ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    fanfic knb by shiko

    ลำดับตอนที่ #60 : [AkaFuriKuro] Happy Halloween

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.18K
      53
      31 ต.ค. 57

    Title : Happy Halloween

    Fandom : Kuroko no Basket

    Paring : Akashi x Furihata x Kuroko

    Notes : เหตุเกิดในวันฮาโลวีล

    ................................................................

    Happy Halloween

     

                    วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม xxxx ที่โรงเรียนมัธยมปลายเซย์ริน

    "เฮ้! ฟุริ! นายเคยได้ยินเรื่องซาจิโกะซังแห่งความสุขหรือเปล่า!?" เสียงถามจากเพื่อนสนิกทำให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตนขณะที่กำลังกินข้าวกลางวันอยู่บนดาดฟ้าของอาคารเรียน

    "ซาจิโกะซัง? หมายถึงการเล่นที่ว่าถ้าทำแล้วคนที่ร่วมพิธีนั้นจะไม่วันแยกจากกันใช่ไหม?" ฟุริฮาตะถามเพื่อนที่ยืนค้ำหัวอยู่

    "อื้ม นั้นแหละ" คาวาฮาระคว้าขนมปังในมือเพื่อนผมน้ำตาลมากิน

    "เฮ้ย! นั้นมันของฉันนะ!!!" ฟุริฮาตะโวยใส่คาวาฮาระที่คว้าขนมปังตนไปกินหน้าตาเฉย ก่อนที่จะหันไปหาคนที่ถามตนก่อนหน้านี้ "ว่าแต่นายถามเนี่ย...จะเล่าเรื่องรับฮาโลวีสหรือไง? แต่นี้มันไม่น่าจะใช้ในวันฮาโลวีสได้นะ..."

    "ก็ประมาณนั้นแหละ แต่นายเคยได้ยินไหม..." ฟุคุดะเริ่มทำเสียงหลอนๆ "...ว่าที่จริงซาจิโกะซังน่ะ ถ้ามีคนทำพิธีผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียวก็จะถูกลากไปโลกต่างมิติและจะถูกขังอยู่ที่นั้น...ตลอดกาล..."

    ฟู่...

    "เหวอ!!!" ฟุริฮาตะสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ ก็มีลมเย็นๆ มารนต้นคอตอนและเมื่อหันไปมอง ก็เห็นตัวต้นเหตุก็ยิ้มแฉ่งอยู่ "โถ! คางามิอย่าแกล้งกันสิ!!!"

    "โทษทีๆ เห็นกำลังเล่าเรื่องผีกันอยู่เลยอยากแกล้งนิดหน่อยน่ะ" คางามิเอามือยี้หัวคนที่กำลังหน้ามุ่ยเนื่องจากโดนแกล้ง "อย่างอนน่าฟุริ..."

    "ว่าใครงอนห๊า!?" ฟุริแยกเขี้ยวใส่คางามิที่ดู...ไม่น่ากลัวเลยสักนิด

    "ก็นายไง..." คางามิตอบก่อนที่จะวิ่งหนีฟุริฮาตะ

    "อย่าหนีนะ! คางามิ!!!" ฟุริฮาตะวิ่งไล่คางามิทันที สร้างความขบขันให้แก่ผู้ที่มองอยู่โดยแท้

    "เฮ้!!! พวกปีหนึ่งอยู่นี่กันไหม!?!" เสียงตะโกนดังก้องทำให้ฟุริฮาตะกับคางามิที่วิ่งไล่จับกันอยู่ฟยุดชะงั่นและมองไปยังต้นเสียง

    "อยู่ครับ~~ รุ่นพี่มีอะไรเหรอครับ?" คาวาฮาระมองกัปตันทีมตนที่ดูท่าจะหอบมากจากการมาหาพวกเขา

    "เย็นนี้ไปซ้อมที่สตรีทบาสแถวๆ นี้แทนที่โรงยิม!!! ริโกะบอกว่าเย็นนี้โรงยิมมีคนจองไว้ดังนั้นไปที่สตรีทบาสห้ามสายห้ามขาดเข้าใจนะ!!! ไปล่ะ!!! กลับไปช้าเดี๋ยวริโกะตื้บเอา!!!" ฮิวงะพูดอย่างรวดเร็วก่อนที่จะรีบกลับไปหาสาวเจ้าผู้เป็นโค้ชทันที (ทำไมนายไม่โทรหาเอาล่ะ? วิ่งมาทำไมให้เหนื่อย... // s , แบตหมดน่ะ มือถือริโกะ คนอื่นก็ยืมอยู่เลยโดนใช้ให้วิ่งมาบอกน่ะ // ฮิวงะ)

    "...รุ่นพี่โดนโค้ชขู่อะไรไว้เนี่ย?" ฟุคุดะมองยังจุดที่รุ่นพี่ตนอยู่เมื่อครู่อย่างงงๆ

    "ไม่รูสิ...แต่ไม่รู้อาจดีกว่า..." คาวาฮาระตอบก่อนที่จะไปลากฟุริฮาตะกับคางามิกลับมานั่งกินข้าวก่อนที่จะหมดพักเที่ยง

     

     

     

     

     

    ยามเย็นคืบคลานเข้ามาเข้ามาอย่างรวดเร็ว และเหล่านักบาสทีมเซย์รินก็ซ้อมกันอย่างรวดเร็วเช่นันเพราะไม่มีเวลามานัก

    "เจ้าบ้าคางามิ!!! แค่ให้ฝึกซูตลูกไม่ต้องใส่แรงเยอะนักก็ได้!!!" ริโกะเอาพัดกระดาษฟาดใส่คางามิที่โดนให้ฝึกลูกซูตเมื่อเด็กหนุ่มผมสีเพลิงดันใส่แรงมากไปทำให้ลูกกระทบห่วงและกระเด้งออกไปนอกสนาม

    "ขอโทษ...ครับ..." คางามิรู้สึกชาวาบกับการถูกฟาดด้วยของที่ดูจากภายนอกไม่น่าร้ายแรง...มั้ง?

    "เดี๋ยวฉันไปเก็บลูกให้นะ" ฟุริฮาตะชี้ไปยังลูกบาสทีกลิ้งไปใกล้ๆ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนรล้อมวงกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ เด็กหนุ่มผู้ปานชิวาว่าไม่รอให้ใครตอบรีบมุดรั้วที่เป็นขาดเป็นรูออกไปด้วยความขี้เกียจเดินอ้อมและเดินไปเก็บลูกบาสคืน หูก็พลันได้ยินบทสนทนาของกลุ่มคนพวกนั้นพอดี

    "เท่านี้เป็นอันเสร็จล่ะ..." เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยออกมาพร้อมชูกระดาษชิ้นน้อยในมือ "...ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ไม่มีอะไรหรอก"

    "แต่เรื่องเล่านั้น...มัน..." เด็กสาวคนหนึ่งมองกระดาษในมืออย่างหวั่นๆ

    "ไม่ใช่เรื่องจริงหรอกน่า อีกอย่างในเรื่องเล่านั้นคนที่ทำพิธีนี้ต่างอยู่ในที่ที่ไม่ค่อยมีคนไม่ใช่เหรอ? แต่นี้คนเดินกันเต็มไปหมดคงไม่เป็นไรหรอก" เด็กสาวอีกคนเอ่ยพร้อมเสยผมตนเอง

    "ล...แล้วถ้าเรื่องเล่าเป็นเรื่องจริงล่ะ?" เด็กหนุ่มอีกคนพูดขึ้นอย่างขลาดกลัว

    "ไม่เป็นไรหรอกน่า! แค่เรื่องหลอกเด็กเอง!" เด็กหนุ่มที่ท่าทางกร้าวร้าวพูด

    "แต่...ก็ไม่ควรลบหลู่นะครับรุ่นพี่" เด็กหนุ่มผู้ที่กอดตุ๊กตากระต่ายที่มีรอยปะเต็มไปหมดเอ่ยออกมา ดวงตาที่มองตุ๊กตาในมือนั้นเหมือนกับกำลังย้ำเตือนตัวเองในบ้างเรื่องอยู่

    "นั้นสิครับ..." เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ คนที่กอดตุ๊กตากระต่ายอยู่เอ่ยอย่างเห็นด้วยกับความคิดคนข้างๆ

    "เฮ้ย! ไม่ได้ลบหลู่เว้ย! แค่แสดงความคิดเห็น!" เด็กหนุ่มท่าทางกร่าวร้าวคนเดิมเอ่ยออกมา

    "ใช่ๆ! อีกอย่างพวกเธอเป็นรุ่นน้องก็ฟังรุ่นพี่ดีๆ ดีกว่าน่า!" เด็กสาวท่าทางเปรี้ยวปานมะนาวเอ่ยด้วยท่าทางน่าฆ่าหมกท่อ(?) (พอดีนึกตัวเทียบอย่างอื่นไม่ออก // s)

    "ต...แต่ว่า..." เด็กสาวที่ผูกโบสีแดงไว้ที่ปอยผมด้านซ้ายเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ซีดเซียว

    "เอาเถอะ...ของแบบนี้ไม่เจอด้วยตัวเอง...ก็ไม่มีใครเชื่อหรอก..." เด็กสาวผมยาวข้างๆ เอ่ยออกมา

    ฟุริฮาตะฟังบทสนทนาเหล่านั้นอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะไม่ใช่เรื่องของตน แต่แล้วขณะที่กำลังจะกลับไปที่สตรีทบาสก็...

    เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!!...

    เสียงเหมือนอะไรสักอย่างแตกออกอย่างช้าๆ ทำให้เบอร์สิบสองแห่งทีมเซย์รินหันกลับไปมองและก็เห็นภาพที่ทำให้เจ้าตัวต้องรีบวิ่งหนี...

    ...พื้นดินที่เขาเดินไปเมื่อครูแตกออกและเกิดเป็นหลุมขนาดใหญจนไม่สามารถมองเห็นก้นหลุมได้ เหล่าคนกลุ่มนั้นที่ยืนตรงนั้นเมื่อครู่ต่างร่วงหล่นลงไปในหลุมยักษ์นี้ และที่เขาต้องวิ่งหนีเพราะพื้นดินที่แตกออกนั้นมาแตกไล่หลังเขามาน่ะสิ!!!

    โครม!!!

    ฟุริฮาตะที่พยายามวิ่งหนีแผ่นดินที่แตกไล่หลังมาก็ชนกับอะไรบ้างอย่างเขา แต่เบื้ยงหน้าเขาไม่มีสิ่งใดกีดขวางอยู่นี้นา? แล้วเขาชนอะไร?

    "นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!?" เมื่อฟุริฮาตะลองยืนมือไปยังจุดที่ตนชนอะไรสักอย่างเมื่อครู่ก็ปรากฏว่าเขาออกไปไม่ได้ราวกับมีกระจกขวางกั้นอยู่ "ใครก็ได้...ช่วยด้วย!!!"

    "ฟุริ!!!" เหล่าทีมบาสเซย์รินที่เห็นเหตุการณ์อันไม่น่าเชื่อนี้รีบปีนข้ามรั่วไปหาเพื่อนร่วมทีมตนที่กำลังทุบกำแพงอากาศพยายามที่จะออกมาจากจุดนั้น

    ชาวบ้านและตำรวจทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์ก็ต่างพยายามช่วยให้ฟุริฮาตะออกมา แต่ทุกคนก็ไม่สามารถเข้าไปได้เพราะชนกับกำแพงอากาศกันหมด...เป็นอันว่าคนข้างนอกไม่สามารถเข้าไปได้และคนข้างในก็ไม่สามารถออกมาได้เช่นกัน

    "ช่วยฉันด้วย!!!" ฟุริฮาตะเริ่มน้ำตาแตกเมื่อแผ่นดินที่เขายืนอยู่ตอนนี้เริ่มหลุดร่วงไปสู่เบื้องล่างอันมืดมิด

    "ฟุริ!!! โธ่เว้ย!!! บ้าเอ้ย! นี้มันบ้าอะไรเนี่ย!?!" คางามิพยายามทุบกำแพงที่มองไม่เห็นอย่างบ้าคลั่ง เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในทีมที่พยายามช่วยฟุริฮาตะเต็มที่

    "ช่วยด้วย!!!" ฟุริฮาตะหลุดคำนี้ออกมาเป็นคำสุดท้ายก่อนที่ร่างจะร่วงหล่นสู่หลุมอันดำมืด

    "ฟุริ-----!!!" คางามิถึงกับทรุดลงกับพื้นเมื่อเห็นเพื่อนตนหายไปต่อหน้าต่อตา...โดยที่ตนไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

    เหล่าทีมเซย์รินก็มีสภาพไม่ต่างจากคางามิ ทุกคนต่างช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นและยิ่งซ็อกกว่าเดิมเมื่อ...แผ่นดินที่แตกร้าวเมื่อครุ่นค่อยๆ ลอยขึ้นมาต่อกันดังเดิมและสิ่งที่ราวกำแพงที่ขวางกันเมื่อครู่ได้หายไปเมื่อมีตำรวจนายหนึ่งล้มไปยังจุดที่ไม่สามารถเข้าได้เมื่อครู่...ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมเว้นเพื่อร่างของฟุริฮาตะที่หายไปเท่านั้น (ส่วนตัวปลากรอบไม่มีใครสนใจ // s , เฮ้ๆ ยืมตัวกันมาเล่นบทที่แป๊บเดียวตายเนี่ยนะ? ทำไมไม่เอาคนอื่นมาเล่นฟะ!? ทำไมต้องพวกฉันด้วยเนี่ย!!! แค่ในเรื่องเดิมที่เธอไปยืมมาพวกฉันก็ตายเร็วแล้ว ยังมาให้... // ?? , เอาน่าๆ อย่าบ่นและไปแสดงต่อเลย เดี๋ยวนายมรบทต่ออยู่น่า // s)

    "นี่มันบ้าอะไรกัน..." คางามิที่สมองปรับไม่ทันได้เพียงมองเหตุการณ์วุ่นวายเบื้องหน้าเพียงเท่านั้น

     

     

     

     

     

    ร่างที่ร่วงหล่นสู่เบื้องล่างอย่างไม่รู้จุดสิ้นสุดทำให้ฟุริฮาตะ โคกิกลัวสุดขีด...ก็แหงล่ะ!!! ใครมันอยากอยู่ๆ ก็มาตกหลุมตายฟะ!!! ยิ่งร่วงนานเท่าไหร่ก็ยิ่งเสียวเท่านั้น!!! นี้พอเขาตายแล้วจะมีใครลงมาแงะเขาขึ้นไปไหมวะ!?!

    ยิ่งความกลัวกลัวมากขึ้นเท่าไหร่ความเลอะเทอะในความคิดก็มีมากเท่านั้น แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะคิดอะไรแปลกๆ ออกมาอีก หูก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น...เสียงที่คุ้นหูอย่างน่าประหลาด

    "อย่าไปนะ...ขอร้อง..." เสียงที่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้ที่พอฟังออกว่าเป็นเสียงผู้ชายดังขึ้นมา

    "สัญญาณแล้วนิ...ว่าจะไม่ทิ้งกันไป..." อีกเสียงหนึ่งที่ทุ้มกว่าดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนคนร้องไห้เหมือนเสียงแรก "...ค...อย่า...ไม่!!! ห้ามตายนะ!!!"

    "ได้โปรด...อย่าตายนะ..." เสียงแรกดังขึ้นอีกครั้ง "ได้โปรดฟื้นขึ้นมาเถอะ..."

    "ต่อให้อีกกี่ชาติก็จะตามหาค...ให้เจอให้ได้!!!" เสียงที่สองดังก้องราวกับประกาศให้โลกรู้...เป็นเสียงที่ทรงอำนาจและบ่งบอกว่าคนพูดจะทำจริงตามที่วาจากล่าวไว้

    และเสียงที่ดังก้องในหูของฟุริฮาตะก็หายไปพร้อมกับ...

    โครม!!!

    ...ร่างทั้งร่างร่วงใส่อะไรสักอย่างที่ทำให้จุกยิ่งกว่าจุก

    "โอย~~ นี่มันอะไรกันเนี่ย!?" ฟุริฮาตะเอามือลูบท้องตนเองเพราะเอาท้องลงกระแทกบ้างอย่างเต็มๆ "นี่ฉันยังไม่ตาย!? แล้วที่นี่ที่ไหนเนี่ย!?"

    ฟุริฮาตะมองไปรอบๆ ...ซึ่งห้องนี้มันดูเหมือนจะเป็นห้องเรียน...ดูขนาดโต๊ะเก้าอี้ที่วางเรียงรายน่าจะเป็นโรงเรียนประถมและยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีกเมื่อเหลือบไปเห็นบอร์ที่ติดข่าวสารของโรงเรียนไว้ ตรงมุมบนมันเขียนไว้ว่า 'โรงเรียนประถมฮินามินะ'

    "เอ๋? ชื่อโรงเรียนนี้มัน..." ฟุริฮาตะมองชื่อนี้ซ้ำไปซ้ำมาเพื่อดูว่าตนอ่านผิดหรือเปล่าในเมื่อ...โรงเรียนนี้มันถูกทุบทิ้งไปเมื่อยี่สิบปีก่อน!!!

    ฟุริฮาตะจำได้ดีเมื่อเขาเคยถามแม่เมื่อไม่นานมานี้เพราะไปเห็นข่าวหนังสือพิมพ์เก่าที่มันเขียนว่าโรงเรียนประถมฮินามินะเป็นโรงเรียนดังอะไรสักอย่างนี้แหละ เลยถามว่ามันอยู่ไหนเหรอ? ไม่เห็นเคยได้ยิน...แม่เขาก็บอกไม่รู้เหมือนกันรู้แต่โดนทุบทิ้งไปแล้ว และพอถามต่อว่าเพราะอะไร? แม่เขาก็ตอบว่า...

    ...โรงเรียนประถมแห่งนี้ได้เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในจุดที่ไม่ค่อยมีคนผ่านนัก เหตุสะเทือนขวัญเกิดในวันที่นักเรียนทั้งหลายต่างมาเข้าค่ายที่โรงเรียน ในวันนั้นเท่าที่เขาจำที่แม่เขาเล่าได้ก็คือมีชายคนหนึ่งถือขวานมาในโรงเรียนพร้อมจัดการวางกับดักและปิดทางหนีทุกทางไว้ก่อนที่จะไล่ล่าฆ่าทั้งนักเรียนทั้งอาจารย์ทั้งหมด บ้างส่วนถูกฆาตกรรมฆ่าบ้างถูกกับดักเล่นงานจนตาย...

    ...แต่ด้วยความที่เด็กคนหนึ่งเดินทางมาเข้าค่ายช้ากว่าคนอื่นเนื่องจากติดธุระทางบ้านมาเห็นฉากนี้เข้าพอดีเลยวิ่งไปแจ้งตำรวจ แต่ทางตำรวจก็ไม่ค่อยเชื่อเพราะว่าเห็นว่าเป็นเด็กจนเด็กคนนั้นเริ่มตะโกนบอกถี่ๆ ทำให้ชาวบ้านเริ่มออกมาดูก่อนที่ทั้งตำรวจและชาวบ้านจะให้เด็กคนนั้นพาไปยังจุดที่บอกและ...

    ...ทุกคนที่อยู่ในตอนนั้นแทบลืมหายใจเมื่อเห็นภาพศพของเด็กและผู้ใหญ่จำนวนมากถูกฆ่าอย่างโหดร้าย เมื่อคนร้ายเห็นตำรวจมาก็ฆ่าตัวตายทันทีเป็นอันว่าไม่มีใครทราบสาเหตุที่คนร้ายก่อเหตุเลย...

    ...จากเหตุการณ์นั้นมีคนที่รอดชีวิตนอกจากเด็กคนที่ไปแจ้งความแล้วแค่สองร้อยคนจากนักเรียนและครูทั้งหมดหนึ่งพันคนเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือฟุริฮาตะ โคสุเกะพ่อของเขาที่ไปเป็นครูในตอนนั้นพอและหลังเหตุการณ์นั้นพ่อเขาก็เลิกเป็นครูแล้วมาเป็นพนังงานบริษัทอย่างในปัจจุบันนี้

    "แล้วฉันมาอยู่นี้ได้ไงเนี่ย!? หรือว่าตายแล้วเลยโผล่นี้เนี่ย!?" ฟุริฮาตะเริ่มที่จะสับสนและทันใดนั้น!!!

    โป๊ก!!!

    "โอ๊ย!!!" ฟุริฮาตะกุ้มหัวน้ำตาปริ่มด้วยความเจ็บจากอะไรสักอย่างที่มาเขกหัวตนอย่างไม่ปราณี

    "ได้สติยัง?" เสียงหนึ่งดังขึ้น...ซึ่งเขาจำได้เป็นเสียงของหนึ่งในคนกลุ่มที่ยืนอยู่ตอนที่เขาเดินไปเก็บลูกบาส ฟุริฮาตะเงยหน้ามองและสบนัยน์ตาสีแดงของอีกฝ่าย...

    ...คนเบื้องหน้าเป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขา มีเส้นผมมีดำสนิก ดวงตาสีแดงสด ขอบตาออกคล้ำๆ ราวกับคนอดนอนอยู่ในชุดนักเรียนสีขาวแดง ในมือกอดตุ๊กตากระต่ายเอาไว้แน่นราวกับเป็นของรักของหวง

    "ด...ได้แล้วครับ...อูย~~ เขกมาซะแรงเชียว" ฟุริฮาตะบ่น

    "ก็เห็นนายเหมือนสติแตกแล้ว ก็เลยเขกแรงๆ จะได้สติกลับเข้าร่างไง" เด็กหนุ่มตาสีแดงยักไหล่อย่างไม่ค่อยสนใจ "ว่าแต่...นายรู้หรือเปล่าว่าที่นี้ที่ไหน?"

    "ที่นี่คือโรงเรียนประถมฮินามินะ..." ฟุริฮาตะตอบ

    "ไม่เห็นคุ้นหูเลย..." เด็กหนุ่มคิ้วขมวดอย่างคนพยายามคิด

    "แหงล่ะ ในเมื่อมันถูกทุบทิ้งไปยี่สิบปีแล้ว" ฟุริฮาตะบอก

    "..." เด็กหนุ่มเงียบไป สักพักก่อนที่จะทำท่าเหมือนปลงอะไรสักอย่าง "...สงสัยว่าเราหลุดมาที่มิติทับซ้อนซะแล้วล่ะ"

    "มิติทับซ้อน?" ฟุริฮาตะทวนอย่างงงๆ "มันคืออะไรเหรอ?"

    "อธิบายยากแฮะ...งั้นนายเคยได้ยินเรื่องซาจิโกะแห่งความสุขหรือเปล่า?" เด็กหนุ่มถาม

    ...ซาจิโกะแห่งความสุข? ไอ้ที่ฟุคุดะถามเมื่อตอนกลางวันนั้นนะ?...

    ฟุริฮาตะคิดก่อนที่จะพยักหน้าตอบอีกฝ่าย

    "งั้นนายก็เคยได้ยินเรื่องที่ว่าถ้าทำพิธีผิดพลาดจะโดนลากไปโลกต่างมิติไหม?" เด็กหนุ่มถามต่อ ซึ่งฟุริฮาตะก็พยักหน้าตอบกลับเช่นเดิม "...งั้นอธิบายง่ายๆ คือโลกต่างมิติจากพิธีซาจิโกะแห่งความสุขน่ะคือไอ้มิติทับซ้อนนี้แหละ มันเป็นมิติที่เชื่อมกับสถานที่ที่เคยเกิดเหตุสะเทือกขวัญขึ้นและมีแรงอาฆาตหรือความทุกข์ทรมาณของวิญญาณรวมกันอยู่มาก...ซึ่งก่อนหน้านีตามเรื่องเล่าเป็นโรงเรียนอื่นแต่เพราะรู้สึกว่ามีข่าวที่ว่าปริศนาทางนั้นโดนแก้ไปแล้วเลยเปลี่ยนที่ได้ด้วยมั้ง? ในส่วนนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน..."

    "งั้นแสดงว่าเราต้องแกปริศนาของทางนี้สินะ?" ฟุริฮาตะถามอย่างหมดหวังนิดๆ...ถ้าให้แก้ปริศนาเนี่ย เขาคงไปไม่รอดหรอก!

    "อื้ม ใช่" เด็กหนุ่มตอบ "นายดูรู้เรื่องที่นี่ดีนิ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าเคยเกิดอะไรขึ้นที่นี้"

    "อื้ม..." ฟุริฮาตะตอบก่อนที่จะค่อยๆ เล่าเรื่องที่สมองเขาจำได้ทั้งหมดออกมาให้อีกฝ่ายฟัง

    "ถ้าให้เดา...คงจะต้องหาสาเหตุที่คนร้ายบุกมาล่ะมั้ง?" เด็กหนุ่มคาดการณ์ไว้ "...นายคงติดที่นี้นานพอดูสินะ? ถึงรู้เรื่องขนาดนี้"

    "เปล่าหรอก ที่เล่ามาเนี่ยแม่ฉันเล่าให้ฟัง...อีกอย่างฉันก็ตกมานี้พร้อมพวกนายนั้นแหละ" ฟุริฮาตะมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้ก็มองมาทางตนแบบงงๆ เหมือนกัน

    "ตกมาพร้อมกัน? จะบ้าเหรอ! ในตอนนั้นนอกจากพวกฉันกับพวกรุ่นพี่ไม่มีใครทำพิธีซาจิโกะอีกนี้น่า!?!" เด็กหนุ่มเรียกจะเคลือบแคลงใจกับสิ่งที่ฟุริฮาตะบอก "แล้วนายมาที่นี้ได้ไงเนี่ย!? คงไม่ได้หัวกระแทกพื้นจนจำมั่วหรอกนะ!?!"

    "ฉันไม่ได้หัวกระแทกพื้นสักหน่อย..." ...เพราะท้องลงเต็มๆ "...อีกอย่างฉันไม่ได้ทำพิธีซาจิโกะด้วย ฉันแค่ไปเก็บลูกบาสที่กลิ้งไปแถวกลุ่มพวกนายพอดีแค่นั้นเองและจากนั้นพื้นก็ถล่มลง ฉันพยายามหนีแค่ไหนมันก็ถล่มไล่มาทางฉันท่าเดียวจนฉันตกมาด้วยเนี่ย..."

    "สรุปคือนายซวยติดรากแห่มาด้วย ดูท่าไอ้พิธีนั้นจะคิดว่านายร่วมด้วยมั้ง...เลยพานายมาด้วยเนี่ย..." เด็กหนุ่มตบบ่าฟุริฮาตะเชิงปลอบใจในความซวยของอีกฝ่าย "เอาเถอะ ยังไงตอนนี้หาพวกที่ตกมาด้วยกับทางออกดีกว่า...อ๋อ! จริงสิ! ผมชื่อเอยะนะ แล้วนาย?" (คงรู้แล้วใช่ไหมจ๊ะ ว่ายืมมาจากไหน...ถูกต้องจ้า! เอยะคุงจาก Bookmark of Demise นั้นเองจ้า!!! // s , เลิกเล่นแล้วมาเขียนต่อเลย! จะได้รีบแสดงรีบกลับ! // เอยะ , หุหุ คิดถึงซีตะคุงล่ะสิ // s , เงียบไปเลย! // เอยะ)

    "ฉันฟุริฮาตะ โคกิ..." ฟุริฮาตะตอบ "...ว่าแต่นายคิดที่จะไปไหนก่อนดีล่ะ? หาเพื่อนนายก่อนหรือหาทางออกก่อน?"

    "แล้วนายคิดว่าควรเอาอย่างไหนก่อนล่ะ?" แทนที่จะตอบคำถาม เอยะกลับถามกลับซะงั้น

    "ฉันว่าควรหาคนอื่นๆ ก่อนดีกว่า..." ฟุริฮาตะตอบ

    "งั้นก็เอาตามนั้นแหละ" เอยะว่าพลางเดินออกจากห้องไปโดยมีฟุริฮาตะเดินตามหลังมา

    บรรยากาศที่มืดอึมครึมและเศษซากต่างๆ ของสิ่งของมากมายเพิ่มความหลอนให้แก่สถานที่แห่งนี้ เอยะกับฟุริฮาตะเดินกันไปเรื่อยๆ ตามทางเดินแบบไม่มีไฟฉาย เสียงเอี๊ยดอ๊าดของพื้นยิ่งเพิ่มความหลอนได้มากขึ้นไปอีก

    "นายช่วยเลิกเกาะไหล่ผมได้ไหม? มันเดินลำบากนะ..." เอนะพูดกับคนที่ตอนนี้กลายร่างเป็นชิวาว่าตื่นกลัวที่ตัวสั่นและเอามือมาเกาะไหล่ตนอยู่

    "ท...โทษที..." ฟุริฮาตะปล่อยมือจากไหล่อีกฝ่ายเปลี่ยนมาจับชายเสื้อแทน

    "..." เอยะทำได้เพียงนึกปลงนิดๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ สถานการณ์แบบนี้ไม่สติแตกไปก่อนถือว่าบุญแล้ว ยิ่งบรรยากาศให้อีก

    "อ...เอยะๆๆ" ฟุริฮาตะสะกิดปานเขย่าคนข้างหน้า

    "มีอะไร?" เอยะถามกลับก่อนที่จะเวียนหัวตายเพราะถูกเขย่าปานอะไรดี!

    "น...นั่น!" ฟุริฮาตะชี้ไปยังเบื้องหลังตน เอยะก็หันมามองคนที่ดูท่าทางกลัวมากก่อนที่จะเริ่มสมองหยุดทำงานกับภาพที่เห็น...

    ...ภาพที่เห็นคือเด็กและผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งที่มีทั้งหัวขาด ไส้ทะลัก แขนขาด ขาขาด กระโหลกยุบ และอีกสารพัดเกินที่จะบรรยายออกมาได้กำลังเดินมาหาตน

    "วิ่ง!!!" เอยะรีบลากฟุริฮาตะออกวิ่งทันทีกับการที่เห็นพวกไม่ใช่คนมาหาตน พอวิ่งมาได้สักพักฟุริฮาตะก็มาวิ่งนำแทนพร้อมแบกเอยะที่หมดแรงมาแอบในห้องๆ หนึ่งที่ตนเห็นเข้ามาในสายตาพอดี

    "น...นี่มัน...บ...บ้าอะไรเนี่ย?" ฟุริฮาตะวางเอยะลงกับพื้น ก่อนที่ตนจะนั่งหอบกับพื้นเช่นกัน

    "ม...ไม่รู้" เอยะที่หายหอบนานแล้วเพราะถูกแบกมาแอบมองข้างนอกผ่านรูเล็กๆ ที่ผนัง "รู้แต่ว่า...มันไปแล้ว"

    "ล...แล้วเราเอาไงต่อดี?" ฟุริฮาตะเริ่มอยากร้องไห้แล้วสิ...ฮือ เขาอยากกลับบ้าน!!! ให้ตายเถอะ! ทำไมเขาต้องมาอยู่ในที่น่ากลัวแบบนี้ด้วยเนี่ย!

    "ก็คงต้อง...เฮ้ย!" ระหว่างที่เอยะพูดอยู่ก็มีมือใสๆ เล็กๆ จำนวนมากเอาจับตัวของตนและลากไปที่ใต้โต๊ะตัวใหญ่

    "เอยะ!" ฟุริฮาตะเข้าไปช่วยและพยายามดึงเอยะออกมาเสียแต่กลับโดนมือใสๆ เหล่านั้นลากไปใต้โต๊ะเหมือนกัน

    เอยะกับฟุริฮาตะดิ้นขลุกๆ อยู่ใต้โต๊ะ มือใสๆ นั้นทั้งจับตัวให้พวกเขาอยู่นิ่งๆ และปิดปากพวกเขาไว้ไม่ให้ส่งเสียง

    แลเในขณะนั่นเอง...เอยะกับฟุริฮาตะก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักและเสียงลากของหนักเดินเข้ามาในห้อง เด็กหนุ่มทั้งสองเห็นรองเท้าสีดำเปื้อนสีแดงเข้มเดินผ่านพร้อมกับของที่เจ้าของรองเท้าลากมาที่ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองแทบหยุดหายใจเมื่อสิ่งนั้นคือ...

    ...ศพ!!! ศพของเด็กหนุ่มที่ฟุริฮาตะจำได้ว่าอยู่ในกลุ่มที่เอยะอยู่ สภาพศพมีรอยโดนขวานฟันทั่วร่างจนร่างทั้งร่างแทบหลุดเป็นชิ้นๆ หัวที่ห้อยต่องแต่งส่วนใบหน้าหันมาทางพวกเขาพอดีราวกับแกล้งกัน นัยน์ไร้ชีวิตเบิกกว้างมาที่พวกเขา...ทำให้อยากเป็นลมตอนนี้จริงๆ เสียแต่กลัวว่าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกน่ะสิ!!!

    เสียงฝีเท้าพร้อมเสียงลากศพค่อยๆ ดังห่างออกไป...นานพอสมควรเมื่อไม่ได้ยินแม้แต่เสียงสะท้อนของฝีเท้านั้น เหล่ามือใสๆ นั้นก็ปล่อยฟุริฮาตะกับเอยะให้เป็นอิสระ...เท่านั้นแหละทั้งคู่ต่างถอยกรูออกห่างก่อนที่จะมองเหล่ามือใสๆ ที่ช่วยตนไว้ซึ่งก็คือเหล่าวิญญาณที่ตนวิ่งหนีเมื่อครู่นั้นเอง

    'ไม่เป็นไรกันนะ?' เสียงที่ออกมาทางไหนไม่รู้จากร่างไร้หัวเอ่ยถามออกมา

    "ค...ครับ ไม่เป็นไรครับ..." ฟุริฮาตะกอดเอยะแน่นตัวสั่นอย่างหวาดกลัวกับสิ่งที่ไม่ใช่คนที่สภาพชวนให้สติหลุดโดยแท้

    "พ...พวกคุณที่ตามมาเพราะ...จ...จะช่วยพวกผมเหรอครับ?" เอยะที่ตัวสั่นไม่ต่างกันเอ่ยถามออกมา

    'ใช่...พวกเรามาช่วยน่ะ' วิญญาณเด็กหญิงที่สภาพดีที่สุดที่แค่ตาหายไปข้างหนึ่งกับมีรอยมือที่คอเอ่ยออกมา 'พวกพี่ชาย...รีบหนีเถอะ พวกเราเบือนความสนใจของลุงคนนั้นไว้ได้ไม่นานหรอก'

    "ค...คนคนนั้นจะฆ่าเราเหรอ?" ฟุริฮาตะถามก่อนที่จะแทบกริ๊ด (?) เมื่อวิญญาณเด็กชายที่ไส้ทะลักยืนหน้าเข้ามาใกล้

    'ใช่ เพราะลุงคนนั้นเป็นคนฆ่าพวกเรา!' เด็กชายตอบพร้อมส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยเลือดให้

    "แล้ว...จะให้พวกพี่หนียังไงดีล่ะ?" เอยะกลั้นใจถามพลางมองฟุริฮาตะที่สติใกล้หลุดกับผีเด็กชายที่ยิ้มอยู่...ถ้าจะยิ้มแบบนี้อย่ายิ้มดีกว่า!!!

    'ไม่รู้!!!' นี้คือเสียงประสานจากเหล่าผี 'ขนานตอนนี้ยังไปเกิดไม่ได้เพราะลุงคนนั้นเลย!!!'

    "หมายความว่าไงกัน?" เอยะไม่เข้าใจในสิ่งที่เหล่าผีพูดออกมา

    'หมายความว่า...ถ้าลุงเขายังอยู่เราก็ไปเกิดไม่ได้เพราะต้องโดนลุงนั้นไล่ฆ่าซ้ำๆ อยู่ทุกวัน...' ผีเด็กหญิงที่หัวหายไปข้างตอบ

    "ป...แปลกว่า ถ้าคนคนนั้นไม่ถูกฆ่าอีกรอบก็ต้องให้เขายอมไปเองเหรอ?" ฟุริฮาตะกดความกลัวของตนลง

    'ใช่ครับ / ค่ะ' ผีทั้งหลายตอบ

    "แล้ว...เอาไงต่อดีล่ะทีนี้" เอยะถามฟุริฮาตะที่เกาะตนราวกับเป็นปลิดกลับชาติมาเกิด

    "ฉันไม่รู้..." ฟุริฮาตะตอบ...ในตอนนี้สมองเขาคิดอะไรไม่ออกแล้ว

    "งั้นก็..." เสียงอันไม่คุ้นเคยดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มทั้งสอง รวมทั้งผีทั้งหลายหันไปมองยังต้นเสียง และก็พบกับร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถือขวานไว้ในมือ!!! "...มาตายซะให้หมดเถอะ!!!"

    "แว๊ด!!!" เอยะรีบลากฟุริฮาตะวิ่งหนีโดยมีเหล่าผีลอยตามมาอย่างกลัวคนถือขวานเช่นกัน เอยะกับฟุริฮาตะวิ่งไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย

    แต่แล้วการวิ่งอย่างไร้จุดหมายก็จบลงเมื่อวิ่งมาถึงจุดจุดหนึ่งพื้นไม้ที่เก่าก็รับแรงจากการวิ่งของเด็กหนุ่มทั้งสองไม่ไหวพังลงทลายลงในทันใด

    "เหวอ!!!" เด็กหนุ่มทั้งสองหลุดร้องเสียงหลงเมื่อตกลงจากที่สูง ก่อนที่จะชักกระแด๊วๆ เมื่อลงถึงพื้น

    เหล่าผีน้อย (ผีเด็ก) กับผีใหญ่ (ผีครู) เมื่อเห็นดังนั้นจึงเอานิ้วจิ้มๆ ทั้งสองดูว่าตายเป็นเพื่อนตนยัง (ฟังดูดีมาก...)

    "อูย~ เจ็บชิบ" เอยะลุกขึ้นมาได้เป็นคนแรกบ่นอุบอิบ

    "อ...อ๋อย~~ ท้องลงเป็นรอบที่สองแล้วนะ~~" ฟุริฮาตะค่อยๆ ลุกขึ้นมาอีกคน เป็นอันว่ารอดจากการตกจากที่สูงทั้งคู่

    "นี้มันที่ไหนอีกเนี่ย?" เอยะมองไปรอบๆ มีโต๊ะมีแฟ้ม และมีตู้เอกสาร...อื้ม เดาได้ไม่ยากเลยว่าที่นี่คือ... "...ตกมาที่ห้องพักครูพอดีแฮะ"

    "ก่อนจะคิดว่าเป็นห้องอะไรเรามาหาทางหนีจากคนที่ถือขวานเมื่อกี้ดีกว่านะ...แล้วอะไรกลมๆ เนี่ย?" ฟุริฮาตะบ่นเล็กน้อย ก่อนที่จะรู้สึกว่ามือตนไปโดนอะไรกลมๆ เข้า และเมื่อหันไปมอง...ก็แทบจะกริ๊ด (?) สลบเลยทีเดียวเมื่อที่มือตนจับโดนนั้นมันคือ... "ห...หัวคน!"

    "ร...รุ่นพี่..." เอยะที่ตอนนี้โดนฟุริฮาตะที่ตกใจสุดขีดมาโดดกอดอยู่ มองศีรษะของเด็กสาวที่เป็นรุ่นพี่ตน...แบบนี้คนอื่นๆ จะยังรอดไหมเนี่ย!? "...ร...เรารีบออกจากที่นี้เถอะ..."

    "เห็นด้วยอย่างยิ่ง..." ฟุริฮาตะตอบรับ ก่อนที่จะปล่อยจากเอยะที่ตีแขนตนเบาๆ เป็นเชิงว่าให้ปล่อย

    ขณะที่เอยะกำลังจะเดินออกจากห้องพร้อมกับฟุริฮาตะ ดวงตาสีแดงก็เห็นเงาไหววูบจากด้านหลังตนจึงหันกลับไปมอง ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพของชายที่พวกตนหนีมากำลังเงื้องขวานขึ้นกมายเล่นงานพวกเขาอยู่!

    "หลบเร็ว!" ไวเท่าความคิด เอยะรีบผลักฟุริฮาตะออกไปเมื่อชายตรงหน้าเอาขวานจามลงมาที่ฟุริฮาตะ!

    "โอ้ย!" ฟุริฮาตะร้องออกมาเล็กน้อยจากการถูกผลักก่อนที่จะรีบลุกขึ้นเพื่อวิ่งหนี เมื่อเห็นชายที่ถือขวานวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง! แต่ชายหนุ่มเตะสกัดขาฟุริฮาตะจนล้มลงและจับฟุริฮาตะกดกับพื้นเพื่อไม่ให้หนี

    ...เหล่าผีทั้งหลายก็ไม่กล้าเข้ามาช่วยเพราะความกลัวตกค้างจากการถูกฆ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้หน้าที่คนช่วยต้องตกเป็นของเอยะไป

    "ไอ้เจ้าบ้าเอ้ย!!!" เอยะโยนตุ๊กตาที่ตนอุ้มมาตลอดให้เหล่าผีช่วยถือไว้และหยิบเก้าอี้มาฟาดชายหนุ่มจนขวานลอยละลิ้วจนตกไปไกล แต่ทั้งที่โดนฟาดอย่างแรงชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกรู้สาแถมยังคว้าหมับที่ลำคอของฟุริฮาตะและออกแรงบีบ!!! "ปล่อยฟุริฮาตะนะโว้ย!!! เจ้าบ้า!!!"

    เอยะฟาดชายหนุ่มไปอีกหลายครั้งจนชายหนุ่มเริ่มรำคาญจึงใช้มือข้างหนึ่งชกเอยะอย่างแรงจนร่างทั้งร่างของเอยะกระเด็นไปให้เหล่าผีน้อยทั้งหลายต้องช่วยรับไว้

    "เอยะ!!!" ฟุริฮาตะมองร่างที่ลอยไปนอนแน่นิ่งกลางวงเหล่าผีน้อย

    "อึก! โธ่เว้ย!" เอยะสถบออกมาอย่างเจ็บใจที่ตอนนี้ไม่สามารถขยับตัวไปช่วยอีกฝ่ายได้ด้วยความปวดร้าวไปทั้งกาย...

    ...ให้ตายเถอะ! มันกินอะไรมาฟะ! แรงเยอะอย่างกับค_าย!...

    "ท...ทำแบบนี้ทำไม..." ฟุริฮาตะเอ่ยพลางพยายามแกะมือที่กำคอตนอยู่ออก

    "หึ จะตายอยู่แล้วยังถามอีก..." ชายหนุ่มแสยะยิ้ม "...แต่เอาเถอะ บอกหน่อยจะเป็นไรไป...ที่ฉันทำไปเพราะมันสนุกไง"

    "สนุกเนี่ยนะ!?" ...เห็นชีวิตคนเป็นอะไรฟะ!

    "ใช่น่ะสิ! ที่จริงถ้าไม่ติดเจ้าบ้านั้นฉันคงฆ่าทั้งหมดได้ตามแผนที่วางไว้แท้ๆ! ไม่ว่าอะไรที่เจ้านั้นทำก็ทำให้หงุดหงิดไปซะหมด! จนอยากทำลายทุกอย่างที่อยู่ใกล้มันไปด้วยกันซะ! แต่กลับล้มเหลวเพราะมัน!!! ยิ่งเห็นหน้าแกยิ่งนึกถึงเจ้านั้น!" ชายหนุ่มเอ่ยราวกับคนเสียสติ "โชคร้ายหน่อยนะที่หน้าคล้ายเจ้านั้น ถ้าจะโทษก็โทษตัวเองเถอะ อ๋อ...และแกก็จำชื่อเจ้านั้นที่ทำให้แกตายเป็นของขวัญจากฉันแล้วกันนะ หมอนั่นมันชื่อฟุริฮาตะ โคสุเกะไงล่ะ!!!"

    ฟุริฮาตะเบิกตากว้างอย่างคิดไม่ถึงว่าคนที่ชายหนุ่มแค้นจะเป็นพ่อของตนเอง! แต่ก็ไม่มีเวลาตกใจมากนักเพราะแรงบีบที่คอเริ่มมากขึ้นและเขาเริ่มที่จะหายใจไม่ออกแล้ว เด็กหนุ่มพยายามดิ้นขัดขืน มือไม้เท้าเท้วหรืออะไรก็ตามที่ใช้ได้พยายามดันคนที่หมายพรากชีวิตตนออกไปแต่ดูเหมือนไม่เป็นผลเมื่อร่างของชายหนุ่มไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น

    ช่วงระหว่างความเป็นกับความตายฟุริฮาตะ โคกิก็ได้เห็นภาพหนึ่งลอยเข้ามาในหัว...เป็นภาพเด็กหนุ่มสองคนที่เขาไม่รู้จักแต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยมากอย่างน่าประหลาด...

    ...เด็กหนุ่มคนหนึ่งมีเรือนผมสีแดงสด นัยน์ตาสองสีดูทรงอำนาจ ตาข้างหนึ่งเป็นสีแดงเฉดเช่นเดียวกับเรือนผมส่วนอีกข้างสีอ่อนกว่าส่องประกายจนดูราวกับอำพัน ที่แปลกคือเด็กหนุ่มผมแดงคนนี้มีหูจิ้งจอกปรากฏขึ้นบนหัวและมีหางจิ้งจอกโผล่มาอีกเก้าหาง ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนตัวเล็กกว่าหน่อยนึงมีผมสีฟ้าเช่นเดียวกับนัยน์ตาที่นิ่งเฉย บนหัวก็มีสิ่งที่ไม่ควรมีเหมือนคนผมแดงเพียงแต่คนนี้เป็นหูแมวเท่านั้น ส่วนหางก็เป็นหางแมวสองหาง ทั้งสองต่างใส่ชุดยูคาตะสีเข้ม...

    ...ในภาพที่ฟุริฮาตะเห็นคือเด็กหนุ่มทั้งสองกำลังยิ้มให้เขา และเอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่เหมือนกับเสียงที่เขาได้ยินตอนที่ตกลงมาที่นี้อย่างอ่อนโยน...และความรู้สึกยินดีที่ได้พบและความรู้สึกคิดถึงก็บัดเกิดในจิตใจอย่างไม่ทราบที่มา

    "อ...อาคาชิ...ค...คุโรโกะ..." ฟุริฮาตะเอ่ยชื่อที่ไม่รู้จักออกมาราวกับละเมออยู่ และในทันใดนั้นก็มีแสงประกายไฟราวฟ้าผ่าสว่างขึ้น...

    โครม!!!

    แรงบีบที่คอของฟุริฮาตะหายไปพร้อมกับเสียงอะไรสักอย่างกระเด็นไปเสียงดังพร้อมแรงสั่นปานพื้นจะถล่ม ฟุริฮาตะค่อยๆ ดันตัวขึ้นลุกและก็ได้เห็น...คนที่โผล่เข้ามาในความคิดตนเมื่อครู่

    "โคกิ! / โคกิคุง!" ทั้งสองคนที่มีหูหางสัตว์โผล่มาจากร่างรีบตะคุบตัวฟุริฮาตะไว้ "ไม่เป็นอะไรนะ!? / ครับ!?"

    "เอ่อ...ไม่เป็นไร..." ฟุริฮาตะตอบอย่างเอ๋อกินเมื่อจู่สองคนนี้ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ที่โผล่มาตะคุบเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงสุดแสน

    "...ค่อยยังชั่ว" ทั้งสองค่อยๆ คลายความลังวลลง แต่ก็คลายได้ไม่นานเมื่อเสียงตะโกนกร้าวที่ฟังแล้วอยากเอาเจ้าของเสียงไปหาหมอเซ็ตเส้นเสียงดูสักทีดังขึ้น

    "พวกแกเป็นใครวะ!!! กล้าดียังไงมาขวางฉัน!!!"

    "ข้าไม่จำเป็นบอกเจ้าหรอก..." เด็กหนุ่มผมสีแดงเอ่ยพร้อมหันไปประจัษย์หน้ากับคนคลั่ง "...รู้เพียงว่าข้าจะเป็นคนกำจัดเจ้าเองก็พอ"

    "หึ! น้ำหน้าอย่างแกคิดว่าจะทำอะไรฉันได้เหรอ!?" ชายหนุ่มแสยะยิ้ม ในขณะนั้นเองก็มีตัวอักษรแปลกๆ ปรากฏขึ้นรอบตัวๆ ชายหนุ่มและเพียงไม่นานหลังจากนั้นก็มีสัตว์กลุ่มใหญ่ที่ดูเหมือนวัวแต่ตัวใหญ่กว่ามาก ยืนสองแถมยังถืออาวุธไว้ในมืออีก

    "เป็นวิญญาณที่อาฆาตถึงขนาดเรียกปีศาจออกมาได้เลยแฮะ..." เด็กหนุ่มผมสีแดงมองภาพกองทัพปีศาจวัวตรงหน้าอย่างสนใจ "...ค่อยน่าเล่นด้วยหน่อย"

    "ช่วยกรุณาอย่าเพิ่งเล่นเลยครับ...อย่าลืมสิครับ ว่าคนคนนั้นต้องการสังหารโคกิคุงอยู่นะครับ อาคาชิคุง" เด็กหนุ่มผมฟ้ายืนบังตัวฟุริฮาตะไว้ราวกับกันภัยที่จะมาเยือนได้ทุกเมื่อ

    "ข้าไม่ได้จะเล่นจริงๆ เสียหน่อยเท็ตสึยะ...ข้าก็ไม่ต้องการให้โคกิต้องบาดเจ็บเหมือนกันนั้นแหละ" อาคาชิตอบพร้อมพุ่งไปลุยเน้นๆ กับกองทัพวัว

    "นั้นสินะครับ...พวกเราต่างไม่อยากได้รับสูญเสียอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว..." เด็กหนุ่มผมฟ้าเอาหางฟาดวัวตัวหนึ่งที่วิ่งเข้าหาจนกระเด็น "...แบบนี้ควรจัดการให้เร็วที่สุดสินะครับ?"

    "ตามนั้น" อาคาชิพร้อมเอาหางทั้งเก้าฟาดเหล่าวัวทั้งหลายให้กลายเป็นวัวบดพร้อมเอามาผัดกินพอดี~~~ (นอกเรื่องล่ะ)

    "คิดจะหยุดฉันมันเร็วไปล้านปีเฟ้ย!!!" ชายหนุ่มทำการเรียกตัวประหลาดมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโครงกระดูกเดินได้ หมาสามหัว ไคมีร่า และอื่นๆ อีกมากมายจนขี้เกียจอธิบาย

    "รู้สึกว่าคนคนนี้มีแรงอาฆาตเยอะมากเลยนะครับ ถึงเรียกพวกปีศาจออกมาได้มากขนาดนี้..." เด็กหนุ่มผมฟ้าเริ่มเหงื่อตกเมื่อเห็นปริมาณสิ่งที่ตนต้องสู้ด้วย

    "นั้นสินะ...แบบนี้ยิ่งปล่อยไป 'อีกครั้ง' ไม่ได้ใหญ่เลย" อาคาชิแค่นเสียง ก่อนที่จะไปลุยต่อ "เท็ตสึยะพยายามเก็บให้หมดล่ะ!!!"

    "คุณก็รู้ว่าข้าเป็นสายบุ๋นยังมาให้ไล่เก็บพวกนี้ให้หมดอีกนะครับ!!!" เด็กหนุ่มผมฟ้าพยายามต้านพวกปีศาจอย่างยากลำบาก...จะเก็บหมดยังไงเนี่ย!?! นี่ถ้าให้ลอบโจมตีพวกนี้เขาจะไม่ว่าเลยสักนิด!!! "ข้าว่าเก็บตัวคนเรียกเลยง่ายกว่านะครับ"

    "ปัญหาคือไอ้ปีศาจพวกนี้มันกรูเข้ามาจนไม่มีช่องว่างให้เข้าหาเจ้าบ้านั้นน่ะสิ!" อาคาชิพูดอย่างอารมณ์เสียก่อนที่จะลงอารมณ์ทั้งหมดกับปีศาจที่อยู่ใกล้ๆ ตน

    ฟุริฮาตะ เอยะ และเหล่าผีน้อยใหญ่ทั้งหลายมองฉากการต่อสู้อย่างอึ้งๆ กับภาพที่ดูเหนือความจริงไปหน่อย ยังกะหนังไซไฟงั้นแหละ...ถ้านี้ไม่รู้สึกเจ็บจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็คงทำใจเชื่อไม่ลงจริงๆ

    "เอยะ!!!" ระหว่างที่การต่อสู้อย่างเมามันส์ฟุริฮาตะก็เห็นชายหนุ่มตัวต้นเรื่องพุ่งเข้าไปหาเอยะที่ยังคงขยับได้ไม่เต็มที่นักพร้อมกับขวานในมือ! ฟุริฮาตะไม่รอช้ารีบวิ่งไปหาเอยะทันที

    "โคกิคุง!!! ไปทางนั้นไม่ได้นะ!!!" เด็กหนุ่มผมฟ้าพยายามวิ่งตามเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลไปติดแน่ว่าโดนเหล่าปีศาจมากสายพันธุ์มาล้อมไว้เสียก่อน "บ้าจริง!!!"

    เอยะที่พยายามลุกขึ้นยืนอย่างฝืนสังขารเต็มทีเบิกตากว้างเมื่อเห็นชายหนุ่มถือขวานวิ่งมาทางตน...และตัวเขารู้ดีว่าในสภาพนี้ไม่มีทางหลบพ้นแน่! เหล่าผีน้อยใหญ่ก็พากันมุดกำแพงหนีอย่างว่องไวพร้อมทิ้งตุ๊กตากระต่ายของเขาลงมาบนหัวเขาเป็นของดูต่างหน้าอีก...

    "เหวอ!!!" เอยะหลุดเสียงร้องออกมาเมื่อถูกฟุริฮาตะที่วิ่งเข้าชนจนล้มกลิ้งไปทั้งคู่ ทำให้หลบขวานที่ฟาดฟันลงมาได้อย่างฉิวเฉียด แต่ด้วยการที่หลบเมื่อกี้ทำให้หัวของฟุริฮาตะเผลอไปกระแทกกำแพงอย่างแรงจนสลบไป (ซวยดิ) "เฮ้ย! ฟุริฮาตะ! ไม่เป็นไรนะ!? ตื่นสิ! ตื่น!"

    "พวกแกต้องตาย!" ชายหนุ่มหันมาทางเอยะกับฟุริฮาตะอย่างช้าๆ ราวกับซอมบี้ในหนังสักเรื่องและพุ่งมาหาเด็กหนุ่มทั้งสอง เอยะจึงตัดสินใจบ้างอย่าง...

    ฉึก!

    ร่างที่ถือขวานพร้อมจามลงมานิ่งงั่น ก่อนที่จะปล่อยขวานให้ร่วงหล่นกับพื้นพร้อมร่างค่อยทรุดลงไปแน่นิ่งกับพื้น...ร่างที่เป็นชายหนุ่มค่อยๆ กลายเป็นขี้เถ้าและลอยหายไปกับสายลม เช่นเดียวกับเหล่าปีศาจที่เมื่อผู้เรียกหายไปก็ต้องถูกดึงกลับโลกของตนเอง

    เด็กหนุ่มผู้มีหูแมวกับผู้มีหูจิ้งจอกเมื่อเห็นว่าปีศาจทั้งหลายกลับไปยังที่ควรอยู่หมดแล้วก็หันไปมองยังเอยะที่บัดนี้ยืนตัวสั่น โดยที่ในมือมีกรรไกรเปื้อนเลือดสีดำอยู่ บนกรรไกรนั้นมีตัวอักษรที่คล้ายกับยันษ์วาดไว้

    เอยะค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง เมื่อตนนั้นได้ฆ่าคน ไม่สิ ผีอาฆาตด้วยมือของตนเอง...ก่อนที่จะสะดุ้งเฮือกเมื่อนัยน์ตาสองคู่มองมาทางตน ถึงจะรู้สึกเหมือนว่าสองคนนี้ไม่น่าจะมาทำร้ายพวกเขาแต่ในสถานที่ที่อะไรบ้าๆ เกิดขึ้นได้เสมอแบบนี้มันเอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก แต่เด็กหนุ่มผมแดงกับผมฟ้าไม่สนใจเอยะพุ่งเข้าหาฟุริฮาตะทันที พร้อมกับสำรวจว่าเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเป็นไรไหม

    "ดูเหมือนจะแค่สลบไปนะครับ อาคาชิคุง" เด็กหนุ่มผมสีฟ้าถอนหายใจอย่างโล่งอก หางทั้งสองกระดิกไปมาตามอารมณ์ของเจ้าของ

    "อื้ม นอกจากแผลถลอกก็ไม่มีบาดแผลอื่นสินะ" อาคาชิเอาร่างที่สลบอยู่มานอนบนตักตน

    "เอ่อ...ขอโทษนะ..." เอยะที่ถูกเมินเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ กับสองคนที่เมินเขาไปเสียสนิก

    "มีอะไร? / ครับ?" เด็กหนุ่มผู้มีหูสัตว์ทั้งสองถามออกมาพร้อมกัน เล่นซะเอยะสะดุ้งโหยง

    "คือ...พวกนายเป็นใครกัน? แล้วโผล่มาที่นี่ได้ไง? ทำไมดูเหมือนรู้จักฟุริฮาตะด้วย..." เอยะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับดวงตาสองคู่ที่มองมาที่ตนชอบกล

    "ก่อนถามอะไรคนอื่นหัดแนะนำตัวเองก่อนสิ..." ดวงตาสองสีที่จ้องมาทำให้เอยะชักอยากมุดพื้นหรือมุดกำแพงหนีได้แบบพวกผีชอบกล

    "อาคาชิคุง อย่าไปแกล้งเขาสิครับ..." คนผมฟ้าดุคนผมแดง "...ข้าชื่อคุโรโกะ เท็ตสึยะ ส่วนคนผมแดงข้างๆ นี้ชื่ออาคาชิ เซย์จูโร่ครับ...แล้วคุณ?"

    "ผ...ผมอ...เอยะ..." เอยะตอบเสียงสั่นจนแทบกลายเป็นคนติดอ่าง แขนทั้งสองกอดตุ๊กตากระต่ายแน่น ในมือยังคงถือกรรไกรเปื้อนเลือดไว้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิกจะได้พอป้องกันตัวเองได้บ้างสักนิด

    "ยินดีที่ได้รู้จักครับเอยะคุง..." คุโรโกะยิ้มให้เอยะหวังคลายความกลัวที่เกิดจากการแกล้งของเพื่อนตนลง "...ส่วนที่ถามว่าพวกผมเป็นใครนั้น...คงตอบได้แค่ว่าผมเป็นเนโกะมาตะ (ปีศาจแมวสองหาง) และอาคาชิคุณเป็นจิ้งจอกเก้าหางครับ ส่วนที่คุณถามว่ามาไงคงบอกได้แค่ว่าพวกผมมาตามเสียงเรียกขอโคกิคุงครับ"

    "เสียงเรียก?" เอยะทวน...ถ้าจำไม่ผิดฟุริฮาตะก็เรียกชื่อสองคนนี้จริงๆ แต่ตอนที่สองคนนี้โผล่มาเนี่ยฟุริฮาตะก็ดูเหมือนจะไม่รู้จักนี้นา (หน้ามันฟ้อง) แล้วเผลอเรียกออกมาได้ไงหว่า?

    "ครับ...ว่าง่ายๆ คือเป็นพันธะที่เมื่อกาลก่อนผมกับอาคาชิคุงเคยขอ (บังคับ) ทำไว้กับโคกิคุง เผื่อมีเรื่องอะไรโคกิคุงเรียกจะได้ไปหาง่ายๆ ไงครับ เพราะโคกิคุงเป็นพวกใจดีเกินเหตุจนเรื่องวิ่งเข้าบ่อยๆ" คุโรโกะพูดยิ้มๆ ขณะที่เอยะรู้สึกเห็นด้วยกับที่คุโรโกะบอกเลยล่ะ ว่าฟุริฮาตะเป็นพวกเรื่องวิ่งเข้าหาจริงๆ ไม่งั้นคงไม่ซวยติดร่างแห่มานี้ด้วยหรอก...ว่าแต่สองคนนี้ไปขอทำพันธะอะไรนั้นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เนี่ยนะ?

    "แล้วที่เจ้าถามว่าทำไมพวกข้าดูเหมือนรู้จักโคกินั้น...ถ้าให้อธิบายง่ายๆ ก็คือมีชาติก่อนโคกิเป็นเพื่อนสนิกของพวกข้าแล้วกัน" อาคาชิตอบต่อจากเพื่อนตน ซึ่งไขในข้อที่เอยะสงสัยพอดี...มิน่าล่ะเจ้าตัวถึงไม่รู้ เพราะมันเป็นเรื่องเมื่อชาติก่อนนู้น! "ตอนนี้พวกข้าตอบคำถามเจ้าแล้ว...งั้นคราวนี้ข้าขอถามเจ้ากลับบ้างล่ะ"

    "ค...ครับ" เอยะตอบเสียงเบาและหลบตาอีกฝ่ายอย่างขลาดกลัวเมื่อโดนจิ้งจอก (เก้าหาง) จ้อง...ให้ตายเถอะ! รู้งี้ตอนไอ้พวกรุ่นพี่บ้านั้นลากมาให้ช่วยทำพิธีซาจิโกะแห่งความสุขเนี่ย เขาโดดหนีลงจากชั้นสามดีกว่า!!!

    "กรรไกรในมือเจ้า...อักษรที่วาดอยู่บนนั้นมันอะไรกัน?" อาคาชิมองกรรไกรสีดำในมือของเองยะ

    "ค...คือเป็นพวกอักขระที่ใช้สำหรับพวกหมอผีน...น่ะครับ" เอยะตอบอย่างอยากเป็นลมซะเดี๋ยวนี้กับความสยองของคนนัยน์ตาสองสี

    "อักขระหมอผี? แสดงว่าไอ้ที่วิญญาณอาฆาตตนนั้นสลายไปก็คือโดนชำระวิญญาณและส่งไปเกิดใหม่อีกรอบงั้นเหรอ?" สายตาของอาคาชิแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนยิ่ง

    "เปล่าครับ..." เอยะส่ายหน้า "...ไอ้นั้นมันสำหรับพวกนักบวชกับหมอผีชั้นสูงครับ ไอ้มือสมัครเล่นอย่างผมทำได้แค่ไล่เท่านั้น แต่นี้ผมเขียนอักขระแบบโปรแถมยังเขียนผิด (เพราะโดนเร่ง) เป็นแบบที่มีพลังทำลายล้างวิญญาณเต็มๆ ...ก็เลยมีผลเป็นทำลายวิญญาณแทนน่ะ..."

    "แสดงว่าวิญญาณดวงนั้นโดนทำลายไปเลยหรือครับ?" คุโรโกะถาม

    "ช...ใช่..." เอยะกลืนน้ำลายอย่างฟืนคอ...หวังว่าเขาไม่โดนสองคนนี้ถีบโทษฐานทำเกินกว่าเหตุหรอกนะ!

    "ดีมาก..." ผลที่ออกมาตรงข้ามกับที่เอยะคิด ตอนแรกคิดว่าอาคาชิจะโกธรเสียอีก...ที่ไหนได้ยิ้มออกมาอย่างพอใจสุดๆ เลยนี่หว่า!

    "คุณช่วยไม่ต้องให้พวกผมไม่ต้องลงมือเองเลยนะครับ...ดีจัง คิดอยูเลยว่าจะลงมือยังไงไม่ให้โคกิคุงงอนเอาน่ะ..." คุโรโกะยิ้มออกมา หางทั้งสองกระดิกไปมาอย่างสบายอารมณ์

    "เอ่อ...พูดเหมือนว่ารู้จักตาลุงนั้นอยู่แล้วเลย..." เอยะอึ้งเลยน้อยกับปฏิกิริยาที่ได้รับจากเด็กหนุ่มผู้ไม่ใช่มนุษย์และผีทั้งสอง

    "จะว่ารู้ก็ได้...แต่คนอย่างมันไม่อยากรู้จักสักนิด" อาคาชิหน้าบูดลงในทันใด เช่นเดียวกับคุโรโกะที่สะบัดหางไปตีเก้าอี้ที่วางข้างๆ จนขาดครึ่ง

    "...เคยมีเรื่องอะไรกันมาก่อนหรือเปล่าเนี่ย?" เอยะรู้สึกว่าท่าทางของอาคาชิและคุโรโกะดูโกธรแค้นมาเลย...แล้วนี่เขาถามแบบนี้จะโดนฆ่าหมกที่นี่ไหมเนี่ย?

    "เคย...เคยสิ แถมเยอะมากจนอยากเอาขี้เถ้าเจ้าบ้านั้นมาตื้บอีกสักล้านรอบเลย..." อาคาชิแสยะยิ้มจนเอยะหนาวส้นหลังวาบ "...เพราะเจ้าบ้านั้นเป็นคนฆ่าโคกิ!"

    "ห๊า!?" เอยะไม่เข้าใจที่อาคาชิพูด...ก็ฟุริฮาตะที่อยู่กับเขาดูยังไงก็คนนี้น่า? หรือที่พูดเนี่ยหมายถึงชาติก่อน?

    "ก็ใช่สิ..." อาคาชิที่เดาความคิดเอยะออกตอบ "...เจ้าบ้านั้นฆ่าโคกิเมื่อชาติก่อน แถมชาตินี้ยังจะมาฆ่าโคกิอีกรอบ! ใครมันจะไม่ทนได้! ถ้าตอนเมื่อกาลก่อนโคกิไม่ขอไว้ว่าให้อภัยหมอนั่น ข้าจะจับมันทำปุ๋ยทั้งร่างทั้งวิญญาณไปนานแล้ว!"

    "เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่าครับ" คุโรโกะเอ่ยขึ้นก่อนที่เพื่อนเขาจะของขึ้นจากอารมณ์ที่ค้างมานานจนลงกับอย่างอื่น "ว่าแต่เอยะคุง...คุณเก็บกรรไกรนี้ไว้ไหนน่ะ? ก่อนหน้านี้ผมไม่เห็นคุณมีกรรไกรด้ามนี้อยู่เลยนิ?"

    ...ถ้าจำไม่ผิดตอนที่เขาโผล่มาเนี่ยไม่เห็นของจำพวกกรรไกรตกอยู่เลยนิ? กรรไกรนี่ก็ไม่ใช่เล็กๆ นะ ไม่น่าจะเก็บในกระเป๋ากางเกงได้ด้วย...แล้วเอามาจากไหนเนี่ย?...

    คุโรโกะคิดอย่างฉงกพยายามคิดหาความเป็นไปได้อย่างอื่น แต่สุดท้ายก็นึกไม่ออกจนต้องยอมแพ้ไป

    "เอาไว้นี่..." เอยะพลิกด้านหลังตุ๊กตาให้ดู...ซึ่งมันมีซิปอยู่เป็นอันเข้าใจกันว่าก่อนหน้านี้เอยะเก็บไว้ในตุ๊กตานั้นเอง

    "ดูคุณเตรียมมาพร้อมจังนะครับ...คงไม่ไช่ว่าคุณตั้งใจมาที่นี่อยู่แล้วหรอกนะครับ?" คุโรโกะเอียงคอถามอย่างน่ารัก แต่ขอโทษคำถามนั้นแทบทำให้เอยะอยากถีบคนถามสักทีเสียเลย แต่ติดที่ไม่กล้านี่สิ

    "ใช่ซะเมื่อไหร่ล่ะ! ใครเขาอยากเอาชีวิตมาทิ้งกัน!" เอยะทำหน้ามุ่ยพร้อมซุกหน้าลงกับตุ๊กตาในมือ

    "แต่คุณดูเตรียมมาพร้อมมากเลยนะครับ ทั้งอักขระของหมอผีทั้งซ่อนเอาไว้ในตุ๊กตาเพื่อกันอีกฝ่าย (ผี) เห็นอีก..." ไม่ว่ายังไงคุโรโกะก็คิดว่ามันเตรียมพร้อมเกินไปที่จะเป็นแค่บังเอิญตกมาที่นี่

    "เพราะโดนลากมาทำพิธีบ้าบอนี่เลย เตรียมเอาไว้ก่อนน่ะ..." เอยะบอก...หึ! คงไม่คิดว่าเขาโรคจิตขนาดมาบุกดงผีเล่นนะ!?

    "พีธี? พิธีอะไร?" อาคาชิถามต่อ พร้อมส่งสายตามาว่าต้องตอบที่ตนถามด้วย

    "ป...เป็นพิธีอย่างหนึ่งที่เรียกว่าพิธีซาจิโกะแห่งความสุขครับ...พิธีนั้นเชื่อว่าจะทำให้สมหวังในเรื่องที่ขอ..." สมองของเอยะเริ่มสบสนเล็กน้อยเพราะไม่รู้จะเล่าเรื่องเล่าอันไหนดีในเมื่อเรื่องซาจิโกะแห่งความสุขเนี่ยมีเรื่องเล่าหลายแขนงเหลือเกิน เขาเลยเลือกอันที่มีความหมายครอบคลุมที่สุดมา

    "มันก็ฟังดูดีนี่ครับ? แล้วทำไมถึง..." คุโรโกะดูท่าจะไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก

    "...ไอ้ส่วนนั้นเป็นแค่ส่วนเดียวของเรื่องเล่า ยังมีต่ออีกว่าถ้าทำพิธีผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวจะถูกลากมายังโลกต่างมิติ...หรือก็คือที่นี่แหละ" เอยะอธิบาย

    "ถ้ารู้อย่างงั้นแล้วทำไมยังทำพิธีนี้ล่ะ?" อาคาชิคิดว่ายังไงมันก็เหมือนมาด้วยความสมัครใจเลย

    "เพราะ - ผม - โดน - บัง - คับไงล่ะ" เอยะตอบอย่างเน้นๆ "ถ้าพวกรุ่นพี่ไม่ลากพวกผมมาช่วยทำพิธีซาจิโกะแห่งความสุขล่ะก็...ผมไม่มีวันหาเหาใส่หัวแบบนี้เด็ดขาด! ผมปฏิเสธเป็นสิบรอบจนสุดท้ายโดนพวกรุ่นพี่จับมัดลากมาทั้งก๊วนเลย"

    ...ถ้านี่เขาไม่หาข้ออ้างว่าของไม่ครบล่ะก็คงไม่มีเวลาเตรียมไอ้กรรไกรหมอผี (เขามีแต่มีดหมอไม่ใช่เหรอ? // s) หรอก...ที่จริงกะจะหนีเลย เพราะยังไงเขาเป็นคนเดียวที่รู้พิธีนี้ทุกอย่าง ถ้าขาดเขาเป็นอันว่าคงเลิกกันไปเองล่ะมั้ง...แต่พวกรุ่นพี่ดันรู้ทันเลยตามเขาไปที่บ้านด้วย จนเขาต้องเอากรรไกรเก็บไว้ในตุ๊กตาเพื่อไม่ให้สะดุดตาแล้วเอามาด้วยนี้แหละ...

    "...แล้วทำไมถึงเจาะจงที่คุณล่ะครับ?" คุโรโกะไม่คิดหรอกนะว่าจะหาคนที่ทำพิธีเป็นได้แค่คนเดียว

    "เหตุผลง่ายๆ คือผมเป็นคนที่รู้เรื่องพวกนี้มากที่สุดในโรงเรียนไงครับ" เอยะบอก...ที่จริงคงเพราะชื่อชมรมเขาด้วยมั้ง เลยทำให้ดูเหมือนว่าเขารู้ดีที่สุด

    "คุณกับโคกิคุงเลยหลุดมานี่เพราะโดนรุ่นพี่ให้ช่วยทำพิธีเหรอครับ?" คุโรโกะเอื้อมมือไปลูบเรือนผมสีน้ำตาลของคนที่สลบไสลอยู่

    "ผมน่ะใช่ แต่ฟุริฮาตะไม่..." เอยะตอบ "...ผมกับเพื่อนอีกสามคนโดนลากไปทำพิธีจริง แต่ฟุริฮาตะแค่มาเก็บบอลที่กลิ้งมาที่กลุ่มที่พวกผมทำพิธีพอดีเลยโดนดึงมาด้วยเท่านั้น"

    "สรุปคือโคกิมีเรื่องวิ่งเข้าหาตามเดิมสินะ" อาคาชิส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

    "บ้างทีโคกิคุงนี่ดวงตกแบบสุดๆ เลยนะครับ..." คุโรโกะอดนึกไม่ได้ว่าควรเอาพวกของนำโชคให้คนผมน้ำตาลสักลังดีไหม "...ว่าแต่เพื่อนคุณที่ว่าเนี่ย...อย่าหาว่าผมปากเสียเลยนะครับ แต่คิดว่ายังรอดอยู่เหรอครับ?"

    "ถ้ายังไม่เจอศพก็ตัดสินอะไรไม่ได้นะ" สำหรับเอยะ เขาเตรียมใจเรื่องนี้มาแล้วล่ะ...ที่จริงเขารอดมาถึงตอนนี้ได้ก็บุญแล้ว

    "...งั้นเดี๋ยวพอโคกิคุงฟื้นเมื่อไหร่ เดี๋ยวพวกผมจะหาคนที่รอดชีวิตแล้วพากันกลับโลกเดิมแล้วกันครับ" คุโรโกะเอ่ยออกมา

    "พวกนาย...พาทุกคนกลับโลกเดิมได้?" เอยะรู้สึกยินดีนะ...ที่ได้ยินว่าตนสามารถกลับบ้านตนเองได้ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำได้จริงๆ เหรอ?

    "ครับ...พวกผมสามารถเชื่อมต่อกับทุกที่ที่โคกิคุงเคยไปครับ ดังนั้นถ้าจะกลับง่ายที่สุดเลยคือเชื่อมไปยังจุดที่โคกิคุงกับคุณร่วงลงมาครับ" คุโรโกะอธิบาย

    "เอ่อ..." เอยะคิดว่าแบบนี้ก็เท่ากับว่ามีโอกาสกลับไปแบบครบสามสิบสองสินะ? เพราะพวกนี้ดูท่าจะไม่ยอมให้ฟุริฮาตะเป็นอันตรายแน่ "...งั้นพอฟุริฮาตะฟื้นเมื่อไหร่ ก็ตามหาคนอื่นๆ ได้เลยสินะ?"

    "ครับ ตามนั้นแหละ" คุโรโกะตอบ ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงรอเท่านั้น...

    ...และระหว่างที่รออาคาชิเลยให้เอยะเล่าเรื่องเล่าที่น่าสนใจให้ฟังแก้เซ็งไปพลางๆ สลับกับคุโรโกะที่บ่นปัญหาเรื่องความจืดจางของตนเองไป

     

     

     

     

     

    ...ที่นี่ที่ไหนกัน?...

    เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลมองซ้ายแลขวาไปรอบๆ กับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย...ให้ตายเถอะ! ก่อนหน้านี้ก็โรงเรียนผีสิงคราวนี้เป็นหมู่บ้านดูโบราณๆ อีก...แล้วมันที่ไหนกัน (วะ) ครับเนี่ย!?

    ฟุริฮาตะมองเด็กๆ ที่วิ่งไล่กัน ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อมีเด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านร่างเขาไปได้อย่างหน้าตาเฉย! แบบนี้แสดงว่าเขาตายแล้วกลายเป็นผีหรือเปล่าเนี่ย!?

    ขณะที่กำลังสับสนอยู่ ฟุริฮาตะก็เหลือบไปเห็นเด็กคนหนึ่ง...ซึ่งคล้ายกับตัวเขาสมัยเด็กมากยืนดูเหล่าเด็กคนอื่นวิ่งเล่นกันสนุกสนานจากในบ้านหลังหนึ่ง และไม่รู้อะไรดลใจฟุริฮาตะทำให้เจ้าตัวที่ไม่รู้จะไปไหนต่อ มองดูเด็กน้อยตลอดเวลาราววิญญาณตามติดเป็นการฆ่าเวลาระหว่างที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน...

    จากที่ฟุริฮาตะดูเด็กน้อยมาตลอด เขาก็ได้รู้ว่าเด็กคนนี้ชื่อ 'โคกิ' เหมือนกับตัวของเขาและเป็นคนที่อ่อนแอ่มากจนไม่สามารถไปเล่นได้แบบเด็กคนอื่น...

    ฟุริฮาตะอดรู้สึกสงสารเด็กน้อยที่ชื่อเดียวกับตนไม่ได้...การต้องอยู่ในบ้านคนเดียวขณะที่พ่อแม่พี่ไปทำงานกันหมดต้องรู้สึกเหงามากแน่

    เด็กหนุ่มมองดูโคกิน้อยอย่างเงียบๆ มานาน...จะว่านานก็ไม่นานแฮะ เพราะบางเวลามันเหมือนม้วนเทปที่กรอไปข้างหน้าให้เร็วขึ้นอย่างนั้นแหละ ทุกวันเด็กน้อยเอาแต่อ่านหนังสือหรือไม่ก็วาดรูปเล่นตามประสาเด็กอยู่บนเตียงตลอด จะมีแค่บางวันที่เด็กน้อยแอบไปเล่นข้างนอกนิดหน่อยก่อนที่จะกลับเข้าบ้านดังเดิม

    จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กน้อยเกิดเบื่อหรืออะไรไม่รู้ โคกิได้แอบออกไปนอกบ้านตอนที่พ่อแม่และพี่ตนไม่อยู่บ้าน โคกิเดินมาที่หลังบ้านซึ่งเป็นป่าและไปเรื่อยๆ ทั้งที่ปกติจะอยู่อย่างมากสุดก็แค่หลังบ้านแท้ๆ

    เด็กน้อยเดินไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหยุดลงที่สวนดอกไม้แห่งหนึ่ง...โคกินั่งลงเล่นดอกไม้ไปอย่างสนุกสนานกับการออกมาข้างนอกไกลขนาดนี้เป็นครั้งแรก ทุกอย่างดูปกติดีนะเพียงแต่...

    กึก...กึก...โครม!!!

    เด็กน้อยสะดุ้งโหยง หันไปมองยังต้นเสียงและพบกับ...ลูกจิ้งจอกสีแดงและแมวสีฟ้าสะบับหัวอยู่โดยมีกิ่งไม้ตกอยู่ข้างๆ คาดว่าเสียงเมื่อกี้คงมาจากสองตัวนี้ตกจากตกไม้ลงมา

    "เจ็บไหมอ่ะ?" เด็กน้อยเดินไปหาสัตว์ทั้งสองอย่างไม่เกรงกลัว (หรือลืมกลัว?) ขณะที่สัตว์ทั้งสองตัวกลับขู่ฟ่อใส่

    "เจ้ามนุษย์! อย่าเข้ามานะ!" เสียงหนึ่งดังมาจากปากจิ้งจอกน้อย ทำเอาฟุริฮาตะเบิกตากว้าง...โชคดีที่ที่นี้ไม่มีใครเห็นเขาไม่งั้นได้ขำสีหน้าเขาในขณะนี้แน่

    "น้องหมาพูดได้ด้วยเหรอ?" เด็กน้อยโคกิที่เห็นจิ้งจอกเป็นหมาเอียงคออย่างน่ารัก (ลักกลับบ้าน) น่าเอ็นดู แต่มันทำให้เจ้าแมวที่อยู่ข้างๆ จิ้งจอกสีแดงกลั่นขำจนตัวงอเลยทีเดียว

    "ข้าเป็นจิ้งจอก! ไม่ใช่หมาเสียหน่อย!" จิ้งจอกน้อยแยกเขี้ยวใส่ ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อเด็กน้อยเดินเข้ามาใกล้ "จ...เจ้าฟังไม่ออกหรือไง!? บอกว่าอย่ามาใกล้ไง!!!"

    "แต่เจ้าบาดเจ็บนี่ น้องแมวข้างๆ เจ้าก็ดูเหมือนบาดเจ็บเหมือนกันนี่?" โคกิส่งยิ้มอ่อนโยนให้สัตว์น้อยทั้งสอง "ไม่เป็นไรหรอก...เดี๋ยวข้าพาไปรักษาเอง"

    สัตว์ทั้งสองตัวก็พากันนิ่งกับรอยยิ้มที่ไร้ความลวงจากเด็กน้อย และยอมให้โคกิอุ้มกลับบ้านไปแต่โดยดี เมื่อโคกิกลับมาถึงบ้านตน ก็แอบมองซ้ายมองขวาว่าคนในครอบครัวตนกลับมาหรือยังและโชคดีที่ยังไม่มีผู้ใดกลับบ้านมาเลย

    โคกิวางสัตว์ตัวน้อยทั้งสองลงบนเตียงของตนและเอาสมุนไพรต่างๆ นานาๆ ที่ตนรู้จักและเก็บมาตอนแอบไปเล่นที่หลังบ้าน เด็กน้อยค่อยบดสมุนไพรมาแปะแผลของจิ้งจอกแดง และแมวฟ้าก่อนที่จะพันแผลให้อย่างเบามือจนสัตว์ทั้งสองแทบหลับไประหว่างทำแผลเลยที่เดียว

    "เสร็จแล้ว...ข้าทำแผลเมื่อกี้เจ็บหรือเปล่า?" เด็กน้อยถามด้วยดวงตาใสแจ๋ว

    "ไม่ครับ...ขอบคุณที่ทำแผลให้ครับ" แมวน้อยค้อมหัวให้เด็กน้อย

    "แล้วน้องแมวกับน้องจิ้งจอกไปโดนอะไรมาล่ะเนี่ย? ถึงแผลเต็มเลย..." โคกิถาม ขณะที่ระแวกเล็กน้อยว่าครอบครัวจะเห็นว่าเขาแอบเอาสองตัวนี้เข้ามาในบ้านแล้วจะโดนดุ

    "พอดีพวกผมโดนสัตว์ใหญ่ไล่นิดหน่อยน่ะครับ...พอดีวันนี้แอบไปเล่นในป่าแล้วเจอฟูงควายป่าพอดี..." ...หลังจากนี้เดากันออกนะว่าโดนอะไรมา

    "และช่วยอย่าเรียกว่าน้องจิ้งจอกได้ไหม...มันฟังแปลกๆ อีกอย่างพวกข้าอายุมากกว่าเจ้าอีก" จิ้งจอกสีแดงเอ่ยออกมา...ที่จริงพวกเขาจะหนีเจ้าเด็กนี้ไปเลยก็ได้ แต่เห็นว่าช่วยรักษาพวกเขาทั้งทีจะหนีไปดื้อๆ ก็เสียมารยาทไปหน่อย แถมเจ้าเด็กนี้ก็ดูน่าสนใจดีเสียด้วย

    "แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ?" เด็กน้อยถามต่อ "มีชื่อหรือเปล่าล่ะ? ข้าชื่อโคกินะ...ยินดีที่ได้รู้จัก"

    "มีสิ...ข้าชื่ออาคาชิ เซย์จูโร่" จิ้งจอกสีแดงตอบ

    "ส่วนผมคุโรโกะ เท็ตสึยะครับ" แมวสีฟ้าตอบ

    "ยินดีที่ได้รู้จักนะ! อาคาชิ! คุโรโกะ!" เด็กน้อยยิ้มแฉ่ง...และนี้เป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสามคน

    ส่วนทางด้านของฟุริฮาตะที่ยืนมองอย่างเงียบมองภาพตรงหน้าอย่างนึกแปลกใจ...ทำไมเขารู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นมาก่อน...ไม่สิ ต้องบอกว่าเมื่อเคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อน แต่ทำไมเขาถึงจำไม่ได้ล่ะ?

    ฟุริฮาตะคิดอย่างไม่เข้าใจในตนเอง แต่เมื่อคิดไม่ออกเขาก็ได้เพียงดูภาพที่เกิดเบื้องหน้าต่อไป...

    เด็กน้อยที่ได้ยินเสียงจากประตูบ้านรีบเอาเจ้าตัวน้อยทั้งสองซ่อนใต้เตียงทันที "เงียบๆ นะ ถ้าท่านแม่มาเจอเดี๋ยววุ่นแน่..."

    "อื้ม... / เข้าใจแล้วครับ..." ทั้งสองตอบรับโคกิก่อนที่จะนิ่งเงียบปานเป็นตุ๊กตาประดับห้องไป

    "โคกิ...ถึงเวลากินยาแล้ว..." หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดข้าวและสมุนไพรที่ดูก็รู้ว่า...ขมชัวท์

    "ครับ..." เด็กน้อยยิ้มให้หญิงวัยกลางคนและหยิบถาดข้าวมากินอย่างว่าง่าย เมื่อเห็นดังนั้นหญิงวัยกลางคนก็เดินออกจากห้องไป เมื่อเห็นอย่างนั้นโคกิก็ว่าถาดข้าวลงและก้มไปมองใต้เตียง "อาคาชิ คุโรโกะ กินด้วยกันไหม?"

    "ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ...ว่าแต่คุณเป็นอะไรเหรอครับ? ท่านน้าคนเมื่อกี้ถึงเอาถาดข้าวกับยามาให้น่ะครับ?" คุโรโกะถามพร้อมกระโดดขึ้นมาบนเตียง

    "ข้าป่วยเป็นโรคแปลกๆ มาตั้งแต่เกิดน่ะ เลยต้องกินยาประคองอาการที่ตามมาน่ะ ถ้าไม่กินอาการข้าจะไม่มีเรี่ยวแรงเลย บางครั้งหนักจนแทบหายใจเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ" โคกิตอบพร้อมลูบขนนุ่มนิ่มของคุโรโกะ

    "เป็นอาการที่ฟังดูแย่นะครับ..." คุโรโกะมองเด็กน้อยที่ยังยิ้มร่าได้อย่างฉงกเล็กน้อย "...คุณไม่เคยคิดโทษโชคชะตาบ้างหรือครับ?"

    "โทษโชคชะตา? โทษไปทำไมล่ะ?" เด็กน้อยถามกลับ

    "ก็เพราะโชคชะตาเป็นตัวกำหนดให้คุณเกิดมาเป็นแบบนี้ไงครับ" ทุกคนที่คุโรโกะเคยเจอมา ถ้าตนเจอเรื่องแบบนี้หรือประสบเหตุการณ์ที่น่าผิดหวังมักจะโทษชะตากรรมของตนเองเอาไว้ก่อน แต่กลับเด็กคนนี้กลับไม่เป็นอย่างคนอื่นเขา...ช่างน่าสนใจจริงๆ และเขาคิดว่าอาคาชิคุงก็คงคิดอย่างเดียวกัน

    "มันก็จริงอยู่...แต่คงจะโทษโชคชะตาไม่ได้หรอก คงต้องโทษข้าที่อ่อนแอเสียเองมากกว่า" เด็กน้อยตอบ

    "เจ้านี่...แปลกคนดีนะ" อาคาชิกระโดดขึ้นเตียงอีกคน เอ้ย! อีกตัวและนอนขดข้างๆ โคกิ

    "งั้นเหรอ?" โคกิยิ้มแห้งๆ กับคำกล่าวของจิ้งจอกสีแดง

    พอตกเย็นคุโรโกะกับอาคาชิก็ขอตัวกลับไปยังกลุ่มของตนเอง นับจากนั้นทุกๆ วันร่างของจิ้งจอกสีแดงและแมวสีฟ้าก็จะเดินเข้ามาพูดคุยกับโคกิทุกวันจนสนิกกัน...พร้อมกับการได้รับรู้ว่าโคกินั้นเป็นพวก...ซวยสุดกู่ราวกับดึงความซวยของคนอื่นมาลงที่ตนเอง เมื่อเห็นว่าไม่ว่าเด็กน้อยจะทำสิ่งใดก็มักจะเจ็บตัวอย่างใดอย่างหนึ่งมาเสมอ ไม่ว่าจะระวังแค่ไหนก็มักจะได้แผลมาหนึ่งแผลเป็นอย่างต่ำ แต่ทุกแผลก็ไม่ได้อันตรายร้ายแรงอะไร จนกระทั้ง...

    ...อยู่มาวันหนึ่งได้มีโจรร้ายบุกเข้ามาในบ้านของเด็กน้อยและได้ขนทรัพย์สินทั้งหมดไปแม้แต่ยาที่ใช้ประคองอาการของโคกิ ซ้ำร้ายยังโดนโจรร้ายนั้นทำร้ายจนบาดเจ็บอย่างหนัก...จนแทบไม่เห็นทางรอดเลยแม้แต่น้อย

    "โชคร้ายจังนะครับ...โคกิคุง" แมวสีฟ้ากระโดดมานั่งข้างๆ โคกิ นัยน์ตาแสดงถึงความเศร้าอย่างชัดเจน

    "แฮะๆ คงจะอย่างนั้นแหละ" เด็กน้อยแม้จะเจ็บแต่ก็ยังยิ้มออกมา

    "ไอ้โจรนั้น...ถ้าเจอเมื่อไหร่จะจับมาเคี้ยวเล่นเลยค่อยดู..." อาคาชิกัดฟันกร๊อด

    "เอาน่าๆ ไม่เป็น...อะไรหรอก..." เด็กน้อยเริ่มพูดติดขัด สีหน้าเริ่มที่จะซีดลงจนแทบหาสีเลือดไม่เจอ

    "โคกิคุง! เป็นอะไรไปครับ!" แมวน้อยเอาขาหน้าเขย่าร่างเด็กน้อย "หรือว่าอาการที่โคกิคุงบอกกำเริบ!?"

    "บ้าเอ๊ย! ไอ้โจรบ้านั้นดันเอายาของโคกิไปด้วย! แถมเงินที่จะใช้ซื้อยาเพิ่มดันไม่มีอีก!..." อาคาชิมองเด็กน้อยที่เริ่มหายใจติดขัดอย่างเห็นได้ชัดด้วยความกังวล "...เท็ตสึยะ! ช่วยประคองอาการโคกิไปก่อน! เดี๊ยวข้าจะไปหายามาเอง!"

    "เข้าใจแล้วครับ! อ๋อ! และกรุณาหาแบบที่ทำให้หายขาดมาเลยนะครับ!" แสงสีฟ้าขาวเริ่มสว่างออกจากร่างของแมวน้อยสีฟ้า และแสงสีแดงสดสว่างวาบจากร่างจิ้งจอกตัวน้อย...

    เมื่อแสงจางลงก็ปรากฏร่างของเด็กน้อยอายุเท่าๆ กับโคกิสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งมีดวงตาเรียบเฉยสีฟ้าใส ผมสีฟ้าดูยุ่งเหยิง มีหูของแมวปรากฏขึ้นบนศีรษะและมีหางแมวสองหางโผล่ออกมา

    ส่วนอีกคนมีผมสีแดงชาด นัยน์ตาสองสีดูน่าเกรงขาม มีหูจิ้งจอกปรากฏบนศีรษะและมีหางจิ้งจอกโผล่ออกมาเก้าหาง

    คุโรโกะในร่างเด็กน้อยเอามือทาบบนร่างของโคกิและก็มีแสงสีฟ้าอ่อนๆ โอบร่างของโคกิเอาไว้และเมื่อทำเช่นนี้สีหน้าของโคกิก็เริ่มมีสีเลือดขึ้น อาคาชิก็รีบไปหาสมุนไพรที่สามารถใช้รักษาเด็กน้อยได้...ซึ่งอาคาชิรู้ว่าสมุนไพรไหนสามารถใช้ได้จากหนังสือของโคกิ ถึงแม้แต่ล่ะอย่างจะเป็นขอที่หายากทั้งนั้นแต่สำหรับเขา...ต่อให้ยากแค่ไหนก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้!

    เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ ฟุริฮาตะที่มองเหตุการณ์ทั้งหมดอดคิดไม่ได้ว่า...อาคาชิอาจหายามาไม่ได้ก็ได้ แต่ไม่ถึงนาทีที่ฟุริฮาตะคิดอย่างนั้น...ร่างของอาคาชิ เซย์จูโร่ก็โผล่เข้ามาพอดีเลย

    "เป็นไงครับ? หามาได้ไหม? หรือว่าคุณไปจิ๊กยาจากร้านขายยา?" คุโรโกะถามอย่างคนใกล้หมดก๊อก

    "หามาได้แล้ว...ครบและผสมแล้วด้วย เหลือแต่ให้โคกิกินนี่แหละ..." อาคาชิบอกพร้อมชูใบไม้ที่ตนใช้เป็นภาชนะในการเก็บยามา

    "แล้ว...จะให้โคกิคุงกินยังไงครับ? ในเมื่อโคกิคุงสลบอยู่เนี่ย?" คุโรโกะถาม ก่อนที่จะได้คำตอบอย่างรวดเร็วเมื่ออาคาชิเอายาเข้าปากตนเองก่อนที่ประคองโคกิขึ้นและ...ประทับริมฝีปากลงไป และเมื่อมั่นใจว่าเด็กน้อยกลืนยาลงไปหมดแล้วก็ค่อยๆ ถอนจูบออกอย่างช้าๆ

    "แค่นี้ก็เรียบร้อย" อาคาชิเช็ดริมฝีปากที่มีคราบน้ำใสไหลลงมา และมองคนที่ตนเพิ่งจูบไปอย่าง...อยากจูบอีกรอบ

    "คุณทำเรื่องน่าอายจังนะครับ...คราวหลังให้ผมทำก็ได้ครับ ผมไม่รังเกียจ" คโรโกะเอ่ยเหมือนจะดุ แต่ประโยคหลังนั้นดวงตาสีฟ้าวาววับอย่างเห็นได้ชัดพร้อมสลายแสงสีฟ้าอ่อนที่โอบร่างเด็กน้อยไว้ไป

    ฟุริฮาตะที่ดูอยู่ก็อดหน้าแดงไม่ได้กับภาพที่เห็นและนึกอยากถีบคนที่ขโมสจูบคนอื่นไปหน้าตาเฉย...เดี๋ยวนะ คนโดนไม่ใช่เขาเสียหน่อย ทำไมเขาต้องอายด้วยเนี่ย!

    เด็กหนุ่มทะเลาะกับตัวเองสักพักก่อนที่จะทำการแอบดูชาวบ้านต่อ...

    ...หลังจากที่อาคาชิให้ยาแก่โคกิแล้ว จิ้งจอกสีแดงกับแมวสีฟ้าก็ยังคงอยู่ในร่างมนุษย์เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยได้ทัน

    ดวงตาสีน้ำตาลค่อยๆ ลืมขึ้นและมองยังคนผมสีแดงกับสีฟ้าที่ลุ้นระทึกอยู่ข้างๆ อย่างงงๆ "ใคร?...อาคาชิกับคุโรโกะเหรอ?"

    "ครับ...พวกผมเอง..." คุโรโกะตอบ ขณะที่เริ่มที่จะกังวลเล็กน้อยว่าโคกิจะกลัวพวกตนที่เป็นสัตว์...แต่ดันแปลงเป็นมนุษย์ได้ และแน่นอนอาคาชิก็คิดแบบเดียวกัน

    "เจ้าในร่างมนุษย์ดูดีจังนะ" โคกิเอ่ยอย่างไร้เดียงสาพร้อมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ในขณะที่คุโรโกะกับอาคาชิโล่งอกที่อีกฝ่ายดูจะไม่กลัวพวกตน

    "ไม่เป็นไรแล้วนะ? มีอาการอะไรผิดปกติหรือเปล่า?..." อาคาชิสบดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมาทางตนตาแป๋ว "...ข้ามีอะไรแปลกหรือเปล่า?"

    "เปล่า...แค่เพิ่งเห็นว่าตาของอาคาชิดูสวยดีน่ะ" โคกิยิ้มแฉ่ง

    "..." อาคาชิหน้าแดงแข่งกับสีผม พร้อมเอาหางตนเองมากอดปกปิดใบหน้าตนเองเสียด้วย "...เรื่องนั้นช่างเถอะ! ว่าแต่เจ้าไม่มีอาการอะไรผิดแปลกไปใช่ไหม!?"

    "ก็ไม่มีนะ แถมยังรู้สึกสภาพดีกว่าทุกวันด้วย" โคกิตอบ

    "งั้นก็ดีครับ ว่าแต่..." คุโรโกะยื่นหน้าเข้าใกล้โคกิ "...ชมแต่อาคาชิคุงคนเดียวผมน้อยใจนะครับ"

    "อ...เอ๋?" โคกิเริ่มเหวอกิน

    "ไม่ต้องมาอ้อนโคกิเลยนะ เท็ตสึยะ!" อาคาชิสับหัวฟ้าๆ ของเพื่อนตนไปทีหนึ่ง "แล้วโคกิ...ช่วยมาทำพันธะกับพวกข้าที"

    "ห๊า!?" โคกิมองอาคาชิอย่างไม่เข้าใจ

    "ก็ดีนะครับโคกิคุง ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกคุณจะได้เรียกพวกผมมาได้เลยไงครับ..." คุโรโกะยิ้มอย่างพยายามหลอกล่อให้อีกฝ่ายมาตกบ่วงที่วางไว้

    "เอ่อ พันธะที่ว่าเนี่ย...มันคืออะไรเหรอ?" โคกิเอ่ยถาม

    "ส่วนใหญ่พันธะคือการเชื่อมต่อระหว่างบุคคลครับ โดยจะเชื่อมต่อกับผู้เป็นนายครับ...แต่พันธะของพวกผมคือการที่พวกผมสามารถตามติดคุณและมาหาคุณได้ตลอดเวลาหากคุณเรียกหา พันธะที่พวกผมจะทำนี้จะคลายลงเมื่อวิญญาณคุณสลายไปเลยเท่านั้นครับ" คุโรโกะอธิบาย

    "คลายเมื่อวิญญาณสลาย?" โคกิมองเชิงถาม

    "หรือก็คือข้ากับเท็ตสึยะจะถูกเชื่อมต่อกับเจ้าตลอดไปแม้ว่าเจ้าตายแล้วเกิดใหม่เจ้าก็จะยังคงเป็นนายของพวกข้าน่ะ เว้นแต่ดวงวิญญาณเจ้าแตกสลายไป....ก็คือเมื่อเจ้าไม่สามารถมาเกิดใหม่ได้อีกเลยไงล่ะหรือไม่ก็พวกข้าเป็นฝ่ายตายจากไปเอง" อาคาชิตอบ

    "แต่แบบนั้นพวกเจ้าก็ต้องถูกผูกมัดเพราะน่ะสิ...พวกเจ้าไม่อึดอัดแย่เหรอ?" สำหรับโคกิคิดว่าการทำพันธะตามที่อาคาชิกับคุโรโกะนั้นเหมือนกับการพรากอิสระจากทั้งสองตลอดไปน่ะสิ

    "ไม่สักนิด..." ทั้งสองตอบและไม่รอช้าทำพันธะผูกติดกับโคกิทันทีโดยไม่คิดจะให้คนโดนให้เป็นนายนั้นปฏิเสธสักนิด โดยวิธีการคือการร่ายเวทย์โบราณเพื่อยอมรับผู้เป็นนาย...และดูท่าทั้งคุโรโกะทั้งอาคาชิจะเตรียมการไว้ก่อนที่จะตอบแล้วถึงได้ผูกพันธะได้อย่างรวดเร็วแบบที่โคกิปฏิเสธไม่ได้แล้วในตอนนี้

    "...และคราวนี้พวกผมผูกพันธะกับคุณแล้วนะครับ โคกิคุง" คุโรโกะยิ้มแฉ่ง พร้อมยกมือลูบหัวคนที่ยังอึ้งๆ กับการกระทำของคนผมสีแดงและฟ้า

    "และไม่ต้องคิดหาวิธีแก้เลยนะ เพราะมันแก้ไม่ได้หรอก" อาคาชิพูดดักเด็กน้อยผมสีน้ำตาล

    "พ...พวกเจ้า..." โคกิรู้สึกอยากเป็นลมซะเดี๋ยวนี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น "...ทำกันอย่างนี้ได้งายยยย!!!!"

    ด้วยเหตุนี้เป็นอันว่าเด็กน้อยงอนจิ้งจอกสีแดงกับแมวสีฟ้าไปถึงสามวันเต็มๆ ด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายเลือกที่จะผูกมัดกับเขาซึ่งมันเท่ากับทิ้งอิสระตัวเองไปชัดๆ!!!

    และด้วยความที่รู้ว่าโคกิรู้สึกยังไงอาคาชิกับคุโรโกะเลยง้อสุดฤทธิ์ พยายามให้อีกฝ่ายไม่โกรธพวกตนจนสุดท้ายโคกิก็ใจอ่อนยอมยกโทษให้ด้วยการบ่นคนผมสีแดงกับสีฟ้าเป็นของแถม...แต่ถึงอย่างนั้นความอบอุ่นที่เด็กน้อยมอบให้แก่อมนุษย์ทั้งสองมันก็ทำให้ทั้งสองไม่อยากจากคนคนนี้ไปเลยตลอดกาล แม้จะถูกบ่นแค่ไหนพวกเขาก็ยอม...แค่ได้อยู่กับคนที่พวกเขาได้มอบหัวใจไปจนหมดสิ้น...

    ...ด้วยพันธะที่พวกเขาฝาก (บังคับให้ทำ) และคำสัญญาณว่าจะอยู่ด้วยกัน ไม่ทิ้งกันเด็ดขาด (แบบเด็กๆ) ของพวกเขาเอง...

     

     

     

     

     

    ...เวลาได้ผ่านพ้นไปจากเด็กน้อยก็ได้กลายเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าเหมือนฟุริฮาตะทุกประการ เด็กหนุ่มตั้งแต่วันที่อาคาชิเอายามารักษาอาการป่วยของตนให้ เจ้าตัวก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติ

    ทุกๆ วันโคกิมักจะไปที่ป่าแห่งเดิมที่เจอกับอาคาชิและคุโรโกะ เนื่องจากพออายุมากขึ้นทั้งอาคาชิและคุโรโกะก็ตัวใหญ่เกินที่จะแอบมาหาโคกิได้โดยไม่ให้ใครเห็น...ด้วยเหตุนี้โคกิเลยเป็นฝ่ายไปหาเสียเองเลย

    แต่วันนี้แปลกไปจากเดิม...นั้นคือโคกิยังคงไม่มายังป่าแห่งนี้แม้จะเย็นแล้วก็ตาม สร้างความฉงนปนความเป็นกังวลให้แก่อาคาชิและคุโรโกะ อมนุษย์หนุ่มทั้งสองต่างพากันเดินไปดูที่หมู่บ้านที่โคกิอยู่

    และเมื่อไปถึงยังหมู่บ้านที่โคกิอาศัยอยู่ทั้งสองก็ต้องตกตะลึง เมื่อ...หมู่บ้านตรงหน้ามีเปลวเพลิงลุกรามไปทั้งหมู่บ้าน มีร่างไร้ชีวิตของคนจำนวนหนึ่งล้มอยู่ สีแดงฉานของเลือดสาดกระจายและและสีแดงของเพลิงส่องสว่างไปทั่ว...ราวกับเพิ่งทีสงครามมาอย่างนั้นแหละ

    "โคกิ! / โคกิคุง!" อาคาชิกับคุโรโกะยืนตะลึงอยู่สักพักก่อนที่จะออกตามหาผู้เป็นนายของตนด้วยความกระวนกระวาย

    คุโรโกะกับอาคาชิวิ่งไปเรื่อยพร้อมพยายามจับพลังชีวิตหรือคือการรู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่บริเวณที่พลังของเขาไปถึงได้ ซึ่งเผ่าของเขาสามรถทำได้กันทุกคนไปด้วย เด็กหนุ่มผมฟ้าเลือกวิ่งไปทางที่มีพลังชีวิตอยู่จำนวนหนึ่งก่อนที่พลังเหล่านั้นค่อยๆ หดหายลงเรื่อยๆ คาดว่าคงมีการฆ่าฟันเกิดขึ้นอยู่แน่

    เมื่อมาถึงจุดที่พวกตนจับพลังชีวิตได้ คุโรโกะกับอาคาชิก็ต้องตกตะลึงภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้หัวทั้งสองแทบหยุดเต้น...

    ...ร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลนอนแน่นิ่งกับพื้น เลือดที่แดงแผ่กว้างทำให้ดูราวกับเจ้าตัวใส่ชุดสีแดง ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงทุกที...ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้คนคนนี้ต้องตายจริงๆ แน่!

    "ใครขัดขวางข้าจะต้องตาย!" ชายหนุ่มตะโกนก้อง ในมือถือดาบเล่มยาวเอาไว้ ทั้งร่างของชายหนุ่มอาบไปด้วยเลือดของคนที่ตนปลิดชีพไป เหล่าชาวบ้านที่เหลือรอดต่างไปกระจุกอยู่ที่มุมหนึ่งด้วยความหวาดกลัว ชายหนุ่มยิ้มโฉดใส่ชาวบ้าน...และดาบของชายหนุ่มจ่อไปที่โคกิที่ใกล้ตายอยู่แล้ว

    "ขอร้อง...ปล่อยโคกิไปเถอะ!" หญิงสาววัยกลางคนร้องอ้อนวอนให้ไว้ชีวิตลูกชายคนเล็กของตน

    "จะเอาชีวิตข้าก็ได้...ได้โปรดไว้ชีวิตลูกชายข้าเถอะ!" ชายวัยกลางคนเอ่ยขอชีวิตบุตรคนเล็กของตนเช่นกัน

    "จะทำอะไรกับข้าก็ได้! ปล่อยน้องชายข้าเถอะ!" หญิงสาวและชายหนุ่มที่อายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ ผู้มีใบหน้าเหมือนกันราวกับส่องกระจกเอ่ยอ้อนวอน

    "ไม่มีทาง! เจ้าเด็กบ้านี้บังอาจขัดขวางข้า! มันต้องตาย!" ชายหนุ่มตวัดดาบลงที่เด็กหนุ่มผู้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วจนไม่มีใครสามารถเข้าไปห้ามได้ทัน เหล่าคนในครอบครัวของเด็กหนุ่มกรีดร้องราวกับคนที่โดยคือตนเอง

    ปึก! โครม!!!

    แต่หากก่อนที่คมดาบจะสัมพัสร่างของเด็กหนุ่มก็มีกลุ่มกองขนสีแดงๆ ฟาดร่างของชายหนุ่มจนกระเด็น...

    "เจ้ากล้าดียังไงมาทำร้ายโคกิ!!!" เสียงราวสัตว์ป่าคำรามทำให้ทุกคนขนลุกซู่ พร้อมกับเบือนสายตาไปยังเจ้าของเสียง...

    ...ร่างที่สวมยูคาตะสีน้ำตาลเข้ม มีเรือนผมสีแดงฉาน นัยน์ตาสองสีวาวโรจน์อย่างน่ากลัว...ช่างให้ความรู้สึกองอาจและน่าเกรงขามจนไม่มีใครกล้าสบตา ยิ่งหูและหางจิ้งจอกอีกเก้าหางที่บ่งบอกว่าร่างนี้ไม่ใช่มนุษย์ยิ่งทำให้ความกลัวของคนที่มองดูเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก

    ...อีกร่างที่สวมชุดยูคาตะสีครามยืนอยู่ข้างๆ กันมีความสูงน้อยกว่าคนแรกเล็กน้อย มีผมสีฟ้าใสเช่นเดียวกับนัยน์ตาที่เรียบเฉย มีหูและหางแมวสองหางโผล่มาบ่งบอกว่าคนคนนี้ก็ไม่ใช่มนุษย์เช่นกัน

    "โคกิคุง! ตอบข้าหน่อยครับ! โคกิคุง!" ร่างที่เล็กกว่าคนผมสีแดงถลาเข้าหาร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล เหล่าครอบครัวของเด็กหนุ่มก็พุ่งเข้าหาเช่นกันโดยไม่สนใจว่าคุโรโกะไม่ใช่มนุษย์เลยด้วยความห่วงคนในครอบครัวตนมากกว่า

    แต่ร่างที่ถูกเรียกนั้นไม่ตอบรับหรือเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น คุโรโกะพยายามห้ามเลือดของร่างที่นอนนิ่งอยู่เบื้องหน้าตนไว้...แต่เลือดมันก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุด

    ...โธ่เว้ย! เขาน่าจะฝึกเวทย์รักษามาให้มากกว่าจริงๆ!...

    คุโรโกะสบลในใจและพยายามช่วยโคกิเต็มที่...มือขาวเนียนที่เปื้อนไปด้วยเลือดใช้พลังของตนทั้งหมดในการรักษาเด็กหนุ่มจนพลังแทบหมดร่าง แต่แผลก็ปิดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น...เขาเริ่มเกลียดตัวเองที่มีพลังน้อยแบบนี้แล้วสิ!...

    ...สำหรับเผ่าพันของเขากับอาคาชินั้นพลังที่มีอยู่ขึ้นอยู่กับการฝึกและอายุ...พวกเขานั้นเพิ่งเกิดมาได้พันหกร้อยปีซึ่งถือว่าน้อยมาก ส่วนใหญ่ที่มีพลังมากจนสามารถใช้ได้ตลอดนั้นต้องฝึกอย่างน้อยสุดห้าพันปี (แม่เจ้า ช่างอดทนจริงๆ // s) ดังนั้นพลังของพวกเขาถ้านับในรุ่นเดียวกันก็ถือว่าเยอะอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากพออยู่ดี...

    ส่วนทางอาคาชิก็ไล่ตื้บชายหนุ่มที่ทำร้ายคนที่ตนรักอย่างเลือดเย็น...ที่เขายังไม่ฆ่าในตอนนี้เพราะเขาอยากให้มันทรมาณนานๆ บวกกับโคกิไม่ชอบให้เขาฆ่าสิ่งใดทั้งสิ้นด้วย

    "อาคาชิคุง! มาช่วยผมหน่อยครับ!" เสียงเรียกของคุโรโกะทำให้อาคาชิละจากการตื้บคน และเดินไปหาคุโรโกะอย่างรีบเร่ง "คุณยังพอเหลือพลังรักษาโคกิคุงไหมครับ!?!"

    "เรียกมาทั้งที่รู้ว่าข้าใช้เวทย์รักษาน่ะ...ติดลบขนาดไหนเนี่ยนะ!?" อาคาชิอยากเขกหัวฟ้าๆ ของคุโรโกะจริงๆ เพียงแต่ด้วยการที่ว่าโคกินอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าเลยทำให้เขาต้องลองใช้พลังทั้งหมดในการรักษาโคกิซึ่งผลที่ได้ก็น่าพอใจ เมื่อแผลเริ่มปิดสนิก

    "อือ..." โคกิครางออกมาเบาๆ และค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองทุกคนที่ส่งสายตาเป็นห่วงมา เด็กหนุ่มไล่สายตามองคนที่นั่งล้อมเขาเป็นวงกลม "...อาคาชิ...คุโรโกะ..."

    "โคกิ...เจ้าต้องไม่เป็นไรนะ..." อาคาชิที่ไม่แน่ใจในการใช้พลังรักษาของตนเอ่ยออกมา

    "อื้ม..." โคกิขานรับเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้เหมือนกับปลอบทั้งเพื่อนและครอบครัวของตน "...นี่อาคาชิ"

    "มีอะไรเหรอ? โคกิ..." อาคาชิลูบเรือนผมสีน้ำตาลของอีกฝ่ายเบาๆ

    "เจ้าช่วย...อภัยให้คนคนนั้นได้ไหม?" โคกิเอ่ยออกมา

    "!?!" อาคาชิกับคุโรโกะมองเด็กหนุ่มอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน "เจ้า/คุณคิดจะให้อภัยคนที่ฆ่าคนมาบานเบอะเนี่ยนะ!?!"

    "แฮะๆ ก็ทุกคนมีเหตุผลของตนเองนี่นะ..." โคกิยิ้มแห้งๆ

    "คุณใจดีเกินไปแล้วนะครับ โคกิคุง" คุโรโกะแสดงท่าทางไม่เห็นด้วยอย่างเด่นชัดกับคำขอของอีกฝ่าย...

    ...แค่พอเกิดเรื่องแล้วอีกฝ่ายไม่เรียกพวกเขามาช่วยก็เครียดจะแย่แล้ว นี่ยังมาขอให้อภัยกับคนอย่างนี้อีก!...

    "คงนั้นแหละ..." โคกิตอบรับตรงๆ ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพผ่านไหล่ของอาคาชิ! "อันตราย!!!"

    ปัง!

    ทุกอย่าวราวกับหยุดนิ่ง เมื่อโคกิผลักอาคาชิกับคุโรโกะออกห่างพร้อมกับเอาตัวบังครอบครัวของตนเองไว้ ก่อนที่ร่างของโคกิจะทรุดลงพร้อมกับพลังชีวิตที่อาคาชิและคุโรโกะรู้สึกได้ก่อนหน้านี้ดับลง...เป็นตัวบอกว่าชีวิตของอีกฝ่ายดับลงเสียแล้ว

    "ม่ายยย!!!!" อาคาชิคำรามราวกับหัวใจได้สลายเป็นเสี้ยวเศษ

    "โกหกใช่ไหม...โคกิคุง..." น้ำใสไหลจากดวงตาสีฟ้าอย่างไม่อาจห้ามเช่นเดียวกับคนในครอบครัวของโคกิที่กอดร่างไร้วิญญาณและร้องไห้ออกมา

    "ฮาๆๆ พวกแกต้องตายทั้งหมด!!!" ชายหนุ่มผู้บ้าคลั่งเล็งปืนไฟมาทางอาคาชิ

    นัยน์ตาสองสีจ้องยังชายหนุ่มอย่างโกธรแค้นก่อนที่จะยืดหาง (เคยอ่านเจอว่าจิ้งจอกเก้าหางยืดหางตนให้ยาวได้เหมือนคอผีสาวคอยาว // s) ไปฟาดร่างของชายหนุ่มจนแหลกไปในพริบตา...

    อาคาชิไม่สนใจเศษซากที่ตนเพิ่งจัดการไปหรือสายตาที่มองมาที่ตนจะเป็นอย่างไร เด็กหนุ่มผมแดงทำเพื่อมาอยู่ข้างๆ ร่างของเด็กหนุ่มที่หลับไปอย่างสงบ

    "โคกิ..." อาคาชิเรียกชื่ออีกฝ่ายเบาๆ ในใจแม้จะเขาจะรู้สึกผิดที่ทำในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ชอบ แต่ว่า...

    ...ยังไงซะโคกิก็มาว่าเขาไม่ได้แล้ว...แต่ถ้าเป็นไปได้ช่วยลุกขึ้นมาบ่นเขาทีเถอะ!!! ขอร้องล่ะ!!! ให้เขาทำอะไรก็ได้! ฟื้นขึ้นมาเถอะ!!! โคกิ!!!...

    "อย่าไปนะ...ขอร้อง..." คุโรโกะเอ่ยเสียงสั่นเครือ

    "สัญญาณแล้วนิ...ว่าจะไม่ทิ้งกันไป..." น้ำใสเริ่มหลั่นรินจากนัยน์ตาสองสี ตะโกนร้องราวคนเสียสติ "...โคกิ...อย่า...ไม่!!! ห้ามตายนะ!!!"

    "ได้โปรด...อย่าตายนะ..." คุโรโกะเอ่ยออกมาแม้จะรู้...รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้อีกแล้ว "ได้โปรดฟื้นขึ้นมาเถอะ..."

    "ต่อให้อีกกี่ชาติก็จะตามหาโคกิ...ให้เจอให้ได้!!!" เสียงอาคาชิดังก้องราวกับประกาศให้โลกรู้...เป็นเสียงที่ทรงอำนาจและบ่งบอกว่าคนพูดจะทำจริงตามที่วาจากล่าวไว้...พวกเขาจะต้องได้พบกันอีกแน่ แม้จะดูเหมือนเฟ้อฝันแต่พวกเขาก็เลือกที่จะเชื่อเช่นนี้...จนกว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง

    หลังจากปลดปล่อยอารมณ์ต่างๆ ไปจนหมดแล้วอาคาชิกับคุโรโกะก็ขอให้ครอบครัวของโคกิจัดงานศพให้ตามประเพณีก่อนที่จะเดินจากไปและไม่กลับมาหมู้บ้านแห่งนี้อีกเลย เพราะสิ่งที่ทำให้เขาอยู่ที่นี่ได้จากไปแล้ว

    ทางฟุริฮาตะมองภาพเหล่านั้นพลันน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา...เขาจำได้ดีว่าเสียงกรีดร้องนั้นตอนตกลงมาที่นี่คือเสียงของอาคาชิกับคุโรโกะนั้นเอง และเขาก็จำได้แล้วว่า...

    ...ทุกสิ่งที่เขาเห็นนี่คือความทรงจำของเขาเองเมื่ออดีตชาติ เมื่อสมัยเด็กเขาเคยเห็นภาพพวกนี้บ่อยๆ แต่เมื่อโตขึ้นเขาก็ลืมเลือนไปจนถูกกระตุ้นในตอนนี้แหละ...คงเพราะสองคนนั้นโผล่มาหรือเพราะหัวกระแทกไม่รู้เขาถึงนึกเรื่องนี้ออก...

    ...เอาล่ะ...ถึงเวลากลับไปหาสองคนนั้นแล้วสินะ?...

     

     

     

     

     

    "ฟื้นแล้วเหรอครับ? โคกิคุง?" สิ่งแรกที่ฟุริฮาตะเห็นคือดวงตาสองสีที่จ้องมาที่ตน ก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปยังคนผมฟ้าที่ถามตนเมื่อครู่ และเลื่อนต่อไปที่คนผมดำที่กอดตุ๊กตาอยู่แล้วค่อยเลื่อนสายตากลับมาที่ดวงหน้าหล่อเหล่าของคนตาสองสีเหมือนเดิม...และฟุริฮาตะก็ลุกพรวดเมื่อนึกออกว่าตอนนี้ตนนอนหนุนตักคนผมแดงอยู่!

    "ข...ขอโทษ!" ฟุริฮาตะหน้าซีดเล็กน้อย...นี่เขานอนทับอาคาชินานแค่ไหนแล้วเนี่ย!?

    "ไม่เป็นไร...ถ้าเป็นโคกิข้าให้นอนทับข้าได้ทั้งวันเลย..." อาคาชิยิ้มเล่ห์นิดๆ นัยน์ตาสองสีพราวระยับกับท่าทางของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล

    "เอ่อ..." ฟุริฮาตะรู้สึกว่านิสัยอาคาชิจะเจ้าเล่ห์ขึ้นแฮะ

    "อย่าแกล้งโคกิคุงสิครับ อาคาชิคุง" คุโรโกะเอ่ยปราม

    "ไม่ได้แกล้งเสียหน่อย ข้าพูดจริงนะ..." อาคาชิฉวยโอกาสหอมแก้มฟุริฮาตะ

    "อย่ามาเนียนเลยนะครับ!" คุโรโกะดึงฟุริฮาตะออกห่างอาคาชิ

    "พวกเจ้า...เอ้ย! พวกนายหยุดก่อน!" ฟุริฮาตะรีบห้ามศึกของทั้งสอง

    "ไม่ / ไม่ครับ" ทั้งสองปฏิเสธทันควันก่อนที่จะเถียงกันสองคนต่อ

    "นี่!" ฟุริฮาตะเรียกคนที่เถียงในเรื่องของตน...แถมเถียงในเรื่องน่าอายอย่างการที่ว่าเขาเป็นของใครอีก! อย่าทำอย่างกับพระเอกแย่งนางเอกสิฟะ!!!

    "ปล่อยไปเถอะ...เดี๋ยวคงหยุดเองแหละ" เอยะตบไหล่ฟุริฮาตะเชิงปลอบ...แม้เขาสติหลุดเล็กน้อยกับเรื่องที่คนทที่ไม่ใช่คนทั้งสองเถียงกันในตอนแรก แต่ก็สติหลุดไม่นานในเมื่อเขาก็...ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่นัก (มีผู้ชายจีบเหมือรกัน // s , ไปเขียนต่อเลย! // เอยะ)

    "ได้ที่ไหนกันล่ะ..." ฟุริฮาตะรู้ดีว่าอาคาชิเป็นพวกไม่ยอมแพ้ใคร ส่วนคุโรโกะก็เป็นพวกซ่อนคม...ดังนั้นถ้าปล่อยให้เถียงกันไปก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง "...นี่...ฟังหน่อยสิ...นี่!...อาคาชิ! คุโรโกะ! ฟังข้าหน่อยสิโว้ย!!!"

    "ในที่สุดก็ยอมเรียกพวกข้านะ/ครับ..."เด็กหนุ่มผู้มีหูสัตว์ทั้งสองเลิกเถียงกันหันขวับมองที่ฟุริฮาตะที่หลุดพูดภาษาโบราณออกมา พร้อมส่งที่ยิ้มให้ฟุริฮาตะรู้ตัวว่า...ติดกับของทั้งสองเขาให้แล้ว

    ...เดี๋ยวนี้แสดงละครเก่งกว่าเมื่อก่อนอีก!!!...

    "หลอกกันเหรอ!?" ฟุริฮาตะแว๊ดลั่นเมื่อรู้ว่าโดนหลอกเข้าจังๆ เลย

    "ใช่ / ครับ..." ทั้งสองตอบอย่างตรงไปตรงมา "...ก็ถ้าไม่ทำเช่นนี้เจ้า / คุณ ก็มัวแต่คิดมากจนสุดท้ายก็ปิดเรื่องที่จำพวกข้าได้แล้วสิ/ครับ"

    "พวกนายนี่..." ฟุริฮาตะรู้สึกเพรียจิตเมื่อถูกมองออกอย่างทะลุปุโปร่งเลย "...รู้แต่แรกแล้วเหรอ?"

    "ครับ...ตั้งแต่คุณฟื้นแล้วล่ะครับ" คุโรโกะบอกพร้อมเข้ามาคลอเคลียฟุริฮาตะราวกับแมว...ก็เป็นแมวอยู่แล้วนี่นะ

    "สีหน้าเจ้าดูออกง่ายจะตาย...แต่ที่เจ้าคิดปิดบังพร้อมข้าคงลงโทษเสียหน่อยแล้ว..." อาคาชิก็เดินเข้ามากอดฟุริฮาตะ "เจ้า...เอยะเจ้าช่วยออกไปข้างนอกหน่อย"

    "เอ๋?" เอยะชี้ที่ตนเอง...นี่กะให้ออกไปอยู่กับผีคนเดียวเหรอ!? "แต่ผม..."

    "คำพูดของข้าถือเป็นเด็ดขาด...เอยะ" อาคาชิส่งสายตาน่ากลัวออกไปทำให้เอยะปิดปากเงียบในบัดดล แต่ก็ยังไม่ก้าวขาออกจากห้อง...สภาพนี้ทำให้ฟุริฮาตะอดนึกในใจไม่ได้ว่า...

    ...อาคาชิรู้สึกเผด็จการกว่าเดิมด้วยแฮะ...

    "ช่วยกรุณาออกไปก่อนเถอะครับเอยะคุง...พวกข้าขอรื้อฟื้นความหลังกันหน่อยนะครับ" คุโรโกะบอกพร้อมยืดหางไปเกี่ยวรอเสื้อเอยะและเอาไว้วางแหมะหน้าห้องพร้อมปิดประตูลง

    "พูดเป็นคนแก่ไปได้..." เอยะบ่นอุบอิบ...จะว่าไปเมื่อกี้ทำไมเห็นหน้าฟุริฮาตะซีดๆ หว่า?...

    ...และไม่ถึงสิบวิเอยะก็ได้คำตอบเมื่อได้ยินเสียงเครือครางดังออกมา เอยะรีบหนิบมือถือออกมาเปิดเพลงฟังเพื่อไม่ต้องฟังเสียงที่น่าอายนี่...และหวังว่าจากนี้ฟุริฮาตะจะยังมีแรงเดินอยู่นะ

     

     

     

     

     

    "ไง...เสร็จกันแล้วเหรอ?" เอยะเอ่ยทักเมื่อประตูที่ปิดสนิกก่อนหน้านี้นั้นเปิดออกพร้อมกับฟุริฮาตะที่หน้าแดงปานมะเขือเทศในสภาพเสื้อผ้าหลุดรุ่ย และสองครึ่งสัตว์ครึ่งคนที่มีมะกรูดบนหัวคนล่ะลูกสองลูกคาดว่าโดนเขกมา

    "เสร็จแล้ว...เราไปหาเพื่อนนายเถอะเอยะ" ฟุริฮาตะรีบลากเอยะไปด้วยความเร็วแสง...เนื่องจากอารมณ์ขุ่นมั่วจากการรำลึกความหลังของอาคาชิและคุโรโกะที่เกือบทำเขาเสียตัวแหนะ! (อ้าว? ยังไม่เสียเวอร์จิ้นเหรอ? // s , ยังน่ะสิ!!! // ฟุริฮาตะ)

    และจากเรื่องที่ได้รู้จากเพื่อนในอดีตชาติของตนว่าต้องหาเพื่อนเอยะก่อนแล้วค่อยกลับโลกเดิมด้วยแล้ว...เขาตำเป็นต้องรีบตามหาเพื่อนกับรุ่นพี่ของเอยะจริงๆ ก่อนที่จะมีใครสักคนเป็นบ้ากับสถานที่วิญญาณหลอนแบบนี้

    "โคกิคุง~ อย่างอนพวกข้าเลยนะครับ~~" คุโรโกะเดินตามฟุริฮาตะอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับอาคาชิ

    "อย่างอนพวกข้าเลยนะ~ โคกิ~" อาคาชิพุ่งเข้ากอดฟุริฮาตะจนแทบหงายเงิบ

    "อาคาชิ...ปล่อย..." ฟุริฮาตะตีแขนคนผมแดงป้าบๆ "...หายใจไม่ออก"

    "..." อาคาชิค่อยๆ ปล่อยฟุริฮาตะ...สงสัยเขากอดแรงไปแฮะ "...โคกิ...ยกโทษให้พวกข้าเถอะนะ...นะ"

    "...เฮ้อ" ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นท่าทางออดอ้อนของอาคาชิกับคุโรโกะ...เห็นแบบนี้ก็ใจอ่อนโกรธไม่ลงจริงๆ "ก็ได้...แต่อย่าทำอีกนะ"

    "รักโคกิ/โคกิคุงที่สุดเลย!!!" เด็กหนุ่มผมแดงและฟ้าโดดกอดฟุริฮาตะทันที

    "เอ่อ...ขอโทษนะ กรุณาอย่าลืมว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ได้ไหม?" เอยะรู้สึกราวตัวเองเป็นธาตุอากาศไปแล้ว เมื่อเห็นคนมาจู้จี้กันอย่างไม่เห็นหัวเขาเนี่ย!

    "ไม่ได้ลืม/ครับ แต่ไม่สน" อาคาชิกับคุโรโกะตอบอย่างพร้อมเพรียง

    "หัดอายบ้างเถอะ..." เอยะทำได้เพียงพูดเท่านี้จริงๆ

    ฟุริฮาตะส่งยิ้มเจืองๆ ให้เอยะ...เขาก็อายเหมือนกันนะ! แต่เหมือนลืมอะไรสักอย่างไปแฮะ? "จริงสิ!...อาคาชิ คุโรโกะ...ถ้าพวกนายไปหาเพื่อนเอยะในสภาพนี้พวกเขาจะไม่ตกใจกันเหรอ?"

    "เอ่อ จริง...ลืมคิดสนิก" เอยะคิดว่าคงจะแย่จริงๆ ก็พวกรุ่นพี่ตนเจอสองคนนี้ ส่วนพวกเพื่อนเขานอกจากเพื่อนสาวคนหนึ่งแล้วก็ไม่น่ามีปัญหา

    "งั้นเดี๋ยวพวกข้าเก็บหูและหางแล้วกัน..." คุโรโกะเอ่ยพร้อมกับที่มีแสงสีฟ้าโอบคลุมร่าง เช่นเดียวกับอาคาชิเพียงแต่ของอาคาชิเป็นแสงสีแดงแทน

    หูและหางของสัตว์ค่อยๆ หดหายเข้าไปในร่างของเจ้าของ ไม่นานเกินรอกึ่งมนุษย์ทั้งสองก็ส่งยิ้มให้ฟุริฮาตะในสภาะมนุษย์เต็มร้อย "แบบนี้โอเคไหม/ครับ?"

    "อ...อา โอเคเลยล่ะ" ฟุริฮาตะมองอย่างอึ้งๆ เล็กน้อย "แล้ว...พวกนายแปลงเป็นมนุษย์ได้เมื่อไหร่กัน?"

    "พวกข้าฝึกสำเร็จหลังจากเจ้าตายได้สิบปี" อาคาชิตอบ

    "เร็วไปไหมนั้น? ปกติฝึกอย่างนี้ต้องใช้เวลาห้าพันปีไม่ใช่เหรอ?" ฟุริฮาตะยังจำเรื่องที่คุโรโกะเล่าให้ฟังได้อยู่

    "พอดีแค้นสะสมไปหน่อย เลยฝึกเป็นการระบายเครียดเลย" อาคาชิยิ้มน่าขนลุก...สงสัยนึกถึงเจ้าตัวต้นเหตุของแค้นล่ะมั้ง

    "ว่าแต่...แล้วลุงคนนั้นหายไปไหนล่ะ? หรือส่งไปเกิดแล้ว?" ฟุริฮาตะถามอย่างคนเพิ่งนึกออก

    "ความรู้สึกช้าเหมือนเดิมเลยนะครับ โคกิคุง" คุโรโกะไม่คิดว่าฟุริฮาตะจะเพิ่งนึกเรื่องนี้ออกตอนนี้

    "ก็สมเป็นโคกิดีนิ" อาคาชิยักไหล่ "โคกิ...ถ้าจะถามเรื่องนี่ไปถามนู้นดีกว่า...รายนั้นเป็นคนจัดการ"

    เอยะสะดุ้งเมื่อถูกพาดพิง ฟุริฮาตะก็ส่งสายตาอยากรู้มาให้เอยะทำให้เจ้าตัวต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง...และแน่นอนฟุริฮาตะบ่นเอยะเล็กน้อย เนื่องจากไม่สนิกกันมากเลยบ่นนิดเดียว

    "อาคาชิ...คุโรโกะ...พวกนายช่วยพูดภาษาปัจจุบันเถอะ..." ฟุริฮาตะเอ่ยขึ้นหลังจากบ่นเอยะเสร็จแล้ว

    "ทำไมล่ะ/ครับ?" อาคาลิกับคุโรโกะถามกลับอย่างสงสัย

    "ก็...ถ้ามีคนเจอพวกนายพูดแบบโบราณเนี่ยเดี๋ยวเขาคิดว่าเป็นผีหลงยุดหรอก..." ฟุริฮาตะอธิบาย แม้ยะฟังดูเวอร์ไปนิดแต่สำหรับสถานที่แบบนี้ใครๆ ก็ขวัญกระเจิดกันหมด อาจมีคนคิดแบบนี้จริงๆ ก็ได้ "...อีกอย่าง...ถ้าให้ฉันเดาตอนที่พวกส่งฉันกับเอยะกลับต้องตามฉันกลับไปด้วยแน่เลยใช่ไหม? ฉันไม่รู้ว่าพวกนายตลอดมาอยู่ตรงไหนยังไงหรอกนะ แต่นายควรพูดแบบปัจุบันให้ชินไว้ดีกว่า"

    ...ก็จริง...

    "งั้นเอาตามนั้นแหละครับ เดี๋ยวข้า...เอ้ย! ผมกับอาคาชิคุงจะพยายามครับ" คุโรโกะเอ่ย...ที่จริงแค่เปลี่ยนวิธีการพูดมันไม่ยากหรอก แค่อาจมีหลุดการพูดแบบเดิมมาบ้างแค่นั้น

    "ตอนนี้ข้า...เอ่อ ฉันว่าเรารีบหาเพื่อนของเจ้า...นายแล้วรีบกลับเถอะ" อาคาชิพูดอย่างหลงนิดๆ

    "ปัญหาคือ...เราจะตามหาพวกนั้นเจอยังไง?" เอยะเอ่ยออกมา...ตอนนี้เขายังไม่ทันคิดวิธีตามหาคนในที่กว้างใหญ่แบบนี้เลย

    "ไม่เป็นไรครับ ผมมีวิธีหาอยู่...รอสักนะครับ" คุโรโกะพึมพำเบาๆ ออกมาสักพักก่อนที่จะแผ่พลังสัมพัสที่จะสัมพัสพลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตออกมา "สามคน...มีคนที่ยังมีชีวิตอยู่สามคนครับ"

    "ห๊า!?" เอยะมองคุโรโกะ "รู้ได้ไง!?"

    "พวกฉันสามารถจับพลังชีวิตได้น่ะ เลยรู้ได้ไม่ยากยิ่งกับที่ที่แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นเลยแบบนี้ยิ่งง่าย" อาคาชิตอบให้แก่เอยะ

    "แล้วสามคนนั้นอยู่ไหนล่ะ? พวกเราจะได้ไปหา..." ฟุริฮาตะถามคุโรโกะ

    "ไม่ต้องไปหาหรอกครับ...ทั้งสามกำลังจะมุงมาทางนี้ครับ" คุโรโกะยิ้มบางๆ "สองในสามกำลังจะมาถึงนี้ส่วนอีกคนคงต้องรอนานหน่อยครับ"

    กรี๊ด!!! / แว๊ก!!!

    ทันทีที่คุโรโกะพูดจบก็มีเสียงร้องของทั้งผู้หญิงและผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทุกคนหันไปทางต้นเสียงก่อนที่จะแทบเอ๋อกินเมื่อเหล่าวิญญาณทั้งหลายพุ่งมาหาพร้อมมาหลบด้านหลังพวกตนอย่างกับกลัวอะไรสักอย่าง...แต่หลบอยู่ที่หลังเอยะคนเดียวนะ เพราะอาคาชิกับคุโรโกะปล่อยรังสีอาฆาตที่อ่านได้ว่า 'ใครมันแตะต้องโคกิมันได้ตายรอบสองแน่!!!' เป็นเหตุให้เอยะต้องรับหน้าที่เป็นโล่ให้ผีไป

    "เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!?" คุโรโกะมองเหล่าวิญญาณทั้งหลายอย่างไม่เข้าใจ...ในเมื่อสิ่งที่เหล่าวิญญาณพวกนี้กลัวถูกกำจัดไปแล้ว...แล้วหนีอะไรกันมาเนี่ย!?

    "หรือมีผีอาฆาตดวงอื่นอีก?" อาคาชิตั้งข้อสงสัยเนื่องจากไม่ได้เปิดสัมพัสเลยไม่รู้ว่าสิ่งที่มาทางนี้เป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ พร้อมกับเสียงเดินของคนสองคนเดินมาทางนี้

    "ผมว่า...ไม่ใช่หรอก..." เอยะยิ้มแห้งๆ เมื่อเห็นร่างที่เดินมาทางนี้ "...พวกเธอสร้างความกลัวให้ผีมากเลยนะเนี่ย...บีโกะ ดีเนะ"

    "หึ! ก็เจ้าพวกผีบ้าพวกนี้อยากมาเกาะแกะบีโกะก่อนนิ!" เด็กสาวผมยาวสีม่วงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ มือข้างหนึ่งถือคัตเตอร์ไว้ส่วนอีกมือจับมือเด็กสาวผมสั้นสีน้ำตาลซึ่งผูกโบสีแดงไว้ที่ปอบผมด้านซ้าย

    "เอยะ...แล้วซีตะล่ะ? ไม่ได้อยู่ด้วยเหรอ?" บีโกะเอ่ยถามก่อนที่จะเลื่อนสายตามองคนที่อยู่ข้างๆ เพื่อนตนทั้งสาม "แล้วนี่...คนที่รอดเหมือนพวกเราสินะ แล้วพวกรุ่นพี่ปลอดภัยกันหรือเปล่าเนี่ย?"

    "ไม่..." อาคาชิเอ่ยสีหน้าตาย "...จากศพที่เจอมาทั้งหมดกับหมอนี่...ดูเหมือนรุ่นพี่พวกเธอจะตายกันหมดแล้ว"

    "แล้ว...แบบนี้ซีตะจะปลอดภัยไหมเนี่ย?" บีโกะเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ

    "รอด...รอดชัวท์ หมอนั่นมันยิ่งกว่าฉันอีก..." ดีเนะปลอบเพื่อนสาวของตน

    ...ขนาดคุณยังทำให้ผีหนีขนาดนี้ แล้วที่ยิ่งกว่าเนี่ยจะประมาณไหนเนี่ย!? พอๆ กับอาคาชิและคุโรโกะเหรอ!!!...

    ฟุฮาตะอดคิดแบบนี้มิได้ และจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องสนั่นหวั่นไหวยิ่งกว่าตอนที่โดนดีเนะไล่สองเท่าดังมาจากจุดเดียวกับที่ดีเนะเพิ่งเดินมา

    เหล่าผีน้อยใหญ่จำนวนมาก...มากจนคาดว่าคงแห่มาทั้งโรงเรียนเลยแหง ลอยเข้าหาพวกสิ่งมีชีวิตกลุ่มเดียวที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้ด้วยความเร็วแสงและไปกระจุกอยู่ด้านหลังของเอยะ...

    ...นี่เจ้าผีพวกนี้เห็นเขาเป็นกันชนหรือไง!?! ไหงมาหลบหลังเขาคนเดียวเนี่ย!!!...

    "เอยะคุง...ที่เดินมานั้นใช่เพื่อนคุณหรือเปล่าครับ?" คุโรโกะชี้ไปยังร่างเงาที่เดินมาทางนี้...

    "จะหนีไปไหนครับ~~? ผมจะจะถามว่าเห็นเพื่อนผมหรือเปล่าแค่นั้นเอง~~" ร่างที่เดินมาเป็นร่างเด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลหยักศก ดวงตาสีมรกต ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูน่ากลัวราวจะกำลังจะฆ่าคน และเมื่อเห็นพวกเด็กหนุ่มสาวทั้งหลายก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแบบดีใจออกนอกหน้าแทนพร้อมพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วพอๆ กับเหล่าผีที่ลอยเข้าหาก่อนหน้านี้ "เอยะ! ดีจังที่นายปลอยภัย!!!"

    เด็กหนุ่มตาสีมรกตเข้าไปกอดเอยะ...และเหล่าทั้งหลายพอเด็กหนุ่มคนนี้พุ่งเข้าหาคนที่ตนใช้เป็นกันชน (?) ก็พากันกระโจนหนีราวรังมดโดนตีไปติดกำแพงอย่างหมดหนทางหนีแบบลืมไปว่าตนทะลุกำแพงเอาก็ได้

    "อึดอัด...ปล่อยนะ! ซีตะ!!!" เอยะเอาตุ๊กตาฟาดหน้าคนที่ตอนนี้เอาหน้าถูไถ่ตน "หัดอายคนอื่นมั่งสิฟะ!!!"

    "เอยะอ่า~~~ ไม่เห็นเป็นไรเลย~~ ก็ไม่สนสักอย่างจะทำไมล่ะ?" ซีตะตอบกลับแบบหน้าถีบมาก~~~

    "เจ้าบ้าเอ้ย!" เอยะโวยใส่เพื่อนตน

    "เอ่อ...เลิกทะเลาะกันก่อนดีกว่าไหม?" ฟุริฮาตะเอ่ยขึ้น

    "นั้นสิ...หยุดก่อนเถอะ แล้วหาทางออกจากที่นี่กัน" บีโกะเอ่ยเสริม

    "ถ้าไม่หยุดจะให้อยู่เป็นผีเฝ้าที่นี่ทั้งคู่ดีไหม?" ดีเนะชูคัตเตอร์ขึ้นแบบบอกว่าจะให้บริการส่งไปโลกหน้าฟรีๆ แบบๆ ไม่คิดเงิน

    "หยุดแล้วครับ!" เอยะกับซีตะเอ่ยพร้อมกัน และถอยไปหลบหลังฟุริฮาตะทั้งคู่...หรือพูดให้ชัดๆ หน่อยก็คือเอยะหลบหลังฟุริฮาตะ ส่วนซีตะก็หลบหลังเอยะอีกที

    "เอ้าๆ เลิกเล่นกันได้แล้ว...ได้เวลากลับกันแล้วนะ" อาคาชิหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา

    "เอ๋? กลับ...นายรู้วิธีกลับเหรอ!?" ดีเนะถามอาคาชิ

    "รู้..." อาคาชิตอบสั้นๆ ...ถ้าคนถามไม่ใช่โคกิเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมายนักหรอก "...มายืนล้อมวงกันเร็ว จะได้กลับกันเสียที"

    "ได้ผลแน่นะ?" ซีตะกอดคอเอยะราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหายไป "แล้วนายรู้วิธีกลับได้ยังไง?"

    "ได้ผลแน่ มั่นใจได้...ส่วนรู้วิธีได้ไงนั่นขอไม่บอก" อาคาชิพูดอย่างมีเล่ห์นัย

    ถึงแม้บีโกะ ซีตะและดีเนะจะดูสงสัยอยู่ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรยอมทำตามที่อาคาชิบอกแต่โดยดี เพราะก็ดีกว่ามาเดินในโรงเรียนผีสิงอย่างนี้หลายเท่าล่ะ

    "จับมือกันไว้นะครับ...จะได้ไปหลงไปตกที่อื่นระหว่างทาง" คุโรโกะเอ่ยพร้อมจับมือซ้ายฟุริฮาตะไว้

    "ตามไปเก็บกลับมาไม่ได้นะขอบอกไว้ก่อน" อาคาชิโยนกระดาษที่ตนเอาออกมาโยนไว้กลางวง แล้วเลื่อนมือไปจับมือขวาฟุริฮาตะไว้

    "...ถ้าเกิดตกไประหว่างกลับกันจริงๆ อาจจะตกดงซอมบี้เลยมั่ง..." เอยะจับมืออาคาชิไว้ พร้อมเอาตุ๊กตายัดไว้ในเสื้อนอก

    "อาจกลับไปได้บ้างส่วนแบบในบางตำนานก็ได้นะ..." ซีตะจับมือเอยะ

    "อย่าปากเสียสิ!" บีโกะแว๊ดใส่พร้อมจับมือซีตะไว้

    "ตานี่ก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนิ" ดีเนะจับมือบีโกะไว้ และอีกข้างก็จับมือคุโรโกะไว้

    "คนที่กลับไปไม่ครบสามสิบสองคงมีแต่พวกเราแหละ...ฟุริฮาตะปลอดภัยชัวท์..." เอยะพึมพำเบาๆ ...เขามั่นใจเต็มร้อยเลยว่าถ้าจะเป็นแบบที่ซีตะบอกก็มีแต่พวกกลุ่มของเขาเองเนี่ยแหละ

    "เอาน่าๆ อย่าทะเลาะกันสิ..." ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ "...เริ่มเลยเถอะอาคาชิ"

    "ตามต้องการเลย..." อาคาชิส่งยิ้มให้ฟุริฮาตะ พร้อมกับร่ายอะไรสักอย่างออกมายาวพรืดเกือบสิบนาที ซึ่งทุกคนฟังไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดอะไรออกมาเลย

    เมื่อเด็กหนุ่มผมแดงร่ายจบตรงพื้นที่พวกตนยืนอยู่ก็ถล่มลงอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครทันหลุดร้องอะไรออกมาเลย...ก่อนที่พื้นเหล่านั้นจะลอยกลับมาต่อกันเองราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

    ...โดยเหล่าผีที่ได้เห็นก็ต่างพากันงงกับภาพที่ได้เห็นแต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ทำได้เพียงยืนงงจนเหล่าผู้ใส่ชุดสีดำเดินมารับพวกวิญญาณ ณ ที่นี่ไปยมโลกทันทีที่สิ่งที่คอยดึงวิญญาณทุกดวงไว้ที่นี่ได้หายไปแล้ว เพื่อนำไปสู่วัฏจักรที่ควรเป็น...

     

     

     

     

     

    "แบบนี้จะเอาไงดีเนี่ย?" ฮิวงะนั่งหน้าตาเหมือนคนโดนทวงหนี้อยู่ที่ม้านั่ง

    "เรื่องบ้าแบบนี้เกิดขึ้นได้ไงเนี่ย?" ริโกะยี้หัวตนเองจนยุ่งเหยิง พลางมองยังกลุ่มตำรวจที่ดูกลุ้มไม่แพ้พวกตน

    ตั้งแต่ที่เห็นฟุริฮาตะหายไปต่อหน้าต่อตาเหล่าตำรวจและผู้เห็นเหตุการณ์พยายามหาสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อหาทางช่วยคนที่หายไป...แต่จนสามชั่วโมงผ่านไปก็ไม่อะไรคืบหน้าเลย ทุกคนในทีมเซย์รินก็เริ่มท้อแล้วว่า...ไม่มีทางได้เจอกับเพื่อนของตนอีกแล้ว

    "ฟุริ...ขอให้ปลอยภัยเถอะ..." คางามิภาวนาเช่นนั้นพร้อมมองท้องนภาสีดำเบื้องบน...ก่อนที่ดวงตาสีเพลิงจะเบิกกว้าง "นี่มันบ้าอะไรอีกฟะเนี่ย!?"

    ...และพร้อมกันนั้นเองท้องฟ้านั้นก็เริ่มแตกออกราวกับกระจกโดนตีใกล้แตก ก่อนที่ชิ้นส่วนของท้องนภาตกร่วงลงสู่พื้นราวสายฝน เผยให้เห็นสิ่งที่เหมือนหลุมดำจากจุดที่ชิ้นส่วนนั้นหล่นลงมา เหล่าผู้คนต่างวิ่งหนีอย่างกลัวว่าจะมีเหตุการณ์คล้ายๆ กับก่อนหน้านี้จะเกิดขึ้น

    เหล่าทีมเซย์รินยืนนิ่งมองเหตุการณ์นภาถล่มอย่างอึ้งๆ พร้อมกันนั้นเองชิ้นส่วนที่ร่วงลงมาบางส่วนไม่ยอมร่วงลงสู่พื้น...ชิ้นส่วนเหล่านั้นลอยสูงจากพื้นราวๆ สามเมตก่อนที่จะมีสิ่งแปลกปลอมร่วงมาพร้อมกับ...

    กริ๊ด!!!/แว๊ด!!!

    ...เสียงร้องเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากร่างเจ็ดร่าง (ส่งเสียงร้องแค่ห้าคน) ร่วงลงมาสู่พื้นทับกันเป็นเจดีย์มนุษย์ ก่อนที่เหล่าชิ้นส่วนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าจะลอยขึ้นไปต่อกันและกลับไปสู่สภาพเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    "โอ๊ย~~ ท้องลงรอบที่สาม...ทำไมมันไม่ลงส่วนอื่นมั่งเนี่ย!?!" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลโวยกับตัวเอง พร้อมลงจากหลังคนอื่นๆ ที่ตนหล่นทับอยู่

    "เพราะโคกิเป็นพวกซวยสุดขีดมั้ง..." เด็กหนุ่มผมแดงโดดลงจากหลังคนอื่นๆ เป็นคนที่สอง

    "ช...ช่วยลากผมลงด้วยครับ...จุก...ขยับไม่ไหวแล้ว..." เด็กหนุ่มผมฟ้าร้องขอความช่วยเหลือ จนสองคนแรกที่โดดลงมาขาแตะพื้นแล้วลากร่างคนผมฟ้าลงจากเจดีย์มนุษย์เป็นคนที่สาม

    "ให้ตายเถอะ...ลงนิ่มๆ หน่อยก็ไม่ได้..." เด็กสาวผมยาวสีม่วงโดดลงมาเป็นคนที่สี่ ก่อนที่จะอุ้มเพื่อนสาวตนลงมาเป็นคนที่ห้า

    "นั้นสินะ..." เด็กสาวผมสั้นสีน้ำตาลเห็นด้วยกับเพื่อนตน

    "เอาน่า...อย่างน้อยพวกเราก็กลับมาครบสามสิบสองน่า..." เด็กหนุ่มตาสีมรกตลงจากหลังคนที่อยู่ชั้นล่างสุด

    "..." เด็กหนุ่มผมดำ ผู้มีตุ๊กตากระต่ายวางแหมะอยู่บนหัวนอนนิ่งสนิก

    "เอยะ? ไม่เป็นไรนะ?" ซีตะเอ่ยพร้อมหยิบตุ๊กตาที่คาดว่าหลุดออกมาตอนที่ตกลงมาออกจากหัวเพื่อนตนให้ และเอานิ้วจิ้มๆ หลังร่างที่นอนนิ่ง

    "...จุก" คำสั้นๆ จากเอยะเป็นอันรู้กันว่าเจ้าตัวจุกจนลุกขึ้นมาเองไม่ไหว...แถมยังซวยโดนคนหกคนทับอีก ถ้าไม่แทบแบนเป็นกล้วยทับก็แปลกล่ะ

    "แฮะๆ งานนี้เอยะซวยเองน้า..." ซีตะค่อยๆ พยุยเพื่อนตนให้ลุกขึ้นนั่ง "...แต่เอาเถอะ...พวกเรากลับกันเลยดีไหม?"

    "ดี...จะอยู่ต่อทำไมล่ะ?" ดีเนะวางบีโกะเมื่อเด็กสาวที่ตนอุ้มอยู่บอกให้ปล่อยตนได้แล้ว

    "แต่...ดูเหมือนจะกลับบ้านกันไม่ได้ง่ายๆ นะครับ..." คุโรโกะมองไปรอบๆ "...ดูท่าจะมีคนสนใจที่เราตกลงมาแบบนี้เผียบเลยล่ะครับ"

    "อื้ม จริง...เราเล่นตกลงมาอย่างนี้เลยเป็นที่สนใจไปเลย" อาคาชิมองเหล่าตำรวจที่อ้าปากค้าง "เอางี้ไหม? แกล้งทำเป็นจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ จะได้ไม่ต้องโดนถามอะไรมากมาย"

    "ตามนั้นแหละ!" พวกเอยะตอบอย่างขี้เกียจตอบคำถามมากเหมือนกัน

    "ตกลงตามนี้...ส่วนโคกิอย่าตอบอะไรเลย ท่าทางและสีหน้านายมันโกหกไม่เนียนเอาเสียเลย" อาคาชิหันไปพูดกับฟุริฮาตะ

    "ตามนั้นก็ได้..." ฟุริฮาตะก็ไม่คิดว่าตนจะโกหกใครเขาได้หรอก

    "ฟุริ!!! // ฟุริฮาตะคุง!!!" เสียงเรียกชื่อ ทำให้เจ้าของชื่อหันไปมองทางตนเสียงก่อนที่จะแทบล้มเมื่อถูกพุ่งเข้ามากอด โชคดีที่คุโรโกะกับอาคาชิจับไว้ทัน ไม่งั้นหัวโหม่งพื้นไปแล้ว

    "ท...ทุกคน..." ฟุริฮาตะมองเพื่อนและรุ่นพี่ในทีมตนที่น้ำหูน้ำตาไหล

    "แง้~~~ ฟุริ...คิดว่านายจะไม่กลับมาแล้วเสียอีก" คาวาฮาระกับฟุคุดะเกาะฟุริฮาตะหนึบราวกับปลิง

    "ให้ตายเถอะ...โล่งอกไปที..." คางามิขยี้หัวฟุริฮาตะ สีหน้าดูโล่งอกสุดแสน

    "อย่าทำให้เป็นห่วงนักสิ!" ฮิวงะพยายามเก๊กหน้าตามประสาคนซึน (แอ๊ด! // s โดนถีบ)

    "พ...พวกเราเป็นห่วงแทบตายนะรู้ไหม!!! เจ้าบ้า!!!" ริโกะโวยใส่อย่างเป็นห่วงเป็นใย และจากนั้นก็มีเสียงบ่นสารพันมากมายจนฟุริฮาตะฟังไม่ทันและสมองรับไม่ทันจากรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน

    "ดูฟุริฮาตะเป็นที่รักของทุกคนดีนะ..." เอยะมองฟุริฮาตะที่ถูกรุมล้อม

    "ตามนิสัยโคกิก็สมควรอยู่หรอก" อาคาชิมองอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะเขาไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้โคกิเท่าไหร่นัก

    "อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิครับ อาคาชิคุง...มีคนรักโคกิคุงดีกว่ามีคนเกลียดนะครับ" คำที่คุโรโกะเอ่ยทำให้อาคาชิสลายอาการหงุดหงิดของตน

    "นั่นสินะ..." อาคาชิเอ่ยพร้อมเดินไปหากลุ่มที่รุมล้อมฟุริฮาตะ "...โทษทีนะ จะพูดอะไรนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เตรียมหนีกันก่อนดีกว่า"

    "เอ๋?" เหล่าทีมเซย์รินมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ...ก่อนที่จะเข้าใจแจ่มแจ้งเมื่อคนผมแดงชี้ไปยังกลุ่มนักข่าวที่วิ่งมาทางนี้ "เผ่นเร็ว!!!"

    ทุกคนรีบวิ่งออกจากจุดนั้นก่อนที่จะโดนนักข่าวรุม โดยคางามิรับหน้าที่ลากฟุริฮาตะที่ยืนเอ๋อเพราะตามไม่ทันมาด้วยกันจนออกห่างจากจุดนั้น...มาก

    "แฮ่กๆ เกือบลืมพวกนักข่าวไปเลย..." ฮิวงะบ่นพร้อมวางร่างโค้ชลงจากบ่าตน

    "เกือบไปแล้วสิ..." คางามิมองไปด้านหลังดูว่ามีนักข่าวคนไหนตามมาไหม

    "...นั้นสิครับ" เสียงหนึ่งลอยมาจากด้านหล้งทำให้ทุกคนสะดุ้งและมองที่ต้นเสียง...ซึ่งคือเด็กหนุ่มผมฟ้านั้นเอง

    "เฮ้ย!!! / ว้าย!!!" เหล่าทีมเซย์รินแทบโดดกอดกัน "มาตอนไหนเนี่ย!!!"

    "ผมก็วิ่งมาพร้อมกันนี่แหละครับ" คุโรโกะทำหน้าตายแบบเคยชินกับเรื่องนี้มาก "แต่...แม้แต่โคกิคุงยังลืมผมเนี่ยมันน่าน้อยใจนะครับ"

    "แฮะๆ โทษทีๆ" ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ ...จริงอยู่ว่าเขาไม่ควรลืมคุโรโกะไปแต่ว่า...

    ...ทำไมนายจืดจางกว่าเดิมฟะ!?! แต่ก่อนยังไม่จืดจางจนอยู่ข้างๆ ยังแทบไม่เห็นแบบนี้เลย!!! ไปอัพเลเวลมาเหรอ!!!...

    "เอ่อ...พวกนายรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าเนี่ย!?" คางามิมองคนผมฟ้าและคนผมแดงที่ดูเหมือนจะรู้จักกันมานานแล้ว

    "ครับ พอดีผมกับอาคาชิคุงเป็นเพื่อนสมัยเด็กของโคกิคุงน่ะครับ" คุโรโกะตอบก่อนที่จะฟุริฮาตะจะทันเอ่ยอะไรออกมาเสียก่อน

    "อ๋อ~~" คางามิยอมเชื่อง่ายๆ อย่างไม่นิดใจอะไร

    "ว่าแต่นายวิ่งตามาทันได้ไง? เท็ตสึยะ..." อาคาชิรู้ว่าเพื่อนผมฟ้าคนนี้สายบุ๋นขนาดไหนและมั่นใจได้เลยว่าไม่มีทางวิ่งตามพวกเขาได้ทันแน่

    "ให้ซีตะคุงแบกมาครับ..." คุโรโกะชี้ไปทางพวกเอยะที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนัก

    "ว่าแล้วเชียว" อาคาชิยิ้มน้อยๆ

    "นี่...ฟุริฮาตะ..." เอยะเรียก เจ้าของชื่อก็หันมามองยังคนเรียก "...หัดไปทำบุญล้างซวยเสียบ้างก็ดีนะ ซวยเหลือเกินนะนายเนี่ย"

    พอจบประโยคนี้ของเอยะฟุริฮาตะถึงกับเอ๋อกิน อาคาชิกับคุโรโกะต่างกลั้นขำกันไป ส่วนเหล่าทีมเซย์รินฮากันกระจายเพราะรู้ดีในความโชคร้ายแบบแปลกๆ ของเพื่อนร่วมทีมตนดี

    "เอยะ! ไปว่าแบบนั้นได้ไงยะ!" บีโกะแทบจะเขย่าคอเอยะ

    "ก็มันจริงนิ =*=" เอยะไปหลบหลังซีตะ

    "ไหงนายถึงเอาฉันเป็นโล่ล่ะ..." ซีตะชักเหงื่อตกกับท่าทางเหมือนจะหักคอตนของบีโกะ

    "เอ้า! งั้นบอกสิว่าหมอนี่มันซวยยังไง!?" ดีเนะชี้ไปทางฟุริฮาตะแบบเจาะจง

    "แล้วคิดว่าคนที่ร่วงไปพร้อมกับพวกเราเพราะแค่เผลอไปเก็บบอลด้านหลังเราพอดี แถมเป็นคนนอกเพียงคนเดียวที่ตกไปพร้อมกันด้วย...มันซวยไหมล่ะ..." เอยะบอกหน้าตาย

    "ซวย..." ซีตะเอ่ยอย่างเห็นด้วย

    "ซวยมาก..." บีโกะเริ่มเข้าใจที่เอยะบอกให้ฟุริฮาตะไปล้างซวยแล้วล่ะ

    "ซวยสุดๆ..." ดีเนะไม่คิดว่าจะมีคนซวยขนาดนี้...มีอย่างที่ไหนมีคนที่เดินผ่านไปผ่านมามีเป็นร้อยดันโดนลูกหลงจากพิธีซาจิโกะแห่งความสุขอยู่คนเดียวเนี่ย!

    "ฉันมีศาลเจ้าดีๆ แนะนำนะ..." ฮิวงะตบไหล่รุ่นน้องตน...ถึงไม่รู้ว่าที่พวกเอยะพูดกันนั้นเรื่องอะไร แต่น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แหละ

    "มีเรื่องอะไรค่อยคุ้นพรุ่งนี้แล้วกันนะ...ตอนนี้ก็มืดแล้ว รีบกลับบ้านกันเถอะ" ริโกะเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าเวลานี้พวกตนควรกลับบ้านได้แล้ว

    "ตามนั้นแหละน้าาาา" คิโยชิยิ้มร่า "แล้วฟุริจะให้ไปส่งไหมล่ะ?"

    "ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ" ฟุริฮาตะยิ้มพร้อมปฏิเสธความหวังดีของรุ่นพี่ตน...ตอนนี้เขามีเรื่องต้องคุยกับอาคาชิและคุโรโกะอยู่

    "แน่ใจนะ...ว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?" คางามิไม่มั่นใจเลยว่าเพื่อนคนนี้จะกลับบ้านแบบปกติได้จริง...ยิ่งเกิดเรื่องบ้าๆ นั้นขึ้นด้วยแล้วเขายิ่งไม่มั่นใจ...

    "ไม่เป็นไหร่หรอก เดี๋ยวฉันกับเท็ตสึยะกลับพร้อมโคกิเอง" อาคาชิเอ่ย

    "งั้นคงไม่เป็นไหร่มั้ง" คางามิถึงรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่โดยเฉพาะคนผมสีแดง...แต่ยังไงก็ถือว่าถ้าเกิดเรื่องก็มีคนคอยช่วยฟุริฮาตะอยู่ล่ะน่า

    "งั้นกลับบ้านใครบ้านมัน..." ฮิวงะสรุปก่อนที่จะคืนกระเป๋าของฟุริฮาตะให้เจ้าตัว และจากนั้นต่างคนก็ต่างกลับบ้านของตนเองไป

    ระหว่างที่เดินกลับบ้านฟุริฮาตะก็พบเรื่องๆ หนึ่งเข้า...ซึ่งนั้นคือบ้านของเอยะและซีตะอยู่ห่างจากบ้านเขาไปไม่กี่ซอยเอง...

    "ไม่คิดเลยว่าบ้านเอยะอยู่ใกล้ๆ บ้านฉันเอง" ฟุริฮาตะเอ่ยออกมา

    "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ..." เอยะก็ไม่รู้เหมือนแหละ

    "แต่ฉันรู้น้า~~~" ซีตะยิ้ม "เมื่อก่อนตอนม.ต้นพวกเราต่างอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่อยู่คนล่ะห้องกันน่ะ"

    "จริงสิ!?" ฟุริฮาตะกับเอยะถามออกมาพร้อมๆ กัน

    "จริง~~~" ซีตะยืนยัน "แต่เพราะพวกนายมักจะไม่ทันเห็นกันตลอดหรือไม่ก็มักเดินไปคนละทางกันเลยไม่คุ้นกันทั้งคู่น่ะ"

    "อ๋อ~~~" ฟุริฮาตะกับเอยะส่งเสียงอย่างเข้าใจพร้อมกัน

    เด็กหนุ่มทั้งสามเดินคุยกันไปเรื่อยๆ โดยที่ฟุริฮาตะก็พยายามนำอีกสองหนุ่มที่เดินตามมาเงียบๆ เข้าสู่วงสนทนาตลอด แต่จนแล้วจนรอดทั้งอาคาชิทั้งคุโรโกะก็ไม่ได้พูดคุยอะไรมากนักเพราะนิสัยของทั้งสองไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว

    จนมาถึงทางแยกที่บ้านของเอยะกับซีตะซึ่งไปคนละทางกับฟุริฮาตะ เอยะกับซีตะโบกมือลาพวกฟุริฮาตะและเดินกลับบ้านกันไปสองคน

    ฟุริฮาตะเมื่อแยกกับเอยะแล้วก็เริ่มถามในเรื่องที่อยากถามเพื่อนในชาติก่อนของตนทั้งสอง "อาคาชิ...คุโรโกะ...พวกนายพักที่ไหนกันน่ะ"

    "ไม่ต้องห่วงฉันไม่ได้นอนในป่าอย่างที่นายคิดแน่..." อาคาชิเอ่ยอย่างรู้ทันในความคิดของคนผมสีน้ำตาล "...ฉันพักอยู่คอนโดในโตเกียวนี้แหละ"

    "ส่วนผมพักกับครอบครัวน่ะครับ" คุโรโกะเอ่ยออกมา "คุณคงไม่คิดหรอกนะครับว่าเผ่าของพวกผมจะไม่ปรับตัวตามยุคที่เปลี่ยนไปเลย และไม่ต้องห่วงว่าใครจะจับได้หรอกนะครับตอนนี้เผ่าของพวกผมสามารถใช้มนต์หลอกตาคนอื่นให้ดูเหมือนแก่ตามกาลเวลาได้ครับ และบางส่วนเมื่อแกล้งตายแล้วก็จะทำเอกสารปลอมที่ทางครอบครัวอาคาชิคุงจัดทำให้มาใช่ชีวิตในฐานะอีกคนหนึ่งครับ...ส่วนสำหรับคนที่ทำสัญญาแบบพวกผมจะรูปร่างอายุจะเปลี่ยนตามอายุของผู้เป็นนายครับ ส่วนเมื่อผู้เป็นนายตายก็จะย้อนอายุกลับมาเป็นรูปลักษณะตามในเผ่าแทนครับ"

    "สรุปง่ายๆ คือโคกิตอนนี้อายุสิบหก ฉันกับเท็ตสึยะก็จะมีลักษณะอายุสิบหกเท่านาย และถ้านายตายตอนแปดสิบ ฉันกับเท็ตสึที่อยู่ในร่างคนอายุแปดสิบก็จะย้อนมาอยู่ในร่างคนอายุตามเผ่าซึ่งก็คืออายุที่เกิดมาหารพันก็จะเป็นร่างตอนอายุเท่านั้น" อาคาชิสรุปให้ฟุริฮาตะที่ดูงงๆ

    "งั้นเหรอ...ดีจัง..." ฟุริฮาตะยิ่มอย่างโล่งอก เพราะกำลังกลัวอยู่เลยว่าตลอดมานั้นคุโรโกะกับอาคาชิจะลำบากกัน

    "คุณเนี่ยนะ...ห่วงคนอื่นมากไปแล้วนะครับ" คุโรโกะเขกหัวฟุริฮาตะเบาๆ

    "ก็ฉันนิสัยอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนิ" ฟุริฮาตะก็ไม่คิดว่าตนจะเปลี่ยนนิสัยตนเองได้แล้วด้วย "ว่าแต่พวกนายเรียนที่ไหนกันเนี่ย?"

    "ก่อนหน้านี้พวกผมถูกส่งไปเรียนต่างประเทศมาครับ และเพิ่งกลับมาญี่ปุ่นเมื่อวานนี้เองครับ...ตอนนี้เลยยังไม่มีที่เรียน..." คุโรโกะเอ่ยออกมา "...และตอนนี้รู้แล้วครับว่าจะเรียนที่ไหน"

    "ที่ไหนล่ะ? หรือว่า..." ฟุริฮาตะชักสังหรณ์แล้วสิว่า...

    "อย่างที่คิดนั้นแหละ ฉันกับเท็ตสึยะจะเรียนที่เดียวกับโคกินั้นแหละ" อาคาชิตอบทันที

    ...นั้นไง...กะแล้วเชียว...

    "หลังจากนี้ก็ฝากตัวอีกครั้งด้วยนะครับ โคกิคุง" คุโรโกะยิ้มแฉ่ง

    "อื้ม! ฝากตัวด้วยเช่นกันนะ!" ฟุริฮาตะยิ้มส่งกลับไป...

    ...อา ตอนนี้กลายเป็นว่าพวกเขาได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งแล้วสินะ? แต่ยังไงก็ช่างเถอะ...ตอนนี้เขาอยากทดแทนเวลาที่เพื่อนทั้งสองของเขาโดดเดียวไปหลายสิบปี ดังนั้นเขาจะสร้างความทรงจำของพวกเราทั้งสามขึ้นใหม่...จนวาระสุดท้ายของชีวิตนี้ของตัวเขาเอง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    End

    อ่ะ! แถมให้นิดนึง

     

     

     

     

     

    "ทำไม...พวกนายมาอยู่นี่?" เด็กหนุ่มผมดำ นัยน์ตาสีแดงชี้ไปยังกลุ่มคนคุ้นหน้าที่มายืนอยู่ในโรงเรียนตนได้ไงไม่รู้

    "แฮะๆ พอดีมีซ้อมแข่งที่นี่น่ะ" ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ ให้คนที่ดูท่าอยากจะลมจับ เมื่อเห็นอาคาชิคาดว่าคงโดนแกล้งอะไรมาแน่...ก็อาคาชิค่อนข้างขี้แกล้งนี่นา

    ผ่านมาสามเดือนแล้วหลังจากเหตุการณ์ตกไปในมิติทับซ้อน และตอนนี้อาคาชิกับคุโรโกะได้เป็นตัวจริงของทีมบาสเซย์รินด้วย เพราะว่าทั้งสองคนอยากอยู่ข้างๆ เขาเลยเข้าชมรมบาสกับเขาด้วยเสียเลย...

    ...ตอนแรกเขาห่วงคุโรโกะว่าจะไหวหรือเปล่า แต่ด้วยความสามารถของอาคาชิทำให้คุโรโกะนั้นสามารถเล่นบาสได้มีประสิทธิภาพอย่างน่ากลัว และที่สำคัญที่สุดคือทั้งสองดูจะสนุกกับการเล่นบาสด้วยซึ่งนั้นถือเป็นเรื่องดีมากๆ เพราะเขาไม่อยากให้เพื่อนทั้งสองของเขาทำในสิ่งที่ไม่ชอบเพราะเขาหรอก

    "แข่งบาสสินะ? แล้วสองคนนี้ลงด้วยดิ?" เอยะชี้ที่อาคาชิและคุโรโกะอย่างเจาะจง...ดูยังไงก็โกงกันชัดๆ! เอาสองคนสี้ลงเล่นด้วยนิ!

    "ครับ...พวกผมก็ลงด้วย แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะโกงหรอกนะครับ เพราะพวกผมเมื่ออยู่ในร่างมนุษย์จะถูกสะกดพลังไว้ครับ" คุโรโกะเอ่ยอย่างรู้ว่าเอยะคิดอะไร เพราะก่อนหน้านี้ฟุริฮาตะก็ถามเหมือนกัน

    "แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ? ผมก็เห็นว่าตอนนั้นยังใช้พลังดึงพวกเรากลับมานี่ได้อยู่เลย" เอยะจำได้ว่าตอนนั้นสองคนนี้ก็อยู่ในร่างมนุษย์อยู่เลย

    "ก็จริงอยู่ครับว่ายังใช้พลังได้อยู่ แต่ในร่างมนุษย์นี่ต้องร่ายคาถาด้วยครับ...และคงไม่มีใครบ้าไปร่ายคาถากลางสนามให้คนเขางงกันเล่นหรอกครับ อีกอย่างใช้พลังกับเรื่องแบบนี้ออกจะไร้สาระไปหน่อยนะครับ" คุโรโกะตอบพร้อมลูบหัวลูกหมาในกระเป๋าสพายตน...เป็นลูกหมาที่คุโรโกะเก็บได้เมื่อไม่กี่วันก่อนในโรงเรียน

    ซึ่งตอนที่นำเจ้าลูกหมานี้ไปในโรงยิมนั้น โรงยิมก็เกือบแตกเมื่อคางามิดันกลัวหมาเสียนิ...ถึงสุดท้ายคุโรโกะก็ทำให้คางามิหายกลัวหมาได้หน่อยนึงและโคงาเนะก็ตั้งชื่อลูกหมาตัวนี้ว่าเท็ตสึยะเบอร์สองเพราะแววตาเหมือนคนที่เก็บมาเด๊ะ

    "เหรอ~~" เอยะลากเสียงยาว...จะว่าไปก็จริงใครเขาจะทำเรื่องไร้สาระพันธุ์นั้นล่ะ "ว่าแต่...พวกนายมาหาฉันทำไมเนี่ย? โรงยิมอยู่ด้านล่างนู้น ขึ้นมาอะไรบนชั้นสามเนี่ย?"

    เอยะสงสัยตั้งแต่เห็นสามคนนี้ที่หน้าห้องเรียนตนแล้ว จะว่าหลงก็ไม่น่าใช่...จะมีใครบ้าหาโรงยิมไม่เจอแล้วเดินขึ้นมาชั้นสามหรอก!

    "พอดีเห็นนายจากด้านล่างน่ะ...เลยจะลากไปดูพวกเราซ้อมแข่งกันสักหน่อย..." อาคาชิไม่พูดเปล่ายังจับเอยะพาดบ่าด้วย

    "เฮ้ย!!!" เอยะที่ขาไม่ติดพื้นเริ่มเสียวที่จะร่วงจากบ่าคนผมแดง "แล้วทำไมฉันต้องไปดูด้วยล่ะเนี่ย!?!"

    "ไม่มีอะไรหรอกครับ อาคาชิคุงแค่เห็นคุณทำหน้าเหมือนจะหลับเลยมาลากคุณแค่นั้นแหละครับ...ถือว่าใช้เวลาว่างให้เป็นประโยนช์แล้วกันนะครับ" คุโรโกะที่ไม่ริดห้ามคนผมแดงเลย ดันหลังอาคาชิให้เดินไปเร็วๆ "รีบๆ ไปดีกว่าครับอาคาชิคุง เดี๋ยวการแข่งจะเริ่มเสียก่อน"

    "โอเค..." ว่าแล้วอาคาชิก็ออกวิ่งทันที ทำให้เอยะต้องเกาะอาคาชิแน่นเพราะกลัวตก ส่วนฟุริฮาตะ...ได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้าอย่างปลงๆ ถ้าให้เขาเดาอาคาชิคงอยากแกล้งเอยะเล่นแหงๆ

    เมื่อมาถึงโรงยิมอาคาชิก็วางเอยะแหมะลงบนเก้าอี้ข้างสนาม และอาคาชิก็ลากเพื่อนตนอีกสองคนแว๊บไปเปลี่ยนชุดก่อนที่จะลงสนามแข่ง...เอยะถึงกับคุมขมับเมื่อเห็นสไตร์การแข่งของอาคาชิและคุโรโกะ...

    ...อาคาชินั้นแค่สายตาก็กดดันคู่แข่งได้แล้ว ส่วนคุโรโกะก็จางซะไม่อยู่ในสายตาใครเลยด้วยซ้ำยิ่งในการแข่งยิ่งดูจางลงไปอีก...ให้ตายเถอะ! ใครจะคิดว่าสองคนนี้มาเล่นบาสแล้วจะเก่งแบบนี้ล่ะ!

           และหลังจากจบการแข่งขันก็กลายเป็นว่าเหล่าทีมเซย์รินเข้าใจว่าเอยะเป็นเพื่อนสมัยเด็กอีกคนของฟุริฮาตะซะงั้น ความวุ่นวายเล็กๆ จึงได้เกิดขึ้นจนซีตะมาลากตัวเอยะกลับนั้นแหละ...แถมไม่วายหันไปพูดกับอาคาชิอีก...

    "คราวหลังจะพาเอยะไปไหนมาไหนช่วยบอกผมด้วยนะครับ"

    ...เป็นอันว่าหลังจากนี้นอกจากเอยะที่ถูกอาคาชิแกล้งลากไปลากมาก็จะมีซีตะพวงมาด้วยอีกคน

    ฟุริฮาตะหัวเราะเบาๆ กับการแกล้งคนอื่นราวเด็กๆ ของอาคาชิ...ซึ่งดูเหมือนว่าเอยะจะกลายเป็นคนที่อาคาชินับเป็นเพื่อนเสียแล้วสิ เพราะจากที่ฟังคุโรโกะมานอกจาเขาแล้ว คนที่อาคาชิอยากเป็นเพื่อนนั้นมักจะโดนเจ้าตัวแกล้งก่อนเสมอ...

    ...ส่วนทำไมเขานั้นไม่โดนแบบคนอื่นนั้นคุโรโกะบอกว่าเพรมะตอนนั้นเขาสุขภาพไม่ดีเลยไม่แกล้งแค่นั้นแหละ (ความจริงเพราะอาคาชิไม่ได้นับฟุริฮาตะเป็นเพื่อน แต่เป็นคนรักต่างหาก // s , อย่าแฉกันสิ // อาคาชิ)

    ...สรุปคือ...งานนี้เอยะรับซวยไปเต็มๆ...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    End

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×