ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mighty Spear Chronicle - Tale of Brionac (สถานะ:จบครึ่งแรก)

    ลำดับตอนที่ #27 : Chapter25 - สายเลือดที่ถูกชำระล้าง (Blood Purge)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 26
      0
      30 ม.ค. 57

                    อำนาจ คือสิ่งที่ใครๆในโลกนี้ก็ใฝ่หา

                    บางคนเฝ้าหามันเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตัวเอง โดยมิได้คิดเลยว่าคนอื่นจะต้องเดือดร้อนเพราะคนๆเดียว ที่อยากได้ในสิ่งที่ตนเองไม่ควรจะมี

                    อำนาจ ไม่ใช่ของที่หยิบยื่นให้ใครโดยง่าย เป็นเสมือนของร้อนที่ยิ่งอยู่กับตัวนานเท่าไหร่ก็ยิ่งรังแต่จะทำให้เราเจ็บปวดและพินาศสิ้นเนื้อประดาตัวมากกว่าจะนำผลดีมาให้

                    ต่อให้คนๆนั้นจะเป็นคนดีแค่ไหนก็ตามเถอะ...

                    เบริเอลนั่น ก็คงเป็นหนึ่งในคนโลภในอำนาจบริวโอแน็ค อำนาจแห่งเทพเจ้าที่คนทั่วไปมิอาจเข้าถึงได้

                    “อีริค”  ผมเรียกอีกฝ่ายในขณะที่พวกเรากลับมารวมกลุ่มอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์บุกโจมตีของเนโครแมนเซอร์ที่ป่าแห่งความสงบ

                    “ถ้าเจ้ากำลังพูดถึงผู้อัญเชิญซากศพละก็ มันก็ไม่แปลกนักหรอกที่คนที่ศึกษาเวทมนตร์ต้องห้ามจะรู้จักบริวโอแน็ค” อีกฝ่ายตอบเสียงเรื่อยเอื่อย “แต่ข้าว่าตาแก่นั่นคงรู้เรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับเธอคนนั้น”

                    ผมจึงหันมาทางลุงพอล ผู้ซึ่งนั่งพิงขอนไม้นอนดูดาวนิ่ง ปากก็เอ่ยเล่าเรื่อง “ข้ากับเบริเอล ไม่สิ... ไซอัดอีกคน เราสามคนเป็นนักเวทที่จบมาพร้อมกัน เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยกัน”

                    “ท่านเคยเรียนเวทมนตร์นี่เอง มิน่าล่ะ” โฮแกนกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจ  “เหตุใดจอมเวทเช่นท่านจึงมาอยู่ที่เอสปาด้าล่ะ?”

                    “มันก็แค่เรื่องในอดีต” ชายชราตัดบท “นางเป็นคนเก่ง ร่ำเรียนเวทมนตร์หลากหลายสาขาจนเจนจัดในเวลาไม่กี่ปี ไซอัดเป็นคนแนะนำข้าให้รู้จักเอง”

                    “ไซอัด  รึท่านหมายถึง” เอเลนิสขยับปากจะพูด ลุงพอลก็พูดต่อ “อย่างที่เจ้าคิดน่ะแหละ ในตอนนั้นเขาก็เป็นแค่นักเวทฝึกหัดเช่นกัน  ต่อมาพวกเราก็ได้มาอยู่หน่วยนักเวทเดียวกันในสงครามที่มิลิเทีย  นางหายสาบสูญไปในสงครามนั้น ข้าคิดว่านางจะตายแล้วเสียอีก...”

                    “ผู้หญิงที่เราเจอนางเป็นเนโครแมนเซอร์  ผู้มีพลังต้องห้ามเช่นบริวโอแน็ค ไม่สมควรหลงเหลือในโลกนี้” อีริคพูดออกมาลอยๆ

                    “นางอาจจะไปพบกับเรื่องบังเอิญจนทำให้รอดชีวิต แต่นั่นก็น่าเป็นคนเดียวกัน เพราะเบริเอลเองก็เป็นคนที่ชอบศึกษาเรื่องเวทมนตร์เก่าแก่โบราณ” ลุงพอลกล่าวเสริม

                    “เราควรออกเดินทางออกจากป่านี้โดยไวที่สุด” เอเลนิสพูดสรุป

                    “แล้วเราจะไปที่ไหนล่ะ เราไม่มีที่ไปต่อแล้ว” ผมพูดขึ้นอย่างหมดกำลังใจ

                    “กลับบ้านเราสิ เด็กน้อย” เสียงแผ่วเบาจากผู้อาวุโสสุดในกลุ่ม “กลับเอสปาด้ากันเถอะ”

     

     

     

                    “.....” ผมและลุงพอลถึงกับยืนทื่อเหมือนหิน เมื่อเห็นสภาพตรงหน้า แม้แต่เด็กสาวยังต้องปิดปากด้วยความตกใจ

                    เอสปาด้าในยามที่เรายืนมองอยู่นี้ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะ ฝุ่นควันไฟยังลอยฟุ้งไปทั่ว ร่างไร้ชีวิตของชาวบ้านนอนกลาดเกลื่อนเหมือนผ่านการเข่นฆ่าล้างหมู่บ้าน

                    สภาพของมันเพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้เอง!!

                    “นี่มัน....” เสียงของเด็กสาวหลุดออกมาอย่างยากลำบาก “...เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”

                    “ช่างโหดร้ายยิ่งนัก” โฮแกนเปรยออกมา “พวกไหนกันนะ”

                    “ร่องรอยสงครามเคยเกิดขึ้นที่นี่” อีริคกวาดสายตาสอดส่องไปทั่วบริเวณหมู่บ้าน ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “สงคราม... ไม่สิ”

                    “นี่มันการนองเลือดชัดๆ” ลุงพอลพูดขึ้น

                    ผมก้าวเท้าไปยังร่างของชาวบ้านคนหนึ่งที่นอนคว่ำหน้าอยู่ หงายศพนั้นขึ้นก็เห็นรอยถูกอาวุธบริเวณหัวไหล่ขาดสะพายแล่ง ไม่ใช่อาวุธของพวกชาวบ้านหรือโจรแน่นอน

                    “พี่สาว...  พี่ฟิโอน่า!!” ผมตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายสุดเสียง สองเท้าวิ่งตรงไปร้านอาหาร สายตาก็คอยมองร่างของคนที่นอนตายอยู่เฝ้าภาวนาว่าขอให้พี่สาวไม่เป็นอะไร

                    มาหยุดลงตรงหน้าร้านเมื่อเห็นประตูที่ปกติลั่นดาลไว้แน่นหนากลับถูกกระแทกหลุดออกจากที่ ร่องรอยการต่อสู้เต็มไปทั่วร้าน คนอื่นๆวิ่งตามหลังผมมาทันก็ได้สังเกตเห็นร่องรอยนั้นทั่วเช่นกัน มีร่างคนตายนอนอยู่เป็นจำนวนมาก

                    แน่นอน ร้านอาหารของพี่ฟิโอน่าเป็นเสมือนหลุมหลบภัยแหล่งเดียวของเอสปาด้า คนส่วนใหญ่ต้องคิดมาหลบที่นี่อยู่แล้ว

                    หากที่นี่ยังถูกค้นพบ หรือว่า!?

                    หัวใจตอนนี้เต้นระรัวคล้ายจะเด้งหลุดออกจากอกให้ได้ เมื่อเห็นประตูห้องใต้ดินแง้มออก มีร่างผู้ชายคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่สุดทางบันไดนั้น นอกจากนี้ยังมีอีกสองถึงสามร่างในห้องใต้ดินนั้น แต่กลับไม่พบร่างของพี่สาวเลย

                    “ฟิโอน่า  อยู่ไหนกัน  มันเกิดอะไรขึ้น?” ตรงไปค้นทุกซอกทุกมุมก็ไม่พบอีกฝ่ายเลย เหมือนหายไปดื้อๆ

                    “ไม่พบร่างของพี่ฟิโอน่าเลย หวังว่าจะหนีไปได้นะ?” เอเลนิสเดินเข้ามาจับไหล่ผมเบาๆ

                    ทันใดนั้นเราสองคนก็ต้องตื่นตัวขึ้นพร้อมกัน เมื่อมีเสียงตึกตักดังมากจากตู้เก็บที่นอน เมื่อผมเดินไปเปิดออกร่างของเด็กผู้หญิงอีกคนก็กลิ้งออกมาจากกองผ้านวมนั้น

                    “อือ...” ร่างอีกฝ่ายสติลางเลือน เปลือกตาค่อยเผยอขึ้นคราหนึ่ง “ยัง... มีคนอื่นเหลือรอดอีกหรือเนี่ย” เธอกล่าวออกมาเสียงแหบแห้ง

                   

     

                    หลังจากหาน้ำและอาหารให้กินเท่าที่จะหามาได้ เธอก็ดูสดชื่นขึ้น เธอมองมาพวกเราด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่ “พวกเจ้าเป็นใคร? เหตุใดเราจึงไม่เคยเห็นพวกเจ้า”

                    ผมเดินไปนั่งยองๆตรงหน้าเธอ กล่าวถามเสียงแผ่วต่ำ “ได้โปรดบอกพวกเราด้วย เกิดอะไรขึ้นที่เอสปาด้า  เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงที่เฝ้าที่นี่”

                    เด็กสาวคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่งน้ำตาก็ไหลพราก เธอสะอื้นออกมาเสียงดัง “ขะ... ข้า...  ไม่รู้สิ  ข้ากลัวมาก”

                    “เล่าออกมาเถอะ” ลุงพอลพูดปลอบใจ  นางจึงเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น  “วันหนึ่งพวกเราเห็นทหารจักรวรรดิอยู่ข้างนอกนั่น  พวกมันมากันมากมาย ถืออาวุธกันทุกคน พวกมันยังกล่าวอีกว่า “หากพวกเจ้ายังรักชีวิตของพวกเจ้าอยู่ จงช่วยเหลือพวกข้าสังหารชาวลีโอนิกทุกคนในที่นี้ซะ”  พวกมันจะละเว้นพวกที่ไม่ใช่ลีโอนิกหากเราช่วยเหลือพวกมัน.... แล้ว... แล้ว....  พวกลีโอนิกกับพวกชาวบ้านก็...”

                    เธอเล่าออกมาได้แค่นั้นก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง ทุกคนในที่นั้นเงียบไป ลุงพอลถึงกับครางออกมา “พระเจ้าช่วย...”

                    “แล้วพวกนั้นก็หันหน้าเข้าห้ำหั่นกันเองสินะ” อีริคพูดเสียงเรียบ

                    “มีคนตายเยอะมาก เยอะมากๆ... ข้าเจ็บขาจึงหนีมาหลบอยู่ในนี้ตั้งแต่ตอนนั้น”

                    โฮแกนที่ตลอดนิ่งเงียบถามขึ้นเสียงเบา “มันเกิดขึ้นกี่วันแล้ว”

                    “ไม่รู้สิ” เด็กสาวส่ายหน้า “ข้าหลบอยู่ในนี้ตลอดนี่ แต่ข้ารู้สึกเหมือนมันเพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้เอง”

     

     

                    ทุกคนนิ่งงันไปอีกครั้ง เอเลนิสกำมือที่กระชับผมไว้แน่น  ผมในยามนั้นเองก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ ความเศร้า ความเจ็บปวด ความแค้นค่อยๆคืบคลานเข้าเกาะกินจิตใจทีละน้อย...

                    “ทำไมกัน...” ผมกล่าวออกเสียงต่ำ  “ทำไมต้องทำกันอย่างนี้  ทำไมต้องเข่นฆ่ากันเองเช่นนี้  ไม่ใช่ว่าทุกคนคือเอสปาด้ารึไง?”

                    น้ำตาที่ควรมีกลับเหือดแห้ง ความโศกเศร้าที่เราได้รับมันทำให้เราไม่เหลือเวลาให้ร้องไห้อีกต่อไป เอเลนิสถามเด็กสาวคนนั้น “เจ้าจำได้หรือไม่ใครกันที่นำทหารพวกนั้นมา?”

                    “ข้าไม่แน่ใจ” เธอคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบออกมา “แต่ข้ารู้ว่าเป็นผู้หญิงใส่ชุดคลุม  นางเรียกการกระทำนี้ว่า “การชำระล้างสายเลือด””

                    “ชำระล้าง...  สายเลือด?” อีริคทวนคำนั้นอีกครั้ง

                    “ขอสาปแช่งให้ตกนรกหมกไหม้ เจ้าไซอัด” คนแก่บริพาธอีกฝ่ายเสียงฉุนๆ “เจ้านั่นมันทั้งโง่เง่าและหัวโบราณสิ้นดีที่ยังคิดเช่นนั้นอยู่”

                    “หมายความว่าอย่างไร ลุงพอล/ท่านผู้อาวุโส” ทั้งห้องกล่าวแทบจะเสียงเดียวกัน

                    “มันเป็นความเชื่องี่เง่าของพวกหัวโบราณ พวกชนชั้นสูง  ไซอัดเชื่อว่าเขาคือบุคคลผู้ถูกเลือกจากคำทำนายแห่งดวงดาว  มีตำราและคำทำนายหลายเรื่องเขียนไว้ว่าชาวดาลตันคือประชาชนแห่งดวงดาวผู้ถูกเลือก พวกนั้นเชื่อว่าสายเลือดอื่นนอกจากดาลตันคือความแปดเปื้อนของอาณาจักรแห่งพันธะสัญญา โดยเฉพาะลีโอนิก...  สายเลือดนอกรีดที่เป็นตัวกาลกิณีแห่งบ้านเมือง”

                    “ไซอัดต้องการทำลายล้างสายเลือดเหล่านั้นให้สิ้น เขาเรียกมันว่า “การชำระล้างสายเลือด” ก็จริง แต่นั่นก็เป็นแค่ข้ออ้างที่จะกำจัดชนเผ่าอื่นนอกจากดาลตันให้หายไปจากอาณาจักรก็เท่านั้นเอง”

                    “ไม่น่าเชื่อ....” เด็กสาวชาวดาลตันเองยังมิอาจฟังคำพูดนั้นได้จบ ร่างของเธอสั่นเทา “มันยังจะมีคนที่นับถือลัทธิบ้าบอเช่นนั้นหลงเหลือในโลกนี้อีกรึ” เธอพูดขึ้นเสียงดัง

                    “อ้อแน่นอนว่ามี” ลุงพอลตอบ “ตลอดเวลาพวกนั้นจ้องที่จะกวาดล้างพวกเราอยู่แล้ว และในตอนนี้พวกนั้นก็มีเหตุผลมากพอที่จะมาที่นี่”

                    “...จัดการกบฏเอสปาด้าที่หลงเหลือสินะ” อีริคกล่าวจบประโยคทุกคนก็เงียบกันไปอีกครั้ง

                    “เดี๋ยวก่อนสิ จะบอกว่าพวกเราคือสาเหตุที่ทำให้ทุกคนที่นี่ต้องตายงั้นรึท่านลุง?” ผมถามอีกฝ่ายเสียงเครือ อีกฝ่ายพยักหน้าตอบแช่มช้า

                    “มัน.... โหดร้ายเกินไปแล้ว เหตุผลบ้าบอนั้นเนี่ยนะถึงกับต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนทั้งหมู่บ้าน เหตุผลบ้าบอที่ถึงกับต้องฆ่าพี่สาวของผม” มือของผมยามนี้เกรงแน่น ไม่อาจบรรยายได้ว่าในตอนนั้นผมรู้สึกเช่นไร ในหัวผมที่ตอนแรกปลอดโปร่งกลับยุ่งเหยิงอีกครั้ง จนเมื่อเห็นผ้าเช็ดหน้าวางอยู่โต๊ะอาหาร

                    เดินไปหยิบมันมามอง ยิ่งคิดถึงอีกฝ่ายจับใจ แต่ก็คงไม่มีโอกาสได้พบเจออีกแล้ว เพราะพวกนั้น.....  เพราะเจ้านั่น....

                    “พี่ฟิโอน่า ผมขอตั้งสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพี่สาว” ยิ้มให้คราหนึ่งกับสิ่งแทนตัวพี่สาวคนนั้น ก่อนกล่าวเสียงกังวาน “จักรวรรดิจะต้องชดใช้! หากพวกมันไม่ต้องการเรา หากเราคือส่วนเกินของพวกมัน ผมจะฆ่าพวกมัน!  ทั้งหมดนั่น! ผมจะแก้แค้นให้พี่สาว ผมจะแก้แค้นพวกมันทุกคน!!

                    “.....” ทุกคนในยามนั้นต่างก็ได้ยินคำสาบานนั้น ในขณะที่ทุกคนนิ่งงันนั้นเอง เอเลนิสก็เอ่ยถามบางอย่างกับผม หากใครได้เห็นสีหน้าในตอนนั้นของเธอคงจะจำใบหน้านั้นไปอีกนาน ใบหน้าที่ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้...

                    “เพทริกส์”

                    “มีอะไรรึ เอเลนิส” ผมหันไปหาเด็กสาวผมบลอน

                    “เจ้าพอจะมีหอกอีกเล่มให้ข้ายืมใช้หรือไม่?”

    26/1/57 : อัพเดตตอนใหม่

     

    เมื่อนางเอกเอาจริง โปรดติดตามตอนต่อไป =w=

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×