ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mighty Spear Chronicle - Tale of Brionac (สถานะ:จบครึ่งแรก)

    ลำดับตอนที่ #16 : Chapter14 - ความไม่สงบในป่าแห่งความสงบ (Breaking Silence)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 43
      0
      21 ก.ย. 56

                     “แปลว่าท่านรู้จักพวกนั้น?” แรกนัสถามฮาโรลด์ ตอนนี้พวกเรา อันประกอบไปด้วยผม พี่แรกนัส ลุงพอล และโฮแกน นั่งคุยอยู่ในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้

                    “แน่นอน...  พวกนั้นเป็นโจรที่ตั้งรกรากอยู่ที่หุบเขาบามอส ถึงแม้มันจะเป็นโจรแต่มันกลับให้ความร่วมมือกับทางการเป็นอย่างดี พวกมันจึงได้รับการสนับสนุนเป็นบางครั้ง เบื้องหน้าแสร้งทำเป็นนำกองกำลังเข้าจับกุมแต่เบื้องหลังมันกลับตกลงผลประโยชน์กันได้อย่างลงตัว” ฮาโรลด์เล่า

                    “แล้วทำไมมันจึงโจมตีที่นี่?” แรกนัสถามเข้าประเด็น

                    “เป็นข้าเองที่จ้างพวกมันให้ปกป้องหมู่บ้านของเราในช่วงเก็บเกี่ยว พักนี้โจรภูเขาชุกชุมยิ่งนัก ยังดีที่ได้พวกมันคอยเป็นหูเป็นตาให้ ถึงแลกกับพืชผลครึ่งหนึ่งก็ต้องยอม” โฮแกนกัดฟันพูด “ไม่นึกเลยว่ามันจะแว้งกัดเราได้เช่นนี้”

                    ผมนั่งฟังแต่ไม่ได้คิดเหมือนพวกเขาด้วย “แต่ผมว่าสาเหตุที่พวกมันโจมตีน่าจะเป็นเพราะพวกเรามากกว่า”

                    ทุกคนหันมาทางผมกันหมด ผมจึงพูดต่อ “ผมได้ต่อสู้กับผู้หญิงที่น่าจะเป็นหนึ่งในผู้นำโจรพวกนั้น มันรู้จักผมกับพี่แรกนัสเป็นอย่างดี”

                    พี่ชายผมดูให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ “มันพูดว่าอะไรรึ?”

                    “อย่าไปสนใจเลย” ผมตัดบท จะให้พูดออกมาได้อย่างไรกัน  ความผิดของผมทั้งนั้น...

                   

     

                    “ท่านจะทำอย่างไร ในเมื่อกองกำลังที่ควรจะได้มากลับเหลือแค่ครึ่งเดียว” โฮแกนกล่าวถามขึ้นในขณะที่พวกเราประชุมกันที่ค่าย

                    “พวกเราน่าจะลองไปที่คุกคาโลสซ่านะ” ลุงพอลเสนอความคิดเห็น

                    “คุกคาโลสซ่า?”

                    “ตามที่ข้าคาดการณ์ พวกต่อต้านจักรวรรดิทั้งหลายที่ถูกจับกุมน่าจะถูกคุมขังอยู่ที่นั่น เราจะใช้กำลังของพวกเขาให้เป็นประโยชน์”

                    “เป็นข้อเสนอที่ดี” แรกนัสกล่าว “เราจะเคลื่อนกองกำลังไปบุกคุกคาโลสซ่ากันก่อน โดยเราน่าจะผ่านป่าทางทิศตะวันออกเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสังเกตการณ์จากพวกจักรวรรดินั่น หากแผนนี้ประสบความสำเร็จกองกำลังของเราจะได้กำลังคนมาเพิ่มไม่มากก็น้อย”

                    “ข้าจะขอออกเดินทางไปด้วย” โฮแกนกล่าว แต่ลุงพอลห้ามไว้ “อย่าดีกว่า.. งานนี้ยิ่งน้อยคนเท่าไหร่ยิ่งกระทำการได้ง่ายขึ้น  ข้าคิดว่าจะนำกำลังคนไปสักหนึ่งร้อยคนก็น่าจะเพียงพอ ส่วนที่เหลือให้คอยปกป้องหมู่บ้านที่นี่ หากว่ามีโจรมาปล้นหมู่บ้านอีกจะได้ไม่เสียการใหญ่”

                    ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกลับกระโจมพักของตนเอง แต่ฮาโรลด์ที่นั่งเงียบตลอดการประชุมกล่าวขึ้น “ช้าก่อน!!

                    ทุกคนหันมามองชายชรา เขายิ้มบางๆพลางเอ่ยปาก “หมู่บ้านของเราโดดเดี่ยวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งคนของท่านก็กำลังคึกคักได้ที่ ให้พวกเขาเฝ้าหมู่บ้านเช่นนี้เห็นทีจะไม่เป็นการดีสักเท่าไหร่นัก”

                    ลุงพอลกำลังจะเอ่ยปากแต่ฮาโรลด์ก็พูดต่อ “พวกท่านนำคนของท่านไปทั้งหมดเถอะ หมู่บ้านของพวกเราเราปกป้องเองได้ อีกอย่างการจะบุกคุกของจักรวรรดิทั้งทีไม่ควรประมาทให้เสียการใหญ่  รึสหายสงสัยในความสามารถของเรา?”

                    ลุงพอลได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่แค่นยิ้ม “แล้วข้าจะรอวันที่ได้มาดวลเหล้าไฟกับท่านอีกสหาย”

                    ฮาโรลด์ยิ้มแย้มตอบกลับไปไม่มีทีท่าทุกข์ร้อน “เป็นเช่นนั้น ฝากลูกชายของข้าไว้ด้วย มันหนีเก่งอย่าบอกใคร”

                    “ท่านพ่อ!!

                    “เอาล่ะๆ ไปนอนกันได้แล้ว เสบียงทั้งหมดจะเรียบร้อยในวันพรุ่งนี้เช้า” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวตัดบทพลางเดินกลับที่พักของตนเอง โฮแกนได้แต่เดินหน้ามุ่ยตามหลังผู้เป็นพ่อไปติดๆ

     

     

     

     

                    ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่นี่มีน้ำตกอยู่แห่งหนึ่ง ถึงจะไม่ใหญ่มากแต่ก็สวยพอดู...

                    ผมเดินมาเจอที่นี่โดยบังเอิญเมื่อสามวันที่แล้ว และมันก็เป็นที่ที่ผมมักจะมานั่งตกปลาบ้าง หรือมาแอบงีบตอนกลางวันบ้างเป็นประจำ

                    แต่วันนี้... ผมพบว่าผมไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงคนเดียว

                    เอเลนิสกำลังเก็บดอกไม้ที่ขึ้นอยู่เต็มไปหมดรอบน้ำตกนี้อย่างขะมักเขม้น สีหน้าของเธอดูยิ้มแย้มมีความสุขที่ได้ทำกิจกรรมคลายเครียดเล็กๆน้อยๆนี้

                    “อ้าวเพสซี่ มาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย” เธอร้องทักผมเมื่อเธอหันมาเจอผมเข้า

                    “ผมน่าจะถามเธอมากกว่านะ หาที่นี่เจอได้ไงเนี่ย”

                    “ก็วันแรกที่อีริคชวนข้าเดินเล่น ก็เดินมาถึงที่นี่นั่นแหละ”

                    “ขยันจังนะ”

                    “แล้วเจ้ามาทำอะไร?”

                    “มาเก็บดอกไม้มั้ง?”

                    “ข้าว่าข้าถามเจ้าดีๆแล้วนะ”

                    “ผมก็ตอบดีๆแล้วนี่”

                    “เจ้านี่มัน...” ก้อนหินลูกเขื่องๆลอยเฉียดใบหูผมไปฉิวเฉียด ผมถึงกับขนลุกกับความแม่น(หรือฟลุก)ของเธอ

                    “ก็ได้ๆ ผมมาเดินเล่น  แล้วเธอล่ะ”

                    “ไม่เห็นรึข้าทำอะไรอยู่”

                    “ชวนทะเลาะ?”

                    “ใช่สิ... บ้า! ข้าเก็บดอกไม้อยู่ต่างหากเล่า!” เธอแหวใส่ ผมอดหัวเราะไม่ได้ “ที่นี่ดอกไม้ป่าเยอะดีนะ เยอะกว่าที่เอสปาด้ามากเลย”

                    “ใช่” เธอดูมีความสุข แต่อยู่ๆสายตาเธอก็หดหู่ “ดอกไม้นี่คงสวยพอสำหรับเพื่อนของเจ้า”

                    ทำไมกัน ทำไมเธอต้องมีสายตาแบบนั้น มันไม่ใช่ความผิดของเธอซักหน่อย!

                    “ดอกไม้นี้สำหรับพวกพ้องของเราสินะ” ผมถามเธอ ผิดคาดเธอกลับตอบมาว่า “ไม่ใช่...”

                    “ถ้าอย่างนั้นสำหรับใครล่ะ”

                    “สำหรับทุกคนเลยต่างหาก  ทุกคน... ที่สิ้นชีวิตลงในโศกนาฏกรรมเอสปาด้าเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว”

                    “เธอหมายความว่ารวมถึงพวกโจร พวกทหารด้วยล่ะสิ?”

                    “ใช่ ความตายทุกคนมีค่าเท่ากัน ดังนั้นคนพวกนั้นก็มีค่าแก่การจดจำเหมือนกันนั่นแหละ”

                    ผมไม่เข้าใจเลยว่าเธอจะทำอย่างนั้นทำไม  ทำไมเธอถึงต้องใส่ใจความตายของศัตรูด้วย

                    เธอโยนดอกไม้นั่นลงในสายน้ำ พวกเราสองคนจ้องมองมันไหลไปตามน้ำจนลับสายตาไป “...ก่อนที่ข้าจะเจอพวกเจ้า  ข้าไม่เคยคิดถึงเกี่ยวกับเรื่องของความตายเลย  ที่ที่ข้าจากมาจะเรียกว่าไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องความตายเลยก็ว่าได้...” เธอหันมาคุยกับผม ซึ่งผมก็ฉลาดพอที่จะเงียบเพื่อให้เธอพูดต่อไป

                    “วันหนึ่ง เมื่อข้าออกจากบ้านมาเดินตลาด  ข้าก็เจอสาวน้อยคนหนึ่งขายดอกไม้อยู่  เธอสวย และดูเด็กกว่าข้า” เธอเล่าน้ำเสียงเอื่อยๆ “ข้าเลยขอซื้อดอกไม้จากนางไปดอกหนึ่ง แต่เธอกลับไม่ยอมรับเงินจากข้า นางจ้องมองข้าอย่างเรียบนิ่ง จากนั้นนางก็หันหลังเดินกลับไป”

                    “...แต่ต่อมาข้าก็ได้เรียนรู้ว่า การซื้อดอกไม้จากใครดอกหนึ่ง มันแปลความหมายได้ว่า ข้าขอซื้อตัวเจ้าไว้คืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นข้าก็ไม่ได้เจอนางอีกเลย” เอเลนิสยังคงเล่าต่อไป น้ำเสียงเริ่มสั่นๆพิกล “สองสามวันต่อมาข้าก็เจอนาง นางทอดกายอยู่ข้างถนน ไร้ซึ่งผู้คนสนใจ ไร้ซึ่งการดูแล และไร้ซึ่งชีวิต...”

                    “...วินาทีนั้นเองที่ข้ารู้จักความตายเป็นครั้งแรก มันแลดูเหน็บหนาว โดดเดี่ยว และโหดร้าย และข้าก็ได้แต่ยืนมองอยู่ไกลๆโดยทำอะไรไม่ได้เลย” เธอหยุดลงพักหนึ่งแล้วก็เล่าต่อ “แต่ตั้งแต่เมื่อข้ามาอยู่ที่เอสปาด้า ที่นี่ความตายมันดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา  ธรรมดามากๆ    ข้าไม่เคยนึกมาก่อนว่าในจักรวรรดินี้จะมีสถานที่ที่มันขัดต่อความรู้สึกเช่นนี้  และก็...  และเนื่องจากว่าข้าเป็นเพื่อนของเจ้าคนหนึ่ง”

                    ทำไมเธอถึงคิดเช่นนั้น ผมได้แต่ถามอยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าเธอเป็นลูกขุนนางของพวกจักรวรรดิหรอกรึ

                    ถ้าอย่างนั้น เธอเป็นใครล่ะ...

                    ผมสะบัดหัวแรงๆไล่ความคิดอันยุ่งเหยิงออกจากหัวให้หมด

                    “ไปกันเถอะ ทุกคนคงตามหาเรากันแย่เลย” เธอพยักหน้าแล้วก็ออกเดินไป ซึ่งผมก็ได้แต่มองเบื้องหลังของเธอซึ่งก้าวเดินออกห่างไปเรื่อยๆ

                    ถ้าฉันตาย   เธอจะอธิษฐานถึงฉันไหมนะ?

                หากแม้ว่า เธอรู้เรื่องรอยแผลนั่น...

     

     

     

     

                    หลายวันต่อมา พวกเราก็ออกเดินทางไปยังที่ตั้งของคุกคาโลสซ่า  คุกซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของป้อมปราการวิกทรีออน ซึ่งเราเดินทางหลีกเลี่ยงถนนตามคำแนะนำของพี่แรกนัส โดยเลือกที่เดินทางผ่านป่าแห่งความสงบแทน

                    กองกำลังเอสปาด้าได้กำลังเสริมจากหมู่บ้านทางเหนือมาทั้งสิ้นสองร้อยคน เสียชีวิตจากการต่อสู้กับพวกโจรภูเขาราวยี่สิบคน เวลานี้กองกำลังห้าร้อยคนของเอสปาด้าที่ได้รับเสบียงอาหารและอาวุธที่ครบถ้วนพร้อมที่จะออกศึกได้ตลอดเวลา

                    เมื่อถึงป่าแห่งความสงบ ลุงพอลและเอเลนิสคุมกองกำลังส่วนใหญ่ของเราเดินไปตามทางที่คนส่วนมากเดินทางกันได้สะดวก ส่วนกลุ่มย่อยที่แบ่งออกมา อันประกอบไปด้วยผม พี่แรกนัส อีริค โฮแกน    และเทรสต้องไปสำรวจสถานการณ์ที่หมายก่อน ดังนั้นพวกเราจึงเลือกที่จะใช้ทางลัดโดยตัดผ่านไปตามใจกลางป่าโดยตรง

                    ใจกลางป่าซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์

     

     

     

     

                    “จะทำอย่างไรกันดี?” เสียงเล็กๆดังขึ้นบนก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ร่างเล็กจิ๋วที่มีปีกเล็กๆสี่ปีกสองตัวกำลังสนทนากันอยู่

                    “ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติของพวกเรานะ !! เป็นไปได้อย่างไรกันที่มันจะถูกทำลาย” เสียงเล็กๆอีกกล่าวโต้ตอบเสียงแรก

                    “ต้องเป็นพวกมนุษย์แน่ๆที่ทำเรื่องแบบนี้” เสียงแรกกล่าวด้วยความเคียดแค้น

                    “เจ้าก็รู้ดีว่ามนุษย์ไม่มีพลังพอที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้”

                    “งั้นก็น่าจะเป็นภูตน้ำ”

                    “แต่เจ้าก็คงจะยังไม่ลืมว่าภูตน้ำอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีน้ำ!

                    “ถ้าอย่างนั้นก็พวกมังกร หรือไม่ก็พวกฮาร์ปี้”

                    “เชื่อเถอะว่าไม่ใช่พวกนั้น”

                    “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะทำอย่างไรกันดี”

                    “ข้าไม่รู้”

                    ทันใดนั้นการสนทนาของสองภูตจิ๋วต้องหยุดลง เมื่อได้ยินเสียงๆหนึ่งดังขึ้น

                    “เสียงฝีเท้าคนนี่” เสียงแรกกล่าว

                    “ฝีเท้าคนหลายคน” อีกเสียงกล่าวเสริม

                    “...” ทั้งคู่หยุดฟังพร้อมกัน ก่อนจะตื่นตระหนกจนแทบจะบินชนกัน

                    “พวกนั้นกำลังมาที่นี่!!

                    ไม่ทันจะได้ทำอะไร ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งก็ลากสังขารเข้ามาหลบในซากต้นไม้ต้นใหญ่ที่เคยเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล

                    จะทน... ไม่ไหว... แล้วสินะ...

            “มนุษย์นี่!” เสียงภูตตัวแรกดังขึ้น

                    “เจ้าเป็นใคร!?” ทั้งคู่ปรี่เข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเธอก็ได้แต่หันมามองพลางแค่นยิ้ม “หึ... พวกพิกซี่”

                    “เจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด? บุกรุกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรางั้นรึ?” พิกซี่ตัวแรกเอ่ยถาม

                    “รึเป็นเจ้าที่ทำลายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้?” พิกซี่อีกตัวถามแทบจะพร้อมกับตัวแรก

                    “ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์?  พวกเจ้าพูดถึงเรื่องอะไรชั้นไม่รู้เรื่อง แต่ทางที่ดีชั้นว่าหากพวกเจ้ายังรักชีวิตก็จงรีบหนีไปซะ” หญิงสาวคนนั้นกล่าวอย่างไม่ไยดีกับสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วที่บินวนอยู่รอบๆเธอ

                    “เธออยู่นั่น!!” เสียงหนี่งดังขึ้น ซักพักก็ตามด้วยเสียงฝีเท้าของคนนับสิบที่ตรงเข้ามาที่นี่ พวกพิกซี่ทั้งสองตัวรีบบินไปหาที่หลบทันที

                    ทันทีที่ร่างตัวจิ๋วของพิกซี่หายไปในพุ่มไม้ ร่างของทหารสิบกว่านายก็เข้าล้อมรอบซากต้นไม้โดยทันใด หญิงสาวได้แต่ตะโกนด่าพวกทหาร “ไอ้พวกสุนัขงี่เง่าของจักรวรรดิเอ้ย!!

                    “เจ้าหนีไปไหนไม่ได้แล้ว  เจ้าพวกกบฏ!!” ทหารคนหนึ่งกล่าวขึ้น “คำสั่งโดยตรงจากท่านแม่ทัพคือจับกุมพวกกบฏให้หมด ฆ่าเธอได้ถ้าขัดขืน ลงมือได้!!

                    “โชคร้ายของพวกนายล่ะที่ชั้นไม่คิดจะตายที่นี่” เธอหยิบอาวุธคู่ใจของเธอออกมาซึ่งเป็นปืนคาบศิลาสีเงินยวง เธอหักลำกล้องมาดูกระสุนข้างในเพื่อความมั่นใจ ร่างของเธอเย็นเฉียบไปทั้งตัว ประสาททั้งหมดตื่นตัวเต็มที่

    “พวกอะมาเลทกำลังรอชั้นอยู่  ชั้นจะไม่ยอมถูกจับเด็ดขาด!!

     

     

    ผมได้ยินเสียงคนจำนวนมากอยู่เบื้องหน้า พวกเราจึงรีบวิ่งไปดูสถานการณ์ทันที และพวกเราก็เห็นพวกทหารจักรวรรดิกำลังตีวงล้อมกรอบผู้หญิงคนหนึ่งอยู่

    “นั่นมันพวกทหารจักรวรรดินี่” เทรสอุทาน

    “พวกนั้นมาทำอะไรที่นี่?” โฮแกนถาม แน่นอนเขาไม่ได้คำตอบ

    “ผู้หญิงคนนั้น บางทีอาจจะเป็นพวกกบฏที่รอดมาได้” แรกนัสวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “อย่างไรก็ตามเราก็ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ พวกเราไปช่วยเธอกันเถอะ! 

    โฮแกนเหนี่ยวไกหน้าไม้ของตนเข้าใส่ทหารคนหนึ่ง จากนั้นก็เป็นเทรสและอีริคที่เข้าไปดึงความสนใจจากทหารพวกนั้น จากนั้นผมกับพี่แรกนัสก็ตรงเข้าไปช่วยเธอ

    “พวกเจ้าเป็นใคร?” เธอยังดูไม่ค่อยไว้ใจพวกเราซะเท่าไหร่ แต่ผมก็เข้าใจล่ะนะ ดูจากสภาพของเธอแล้วคงผ่านการไล่ล่ามาเยอะ

    “เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับกองกำลังเอสปาด้าไหมล่ะ พวกเรานี่แหละคือพวกนั้น” ผมตอบ

    “ถ้าอย่างนั้นชั้นคงรอดตายแล้ว” เธอกล่าวสั้นๆ “ชั้นชื่อบริกิด...  บริกิด  ทิเอล”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×