ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mighty Spear Chronicle - Tale of Brionac (สถานะ:จบครึ่งแรก)

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter2 - เอเลนิส ( Elenis)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 85
      0
      4 ก.ค. 56

                    ผมเกลียดการล้างจานที่สุด

                    มันเยอะ! กลิ่นเหม็น! ที่สำคัญ ออกแรงมากก็ไม่ได้ ขืนทำจานหรือแก้วแตกไปซักใบนึงละก็โดนพี่ฟิโอน่าบ่นหูชาแน่ๆ

                    ผมอยู่ที่ไหนน่ะเหรอ? แล้วมาทำอะไรที่นี่?

                    ที่นี่คือร้านอาหารแห่งหนึ่ง และแห่งเดียวในเขตชนบทเอสปาด้า  ชนบทที่ห่างไกลความเจริญและถูกตัดขาดจากโลกภายนอก... อันที่จริงจะเรียกว่าร้านอาหารก็ไม่ถูกซักเท่าไหร่ เพราะไม่มีใครสามารถเอาเงินมาจ่ายให้พวกเราได้ ร้านอาหารเล็กแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นโรงอาหารประจำหมู่บ้านไปโดยปริยาย

                    พวกเราแต่เดิมนั้นเป็นชาวลีโอนิกที่หนีสงครามสมัยสองอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เปิดศึกกันเอง หนึ่งคืออาณาจักรของชาวลีโอนิกอย่างพวกเรา ซึ่งทำสงครามกับอาณาจักรของชาวดาลตัน แต่ถึงพวกเราจะหนีเข้ามาในเขตของดาลตันแล้ว ก็ไม่ได้รับการเอาใจใส่มากขึ้นสักเท่าไหร่ เป็นชนกลุ่มน้อยที่ทั้งสองประเทศไม่ได้รับรองเป็นประชาชนของตัวเอง

                    ผู้คนที่อยู่ที่นี่แต่เดิมมีกันอยู่เป็นร้อยครัวเรือน แต่เนื่องจากความยากจนและความอดอยาก บ้างก็อพยพไปอยู่ที่อื่น บ้างก็ล้มตายลงด้วยโรคระบาด ปัจจุบันเหลือคนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้แค่สามสิบกว่าครัวเรือนเท่านั้น

                    ทุกคนที่นี่ต่างก็อยากได้อาหาร การดูแลเอาใจใส่จากทางการ ความคุ้มครองจากสงคราม แต่มันก็เป็นได้แค่ความฝันลมๆแล้งๆ ตลอดที่ผ่านมาพวกเราไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆจากภายนอกเข้ามาเลย มิหนำซ้ำยังสร้างกำแพงไว้ป้องกันพวกเราไม่ให้ออกไปพบเจอกับโลกภายนอกอีก  พืชพันธุ์ปลูกไปก็ไม่ขึ้น จะขึ้นอยู่ที่เดียวก็คือทุ่งนาของพี่ฟิโอน่าที่อยู่หลังร้านเนี่ยแหละ ที่เกิดจากการลงแรงของทุกคนในหมู่บ้าน ทุกคนที่นี่จึงมีอาหารประทังชีวิตไปวันๆบ้าง

                    วันเวลาผ่านไป ความสิ้นหวังเปลี่ยนเป็นความแค้น ความแค้นที่ถูกสั่งสมในจิตใจถูกเก็บกดไว้เรื่อยมาก็พังทลายลง ในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจจับอาวุธก่อการปฏิวัติขึ้น

                    ด้วยความช่วยเหลือของหมู่บ้านรอบข้าง การลอบขนส่งเสบียงและการสนับสนุนกำลังคนเป็นไปอย่างง่ายดาย  ในที่สุด “กองกำลังปฏิวัติแห่งเอสปาด้า” ก็ถูกจัดตั้งอย่างไม่เป็นทางการ

                    เราเริ่มปฏิบัติการด้วยการบุกปล้นเกวียนสินค้าของทางการ บ้างก็เป็นเกวียนขนเสบียง หรือเกวียนขนอาวุธที่นานๆครั้งมาสักที ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ภายใต้การชี้นำของชายคนหนึ่ง

                    ริกาโด้ รากูเอล....  พ่อของผมเอง

                    เขาเปรียบเสมือนพระเจ้าของพวกเรา เขาถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้หมู่บ้านที่อดอยากและถูกลอยแพ

                    ว่ากันว่าฝีมือดาบของเขายากที่หาคู่มือสู้ได้  ว่ากันว่าฝีมือของเขานั้นเกิดจากการไปฝึกวิชากับนักดาบพเนจรคนหนึ่ง แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่ผมฟังมาทั้งนั้น

                    เขาเป็นผู้ก่อตั้งกองกำลังปฏิวัตินี้และคอยควบคุมฝึกซ้อมการใช้อาวุธให้กับชาวบ้าน รวมถึงปฏิบัติการปล้นเสบียงสินค้าต่างๆด้วย  วีรกรรมของพวกเราเดือดร้อนไปจนขนาดกษัตริย์โวล์ฟกังที่ 3 สั่งให้แม่ทัพใหญ่โรเบอตัสมาปราบปรามกบฏเหล่านี้ด้วยตนเอง

                    การต่อสู้ในครั้งนั้นถูกเล่าขานกันต่อมา ฟังสิบครั้งก็ไม่รู้เบื่อ ว่ากันว่าริกาโด้ดวลดาบกับแม่ทัพโรเบอตัสอย่างสูสีถึงสามวันสามคืน ก่อนจะพ่ายแพ้และจบชีวิตลงที่หน้ากำแพงลาเมนต์นี้เอง

                    วีรกรรมของเขาเป็นที่เล่าขานของชาวเอสปาด้าทุกคนมาจนถึงทุกวันนี้ นับตั้งแต่วันนั้นก็สิบสองปีผ่านมาแล้ว

                    และใช่...  เราจะกอบกู้ชนบทสลัมนี้ให้ขึ้นมาจากปลักอีกครั้ง

                    ความแค้นที่สูญเสียพ่อ ผลักดันให้ผมฝึกฝีมืออย่างจริงจัง หวังแค่ว่าซักวันจะได้พบหน้ากับแม่ทัพโรเบอตัสผู้นั้นอีก และวันนั้นแหละที่ผมจะ....

                    “เพสซี่!! พี่เรียกรอบที่ห้าแล้วนะ ข้าวต้มในหม้อเดือดหรือยัง?” เสียงดังลั่นมาจากข้างนอก

                    ตายล่ะ ผมต้มข้าวไว้ในหม้อ ป่านนี้แห้งหมดแล้วรึยังก็ไม่รู้.... โดนพี่บ่นยาวก่อนนอนอีกแหงๆ

                    โชคดีที่มันยังพอกินได้  ผมรีบจัดแจงตักมันใส่จานแล้วถือจานออกมาเสิร์ฟชาวบ้านที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ  ขณะที่ผมวางจานใบสุดท้ายบนโต๊ะนั้นเอง เสียงเรียกของพี่สาวดังขึ้นอีกครั้ง ผมจึงวิ่งหายเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ก่อนจะเปิดประตูกลที่พื้นแล้วเดินลงห้องใต้ดินไป

                    ห้องใต้ดินในร้านนี้ไม่กว้างมาก สิ่งที่อยู่ในห้องนี้มีแค่โต๊ะกลมๆ  เตียงอีกสี่เตียง และก็ถุงข้าวสารเยอะพอดู อ้อ... กล้วยฉาบด้วยสำหรับช่วงนี้

                    ทุกคนในห้องนั่งล้อมกันอยู่ที่โต๊ะกลมนั่น ผมจึงเดินเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วยทันที

                    “ถ้าเราขายเธอให้กับพ่อค้าทาสที่ท่าเรืออัสซูลี่ บางทีเราอาจจะได้ซัก 50,000” ชายหนุ่มสวมฮู้ตสีเขียวพูด เขาคือพี่แรกนัส พี่ชายของผมเอง เขาคือว่าที่ผู้นำของกองกำลังกอบกู้เอสปาด้ารุ่นต่อมา

                    “อืม.. แต่เท่าที่ดูแล้ว การแต่งตัวของเธอก็น่าจะมาจากตระกูลขุนนาง บางทีเราอาจจะเรียกได้ถึง 75,000” ชายชราผู้มีผมสีขาวโพลนทั้งหัวกล่าวแย้ง เขาคือลุงพอล ที่ปรึกษาประจำกองกำลัง เป็นคนวางแผนและสั่งการในแต่ละปฏิบัติการ รวมไปถึงปฏิบัติการปล้นเกวียนที่กลายเป็นการช่วยเด็กสาวนี่ด้วย

                    “อ้าวเพทริกส์ เจ้ามาได้จังหวะพอดี เรากำลังคิดว่าจะเรียกค่าตัวจากเด็กคนนี้ได้ซักเท่าไหร่” เอียนหันมาพูดกับผม

                    “ขาย? ค่าตัว?  พี่จะขายเธอให้กับพ่อค้าทาสงั้นรึ?” ผมถามพี่ชาย

                    “มันช่วยไม่ได้ เงินสำรองของหมู่บ้านเราหมดเป็นเดือนแล้ว ถ้าไม่มีรายรับงานนี้เราก็อยู่ได้ไม่ถึงเดือนก็อดตาย” แรกนัสตอบ สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนไปเลยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

                    “แต่ว่า... เราอุตส่าห์ช่วยเธอมาแล้วนะ ถ้าคิดจะขายเธอไปตั้งแต่แต่แรกจะช่วยให้เสียเวลาทำไม” ผมแย้ง

                    “คิดซะว่าเราปล้นเงินมาจากพวกนั้นน่ะแหละ” ลุงพอลตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ

                    “ผมไม่เห็นด้วย ไหนๆเราก็ช่วยเธอมาแล้วก็ให้เธอมาอยู่กับพวกเราก็ได้นี่ เด็กผู้หญิงคนเดียวเราเลี้ยงได้น-“

    ผมพยายามจะพูดหาเหตุผลแต่โดนพี่แรกนัสขัดไว้ก่อน

                    “เพทริกส์ อย่าเอาอารมณ์มาทำให้เสียงานใหญ่สิ”

                    มันเป็นแบบนี้ไปได้ไงกัน ช่วยเพื่อขายต่อเนี่ยนะ?   ทำงานแล้วค่าตอบแทนได้คุ้มค่าแรงมาก.........

                    “ยังไงข้าว่า รอให้เธอตื่นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยสอบถามเพิ่มเติมก็ได้นี่” เป็นพี่ฟิโอน่าที่แสดงความคิดเห็นบ้าง

                    “เอาอย่างนั้นก็ได้ เอียนกับเจ้าเฝ้าเด็กนั่นไว้จนกว่าเธอจะตื่น” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป โดยมีลุงพอลและนีน่าตามไปติดๆ เทรสลุกขึ้นจะเดินออกไปแต่ก็หันมากล่าวอะไรกับผมก่อน “ถ้าเธอตื่นเมื่อไหร่ เรียกข้าด้วยนะ”

                    “อืม” ผมตอบรับสั้นๆ ทำไมผมถึงรู้สึกหงุดหงิดได้ขนาดนี้นะ

     

                    “ไม่เอาน่าเพทริกส์ ข้าว่าระหว่างเด็กนี่กับขนมปังซักเดือน ข้าว่าข้าเลือกอย่างหลังดีกว่า” เอียนชวนผมคุย ตอนนี้เรานั่งเฝ้าเด็กสาวที่นอนหลับไม่รู้วันรู้คืนมาได้ซักพักแล้ว

                    “ไม่รู้สิ แต่ชั้นรู้สึกว่า มันไม่คุ้มกับที่เราลงมือไปน่ะ” ผมเอ่ยปาก

                    “หรือเจ้าสนใจเด็กคนนั้น?” เอียนถามผมตรงๆ

                    “ก็อาจจะ... นะ” ผมลังเล แต่ในตอนนั้นเองเสียงเหมือนคนไอก็ดังขึ้น

                    “แค่ก... แค่ก...”

                    ผมกับเอียนหันไปมอง ก็พบว่าเด็กสาวคนนั้นลุกขึ้นมาแล้ว และตอนนี้กำลังไอ

                    “ฟื้นแล้วสินะ ไปตามทุกคนมาเอียน” ผมสั่งเพื่อนสนิท เอียนรับคำแล้วก็วิ่งขึ้นไปทันที ผมหันไปให้ความสนใจกับเด็กสาวแทน ตอนนี้เธอหันมามองผม

                    “สวัสดี เธอชื่ออะไรเหรอ” ผมถามเธอ สีหน้าขอบเด็กสาวยังดูมึนงงอยู่ไม่น้อย ซักพักก็เอ่ยปากว่า

                    “หิว..”

                    โครกกกกกกกกกกก

                    อืม.... มีเสียงมายืนยันคำพูดด้วยแฮะ  ผมบอกเธอ “รอนี่สักครู่นะ” แล้ววิ่งขึ้นไปข้างบน ก่อนลงมาพร้อมชามข้าวต้ม “บ้านชั้นไม่มีอะไรกินมากนักหรอกนะ แต่ข้าวต้มนี่เธอจะกินได้ใช่มั้ย” ผมถามเธอ

                    “ได้สิ” เธอพูด สายตาจับจ้องมาที่ชามข้าวต้มอย่างหิวกระหาย

                    “ฮ่ะๆๆ” ผมหัวเราะเมื่อเห็นสายตาของเธอ ก่อนจะวางชามลงข้างๆหัวนอน บรรจงใช้ช้อนตักมันขึ้นมาช้าๆแล้วป้อนให้เด็กสาวตรงหน้า  มองตรงๆแล้วหน้าตาของเธอนี่สวยใช้ได้เลยนะ

                    (มะ.. ไม่ใช่นะท่านผู้อ่าน ผมไม่ได้คิดกับเด็กอย่างนั้นนะ!!! : เพทริกส์)

                    “สรุปว่าเธอชื่ออะไรกันเหรอ?” ผมถามเธอเมื่อตักข้าวเข้าปากไปได้สี่ห้าคำแล้ว  นอกจากเสียงเคี้ยวและกลืนแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรตอบรับกลับมา

                    “งั้นกินให้อร่อยนะ แล้วจะมาถามใหม่” ผมเดินออกไปข้างนอก ทิ้งเด็กสาวให้นั่งกินข้าวคนเดียว

                    “เอ...” เสียงดังขึ้นจากด้านหลังของผม ผมหันกลับไปจึงพบว่าเด็กสาวกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เธอก้มหน้าเล็กน้อย สีหน้าดูลังเล ก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง

                    “ข้าชื่อเอเลนิส”

     

                    “สรุปคือ เธอชื่อเอเลนิส อายุสิบหกปี มีอะไรจะเพิ่มเติมมั้ย” แรกนัสถามเด็กสาว ซึ่งนอกจากที่เธอคุยกับผมแล้วเธอไม่ยอมคุยกับใครเลย เมื่อแรกนัสได้ความเงียบจากเด็กสาวเป็นคำตอบ เขาก็กล่าวว่า

                    “ช่วยไม่ได้ คงต้องเอาตัวเธอไปขายตามแผนเดิมของเราแล้วน่ะแหละ”

                    ผมสังเกตได้เลยว่าหน้าของเธอซีดเผือดไปถนัดตา

                    “แต่ผมว่าเธอคงไม่ชอบเท่าไหร่” ผมแย้ง แต่ก็เจอแรกนัสสวนทันควัน

                    “ไม่ชอบแล้วทำไมไม่ให้ความร่วมมือ มีแต่เงียบกับจ้องหน้าแล้วมันจะได้อะไรที่ดีขึ้นมั้ย?  ทำตัวเป็น ตัวถ่วงที่อ่อนแอ เป็นภาระของคนอื่น ก็ต้องสมควรถูกกำจัด เอสปาด้าไม่มีที่ยืนให้กับผู้อ่อนแอ”

                    ผมสะอึก มันเป็นความจริงทุกอย่าง ผมช่วยอะไรเธอไม่ได้

                    “ว่าไงล่ะ ถ้าเธอยืนยันตัวเธอด้วยความเงียบข้าก็ไม่อาจรับรองจุดจบของเธอได้หรอกนะ” พี่ชายของผมหันไปคุยกับเด็กสาวนั่น

                    “แรกนัส  เอเลนิสเขาก็เพิ่งตื่นเจ้าจะมาเร่งคาดคั้นเอาความจริงอะไรจากเธอซะมากมาย?  ให้เวลาให้เธอรวบรวมความคิดบ้างสิ” พี่ฟิโอน่าสอด

                    “เปิดโอกาสให้หาข้อแก้ตัวน่ะสิ!” พี่แรกนัสค้าน

                    “นี่เด็กนะแรกนัส  จะหาข้อแก้ตัวภายในสถานการณ์ที่ตัวเองประเมินมิได้? เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่ายิ่งแก้ตัวยิ่งดูรู้ว่าโกหกได้ง่ายขึ้น” ลุงพอลเป็นคนแย้งขึ้นมา

                    “เหอะ!” เขาสะบัดเสียงไม่พอใจ ทิ้งร่างลงกับม้านั่ง “เทรส การเดินทางไปหมู่บ้านมาเลก้าใช้เวลาประมาณเท่าไหร่?”  เขาหันไปถามเทรส

                    “ไปกลับก็ประมาณหนึ่งเดือน” เทรสตอบ จากนั้นเขาก็วางแผนที่เส้นทางการเดินทางบนโต๊ะ

                    “ข้ารู้จักกับหัวหน้าหมู่บ้านของที่นั่นดี เขาเป็นคนที่สนับสนุนท่านพ่อมานานแล้ว” แรกนัสเปิดประเด็น “เราคงต้องส่งคนไปขอเสบียงจากหมู่บ้านของเขามาบ้าง เพื่อชดเชยกับเสบียงที่หมดไปเพื่อเลี้ยงพวกเรา ที่เพิ่มขึ้น” เขาปรายตาไปมองเอเลนิสครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อไป “...ซึ่งข้ากับท่านลุงพอลจะเดินทางไปด้วยตัวเอง พวกเจ้าจะมีใครร่วมทางไปกับข้าหรือไม่” ทุกคนในห้องส่ายหน้า แรกนัสถอนหายใจไม่กล่าวอะไรอีก  หันไปเรียกเพื่อนสนิทผมแทน “เทรส เจ้าไปกับข้า”

                    “หา!? ทำไมต้องเป็นข้า?” เทรสถาม นิ้วมือชี้มาที่ตัวเอง

                    “เจ้าเป็นคนเสาะหาเส้นทาง หากมิให้เจ้านำทางแล้วจะให้ใครทำล่ะ” แรกนัสพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป

                    “แล้วข้าต้องเตรียมตัวเดินทางเมื่อไหร่” เทรสถามลุงพอล

                    “เดี๋ยวนี้” ลุงพอลลุกขึ้นดึงหูเทรสออกจากห้องไปอีกคน

                    “โอเค  ออกไปกันซะให้หมดก็ดี” ฟิโอน่าบ่นออกมาเบาๆ ก่อนหันมาทำตาประกายสดใสกับผมและเอียน “มาช่วยพี่ถูห้องต้อนรับเอเลนิสกันหน่อยสิ”

                    “ม่ายยยยยยยยยยยยย” เสียงผมกับเอียนร้องประสานเสียงกัน ก่อนจะโดนพี่ฟิโอน่าลากคอเสื้อไปทางกองไม้ม็อบ

                    “โชคดีนะทุกคน” คลูตเดินออกจากห้องไป ตามหลังด้วยนีน่าที่เดินควงมีดแบบไม่สนใจใครทั้งนั้น ทิ้งไว้แต่เอเลนิสที่นั่งงงในห้องประชุมอยู่คนเดียว

                    “คนพวกนี้... เป็นใครกัน...?”                

     

    จบกันไปอีกหนึ่งตอน คงไม่ค้างมากเนอะครับ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×