ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mighty Spear Chronicle - Tale of Brionac (สถานะ:จบครึ่งแรก)

    ลำดับตอนที่ #17 : Chapter15 - เพื่อนร่วมทาง และ ความสงสัย (Comrade and Doubtfulness)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 39
      0
      25 ก.ย. 56

                    “ชั้นชื่อบริกิด....  บริกิด ทิเอล”

                    แนะนำตัวสั้นๆกระชับได้ใจความ พลางหันไปกระชับลำกล้องของปืนในมือของเธอเอง “ทิศทางลมมันเปลี่ยนแล้วไอสุนัขจักรพรรดิ์เอ้ย!!  วันนี้แม่จะยิงให้เรียบไม่เหลือเลยคอยดู!

                    เอ่อ...  ก็นับว่าใจเด็ดเกินหญิงล่ะนะ

                    ปัง!

                   

                    ไม่ทันขาดคำ ปืนคาบศิลาในมือเธอก็แผดเสียงลั่นส่งกระสุนออกไปจากลำกล้องแล้วหนึ่งนัด  ซึ่งจุดหมายของมันก็คือทหารคนหนึ่ง กระสุนนัดนั้นเจาะขมับพอดิบพอดีไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียว ทหารนายนั้นตายตั้งแต่หลังยังไม่ทันแตะพื้นด้วยซ้ำ

                    และนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของความไม่สงบในป่าแห่งความสงบนี้ เมื่อทหารทั้งหมดตัดสินใจบุกเข้ามาทุกคนพร้อมกัน แรกนัสกู่ร้องพลางกวัดแกว่งขวานในมือเข้าห้ำหั่นกับทหารกลุ่มหนึ่ง โดยมีโฮแกนและอีริคยิงสนับสนุนจากระยะไกล  เทรสร่ายเวทลงใบดาบแล้วทะยานเข้าจู่โจมทหารคนหนึ่ง ส่วนผมยังคงหลบอยู่ในซากต้นไม้กับสาวนักแม่นปืน

                    “ดูท่านายจะไม่ใช่สายบู๊สินะ” เธอเปรย รอยยิ้มเหยียดเล็กๆบนใบหน้าเหมือนจะกระตุ้นให้ผมแสดงฝีมือ

                    ก็ได้.. อยากเห็นพระเอกบู๊ก็จัดหนักโลด

     

     

                    ทหารที่ติดตามบริกิดมานับรวมแล้วมีประมาณสามสิบคน เป็นนักดาบเวทเสียสิบคน  นอกนั้นก็เป็นทหารทั่วไป อ้อ! มีนักเวทอีกหนึ่ง แต่โดนบริกิดเป่าขมองดับไปเป็นคนแรกๆ แล้ว

                    หอกในมือถูกชักกลับไวกว่าตอนเสือกแทง พลันตวัดอีกทีก็สะบั้นแขนของศัตรูที่ล่วงล้ำเข้ามาในระยะ เสือกหอกแทงอีกทีก็ปลิดชีวิตทหารคนนั้นได้ง่ายดาย  ความรู้สึกเริงร่าดังเที่ยวเล่นในสวนดอกไม้กลับมาอีกครั้ง ทว่ารอบกายมิใช่ดอกไม้แสนสวยและไร้พิษภัย หากแต่เป็นโลหิตที่สาดกระเซ็นและร่างที่ไร้ชีวิตของศัตรู

                    “พวกมนุษย์ช่างโหดเหี้ยม...” พิกซี่ที่แอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดครางขึ้นมา

                    “แต่ก็ยังมีพิกซี่บางพวกที่ทำงานให้กับมนุษย์ ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ” พิกซี่อีกตัวพูดขึ้น ทั้งสองตัวตัดสินใจที่จะเฝ้ามองเหตุการณ์นี้ต่อไป ซึ่งมันก็ใช้เวลาไม่นานนัก

                    “เอสปาด้าไม่ได้มีชื่อเสียงไว้แค่คุยจริงๆซะด้วยสิ” บริกิดกล่าวชม  หลังจากรอบตัวเธอเต็มไปด้วยศพทหารนอนตายเกลื่อนกลาด กว่าครึ่งถูกเธอฝากรอยกระสุนไว้แล้วทั้งนั้น

            “ฝีมือเจ้าก็ไม่ใช่น้อย” แรกนัสกล่าวชมกลับ

                    “ไหนๆก็ไม่มีที่ไปแล้วนี่นะ ก็คงต้องร่วมงานกันต่อนี่” เธอยักไหล่ ปืนในมือยกพาดไหล่ไม่มีทีท่าเครียดจากการต่อสู้เมื่อกี้นี้เลยสักนิด

                    “ให้ชั้นแนะนำตัวเองอีกรอบละกันนะ  ชั้นบริกิด ทิเอล” เธอยกมือขึ้นมา และเป็นพี่แรกนัสที่จับมือเธอ “ข้า แรกนัส ผู้นำของกลุ่มเอสปาด้า”

                    “ชั้นก็ได้ยินเรื่องของพวกนายมาเยอะเหมือนกัน รู้สึกว่าพวกนายจะโดนดูถูกอย่างมากจากพวกจักรวรรดินะ แต่ชั้นว่าถ้ามันได้มาเห็นฝีมือของพวกนาย ขี้คร้านจะหัวหดเข้าไปในกระดองกันหมด” เธอกล่าวเอื่อยๆ

                    “ขอบใจที่ชม” ผมพูด  แล้วก็ถามต่อ “ทำไมเธอที่เป็นชาวจักรวรรดิแท้ๆถึงถูกไล่ตามจากทหารจักรวรรดิล่ะ?”

                    เธอเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเริ่มต้นเล่า “บางที ชั้นว่าคงเป็นเพราะดวงดาวบันดาลให้ชั้นมาเจอกับพวกนายก็เป็นได้นะ มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำเลยในชีวิตของชั้น แต่เชื่อเถอะ ถ้านายได้ยินข้อเสนอของชั้นละก็นายอาจจะตอบตกลงโดยทันทีก็เป็นได้”

                    พวกเราขมวดคิ้วด้วยความสงสัย และเป็นเทรสที่กระตุ้นให้เล่าต่อ “เชิญเล่าต่อเลย”

                    เธอปรายตามองเทรสเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “กลุ่มฝ่ายค้านในรัฐสภาของจักรวรรดิถูกเนรเทศ  ในตอนแรกพวกเรามีความหวังอยู่ลึกๆว่าคงจะได้กลับไปอีกครั้ง แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นานกษัตริย์ซาเทียสที่สามก็ประกาศให้พวกเราเป็นพวกต่อต้าน และถูกตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏ” เธอถอนหายใจอีกครั้ง “การกวาดล้างเริ่มต้นขึ้น  ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่ทันได้ต่อต้านหรือขัดขืนด้วยซ้ำ  มีพรรคพวกจำนวนมากที่ยอมตายเพื่อปกป้องสมาชิกคนอื่นๆ แต่สุดท้ายพวกเราก็ถูกจับได้ทั้งหมด...”

                    สายตาของทั้งกลุ่มจ้องมองมาที่เธอเป็นทางเดียว เหมือนการที่เธอยืนอยู่ตรงนี้จะขัดแย้งคำพูดของเธอเมื่อครู่นี้ “...ชั้นก็ด้วย”

                    “พวกเราทั้งหมดถูกส่งไปที่คุกคาโลสซ่า แต่เพื่อนของชั้นช่วยให้ชั้นหนีมาได้  อย่างไรก็ตามยังมีอีกจำนวนมากที่ยังคงถูกคุมขังอยู่”

                    “เหมือนพวกเราเคยได้ยินเรื่องนี้รึเปล่านะ” ผมหันไปถามพี่แรกนัส เขาตอบกลับมาสั้นๆ “ที่ลุงฮาโรลด์เล่าให้ฟังไง กลุ่มพวกต่อต้านที่ซีเนท”

                    “เป็นพวกเราเอง” บริกิดยอมรับ “ได้ยินเรื่องมาบ้างก็ดีแล้ว ชั้นจะได้พูดตรงๆไม่อ้อมค้อม”

                    เหมือนผมจะเดาประโยคต่อไปของเธอได้นะ
                   “ช่วยเพื่อนของชั้นทีนะ  ไหนๆพวกเราก็มีศัตรูคนเดียวกันแล้ว  แน่นอนว่าหากพวกนายต่อสู้เพื่อล้มล้างพวกจักรวรรดิ พวกนั้นก็พร้อมที่จะยินดีสนับสนุนพวกนายเต็มที่”

                    “รวมถึงเธอ?” แรกนัสถาม บริกิดพยักหน้า “แน่นอนชั้นก็ด้วย”

                    “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็โชคดีมากแล้วล่ะ  พวกเรากำลังเดินทางไปยังคุกคาโลสซ่ากันอยู่พอดี” แรกนัสกล่าวเรียบๆ

                    “...!!” หญิงสาวดูตกใจไม่น้อยเมื่อทราบข่าวนี้  “ถ้าอย่างนั้นพวกนาย...”

                    “พวกเราก็อยากได้กำลังเสริมเหมือนกัน  มาร่วมทางกับพวกเราเถอะ บริกิด ทิเอล” ผมยิ้มให้เธอ  ในตอนนั้นเหมือนผมจะได้เห็นแววตาที่สั่นเครือแวบหนึ่ง... แค่แวบเดียว

                    “ตกลง!

     

     

     

     

                    พวกเราเริ่มออกเดินทางไปยังคุกคาโลสซ่าอีกครั้ง  แต่ผมสังเกตเห็นว่าอีริคไปป้วนเปี้ยนแถวซากต้นไม้นั้นอีก

                    “ต้นไม้นี่มีอะไรให้นายสนใจรึ” ผมเอ่ยถาม  สีหน้าอีริคดูกังวลใจ  เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นสีหน้าเขาแบบนั้น

                    “หืม?   ไม่...  ไม่มีอะไรหรอก”  เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเจ้าของใบหน้าหวานๆจะตอบอย่างไม่ใส่ใจ

                    “พวกเจ้ามาทำอะไรที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี่?”

                    เสียงเล็กๆดังขึ้น ผมหันไปมองรอบๆก็เจอสิ่งมีชีวิตตัวเล็กจิ๋วมีปีกบินอยู่รอบผมสองตัว

                    “พวกพิกซี่” อีริคกล่าวลอยๆ  เขาไม่สนใจพวกภูตจิ๋วพวกนี้เลย

                    “ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับพลังศักดิ์สิทธิ์จากท้องฟ้า !

                    “มันมิใช่ต้นไม้ที่พวกเจ้าจะกล่าววาจาดูหมื่นได้!” พิกซี่สองตัวบินรอบตัวผมเร็วขึ้นเรื่อยๆจนผมเริ่มมึนหัว

                    “ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่มนุษย์ผู้นั้น  หากแต่เป็นพลังที่เหนือกว่านั้น” คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของหนุ่มหน้าหวานทำให้ภูตจิ๋วทั้งสองตัวหันไปให้ความสนใจกับเขาแทน แต่เป็นผมที่สงสัย “นายพูดอะไร”

                    “พลังที่สูงส่ง !?

                    “แสงจากสวรรค์ทำลายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นรึ!?

    “เหมือนเจ้าที่มาจากท้องฟ้าเบื้องบนใช่หรือไม่?”

     พิกซี่ทั้งสองตัวกระหน่ำคำถามใส่อีริครัวเป็นชุด เขาสะบัดมือไล่ตัวรำคาญทั้งสองตัวให้ออกไปห่างๆ

    “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ” ผมถามอีกคน

    “วันที่หมอนี่ปรากฏตัวจากท้องฟ้า  เกิดฟ้าผ่าเสียงดังลั่น ข้าเห็นกับตา!!” พิกซี่กล่าวเสริม พิกซีทั้งสองตัวทำท่าเหมือนจะรู้จักเขา แต่เดี๋ยวนะ

    หมอนี่มาจากท้องฟ้าอย่างนั้นเหรอ...

    “ไม่ใช่ท้องฟ้า หากแต่เป็นสวรรค์” อีริคพูดเสียงแผ่วเบาจนผมไม่ค่อยแน่ใจสิ่งที่ได้ยิน “อะไรนะ?”

    “ลืมมันไปซะ” เขาตัดบท  “มันไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเจ้า” พูดจบก็เดินหนีไปสมทบพวกที่ออกเดินไปก่อนแล้ว

    นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันเนี่ย?

    อีริค คนที่ผมคิดว่าเจอในความฝันที่เหมือนความจริงนั่น

    เขามาปรากฏตัวบนโลกนี้ได้อย่างไรนะ?

    “เฮ้!! มนุษย์! เจ้าน่ะแหละ” เสียงพิกซี่ตัวหนึ่งเหมือนจะเรียกผมนะ ผมหันไปมองมันมันก็กล่าวกับผม “เจ้ารู้หรือไม่ว่า บริวโอแน็คปรารถนาสี่หายนะเสมอทุกครั้งที่มันตื่น”

    สี่หายนะ...  อะไรกันอีกล่ะ?  แล้วยังคำพูดที่ว่าเหมือนรู้จักบริวโอแน็คดีกว่าผมนั่นอีก

    “ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งเดียวที่ผนึกจิตวิญญาณมันได้  แต่บัดนี้ก็ไม่เหลือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เจ้าก็เห็น” พิกซี่อีกตัวกล่าวเสริม

    “และเจ้า คือผู้สืบทอดมัน ใช่หรือไม่?” ทั้งสองตัวถามผมพร้อมๆกัน

    “นึกว่ารู้แล้วอีก” ผมยักไหล่เล็กน้อย ไม่ได้ปฏิเสธคำถามนั้น ซึ่งก็คือยอมรับนั่นเอง

    “สัญญาสิ!!” จู่ๆทั้งสองตัวก็ประสานเสียงขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้สีหน้ามันทั้งสองดูจริงจังกว่าปกติ

    “สัญญากับตัวเจ้า และพวกเรา ว่าจะไม่นำพาหายนะสู่ดินแดนนี้อีก” พิกซี่ตัวแรกกล่าว

                    “หากเจ้าไม่ทำ โลกจะถึงแก่จุดจบ” พิกซี่อีกตัวพูดต่อ

                    “ขอร้องล่ะ!!” ปิดด้วยการประสานเสียงของทั้งสองตัวอีกครั้ง“อย่าเปิดประตูที่ถูกลืม...”

                    เจ้าสองตัวนี้มันพูดจาเลอะเทอะอะไรอีกเนี่ย?

                    แต่ดูเหมือนว่าหอกนี่เคยทำเรื่องหายนะมาก่อนแล้วสินะ  ถึงได้กลัวมันนักหนา แต่เอาเถอะ แค่เพื่อเป้าหมายของเราเท่านั้นนี่

                    “ผมไม่เข้าใจเรื่องที่พวกนายทั้งสองบอกหรอกนะ แต่ว่าผมจะไม่ต่อสู้เพื่อทำร้ายพวกนายหรือใครๆแน่ๆ” ผมกล่าว

                    “เจ้าสาบานแล้ว สาบานต่อหน้าพวกเราแล้ว คำสาบานของเจ้าถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์” พิกซี่ตัวหนึ่งกล่าว “จงรับสิ่งนี้ไปเพื่อเตือนใจให้เจ้ารักษาสัตย์สัญญานี้ไว้”

                    มันบินหายไปในพุ่มไม้สักครู่ ก็กลับมา มันวางใบไม้เล็กๆใบหนึ่งบนมือของผม

                    “สิ่งนี้จะนำพาโชคดีให้แก่เจ้า และจะเตือนใจให้เจ้ารักษาสัญญานี้ไว้” มันกล่าวกับผม ผมจึงก้มลงไปดูชัดๆ

                    มันคือใบดอกจิกสี่แฉก  ใบไม้นำโชคที่หาได้ยากมากๆ

                    “ขอบคุณมาก ผมจะเก็บมันไว้กับตัวเสมอ”  ผมรับปากกับภูตจิ๋วสองตัวนั้น เมื่อนั้นมันก็กล่าวสั้นๆว่า “ลาก่อน” แล้วก็บินหายไป ทิ้งไว้แต่ใบดอกจิกเล็กๆบนมือซ้าย และหอกสีฟ้าครามในมือขวา

                สิ่งที่อยู่ในมือผมทั้งสองข้าง มันดูมีอะไรมากกว่าที่คิด

                แต่ว่า  อะไรล่ะ?

    ตอนนี้สั้นหน่อยนะครับ  เพราะหากเอาส่วนตอนหน้ามาด้วยมันจะดูไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไหร่ เลยตัดจบก่อนดีกว่า =w=

     

    เอิ่ม จะเริ่มเขียนจริงจังแล้วนะขอรับ ปิดเทอมแล้วก็จัดเต็มโลด 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×