน้อย...ซึ่งแน่นอนว่าหาความน่ากลัวไม่เจอเลยสักนิด
ทั้งสองนั่งเล่นนั่งคุยกันไประหว่างที่รอให้รถหยุด...ที่มันก็นานพอดู นานเสียจนคิเสะกับฟุริฮาตะหาเกมเล่นแก้เบื่อได้สามรอบแล้วกว่าที่รถมันจะมาหยุดอยู่ที่ๆ หนึ่งพร้อมกับเสียงประตูปิดบ่งบอกว่ามีคนลงจากรถ
“รถหยุดแล้ว...” คิเสะกับฟุริฮาตะมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปมองบานประตูที่ค่อยๆ ถูกเปิดออก “...ไปกัน!!!”
“เหวอ! อะไรวะนั้น!?” เสียงร้องโวยวายของใครสักคนดังขึ้นเมื่อทั้งสองพุ่งตัวผ่านประตูรถออกมา ซึ่งทั้งฟุริฮาตะทั้งคิเสะไม่ได้สนใจเสียงโวยวายนั้นแล้ววิ่งหนีออกมาจนคิดว่ามันห่างจากจุดที่รถจอดเมื่อครู่แล้วจึงหยุดวิ่ง
“ที่นี่ที่ไหนหว่า?” คิเสะถามขึ้นมาพลางมองไปรอบๆ
“โรงเรียนมัธยมปลายคิริซากิไดจิ” ฟุริฮาตะอ่านป้ายโรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงสถานที่ที่ตนอยู่ได้อย่างดี
“มาไกลพอดูแฮะ” คิเสะกรอกตาไปมา...ถึงเขาคิดอยู่ว่าคงหนีมาได้ไกลแต่ก็ไม่คิดว่าจะมาอีกฟากของเมืองแบบนี้นะ!
“นั้นสินะ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่าตอนนี้เราหาทางติดต่อพี่กันเถอะ”
“แต่เราไม่ได้พกอะไรติดตัวมาเลยนะครับ” คิเสะทำหน้าครุ่นคิด...พวกเขารีบหนีกันมาจนลืมทั้งมือถือทั้งกระเป๋าตังค์ แถมยังมาอยู่ในที่ที่ห่างจากที่เดิมพอดูแบบนี้อีก เพราะงั้นการหาช่องทางติดต่อเคียวยิ่งยากขึ้นไปอีก
“ไม่ต้องห่วง” ฟุริฮาตะเอ่ยด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “แถวนี้น่ะ...เป็นแถวบ้านเพื่อนพี่ฉันเอง”
“สรุปคือซวยโดนตามล่าทั้งคู่สินะ?” เสียงหวานที่ฟังดูเซ็งๆ ดังออกมาจากปากของหญิงสาวผมดำคนหนึ่งที่อยู่ๆ มีคนมาเยี่ยมบ้านกลางดึกพร้อมนำเรื่องน่าปวดหัวมาให้เช่นนี้
“ครับ...” สองหนุ่มขานรับไปเสียงแผ่วด้วยความสำนึกผิดที่ตนอาจนำเรื่องวุ่นวายมาสู่บ้านคนอื่น...แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน
“พวกนายนี่ซวยชะมัด” ยามาซากิ คานาเดะหนึ่งในเพื่อนของเคียวถึงกับถอนหายใจด้วยความปลงจนไม่รู้จะปลงยังไงจริงๆ เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากหนุ่มๆ ทั้งสอง
“นี่เจ๊ โทรหาไอ้เคียวให้แล้วนะ” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทอง...ยามาซากิ ชิโรบะที่กำลังใช้โทรศัพท์อยู่อีกห้องยื่นหน้ามาเข้ามา
“โอเคๆ” คานาเดะขานรับน้องชายตนไปส่งๆ “พวกนายก็อยู่นี่ไปก่อน เดี๋ยวไอ้เคียวคงมารับเองแหละ”
“ครับ...” คิเสะกับฟุริฮาตะพยักหน้ารับ และในขณะนั้นเอง...
ปังๆๆๆๆๆ!!!
“อะไรกันวะ?” ...เสียงเคาะประตูปานจะพังเข้ามาเสียให้ได้ก็ดังขึ้น ทำให้คานาเดะต้องไปเดินดูว่าใครมาด้วยความที่กลัวว่าประตูจะพัง (?) และเมื่อเปิดประตูออกไปสาวเจ้าก็พบชายคนหนึ่งยืนนิ่งอย่างน่ากลัวชนิดที่ว่าถ้าเป็นคนปกติคงเกิดอาการหวาดกลัวแล้วแน่...แต่นั้นไม่ใช่สำหรับคานาเดะ “มาเคาะหาอะไรย่ะ!?”
“...” อีกฝ่ายไม่ตอบแล้วเอา ‘ขวาน’ ในมือชูขึ้นหมายจะจามใส่หญิงสาว
“ของแบบนี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอกย่ะ!” คานาเดะหลบสิ่งที่ถูกฟาดลงมาอย่างรวดเร็วแล้วทำการถีบสวนกลับจนอีกฝ่ายกระเด็น
“เจ๊! มันบุกหน้าต่างมา!” ชิโรบะที่เดินมาอยู่ในห้องเดียวกับคิเสะและฟุริฮาตะถึงกับร้องลั่นเมื่อมีซอมบี้ (?) บุกเข้ามาภายในบ้านตนจากทางหน้าต่างและ...
“เหวอ!” ...มีสองคนที่จับตัวฟุริฮาตะกับคิเสะขึ้นบ่าแล้วทำท่าจะหนี
“อ้าวเฮ้ย! ซวยแล้ว!” คานาเดะที่พอเดาสถานการณ์ในอีกห้องได้สบถออกมาแบบไม่เบาพร้อมกับจัดการคนที่เริ่มบุกบ้านตนราวมดหนีน้ำไป “จะมาทำอะไรกันเยอะแยะย่ะ!?”
“เกิดอะไรขึ้นพี่!?” ด้วยเสียงโครมครามที่ดังขึ้นภายในบ้านทำให้อีกหนึ่งชีวิต...หรือน้องเล็กของบ้านยามาซากิออกจากห้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฮิโระจังอย่าลงมา! ไปซ่อนในห้องซะ!” คานาเดะตะโกนบอกน้องชายอีกคนของตนที่แน่นนอนว่าต่อให้สู้เป็นก็ห่วยกว่าเธอกับน้องคนรองเยอะ! และด้วยความที่โชคดีที่อีกฝ่ายเป็นเด็กดีฟังพี่สาวทำให้น้องเล็กขอบ้านรีบกลับห้องตัวเองไปเพื่อไม่ให้เกะกะคานาเดะ สาวเจ้าเลยลงมือได้อย่างเต็มที่
“เจ๊! มันเอาตัวน้องไอ้เคียวกับไอ้หัวเหลืองไปแล้ว!!!” ชิโรบะที่กำลังเผชิญสถานการณ์ไม่ต่างจากคานาเดะแว๊ดลั่นเมื่อคนที่แบกฟุริฮาตะกับคิเสะอยู่นั้นกำลังจะหนีไป ทำให้เจ้าตัวต้องคว้าโคมไฟปาหัวสองคนที่ว่าเพื่อซื้อเวลา
...เออ...เรียกดีๆ ไม่ได้เหรอครับ!?...
คิเสะคิดในใจแบบไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้เท่าไหร่นัก พลางมองความวุ่นวายโดยรอบ...ดูท่าพวกเขาตะนำหายนะมาสู่บ้านคนอื่นจริงๆ สินะเนี่ย?
“เอาไงดีคิเสะ?” ฟุริฮาตะถาม
“ก็ไม่เอาไงล่ะครับ แค่...” คิเสะฉีกยิ้มเหี้ยมๆ ก่อนที่จะ...พลิกตัวให้ขาตนแตะพื้นแล้วจัดการเขวี้ยงคนที่แบกตนเมื่อครู่ลงกับพื้น “...คงต้องเริ่มสู้กลับจริงๆ ล่ะครับ!”
“เอาไงเอากันแล้วกันเนอะ” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจัดการคนที่แบกตนอยู่ด้วยท่าเดียวกับคิเสะ
“ฟุริฮาตัจจิซังสู้เป็นด้วย?” คิเสะถามพลางใช้จระเข้ฟาดหาง (?) ใส่คนที่เข้ามาใกล้ตน...สำหรับเขาน่ะเพราะงานนายแบบเลยต้องเรียนรู้วิชาต่อสู้ไว้เพื่อกันแฟนคลับโรคจิตอยู่แล้ว แต่รายนี้นี่สิ...
“เป็นสิ พอดีเมื่อก่อนโดนแกล้งบ่อยเลยโดนพี่จับฝึกน่ะ” ฟุริฮาตะตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนขัดกับภาพที่กำลังต่อยชาวบ้านอย่างลิบลับ
“งั้นเหรอครับ” คิเสะพยักหน้ารับพลางมองอีกฝ่ายที่ต่อสู้แบบที่แทบเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบสุดๆ ทั้งการเคลื่อนไหวทั้งจังหวะการลงมือเป็นไปอย่างลื่นไหลจนเหมือนงานศิลปะมากกว่าการต่อสู้เสียอีก...
...มันช่างดูสวยงามแบบแปลกๆ ชอบกลแฮะ
“คิเสะ! ระวังหลัง!” ระหว่างที่คิเสะกำลังชมการต่อสู้อยู่นั้น ฟุริฮาตะซึ่งเห็นบางอย่างก็ตะโกนขึ้นมา
“อ่ะ!” คิเสะพอได้รับคำเตือนก็หันไปด้านหลังตนที่กำลังมีคนพุ่งเข้ามาหาและ...เตะเข้าหว่างขาอีกฝ่ายเต็มแรง...
...ขอโทษนะ แต่มันเป็นการป้องกันตัว...ถ้าเป็นหมันไปเลยก็ขอโทษเด้อ...
“พวกนี่ก็เก่งใช้ได้นิ” คานาเดะที่...จัดการคนที่บุกมาทางหน้าบ้านตนเรียบร้อยแล้วรีบตามมาภายในห้องที่แขกทั้งสองของตนอยู่ถึงกับผิวปากอย่างถูกใจเมื่อเห็นการต่อสู้ของสองหนุ่ม
“แล้วจะหนีกันเพื่อ?” ชิโรบะกรอกตาอย่างไม่เข้าใจว่าถ้าสู้ได้ระดับนี้จะหนีทำขนมจีนอะไร
“ขี้เกียจไงครับ!” ทั้งคิเสะทั้งฟุริฮาตะตอบกลับอย่างพร้อมเพรียง ทำเอาคนที่ได้รับคำตอบเงิบไปชั่ววูบก่อนที่จะหลุดก๊ากออกมาแล้วค่อยช่วยกันจัดการผู้บุกรุกต่อ...และในสามสิบนาทีบ้านหลังน้อยก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
“หวังว่าคราวนี้จะเรียบร้อยแล้วนะ” คิเสะถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนพลางมอง ‘ซาก’ ของคนที่พวกตนจัดการจนตาย เอ้ย! สลบอยู่เกลื่อนห้อง
“นั้นสินะ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“ถ้าจัดการขนาดนี้ยังมีมาอีกก็ไม่รู้ว่าไงล่ะ” ชิโรบะบ่นอุบอิบ
“ก็นะ” คานาเดะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนักแบบว่าจะมาอีกก็มาเลย ก่อนที่จะหยิบขนมมานั่งกินรอไอ้เพื่อนตำรวจสุดบ้าของตนที่หายไปไหนไม่รู้จนปานนี้ยังมาไม่ถึง ส่วนหนุ่มๆ อีกสามคนก็แย่งขนมคานาเดะกินไปด้วยความว่างจัด
สามสิบนาทีให้หลังพวกตำรวจแทบยกสถานีกับนายเคียวก็มาถึงพร้อมบ่นงุบหงิบเรื่องที่มีคนในสถานีคนหนึ่งเถียงเรื่องทางมาที่นี่หลายรอบจนหลงหลายตลบทำให้ตนต้องตบเกรียนไปทีนึงถึงจะมาถึงนี่ได้พลางจัดการจับคุ้มพวกที่ก่อเรื่องไล่ตามคิเสะกับฟุริฮาตะไปโรงพัก...ซึ่งพอสอบปากคำแล้วก็ได้ความว่าพวกนี่ต่างเป็นแฟนคลับที่คลั่งไคล้ฟุริฮาตะ โคกิมาก มากถึงขั้นว่าอย่างเก็บฟุริฮาตะไว้กับพวกตนตลอดกาลเลยล่ะและไม่ต้องการให้ใครมาสนิทชิดเชื้อกับฟุริฮาตะเลยก่อเหตุดังกล่าวขึ้น...
...เอาเป็นว่าสุดท้ายพวกตัวที่ก่อเหตุก็เข้าห้องกรงไปตามระเบียบ เรื่องทุกอย่างก็เหมือนจะจบลงแล้วจนกระทั่งสามวันต่อมา
“คิเสะคุง! เกิดเรื่องแล้วครับ!” ในยามเช้าอันสดใสเหมาะแก่การฝึกซ้อมยิ่งเด็กหนุ่มผมฟ้าผู้จืดจางวิ่งมาหาเด็กหนุ่มผมเหลืองที่กำลังยืนซ้อมชมรมตามปกติ
“มีอะไรเหรอคุโรโกจจิ?” คิเสะหันมามองเพื่อนที่ปกติจะนิ่งเงียบของตนอย่างแปลกใจกับท่าทีตื่นตนกของอีกฝ่าย
“นี่ไงครับคิเสะคุง!” คุโรโกะยัดมือถือที่เปิดหน้าข่าวทิ้งไว้ให้คิเสะดู
“หื้อ?” นายแบบหนุ่มที่ดูจะงงๆ เล็กน้อยรับมือถือมาดูก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่ออ่านข้อความบนหน้าจอนั้น “เอ๋!?”
... ‘นายแบบชื่อดังคบกับนักเขียนชื่อดัง สาววายฟินทั่วโลกโซเซียน’ ...ไอ้หัวข้อข่าวนี่มันอะไรกันวะครับเนี่ย!?...
“เรื่องเก่าจบเรื่องใหม่ก็มาเลยนะคิเสะ” อาโอมิเนะที่ยื่นหน้ามาดูอีกคนเอ่ย
“คราวนี้จะเอาง...” คิเสะที่เดาได้ไม่ยากว่าปัญหาใหม่มาแล้วจริงแท้แน่นอนยิ้มแห้งๆ ก่อนที่...
“คิเสะ!!!” ...ชายหนุ่มผมน้ำตาลที่คุ้นเคยคนหนึ่งวิ่งมาหาคิเสะถึงโรงยิมซะอย่างนั้น
“อา ฟุริฮาตัจจิซัง...” คิเสะมองคนที่โผล่มาอย่างงุนงง...ตั้งแต่สามวันก่อนที่จบเรื่องวุ่นวายพวกเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยเพราะด้วยหน้าที่การงานของพวกเขาทำให้ไม่มีเวลาว่างกันนี่นา...
...ถึงแปลกใจแต่ในลึกๆ ก็ดีใจแฮะ
“หนีเร็ว!” ฟุริฮาตะเอ่ยพร้อมพุ่งเข้าหาคนผมเหลือง
“ห๊า!?” คิเสะเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนที่จะ...เห็นว่าที่ด้านหลังชายหนุ่มมีซอมบี้ เอ้ย! ผู้หญิงจำนวนมากตามมาติดๆ “เฮ้ย! ไหงยกทัพมาเยอะนักห๊า!?”
“คงเป็นตามที่เขียนในเนื้อข่าวน่ะครับ...” คุโรโกะที่ดูจะพบทราบสถานการณ์ทั้งหมดถอนหายใจออกมาเบาๆ “...ว่าจะจับคู่พวกคุณกันน่ะ”
“น่ากลัวไปแล้วนะเฮ้ย!” คิเสะแว๊ดลั่น...แค่อยากจับคู่พวกเขาถึงกับยกทัพมาเลยเหรอ!?
“เผ่นเร็ว! หากโดนจับได้คนใดคนหนึ่งล่ะก็ซวยทั้งคู่แน่!” ฟุริฮาตะที่วิ่งมาถึงตัวคิเสะแล้วรีบลากอีกฝ่ายวิ่งหนีกับตนทันทีโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับใครอยู่เมื่อครู่ก็ตาม
“รับทราบครับ!” คิเสะขานรับ...เขาก็ไม่อยากโดนรุมทึ้งเหมือนกันแหละ! “ขอตัวนะอาคาชิจจิ!”
“จะไปก็ไปเลย วุ่นวายคนอื่นเขา” อาคาชิโบกมือไล่
“อื้ม!” คิเสะเมื่อได้รับคำตอบรับเท่านั้นแหละ จากที่วิ่งกันสองคนก็เปลี่ยนเป็นแบกฟุริฮาตะแล้ววิ่งหนีไปเรียกเสียงกริ๊ดของคนที่ตามหลังมาได้อย่างดี...ถึงจะวุ่นวายไปบ้างแต่คิเสะกลับไม่รู้สึกงุดหงิดหรือรำคาญที่เรื่องวุ่นวายนี่โผล่มาอีกและทำให้ตนได้พบกับฟุริฮาตะ โคกิอีกแม้แต่น้อย...
...บางทีแบบนี้ก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่หรอกเนอะ?...
END
ความคิดเห็น