ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    fanfic knb by shiko

    ลำดับตอนที่ #6 : [AoKi] Cross X Story

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.08K
      57
      28 มิ.ย. 57

    Title : Cross X Story

    Fandom : Kuroko no Basket

    Paring : Aomine x  Kise

    Notes : อันนี้เอามาจากเพลงนี้นะจ๊ะ http://www.youtube.com/watch?v=L4Mk_7mVsH8

    ปล. นี้เป็นฟิค AU นะจ๊ะ ฉะนั้นตัดเนื้อเรื่งหลักทิ้งไปเลยจ้า

    ปล. 2 ในฟิคนี้คิเสะอายุ 16 ส่วนอาโอมิเนะ 25 นะ

    ................................................................

    Cross X Story Ver.aoki

     

    ณ เมืองๆ หนึ่งที่เทคโนโลยีก้าวหน้า ซึ่งเฉพาะที่นี่เท่านั้นที่มีการสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาเพื่อรองรับอารมณ์ด้านลบของมนุษย์ หุ่นยนต์พวกนั้นจะมีลักษณะทุกด้านเหมือนมนุษย์ทุกอย่างแม้กระทั่งเลือดเนื้อ พวกหุ่นยนต์จะถูกนำมาโอนอารมณ์ด้านลบมนุษย์ใส่ไว้ หนึ่งตัวต่อหนึ่งคน ก่อนที่จะถูกทำลายทิ้ง

    แต่เนื่องจากการโอนอารมณ์มนุษย์นั้นเป็นเรื่องผิดกฏหมายของทั้งโลก เมืองนี้จึงเป็นเมืองปิดและเรื่องนี้มีเฉพาะคนในเมืองเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ซึ่งก็ไม่มีใครให้ความสนใจกฏหมายนี้มากนัก...

    หุ่นยนต์พวกนั้นถูกสร้างให้เหมือนมนุษย์ แต่ถึงสร้างเหมือนมนุษย์แค่ไหน มนุษย์ก็ยังสามารถทำลายพวกนั้นได้อย่างเลือดเย็นโดยไม่รู้สึกอะไรเลย

    เพราะหุ่นยนต์เหล่านั้นไม่มีความรู้สึก จนเรียกได้ว่าเป็นตุ๊กตามากกว่าหุ่นยนต์เสียด้วยซ้ำ จึงไม่มีการตอบโต้ใดๆ แม้ตนกำลังจะถูกทำลายก็ตาม

    แล้วถ้าเกิดหุ่นยนต์มีความรู้สึกขึ้นมาล่ะ? จะเป็นเช่นไร?

     

     

     

     

     

    น่าเบื่อ...ชีวิตนี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง...

    เด็กหนุ่มผมสีเหลืองอายุราว 16 ปี ใบหน้าหล่อเหล่าปานนายแบบ เงยขึ้นมองท้องฟ้าสีสดใส...เขาอยากให้ชีวิตสดใสแบบนี้มั่งจังน้าาาาาา ทั้งสดใสและไม่ถูกจำกัดขอบเขตแบบท้องฟ้าเนี่ย

    วันๆ เขาทำได้เพียงแอบหยิบพวกหนังสือพิมพ์ที่ลอยมาติดข้างรั้วมาอ่าน เขาไม่อยากอยู่ในที่ที่มีรั่วล้อมรอบแบบนี้เลยจริงๆ...

    แต่เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ในเมื่อเขาไม่ใช่มนุษย์...เขาเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่จะต้องโอนรับอารมณ์ของมนุษย์ และเพียงไม่นานเขาก็จะต้องถูกทำลาย...

    ...เขาทำได้เพียงยอมรับมันจริงๆ เหรอ?

    นั้นเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มคิดอย่างนั้น ขณะนั้นเองก็มีคนสองคนเดินมาหาเด็กหนุ่ม ชุดที่สองคนนั้นใส่และบัตรที่ติดอยู่ที่เสื้อบ่งบอกว่าสองคนนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นคนสร้างและจะเป็นคนทำลายเขานั้นเอง

    "เสียดายหุ่นตัวนี้เหลือเกิน ให้ตายสิ!" หนึ่งในสองคนนั้นบ่นพร้อมเชยคางเด็กหนุ่มขึ้น ดวงตาสีเหลืองสวยของเด็กหนุ่มก็จ้องกลับอย่างไม่เหลือบหนีทั้งที่ในใจเด็กหนุ่มนั้น...

    ...หยะแหยะเป็นบ้าเลยโว้ยยย!...

    นั้นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มคิด ยิ่งเมื่อเห็นทั้งสองนั้นเริ่มทำตาเหมือนคนโรคจิตมองร่างกายเขาขึ้นๆ ลงๆ ยิ่งเพิ่มความขยะแขยะให้เขาอีกเป็นเท่าตัว

    เขาทำได้เพียงเงียบๆ เฉยๆ ไว้เพราะไม่รู้ว่าถ้าพวกนี้รู้เข้าว่าหุ่นยนต์ที่ไม่ควรมีความรู้สึกกลับมีขึ้นมาจะการเป็นอย่างไร?

    แต่แล้วเด็กหนุ่มถึงกับสมองเกือบหยุดทำงานและโยนความคิดก่อนหน้าทิ้งในทันที เมื่อชายทั้งสองเริ่มที่จะถอดเสื้อผ้าเขา!

    "เราลองทำอย่างว่ากับเจ้านี่ก่อนดีไหม?" ชายคนแรกถาม มือหนาลูบใบหน้าของเด็กอย่างหลงใหล

    "ดีสิ! ไม่มีใครขัดอยู่แล้ว" ชายคนที่สองเริ่มที่จะปลดเสื้อผ้าเด็กหนุ่ม

    "แต่ฉันมีโว้ย!!!" เด็กหนุ่มสุดท้ายก็ฟิวส์ขาดถีบคนที่จะถอดเสื้อเขาตรงหน้ากลิ้งขลุกๆ เป็นลูกขนุนกันเลยทีเดียว ส่วนอีกครั้งก็ถึงกับชะงั่นเมื่อเห็นเพื่อนตนกลิ้งไปเสียแล้ว

    ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเพิ่งตระหนักเรื่องสำคัญที่สุดได้...

    ...ซวยแล้วไง! เอาไงล่ะทีนี่...

    เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวาก่อนที่มองไปที่รั้วกันข้างหลังของตัวเขาเอง และได้ตัดสินใจบ้างอย่าง

    ...ต้องหนี!...

    นั้นคือความคิดที่พลุกขึ้นมาในหัวของเด็กหนุ่มพร้อมกับร่างกายที่พยายามปีนรั้วหนีตามที่สมองสั่งทันที

    "แจ้งทุกหน่วย! มีหุ่นยนต์หลบหนี!" ชายหนึ่งในสองที่ไม่ถูกถีบนั้น รีบนำวิทยุสื่อสารแจ้งให้ทุกคนในหน่วยงานนี้ทราบทันที

    ไม่นานเกินรอผู้คนทั้งหลายก็มารวมตัวกัน พร้อมถือปืนมาคนล่ะกระบอกและเล็งไปที่เด็กหนุ่มที่ปีนใกล้จะพ้นรั้วแล้ว แต่โชคดีที่ไม่เคยมีใครปีนรั้วหนีหน้าด้านๆ แบบนี้ทำให้ลูกกระสุนทั้งหมดแค่เฉียวๆ เด็กหนุ่มเท่านั้น...

    เด็กหนุ่มโดดลงจากรั้วและวิ่งหนีเข้าไปในเมืองทิ้งความวุ่นวายที่อยู่เบื้องหลังไว้ แต่หูก็ยังได้ยินบทสนทนาของคนพวกนั้นอยู่ดี...

    "รีบแจ้งให้ชาวเมืองทุกคนตามจับหุ่นยนต์ตัวนั้นเดี๋ยวนี้!"

    ...ดูเหมือนว่าเขาเหลือทางเลือกแค่หนีออกจากเมืองนี้สินะ...

    เด็กหนุ่มคิดก่อนที่จะรีบหนีให้พ้นจากตัวเมืองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้...

     

     

     

     

     

    ...นี้มันบ้าชัดๆ !!!...

    เด็กหนุ่มผู้ถูกตามล่าสถบในใจ เขาไม่คิดว่าข่าวจะไปเร็วขนาดนี้ เขาถูกคนทั้งเมืองตามล่า ถึงตอนนี้เขาจะมาถึงป่าแห่งหนึ่งซึ่งไปถึงเมืองข้างๆ ได้โดยไม่ต้องผ่านถนนก็ตามที...แต่ใช่ว่าเขาจะรอดนี้!

    "หยุดนะ!" ชาวเมืองที่ไล่ตามหลังมาตะโกนไล่หลังมา

    "หยุดให้โง่สิ!!!" เด็กหนุ่มตะโกนกลับไป พร้อมพยายามเร่งฝีเท้าเต็มที่เพื่อหนีออกจากเมืองนี้

    ...อีกนิดเดียว...เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้น...

    บ้านหลังใหญ่ที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางป่าปรากฏสู่สายตาของเด็กหนุ่ม เนื่องจากเมืองนี้ห้ามสร้างที่พักอาศัยในเขตป่าเด็ดขาด ดังนั้นนี้ย่อมหมายความว่าเขาใกล้หลุดออกจากเขตของเมืองนี้แล้ว...

    ...เพียงไปให้ถึงบ้านหลังนั้นเท่านั้นเหล่าคนที่ไล่ล่าเขาก็จะไล่ตามต่อไม่ได้ แต่เขาจะไปถึงก่อนที่จะถูกจับได้ไหมนะ?

    ปัง!!!

    เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับความเจ็บแปลบขึ้นที่ขาของเด็กหนุ่ม แต่เจ้าตัวก็ยังฝืนวิ่งต่อไปทั้งอย่างนั้นอย่างไม่คิดชีวิต จนใกล้ที่จะถึงบ้านหลังนั้นแล้ว...

    โครม!!!

    ทันทีที่วิ่งเข้าไปถึงเขตของบ้านหลังนั้นเด็กหนุ่มก็ชนอะไรบางอย่างจนล้มทั้งตัวเองทั้งสิ่งนั้น เหล่าผู้ที่ไล่ล่าเด็กหนุ่มเมื่อเห็นว่าไม่สามารถตามต่อได้แล้วก็ได้ล่าถอยกลับไป

    "โอ้ย! อะไรกันเนี่ย?! ปกติมาบ้านหมอนี้ก็ไม่เคยมีอะไรมาชนนี่หว่า?!" สิ่งที่เด็กหนุ่มพุ่งเข้าชนบ่นก่อนที่จะมองสิ่งมาชนตน เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มที่มองอีกฝ่ายเช่นกัน...

    สิ่งที่เด็กหนุ่มชนเป็นชายที่ดูอายุมากกว่าเขา และสูงกว่าเขาค่อนข้างมาก ผิวเข้ใจนออกดำเลยด้วยซ้ำ เส้นผมสีน้ำเงินตัดเกรียนซึ่งสำหรับเขาคนคนนี้ดูดีมาก

    "นี่นาย?..." คนผมน้ำเงินมองคนหน้า ก่อนที่จะเหลือบเห็นสายโหลิตที่ไหลออกมาจากขาขวาของคนตรงหน้า "เฮ้ย! นายบาดเจ็บเหรอ!?!"

    "หว่า!" โดยที่เด็กหนุ่มยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกชายผมสีน้ำเงินก็แบกขึ้นบ่า "ด...เดี๋ยวก่อนสิ! ปล่อยนะ! ฉันเดินเองได้!"

    "อย่ามาอวดเก่งหน่อยเลย!" คนผมน้ำเงินตอกกลับ แถมไม่ย่อมปล่อยเด็กหนุ่มอีก เด็กหนุ่มที่ก็อยู่เฉยๆ เมื่อเห็นท่าว่าคงไม่ปล่อยเขาลงแน่ก็เลยเลยตามเลย จนเจ้าตัวพามาถึงห้องๆ ห้องนั้นแหละถึงจะยอมปล่อยลง

    ในห้องนี้มีชายอายุน่าจะเท่าๆ กับคนผมสีน้ำเงินอยู่สองคน คนหนึ่งใส่แว่นมีเส้นผมสีเขียวในมือถือตุ๊กตาทานุกิไว้ ส่วนอีกคนมีผมสีแดงสด นัยน์ตาสองสี ซึ่งไม่รู้ทำไมเด็กหนุ่มรู้สึกว่าไม่อยากมีเรื่องกับคนคนนี้ชอบกล

    "อาโอมิเนะ นายพาใครมาน่ะ?" คนผมเขียวถามคนผมน้ำเงิน

    "...เจอที่หลังบ้านเมื่อกี้ เห็นว่าบาดเจ็บเลยพามาให้นายรักษา" คำตอบของอาโอมิเนะเล่นซะคนผมเขียวแทบอยากเอาตัวคนตอบมาวัดไข้ชอบกล ปกติมันเคยสนใจใครสักที่ไหนล่ะ!

    "นายไม่สบายหรือเปล่า? อาโอมิเนะ" คนผมเขียวถามกลับ เล่นทำเอาอาโอมิเนะคิ้วกระตุกเล็กน้อย

    "นายอยากโดนใช่ไหม? มิโดริมะ!" ท่าทางอีกไม่นานจะมีมวยให้ชมแฮะ

    "ใช่ที่ไหนล่ะ!" มิโดริมะตอบกลับ

    "เงียบก่อนได้ไหม? ไดกิ ชินทาโร่" ชายผมแดงเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ แต่ก็ทำให้ทั้งสองหยุดในบัดดล "ชินทาโร่ช่วยไปรักษาหมอนั่นก่อน แล้วค่อยคุยกันอีกที"

    คนที่ถูกอ้างถึงกับสะดุ้งเมื่อชายผมแดงชี้มาที่ตน "เอ่อ...คือ..."

    "ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แล้วให้ชินทาโร่รักษาซะ"

    "ครับ" ฮือ น่ากลัวเป็นบ้า! เด็กหนุ่มทำได้เพียงคร่ำครวญในใจ

    ...แล้วมันจะรักษาได้เหรอ? ถึงเขาเหมือนมนุษย์แค่ไหนแต่ยังไงก็ไม่ใช่อยู่ดี!!!...

    "อาคาชิ แผลหมอนี้เป็นแผลถูกยิง พาไปโรงบาลไม่ดีกว่าเหรอ?" มิโดริมะถามชายผมแดงอย่างไม่เข้าใจ

    "คงไม่ดีเท่าไหร่หรอก...รู้สึกว่าตอนนี้จะมีคนดักพวกเราอยู่นะ" อาคาชิมองออกนอกหน้าต่างเป็นระยะๆ

    "มีคนดัก?" มิโดริมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก็ไม่ยักเห็นใครเลย ถ้าเป็นผู้ช่วยของเขายืนอยู่ตรงนี้คงเห็นก่อนอาคาชิอีกมั่ง

    "คงเป็นคนที่ยิงหมอนี้แหละ ดังนั้นรักษาที่นี่แหละ ของก็มีครบอยู่แล้วนี้"

    ...ใช่สิ! บ้านนายมีของครบยิ่งกว่าโรงพยาบาลใหญ่ๆ เสียอีก!...

    "งั้นก็เอาตามนั้นแหละ" มิโดริมะตอบปัดไปๆ ก่อนที่จะเปิดหน้าต่างและเริ่มเรียกชายผมดำที่อยู่เบื้องล่าง "ทาคาโอะ! มาช่วยกันหน่อย!"

    ดวงตาสีฟ้าอมเทาแหงนขึ้นมองคนที่เรียกตน ก่อนที่จะฉีกยิ้ม "โอเค! จะไปเดี๋ยวนี้แหละ! ชินจัง!"

    "บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกอย่างนั้นห๊า!!!" มิโดริมะตอบกลับคนที่อยูเบื้องล่างอย่างอารมณ์เสียเล็กน้อย

    เด็กหนุ่มผมสีเหลืองมองการกระทำทุกอย่าง อย่างไม่เข้าใจว่าทำไมคนพวกนี้ถึงช่วยตนไว้ "เอ้อ...ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?"

    "บอกแล้วให้ชินทาโร่รักษาเสร็จก่อนแล้วค่อยพูด..."

    "...ขอโทษครับ" สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ได้แต่อยู่เงียบๆ จนมิโดริมะกับทาคาโอะพาไปห้องพยาบาลเพื่อทำการรักษา

    "ไดกิ...นายคิดว่าใช้หมอนั้นหรือเปล่า?" เมื่อเหลือกันแค่สองคน อาคาชิก็ถามออกมาทันที

    "ใช่แน่ๆ แต่ทำไมดูท่าแปลกๆ แฮะ" อาโอมิเนะบ่นพร้อมหยิบเอกสารบางอย่างออกมาดู...

    ...เอกสารนั้นเป็นรายละเอียดของบุคคลหนึ่งซึ่งมีรูปที่เหมือนเด็กหนุ่มผมเหลืองอย่างกับแกะติดไว้

    "เดี๋ยวรอถามเจ้าตัวอีกทีแล้วกัน..." อาคาชิตอบอย่างนั้นก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง ด้วยสีหน้าที่อาโอมิเนะกลัวว่าคนที่ดักซุ่มอยู่อาจไม่รอดชอบกล...

    ...ยิ่งอาคาชิไม่ชอบให้คนมาซุ่มอยูด้วย ถ้าโผล่เข้ามาดื้อแบบหมอนั่นอาคาชิคงโกรธน้อยกว่านี้ คราวก่อนเพราะอาคาชิเป็นนักธุรกิจเลยโดนนักข่าวมาซุ่มถ่ายรูปแทบ 24 ชม. ที่บ้านของอาคาชิเอง ทำเอาอาคาชิถ้าเห็นใครซุ่มแถวบ้าน...ถึงจะเป็นบ้านพักตากอากาศก็เถอะ เฮอะๆ ไม่รอดแน่ ถ้ารอดคงผวาไปหลายวันล่ะ...

    อาโอมิเนะเตรียมสวดให้คนเหล่านั้นทันที พร้อมกับมีเสียงโหยหวนเป็นฉากประกอบ

     

     

     

     

     

    เด็กหนุ่มผมเหลืองลืมตาตื่นขึ้นด้วยอาการมึนตึบจากการนอนเยอะเกิน ก่อนที่จะลุกขึ้นมองไปรอบๆ ห้อง

    ....ห้องนี้เป็นห้องที่ใหญ่ชะมัด ที่ซึ่งเขาเคยอยู่เดินแค่สามสี่ก้าวก็ติดผนังซะแล้ว พอมาอยู่แบบนี้รู้สึกแปลกๆ แฮะ...

    ขณะที่เด็กหนุ่มคิดเรื่อยเปื่อยนั้น ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างของชายสี่คนที่เขาได้เจอก่อนหน้านี้เดินเข้ามา

    "ไง ตื่นแล้วเหรอ?" อาโอมิเนะทักทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่

    "อ่า...ครับ" เด็กหนุ่มทำได้เพียงตอบกลับไปอย่างนั้น...ถึงจะไม่รู้ว่ารักษาเขาอีท่าไหนก็เถอะ แต่ยังไงคนพวกนี้ก็ช่วยเขาไว้นี้น่า คงจะไม่ทำอะไรเขาหรอกมั่ง? ว่าแต่ทำไมอาโอมิเนะซังมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ? สายตาที่เหมือนคนกำลังจะร้องไห้...

    "นายหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ หลับไปนานพอดูเลยนะนายเนี่ย" มิโดริมะบ่นเล็กน้อย

    "www ว่าไปนั้น จริงๆ แล้ว ชินจังก็เป็นห่วงเหมือนกันนี้น่า..." ทาคาโอะพูดดักอย่างรู้นิสัยของอีกฝ่าย จนได้วงค้อนจากคนผมเขียวเต็มๆ

    "เลิกเล่นได้แล้ว..." อาคาชิพูดทีเดียวทุกคนถึงกับเงียบในทันที ยกเว้นทาคาโอะที่ยังหัวเราะอยู่นะ ซึ่งอาคาชิก็ไม่สนใจมากเพราะรายนั้นเป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้ว

    ชายหนุ่มผมสีแดงมองตรงไปที่เด็กหนุ่มที่รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล "แล้วนาย...ช่วยเล่าเรื่องที่ทำให้นายโดนไล่จนมาถึงนี้ได้ไหม?"

    ...เล่นถามแบบด้วยท่าทางแบบนี้ ใครจะกล้าไม่ตอบคุณล่ะคร้าบบบ...

    "ครับ..." แล้วเด็กหนุ่มก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้อีกฝ่าย ซึ่งเขาก็ไม่คิดว่าจะเชื่อเขากันหรอก...ก็มีหุ่นยนต์ที่ไหนมีความรู้สึกนึกคิดบ้างล่ะ! "...เรื่องมันเป็นแบบนี้แหละครับ"

    "แปลก..." อาคาชิพูดและมองร่างตรงหน้าอย้าพิจารณา "ตามเทคโนโลยีสมัยนี้ไม่น่าสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่เหมือนคนจริงๆ ได้ขนาดหรอก...นายคิดว่าไง? ชินทาโร่?"

    "อย่าว่าแต่ตอนนี้เลย อีกล้านปีก็เป็นไปไม่ได้" มิโดริมะมองเด็กหนุ่มที่ดูท่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนพูด "ไม่มีใครสามารถสร้างได้เหมือนแม้ระบบเส้นประสาทที่ละเอียดอ่อนที่สุดหรอก อย่างน้อยถ้าเป็นหุ่นยนต์จริงก็น่าจะมีชิ้นส่วนที่เป็นโลหะบ้างแต่เท่าที่ตรวจทั้งหมดไม่มีเลย..."

    ...นี่มาตรวจร่างกายเขาตอนไหนเนี่ย!...

    เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกอยากร้องไห้ชอบกล นี่เขาถูกเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย...

    "แล้วทำไมนายคิดว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์ล่ะ?" ทาคาโอะที่มีมนุษย์สัมพันดีที่สุดในกลุ่มถามเด็กหนุ่มอย่างเป็นกันเอง ซึ่งหัวข้อนี้เรียกความสนใจจากบุคคลทั้งหลายในห้องได้เป็นอย่างดี

    "เอ่อ คือมีคนบอกผมครับ"

    "แค่บอกนายก็เชื่อเหรอ?" อาโอมิเนะถามกลับ เพราะฟังดูไม่สมเหตุผมยังไงไม่รู้

    "ก็...เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผมตื่นขึ้นมาโดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใครแล้วก็มีคนมาบอกผมว่าเป็นคนที่สร้างผมขึ้นมา..."

    "เดี๋ยวก่อน! นายบอกสองสัปดาห์ก่อนเหรอ?" อาโอมิเนะถามพร้อมหยิบเอกสารบางอย่างขึ้นมาดู

    "ครับ..." ถึงเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าจะถามไปทำไม แต่ตอบไว้ก่อนคงเป็นทางเลือกที่ดีสุด

    "...งั้นฉันว่านายคงไม่ใช่หุ่นยนต์แล้วล่ะ" อาโอมิเนะบอกอย่างมั่นใจ

    "ทำไมล่ะครับ?..." เด็กหนุ่มถามกลับ ถ้าเขาไม่ได้เป็นหุ่นยนต์แล้วเขาโผล่ไปที่ห้องสร้างนั้นได้ไงล่ะ?

    "ก็นี้ไงล่ะ!" อาโอมิเนะยัดเอกสารใส่มือเด็กหนุ่มซึ่งมองอย่างงงๆ ก่อนที่จะก้มอ่านเอกสารในมือ...

    ...เอกสารในมือมีรูปที่เหมือนเขาอย่างกับแกะ มีชื่อเขียนไว้ว่า 'คิเสะ เรียวตะ' และมีข้อมูลต่างๆ ไว้ บนหัวกระดาษเขียนไว้ว่า...เอกสารของบุลคลที่ถูกแจ้งความว่าหายตัวไป? แถมถูกแจ้งเมื่อสองสัปดาห์ก่อนพอดีด้วย!

    ...นี่นายเป็นตำรวจเหรอเนี่ย?! หน้าเหมือนโจรซะมากกว่า!...ไม่สิ ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น ชื่อของเขาคือคิเสะสินะ? นี่หมายความว่าเขาเป็นมนุษย์เหรอ? งั้นหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ ก็ด้วยน่ะสิ!...

    เด็กหนุ่มเริ่มที่จะสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้น...เขาไม่เคยนึกเอะใจเลยสักนิดว่าเขาเป็นมนุษย์จริงๆ "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย..."

    "ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ที่รู้คือเมืองที่นายหนีออกมาเนี่ยทำผิดกฏหมายเต็มๆ " อาโอมิเนะหยิบเอกสารจากคิเสะคืน "ทั้งลักพาตัว ทั้งโอนถ่ายความรู้สึกมนุษย์ และจากที่นายบอกว่ามีถูกทำลายอีกล่ะก็เพิ่มข้อหาฆาตกรรมอีกกระทงหนึ่ง..."

    "ฉันว่านายควรจะไปแจ้งความในฐานะผู้เสียหายนะ" ทาคาโอะบอกพลางแอบดูด้านนอกผ่านม่าน "รู้สึกว่าพวกนั้นจะดักซุ่มอยู่นะ คงไม่อยากให้เรื่องนี่ถึงหูตำรวจแต่ไม่รู้ว่าอาโอมิเนะเป็นตำรวจสินะ..."

    "คาซึนาริ...พวกนั้นมาประมาณกี่คน?" อาคาชิถามพร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยูในห้องเสียวสันหลังวาบ

    "ห้าคน..." ทาคาโอะตอบทันที

    "งั้นเดี๋ยวฉัน..."

    "อาคาชิ ฉันว่าฉันจัดการเองดีกว่า ไอ้พวกที่นายจัดการคราวก่อนยังชักกระแด๊วๆ อยู่โรงบาลอยู่เลย..." อย่างน้อยเขาจัดการเองก็ไม่ถึงตายล่ะวะ!

    "นั้นสิ..." มิโดริมะเห็นด้วยกับอาโอมิเนะ ถึงปกติเขาจะไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับหมอนี่นักแต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ขอยกเว้นแล้วกัน

    "เอางั้นก็ได้" อาคาชิก็ตอบตกลงง่ายๆ "ถ้านายจับตัวพวกนั้นได้ล่ะก็ให้พาไปที่โรงพักเลย ส่วนหมอนี่ให้พวกตำรวจมาที่นี่เอาแล้วกัน...บอกไปว่าฉันเป็นคนบอกเดี๋ยวก็มากันเองแหละ"

    "โอเค ตามนั้น" และอาโอมิเนะก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้พวกที่เหลือนั่งรอเวลาในห้องนี้...

    "...ทำไมฉันถึงลืมว่าตัวเองเป็นมนุษย์ล่ะ? แถมทุกคนที่อยู่ที่นั้นนอกจากไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์แล้ว ทำไมถึงไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรเลยล่ะ?" คิเสะพึมพำกับตัวเองเบาๆ แบบไม่คิดว่าจะได้คำตอบ แต่ดันมีคนตอบซะอีก...

    "คงจะเป็นเพราะคนพวกนั่นรวมถึงคุณถูกวางยาบางอย่างมั้งครับ..."

    "งั้นเหรอ...เอ๋?" เมื่อกี้ไม่ใช่เสียงของคนในห้องนี้นี่หว่า แล้วใครตอบเขาเนี่ย "ม...เมื่อกี้ใครเป็นตอบเหรอครับ?"

    "ตอบอะไรเหรอ?" มิโดริมะถามกลับ ซึ่งอาคาชิก็ทำท่างงเล็กน้อยก่อนที่จะทำสีหน้านิ่งเหมือนเดิม เมื่อมองทาคาโอะที่กลั่นขำเต็ม

    "ผมเองครับ" ว่าแล้วร่างของชายหนุ่มผมสีฟ้าอ่อนก็โผล่มาข้างๆ คิเสะ!

    "แว๊ก! ผีหลอก!" คิเสะเอาผ้าห่มคุ้มหัวตัวเองและมุดหายไปในผ้าห่มทันที

    "คุโรโกะ! นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?!" มิโดริมะก็ว๊ากออกมาเหมือนกัน ทำให้ทาคาโอะหลุดก๊ากออกมาจนได้ "นายรู้แต่แรกแล้วสินะ! ทาคาโอะ!"

    "wwwฉันก็เพิ่งเห็นเหมือนกันแหละ ไม่คิดว่าคุโรโกะจะอัพเลเวลความจืดจางขนาดนี้ ถ้าคิเสะไม่ถามฉันก็ไม่เห็นเหมือนกันแหละ!"

    "ผมก็มาพร้อมพวกคุณนั้นแหละครับ"

    "เท็ตสึยะ ฉันว่านายรีบบอกหมอนั้นเถอะ ก่อนจะขาดใจตายในผ้าห่มน่ะ" อาคาชิพูดพลางชี้ไปที่ก้อนผ้าห่มกลมๆ ที่สั่นๆ อยู่

    คุโรโกะก็ดึงผ้าห่มออกเล็กน้อย เพราะแรงที่ดึงกลับนั้นมีมากกว่าทำให้เขาต้องพยายามเขี่ยผ้าห่มออกจนพอเห็นหัวสีเหลืองๆ ของอีกฝ่าย "คิเสะคุง ออกมาเถอะครับ ผมไม่ใช่ผีสักหน่อย ถึงคุณจะเป็นโรคกลัวผีแต่คุณก็ไม่ควรว่าคนอื่นเป็นผีนะครับ..."

    คิเสะโผล่หัวออกมาทันทีที่คุโรโกะพูดจบ เพราะสะกิดใจในคำพูดของคุโรโกะ "คุณรู้จักผมเหรอ? ถึงรู้ว่าผมเป็นโรคกลัวผีน่ะ?"

    อีกสามชีวิตในห้องก็สงสัยเช่นกัน ปกติเพื่อนผู้จืดจางของเขามักทำให้คนตกใจก็จริงแต่ไม่เคยว่าใครเป็นโรคกลัวผีเลย แม้ทุกครั้งที่เจ้าตัวส่งเสียงจะมีคนบอกว่าเจ้าตัวเป็นผีก็เถอะ

    "ครับ ผมรู้จักคุณมาก่อนแต่ก็ไม่สนิกกับคุณเท่าอาโอมิเนะคุงหรอกครับ..."

    "เดี๋ยวนะ เท็ตสึยะนายบอกว่าทั้งนายทั้งไดกิรู้จักหมอนี้มาก่อนสินะ..."

    "ใช่ครับ"

    "...แล้วทำไมพวกฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ?!" มิโดริมะถามกลับบ้าง

    "เพราะอาโอมิเนะคุงกะจะบอกทีหลัง แต่คิเสะคุงกลับหายตัวไปก่อนเลยไม่ได้บอกครับ" คุโรโกะก็ยังตอบหน้าตายอย่างเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

    "แล้วที่บอกว่าฉันอาจถูกวางยาหมายความว่าไงเหรอ?" คิเสะถามวกกลับไปหัวข้อสนทนาแรกสุด

    "ผมเคยได้ยินข่าวแถบตะวันตกในสมัยก่อนน่ะครับ ว่ามียาสองตัวที่ทำให้ความทรงจำหายและอีกตัวทำให้ระบบความรู้สึกไม่ทำงานครับ" (ดัดแปลงเล็กน้อยจากนิยายเรื่อง 'สึคุโมะโด ร้านวัตถุโบราณพิศวง vol.3' จ้า // S)

    และหลังจากนั้นทุกคนก็รุ่มถามคุโรโกะอยู่นาน จนอาโอมิเนะพาพวกที่ดักซุ่มอู่ไปโรงพักและพาตำรวจมาถึงบ้านนี้แล้วนั้นแหละ...

     

     

     

     

     

    คิเสะตอนนี้นั่งเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย วันนี้เขาถูกตำรวจชักซะแทบหมดแรง เขานั้นได้แจ้งความในฐานะผู้เสียหายกลับไป และหวังว่าเรื่องนี้มันจะจบลงเร็วๆ

    "ยังไม่นอนอีกเหรอ?" เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งเมื่อมีเสียงๆ หนึ่งดังมาจากด้านหลังตน ก่อนที่จะหันหลังกลับไปมองชายหนุ่มผมสีน้ำเงินที่เดินเข้ามาในห้องเมื่อไหร่ไม่รู้

    "พอดีนอนนานเกินไปเลยนอนไม่หลับน่ะครับ..." คิเสะมองไปประสานสายตากับอีกฝ่ายที่ดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน "ที่คุโรโกะซังบอกเป็นเรื่องจริงสินะครับ...ที่ว่าคุณรู้จักผมมาก่อน..."

    "เท็ซึบอกนายงั้นเหรอ?" อาโอมิเนะอดบ่นเพื่อนตนในใจไม่ได้ว่า

    ...ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ !...

    แต่ถ้าบ่นไปจริงๆ มีหวังโดนตอกกลับแบบแทงใจดำยับแน่ ถึงจะเห็นว่าเงียบๆ ก็ร้ายใช่เล่นเลยรายนั้นน่ะ

    "ครับ...และผมอยากรู้น่ะครับว่าคุณกับผมรู้จักกันได้ยังไง"

    "งั้นเหรอ..." อาโอมิเนะยกมือลูบหัวอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ทำไมเด็กหนุ่มรู้สึกว่าหน้าตนเองจึงร้อนพลานขึ้นมาดื้อๆ "แต่ฉันอยากให้นายจำได้เองมากกว่า..."

    "แล้วถ้าผมเกิดจำไม่ได้ขึ้นมาล่ะครับ?"

    "ไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน..."

    แล้วหลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเผลอหลับไปด้วยกันทั้งคู่นั้นแหละ...

     

     

     

     

     

    ห้าวันต่อมาศาลได้ออกหมายให้ไปตามจับคุมผู้กระทำผิดในเมืองนั่นได้ จากการสารภาพของคนที่อาโอมิเนะกับอาคาชิจับได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายงานให้แก่อาโอมิเนะ ไดกิและคนในหน่วยที่เจ้าตัวคิดจะพาไปด้วย และขณะที่กำลังจะออกเดินทางก็มีสิ่งไม่คาดคิดกลับเกิดขึ้น

    "ขอผม/ฉันไปด้วยคนนะ/ครับ!!!" คำพูดที่ได้ยินจากบุคคลทั้งหก เป็นบุคคลที่เขารู้จักดีทีเดียวล่ะ

    "แล้วพวกนายจะไปทำไมฟะ!" ไม่ได้ไปเที่ยวนะโว้ย! "โดยเฉพาะนาย! คิเสะ!  พวกนั้นตามล่านายอยู่นะ! จะไปเป็นเนื้อในปากเสือทำไม!?!"

    "แล้วอาโอมิเนะซังรู้ทางเหรอ?" เมื่อถูกคิเสะตอกกลับอย่างนี้อาโอมิเนะก็ถึงกับสะอึกไปเหมือนกัน

    "และถ้าคุณไปคนเดียวมีหวังทำอะไรบ้าๆ อีกแน่" ดอกที่สองถูกส่งมาจากคุโรโกะ

    "ส่วนฉันไปเผื่อนายบ้าทำตัวเองเกือบตายอีก" มิโดริมะยังคงถือตุ๊กตาแปลกๆ ที่ขัดตาอาโอมิเนะได้ทุกครั้ง คราวนี้เป็นตุ๊กตาเหยี่ยว

    "wwwสำหรับฉันแค่ตามชินจังไปด้วยแค่นั้นแหละ" ทาคาโอะก็ยังหัวเราะอย่างร่าเริงเหมือนเคย

    "ส่วนฉันคงไม่ต้องบอกเหตุผลหรอกนะ..." อาคาชิพูดพร้อมกรรไกรในมือฉับๆ สร้างความสยองให้บุคคลทั่วไปโดยแท้

    "แล้วนายล่ะฟะ? มาทำไม?" อาโอมิเนะถามเด็กหนุ่มผมสีเพลิงที่คิเสะไม่เคยเจอ เอ๊ะ! หรือเคยแต่จำไม่ได้หว่า?

    "ฉันก็ไปช่วยเพื่อนฉันสิ! ถึงคิเสะกลับมาแล้ว แต่ฟุริไม่ได้กลับมาด้วยนี่หว่า!" คนผมสีเพลิงพูดอย่างอารมณ์เสียใส่อาโอมิเนะ

    จากประโยคที่คนผมสีเพลิงพูดทำให้เขารู้ว่าเขากับอีกฝ่ายรู้จักกัน และรู้สึกว่าจะมีคนที่ถูกพาไปพร้อมกับเขาด้วย ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าคนที่ว่านั้นเป็นใครและถูกทำลายไปหรือยังก็ไม่รู้ แต่เขาก็ไม่คิดจะพูดให้อีกฝ่ายเสียกำลังใจหรอกนะ

    "หยุดทะเลาะได้แล้วครับ อาโอมิเนะคุง คางามิคุง ตอนนี้เราควรคิดก่อนดีกว่านะครับว่าจะบุกจับยังไง..."

    "คิดอะไรมากเล่าเท็ตสึ ก็แค่บุกจับดื้อๆ เลยนี่แหละ"

    "อย่างน้อยก็มีแผนสำรองหน่อยสิครับ..."

    "ไม่ต้องคิดอะไรให้ยุ่งอยากหรอกน่า..."

    "คุณก็เป็นแบบตลอดสิน้า..."

    "หมายความไงห๊า! เท็ตสึ!"

    "ก็ตามที่พูดนั้นแหละครับ..."

    สุดท้ายการเถียงกันของสองคนนี้ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของอาโอมิเนะครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ ก่อนที่จะเริ่มเดินทางไปยังเมืองนั้นที่คิเสะไม่คิดว่าตนจะปล่อยไว้เฉยๆ แน่

     

     

     

     

     

    "ที่นี่เหรอ? คิเสะ?" อาโอมิเนะถามคิเสะ ขณะนี้พวกเขาหลบในรถตู้ที่แกล้งทำเป็นว่ามาส่งของ โดยที่มีทีมตำรวจเต็มทีมอยู่ในรถอีกสองคันที่แฝงเข้ามา

    เบื้องหน้าพวกเขาเป็นอาคารสองชั้นสีหม่นแบบเปิดหลังคาโล่ง มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง มีรั้วสูงกั้นโดยรอบ

    "ที่นี่แหละ..."

    "งั้นลุยกันเลย!" อาโอมิเนะพูดผ่านวิทยุสื่อสารให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนบุกเข้าไปในทันที...

    "เฮ้ย! นี่มันอะไรกัน!"

    "ตำรวจ! มาได้ไงกันเนี่ย!"

    "โว้ย! รีบหนีเร็ว!"

    "ฯลฯ" เสียงโหกเหวโวยวายดังจากทั่วสารทิศทันทีที่ตำรวจทุกนายบุกเขาไปจับทุกคนในที่นี่ จนเหตุการณ์เริ่มที่จะสงบพวกอาโอมิเนะจึงออกมาจากรถ เพราะคิเสะมาด้วยเลยให้อยู่ในรถจนเหตุการณ์สงบถึงแม้เจ้าตัวจะอยากอาลวาลแค่ไหนก็ตาม...

    ทุกคนมองไปยังกลุ่มคนมหาศาลที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก มีเพื่อกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ยังคงมีความรู้สึก ซึ่งคนกลุ่มน้อยนั้นก็พวกนักวิทยาศาสตร์กับพวกผู้บริหารของที่นี่แหละ...

    คิเสะมองผู้คนโดยรอบที่ถูกเหล่าตำรวจจับคุมอยู่ ก่อนที่จะสังเกตสิ่งผิดปกติบางอย่างเข้า "รู้สึกว่าหายไปคนหนึ่งนะ?"

    "ห๊า!?!" อาโอมิเนะถึงกับชะงันเฟมื่อได้ยินที่คิเสะพูด "ใครหาย!?!"

    "ประธานของที่นี่น่ะ..."

    "บ้าเอ้ย!" อาโอมิเนะสบลออกมาก่อนที่จะตะโกนแจ้งให้ตำรวจทุกคนทราบ "รีบค้นหาทุกมุมเร็วเข้า! ตัวการใหญ่มันจะหนีไปแล้ว!"

    "อาโอมิเนะคุง ผมว่าเราเริ่มประสบปัญหาใหญ่แล้วล่ะครับ..." คุโรโกะเริ่มหน้าซีดเมื่อนึกเรื่องสำคัญออก

    "มีอะไรล่ะ? เท็ตซึ?" อาโอมิเนะถามอย่างไม่เข้าใจ

    "และผมว่าคงแก้ไม่ทันแล้วล่ะครับ..." คุโรโกะชี้ไปทางเหล่าผู้คนที่สีหน้าไร้ความรู้สึกที่ตอนนี้กำลังย่างสามขุมเข้ามาราวซอมบี้ไล่จับตัวเหล่าตำรวจอยู่!

    "เท็ตซึ! นี่มันอะไรกันเนี่ย!?!" อาโอมิเนะว๊ากลั่นเมื่อกำลังจะโดนจับล็อก จึงถีบผู้คนเหล่านั้นจนกระเด็นไปคนล่ะทิศคนละทาง

    "ผมเพิ่งนึกออกล่ะครับ...ว่ายาตัวที่ผมบอกมันทำให้ต้องทำตามคำสั่งของคนคนหนึ่ง และผมคิดว่าประธานคนนั้นนั่นแหละที่เป็นคนควบคุมทุกคนในที่นี่ครับ และจะไม่หยุดจนกว่าคนคนนั้นจะยกเลิกคำสั่ง สลบหรือตายไปน่ะครับ..."

    "แล้วทำไมไม่นึกออกพรุ่งนี้เลยล่ะ! คุโรโกะ!" คางามิที่ได้ฟังเรื่องนี้มาเหมือนกันโวยลั่นขณะอุ้มร่างเล็กของคนที่เอ่ยถึงออกจากเหล่าผู้ที่เหมือนซอมบี้ไปทุกขณะ

    ในความวุ่นวายอาโอมิเนะก็รู้สึกถึงบางอย่างจากด้านบน จึงแหงนหน้าขึ้นไปมองและก็ถึงกับชะงันเมื่อเห็นกระบอกปืนสีเงินวาวยื่นออกมาจากระเบียงชั้นสอง ดูจากมุมแล้วปืนกระบอกนั้นเล็งไปที่...คิเสะ!!!

    "คิเสะ!"

    ปัง!!!

    เสียงปืนคำรามลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ ทุกคนชะงันเมื่อเห็นร่างของคนผมสีน้ำเงินทรุดลงไปกองกับพื้นตรงหน้าของเด็กหนุ่มที่ตัวเปื้อนไปด้วยเลือดของอีกฝ่าย...

    "อาโอมิเนะซัง?" คิเสะมองร่างตรงหน้าอย่างตกตะลึง ตอนที่เสียงปืนดังขึ้นอีกฝ่ายเอาร่างมาบังเขาไว้...สิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นเป็นอย่างสุดท้ายคือรอยยิ้มของอีกฝ่ายกับเลือดสีแดงที่สาดกระเซ็น "อาโอมิเนะซัง!"

    "คิดจะจับฉันมันเร็วไปสิบปีเฟ้ย!" เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากชั้นสองพร้อมกับร่างของชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา "ไม่คิดเลยว่าจะมีคนรอดจากฤทธ์ยาไปได้ แต่ช่างเถอะ ฉันแค่ลดพวกไร้ประโยชน์ให้หายไปจากโลกนี้แค่นั้นเองพวกแกก็ดันมาขวางอีก เอาตัวเองมากตายแท้ๆ โง่จริงนะพวกแกน่ะ...ดูสิ แค่เด็กกำพร้าไร้ประโยชน์คนหนึ่งเจ้าตำรวจนั้นกลับปกป้องจนตัวตาย เจ้าตำรวจตัวดำนั้นมันบ้าจริงๆ!!!"

    "นายนั้นแหละที่บ้า!!!"  มิโดริมะโวยกลับไป และพยายามเข้าไปช่วยเพื่อนตนถ้าไม่ติดคนพวกเนี่ย! ยังกะอยู่กลางดงซอมบี้เลยโว้ย! "ชีวิตใครก็สำคัญทั้งนั้นแหละ!!!"

    "ก่อนห่วงคนอื่น...ห่วงตัวเองซะก่อนเถอะ!" ชายคนนั้นพูดออกมาอย่างไม่สนใจในการกระทำของตนเองสักนิดว่าทำให้คนอื่นเดือกร้อนแค่ไหน "เหล่าหุ่นทั้งหลาย...จงฆ่าไอ้พวกตำรวจนั้นซะ!"

    เหล่าผู้คนที่ถูกควบคุมต่างจากซอมบี้ก็ทำตามคำสั่งทันที ต่างกลูเข้ามาไม่ต่างจากน้ำป่า

    "ไอ้บ้าหมดทางเยียวยาเอ้ย!" มิโดริมะจัดการทุกคนที่มาเข้าใกล้ตนอย่างเร็วรีบ แต่ไหงจำนวนไม่ลดลงเลยฟะ!

    โครม!

    ทางทาคาโอะที่ดูเหมือนฟิวส์ขาดเสียแล้วแสยะยิ้ม พร้อมส่งมือส่งเท้าไปยังทุกคนที่เข้าใกล้เช่นเดียวกับมิโดริมะ

    "ฉันว่าหาทางจัดการหมอนั้นเถอะ ไม่งั้นไดกิแย่แน่..." อาคาชิที่มีสภาพดีกว่าชาวบ้านด้วยวิธีไหนไม่รู้ หันไปคุยกับมิโดริมะ

    "แล้วจะให้ฉันทำไงล่ะ!" เขายังเอาตัวไม่รอดเลย!

    "คงไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเรื่องคงจบแล้วล่ะ..." ดวงตาสองสีมองไปยังชั้นสองที่ตอนนี้ปรากฏเงาคนอยู่ด้านหลังของชายคนนั้นและ...

    เพล้ง!!!

    เสียงบางอย่างแตกดังไปทั้งอาคาร เหล่าผู้คนที่ถูกควบคุมก็หยุดนิ่ง พร้อมกับร่างของชายที่อยู่ชั้นสองหัวอาบเลือดก่อนจะล้มลง ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่ตัวสั่นเล็กน้อย ในมือมีปากแจกันอยู เฉพาะตัวปากน่ะนะซึ่งนี่ก็ทำให้พอเดาได้ว่าเสียงเมื่อกี้มาจากอะไร...

           เด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่ยืนเกาะเสาและยังคงตัวสั่นจากการกระทำเมื่อครู่ของตนเองกวาดตามองไปยังเบื้องล่าง ก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ "...รอดแล้ว...สินะ?"

    "ฟุริ!!!/ฟุริฮาตะคุง!!!" คางามิกับคุโรโกะตะโกนออกมาทันที่เห็นว่าคนที่จัดการชายคนนั้นเป็นใคร

    "คุโรโกะซัง! คางามิ!" ฟุริฮาตะชะโงกหน้าไปมองอีกฝ่ายที่อยู่ด้านล่าง "อาโอมิเนะซังเป็นไงบ้าง!?!"

    และคำถามของฟุริฮาตะทำให้ทุกคนหันไปมองทางเด็กหนุ่มที่บัดนี้ร่างกายเต็มไม่ด้วยบาดแผล คงมาจากที่พยายามช่วยอาโอมิเนะนั้นแหละ

    เมื่อภัยร้ายได้ผ่านไปแล้ว คิเสะมองไปยังร่างของคนตรงหน้าที่ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นมาเลย น้ำตาของเด็กหนุ่มเริ่มไหลรินและคว้าร่างอีกฝ่ายขึ้นมากอด "ตื่นสิ! ตื่น! อาโอมิเนะซัง! อาโอมิเนะซัง! อาโอ อึก! อาโอมิเนจจิ!!!"

    ภาพความทรงจำทั้งหลายแหล่ของเขาจู่ๆ ก็ไหลออกมาดังน้ำป่า เขาจำได้แล้ว ทั้งเรื่องที่เขาเป็นเด็กกำพร้า เรื่องที่เขาสนิกกับคางามิกับฟุริฮาตะ เรื่องที่เขาเจอกับอาโอมิเนะ และ...เรื่องที่เขารักอาโอมิเนะอย่างสุดหัวใจ

    "ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ! อาโอมิเนจจิ! ไอ้ดำ! เจ้าตำรวจบ้ากาม! ไอ้บ้ากุ้ง! ไอ้บ้าบาส ไอ้..."

    "ในที่สุดก็จำได้แล้วสินะ?"

    เสียงหนึ่งขึ้นข้างหูเขา คิเสะเบิกตากว้างผละอีกฝ่ายออกและก็...เห็นรอยยิ้มกวนโอ๊ยจากอีกฝ่าย

    "นี่แกล้งกันเหรอ!? อาโอมิเนจจิ!" คิเสะหน้ามุ่ยแก้มป่อง สำหรับอาโอมิเนะดูแล้วชั่งน่ารักน่าแกล้งเสียเหลือเกิน

    "ไม่ได้แกล้งสักหน่อยเพิ่งตื่นต่างหากล่ะ..."

    "นายก็ยังมีหน้าหลับลงอีกนะ ถ้าเป็นคนปกติได้ไปเฝ้ายมบาลแล้วแน่..." มิโดริมะเริ่มรู้สึกว่าเพื่อนตนไม่ปกติเข้าไปทุกที ถึงเขาเองจะไม่ค่อยปกติเหมือนกันก็เถอะ "แล้วนายโดนยิงตรงไหนเนี่ย?"

    เนื่องจากพวกเขาต่างเปอะเปื้อนไปด้วยฟุ่นแถมเลือดยังซึมไปตามเนื้อผ้าไปเกือบทั้งตัวแล้วทำให้มองไม่ออกว่าแผลอยู่ตรงไหน รู้เพียงคงหนักพอสมควรล่ะ

    "อ๋อ~ โดนที่ท้องน่ะ แถมยังทะลุเลยด้วย~" อาโอมิเนะตอบอย่างชิวส์ๆ แต่มิโดริมะนี่สิแทบไมเกรนขึ้น

    "แล้วนายก็ยังนั่งหน้าระรื่นได้อีกนะ! ทาคาโอะ! มาช่วยฉันรักษาอาโอมิเนะหน่อย! ส่วนคิเสะไปร่วมกลุ่มกับคุโรโกะเลย!"

    "ครับ!" เมื่อคิเสะเห็นท่าว่ามิโดริมะใกล้กลายร่างเข้าไปทุกที เขาจึงรีบตอบรับและวิ่งไปทางกลุ่มพวกคุโรโกะทันที โดยทิ้งอาโอมิเนะไว้กับมิโดริมะ และก็มีเสียงโหยหวนของอาโอมิเนะลอยตามมาในไม่กี่วิต่อมา ให้ข้อคิดว่าไม่ควรลองดีกับคนเป็นหมอ...

     

     

     

     

     

    หลังจากการวุ่นวายผ่านทั้งคิเสะทั้งฟุริฮาตะก็ได้ให้การกับทางตำรวจเพื่อขยายผมต่อไป

    ทางคิเสะที่จำเรื่องทุกอย่างได้แล้วรู้เพียงว่าวันนั้นเขากับฟุริฮาตะเดินไปเก็บของป่าเพราะเป็นเวรพวกเขาในการหาอาหารให้พวกเด็กๆ ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น...

    แต่แล้วจู่ๆ พวกเขาก็ถูกใครไม่รู้เอาผ้าที่มีกลิ่นหอมเย็นๆ แปะปากและจมูกไว้หลังจากนั้นเขาก็สลบไป รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในห้องทึบที่มีผู้คนเต็มไปหมด และฟุริฮาตะก็อยู่ข้างๆ เขาแล้วหลังจากนั้น...เขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลยจนมีคนมาบอกว่าเขาเป็นหุ่นยนต์นั้นแหละ

    ส่วนทางฟุริฮาตะนั้นรู้ละเอียดกว่าเพราะเจ้าตัวไม่ได้ถูกลบความจำตามไปด้วย ฟุริฮาตะเล่าต่อว่าหลังจากนั้นอยู่ๆ ก็มีควันพ่นออกมาจากเพดาน

    ตอนแรกเขาก็ไม่รู้ว่าควันอะไรเพราะนอกจากสีขาวๆ แล้วก็ไม่มีกลิ่นด้วย แต่พอเขาถามคิเสะ คิเสะกลับถามเขากลับว่าเขาเป็นใคร? เขาก็เริ่มเอะใจว่าควันนี้ต้องมีอะไรแปลกๆ แน่ เลยเอาผ้าปิดจมูกเขากับคิเสะไว้ ไม่นานหลังจากนั้นควันนั้นก็หยุดพ่นเข้ามา แต่เพียงไม่นานก็พ่นเข้ามาต่ออีก จนแน่ใจว่าคงไม่มีอะไรแล้วนั้นแหละเขาถึงเอาผ้าออก ฟุริฮาตะเดาว่าเพราะคิเสะสูงกว่าตน  ทำให้โดนควันนั้นไปก่อนที่ตัวเขาจะโดน เขาเลยรอดมาได้...

    และแล้วเมื่อรู้รายละเอียดจากฟุริฮาตะ ทางตำรวจก็ไปเค้นคอเหล่าพวกนักวิทยาศาสตร์และพวกผู้บริหารของที่นี่จนได้ข้อมูลของสารในควันนั้นมา...

    ควันรอบแรกนั้นใช้ลบความจำ ควันที่สองใช้ลบความรู้สึกนึกคิด...

    เมื่อได้ขอมูลของควันเหล่านั้นมาแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของมิโดริมะกับทาคาโอะในการทำยาแก้...และก็ทำสำเร็จในอีกสามวันต่อมา ทำให้ทุกคนที่โดนยาตัวนี้เข้าไปกลับมาเป็นเหมือนเดิมทุกคน

    เหล่าผู้คนที่รู้เรื่องนี้และผู้ที่เคยใช้บริการที่นี่ ที่ศาลได้ออกคำสั่งจับทุกคนก็โดนจับตามระเบียบ...

    หลังจากเหตุการณ์นั้น ตอนนี้ผ่านมาสองเดือนแล้วทุกอย่างได้กลับมาสู่สภาพปกติ อาโอมิเนะก็มักมาหาคิเสะถึงที่เหมือนเดิม ที่ต่างออกไปคงมีเพียงชายผู้มีตาสองสีที่ตอนหลังๆ เริ่มตามอาโอมิเนะมาด้วย เป็นแบบนี้อยู่สักพักคุโระที่มักตามมาหาคางามิ ก็อดถามไม่ได้

    "อาคาชิ คุณมาทำอะไรที่นี่กันครับ?"

    "ฉันอยู่ที่ไหนก็ได้นี่ ไม่มีคนห้ามสักหน่อย..." อาคาชิตอบพลางเล่นกรรไกรในมือตน

    "...ไม่มีคนห้ามก็จริง แต่ช่วยบอกเหตุผลที่มาหน่อยครับ คนอย่างคุณไม่มีทางมาโดยไม่หวังผลอะไรแน่..." คุโรโกะมองไปยังกรรไกรในมืออาคาชิ "...อีกอย่างช่วยเก็บกรรไกรในมือด้วยครับ เดี๋ยวเด็กจะเลียนแบบ"

    อาคาชิก็ยอมเก็บกรรไกรตามที่คุโรโกะบอก "ถ้าฉันบอกเหตุผลกับนายแล้วนายจะช่วยฉันเหรอ?"

    "ถ้าไม่เดือดร้อนใคร หรือเกินความสามารถเดี๋ยวช่วยครับ..."

    "คุยอะไรกันอยู่น่ะ?" คางามิเดินมาหลังจากหนีเจ้าเบอร์สอง ลูกหมาของคุโรโกะมาได้ ล้มนั่งแปะอยู่ข้างๆ คุโรโกะ

    "อาคาชิคุง มีเรื่องอยากให้ช่วยน่ะครับ..."

    "อย่างหมอนี่เนี่ยนะ?!" คางามิมองคนผมแดงอย่างหม่อยากเชื่อหูตัวเอง

    "แล้วมีปัญหาหรือไง..." อาคาชิเริ่มจ้องเขม็ดไปที่คนถามก่อนที่จะเหลือบตาไปที่คนผู้จืดจาง "ตกลงจะช่วยไหม? ถ้าไม่ช่วยก็ไม่บอก..."

    "...ช่วยก็ได้ครับ/ถึงไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไรแต่ก็ตามคุโรโกะนั้นแหละ" พอคุโรโกะกับคางามิตอบอย่างนั้น

    "งั้นก็..." อาคาชิกำลังจะตอบทั้งสองถ้าไม่เสียงเรียกเขาไว้ก่อนอ่ะนะ

    "เฮ้! อาคาชิ!" อาโอมิเนะเดินมาหาพร้อมจูงมือคิเสะที่หน้าแดงแจ๋มาด้วย คาดว่าคงแกล้งอะไรคิเสะอีกตามเคย

    "มีอะไรเหรอ? ไดกิ?"

    "ช่วยจัดงานแต่งให้ฉันกับคิเสะหน่อยสิ..."

    "ห๊า!!!" คุโรโกะกับคางามิถึงกับอ้าปากค้าง ถึงจะรู้ว่าทั้งสองคบกันอยู่ แต่ใครจะคิดว่าอยู่ๆ อาโอมิเนะจะมาขอให้ช่วยจัดงานแต่งให้ดื้อๆ แบบนี้!

    อาคาชิยิ้มบางๆ ก่อนที่จะถามกลับ "ถ้าฉันช่วยแล้วนายจะทำอะไรตอบแทนฉันล่ะ..."

    "ก็ไม่มีน่ะสิ แต่อย่างกไปหน่อยเลย ยังไงนายก็รวยอยู่แล้วนิ ถ้ากลัวไม่คุ้มก็จับมิโดริมะกับทาคาโอะแต่งกันเป็นคู่ที่สองก็หมดเรื่อง..." อาโอมิเนะตอบกลับอย่างนั้น เนื่องจากคิดวิธีต่อรองกับอาคาขิไม่ออก

    "ถ้ามิโดริมะคุงได้ยินเข้าล่ะก็คงบ่นคุณจนหูชาแน่..." คุโรโกะบ่นเบาๆ

    "ฟังดูเข้าท่าดีนะ..." อาคาชิเริ่มยิ้มอย่างคนมีแผนการ จนคุโรโกะกับอาโอมิเนะเริ่มจับเค้าลางความซวยได้ แต่ไม่รู้ว่าจะไปตกที่ใคร "...แต่ฉันมีข้อเสนอเพิ่มเติม ถ้านายกับเรียวตะไม่ยอมช่วย ก็อย่าหวังว่าฉันจะช่วยเลย"

    "เอ๊า! ช่วยก็ช่วย/เอางั้นก็ได้..." อาโอมิเนะกับคิเสะตอบออกมาพร้อมกัน

    "งั้น...ช่วยหาทางให้ฉันเข้าใกล้หมอนั้นที"

    "พูดถึงใครล่ะครับ?" คุโรโกะถาม

    "ก็ฟุริฮาตะ โคกิไง หมอนั้นพอฉันเข้าใกล้ก็ตัวสั่นและวิ่งหนีทุกทีเล่นซะฉันจีบไม่ได้เลย... ยังไงพวกนายก็ตกลงแล้วอย่าคืนคำล่ะ..." อาคาชิยิ้มอย่างผู้มีชัย ส่วนทุกคนสมองเริ่มหยุดทำงานแล้ว

    ...นี่นาย/คุณเอาจริงเหรอฟะ/ครับ!!!...

    อาโอมิเนะกับคุโรโกะถึงกับคุมขมับ ถึงตอนที่อาคาชิเจอกับฟุริฮาตะครั้งแรกแล้วบอกว่าน่าสนใจก็เถอะ แต่ไม่คิดว่าในแง่นี้นี่หว่า!

    "ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันกำลังจะโยนชิวาว่าให้สิงโตชอบกลแฮะ..." คางามิพึมพำออกมาอย่างสติหลุด พร้อมสวดให้เพื่อนตนเสร็จสัพ

    "ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน คางามิจจิ..." ขอให้โชคดีนะฟุริฮาตัจจิ...

     

     

     

     

     

    สุดท้ายงานแต่งของอาโอมิเนะกับคิเสะก็ถูกจัดขึ้นท่ามกลางผู้คนมากมายในอีกหกเดือนต่อมาในวันที่ทุกคนว่างพอดีโดยอาคาชิ เซย์จูโร่เป็นผู้ออกทุนให้ ซึ่งมีแต่คนรู้จักกันทั้งนั้น และเป็นงานแต่งแบบประหยัดงบมาก...

    ...ที่บอกว่าประหยัดงบเพราะเล่นแต่งทีเดียวถึงห้าคู่เลยนี้สิ!!!

    ซึ่งคู่แรกคงไม่พ้นอาโอมิเนะกับคิเสะตัวการในการขอให้อาคาชิจัดงานแต่งให้

    คู่ที่สองคือมิโดริมะกับทาคาโอะที่ถูกเลขท้ายโดนอาโอมิเนะจับให้แต่งกันซะ เพราะเห็นว่าคบกันตั้งแต่ม.ปลายยยังตอนนี้ยังไม่แต่งซะที และเพื่อให้คุ้มกับงบที่อาคาชิให้มา

    คู่ที่สามคือคางามิกับคุโรโกะ เนื่องจากมิโดริมะไม่อยากโดนหางเลขคนเดียว เลยให้คุโรโกะแต่งด้วย จะได้ครบกันไปเลย ซึ่งคุโรโกะก็ไม่ขัดอยู่แล้ว

    คู่ที่สี่คือชายร่างสูงสองเมตรผมสีม่วงที่เป็นเชฟขนมหวานชื่อมุราซากิบาระ อัตสึชิกับพี่ชายของคางามิชื่อฮิมุโระ ทัตสึยะ ที่ไปทำงานกับมุราซากิบาระอยู่เมืองอื่นมานาน จนโดยคางามิโทรให้มางานแต่งตนนั้นแหละ และเมื่อมาเจอกันก็ทำให้พวกคางามิเพิ่งรู้ว่ามุราซากิบาระรู้จักกับพวกคุโรโกะมาก่อน อาคาชิเลยเสนอให้มาแต่งกันเป็นคู่ที่สี่นี่แหละ เพราะยังไงก็คบกันมานานแต่ยังไม่ได้แต่งอยู่แล้ว

    และคู่ที่ห้าเป็นคู่ที่ใครก็ไม่คิดว่าจะมาแต่งกันได้ นั้นคืออาคาชิกับฟุริฮาตะนั้นเอง ที่จริงตอนแรกก็เล่นซะพวกอาโอมิเนะลำบากเหมือน เพราะดันไปตกลงว่าจะทำให้ฟุริฮาตะยอมเข้าใกล้อาคาชิให้ได้ จนใช้เวลาเกือบเดือนเจ้าตัวก็ยอมคุยกับอาคาชิ ที่เหลืออาคาชิทำไงไม่รู้ถึงได้มาคบกันจนมาแต่งพร้อมกับเขาด้วยเนี่ย!!! ยังไงก็ช่างเพราะอาคาชิเป็นคนออกทุกจะทำยังก็ได้อยู่แล้ว

    และเรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นเช่นไรนั้นโปรดให้สาววายทั้งหลายคิดกันเอาเองแล้วกันนะ ^^

    ปล.เรื่องนี้มันaokiจริงๆน้า แต่เราคิดออกมาจนจบแบบนี้ได้ไงไม่รู้==

     

     

     

     

     

    End

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×